"คู่มือ...ทำกับข้าวเมืองเหนือประยุกต์" (ฉบับรีไซเคิ้ล) เล่มนี้ ผมขออนุญาตเรียกอย่างนี้ เพราะกระดากที่จะเรียกว่า "ตำรา" ผมเขียนขึ้นจากประสบการณ์ในการทำกับข้าวด้วยตนเองเกือบจะทุกวัน ตั้งแต่ยังเป็นเด็กจนกระทั่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่จนเกือบจะลาจากโลกใบนี้ไปแล้ว ส่วนหนึ่งซึ่งนับว่าเป็นส่วนมากที่สุดมาจากความทรงจำในอดีต ที่ได้อาสาเป็นลูกมือช่วยผู้ใหญ่ทำกับข้าวอยู่เสมอ... และทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้ผมได้ตรวจสอบชำระข้อความบางท่อนบางตอนที่เป็นส่วนสาระสำคัญกับหนังสือ "ตำราทำกับข้าวเมืองเหนือ" เขียนโดย คุณสงวน โชติสุขรัตน์ ซึ่งเป็นบรมครูทางการหนังสือพิมพ์ขั้นปฐมของผม แล้วนำมาคลุกเคล้าผสมผสานเรียบเรียงเขียนขึ้นมาใหม่ในเชิง "เล่าสู่กันฟัง" ทั้งนี้ เพื่อสะดวกแก่คนรุ่นใหม่ จะได้นำเอาไปเป็น "คู่มือ" อนุรักษ์การทำกับข้าวของเมืองเหนือ ให้คงอยู่ถึงคนรุ่นต่อๆไป โดยคำนึงถึงวิธีการการทำกับข้าวเพื่อให้ทำกันได้อย่างง่ายๆ ไม่ยุ่งยากซับซ้อนอะไร
"โปรดสังเกต.. ที่ช่อง url ด้านบนซ้าย ถ้าเป็น https กรุณาเปลี่ยนเป็น http แล้วกด enter เข้ามาใหม่ครับ"
@ คลิกที่นี่ ดูบนyoutube... @ ภาพรับปริญญามีต่อที่นี่... @ และที่นี่อีกจ้า... @ บัณฑิตรามฯรุ่น38(2555) ทุกคณะและทุกคน โหลดคลิปที่นี่...

วันจันทร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2556

อิอิ...ทหารเกณฑ์ ผลัด1 ผลัด2 ศึกษากันไว้..ก่อนเจอของจริง!!!

PlayList... "ผู้กองยอดรัก ยอดรักผู้กอง" (หนุ่ม-ศรราม, ติ๊ก-กัญญารัตน์) ตอน1 ถึง ตอนจบ
ดูถึงตอนไหนจำตัวเลขตอนนั้นไว้..เลือกตอนที่ต้องการ คลิกสามเหลี่ยม ด้านบนจ้า...

@ รูปสวยๆมีที่นี่... & @ และที่นี่อีกจ้า... @ ควรรู้ไว้..คำแนะนำการฝึกทหารใหม่ ปี55 & ปี56


สำหรับน้องๆ ผลัด 1/2556 ดูนะครับว่า น.3 บชร.3 เค้าทำกันยังไงตั้งแต่ขึ้นรถเลย...



" อันตราย!!! คุณ"อ่านข้อความยาวๆ"ได้หรือไม่????? คุณพิสูจน์ได้...

การที่เรียกว่า"สมาธิสั้น"นั้นเป็นการเรียกที่ไม่ค่อยถูกต้องนัก จริงๆแล้วต้องเรียกว่า"สมาธิบกพร่อง" ทั้งนี้เพราะบางคนที่เป็น ไม่ได้มีปัญหาตรงที่มีสมาธิในช่วงสั้นๆ แต่มีปัญหาในเรื่องของ การควบคุมสมาธิและการปรับเปลี่ยนสมาธิ (Selective Attention) มากกว่า! "



ชีวิต ท.ทหารเกณฑ์...รันทดยิ่งกว่านวนิยายน้ำเน่าอีกว่ะ!
โพสต์โดย: กระเด็นกระดอน

ลองอ่านๆดู ผมว่ามันฮามาก...เอามาให้อ่านกัน (ปล.ผมเล่นกระทู้ Idun)



วันที่ 30 เมษา ..... (พ.ศ.สีหมึกพิมพ์เลอะมากๆ เดาไม่ออก40หรือ50)

ถึง... ก.กระดุม

เห็นคุณเคยบอกในกระทู้ ให้ส่งข่าวคุณบ้าง วันนี้ผมว่างเลยเขียนหาคุณ ช่วงที่ผมหายไป ผมไปเป็นทหารมา สาเหตุก็จะมีห่าอะไร วันจับใบดำใบแดง แย่จังอัตรา 1 ต่อ 45 โว้ย แต่มือผมแย่จัง จับได้ใบแดง ซวยชิบหาย

วันก่อน ประดิษฐ์ จันทร์มั่น (คนละคนกับ ประดิด จันทร์หมาย ของคุณ) ถามผมว่า จริงหรือเปล่าที่ดาราที่มันเป็นทหาร ชอบพูดว่า เป็นทหารได้อะไรกว่าที่คิด... จะได้เ!้-อะไรล่ะโว้ย แต่มันก็มีบ้าง หากมองในแง่ดี ผมจะเรียงเป็นข้อๆ

1. ได้รู้ว่ามนุษย์ก่อนมีวัฒนธรรมและอารยธรรมมันอยู่กันอย่างไร
2. ได้อึด อดทน เหนื่อย!ๆ เหนื่อยแทบตาย
3. ได้รู้สภาพที่ คนเขาพูดกันว่า มีปากเหมือนมีตูดนะ มันรันทดแค่ไหนสำหรับคนปากหมาอย่างผม
4. เลี้ยงง่าย มีอะไรก็แดกได้หมดแหละ
5. เกลื้อนบนต้นแขนทั้งสองข้าง ผมอัศจรรย์โว้ย ทั้งแขนซ้ายแขนขวาแย่จังตำแหน่งเดียวกันเป๊ะ
6. กลากรูปห่าอะไรก็ไม่รู้ (แต่น้องผมว่าเหมือนสากกะเบือ) บนแผ่นหลัง
7. สังคังที่แย่จังลอกได้เหมือนงู
8. ความหน้าด้าน หน้าทน มึน แย่จังไม่รู้จักอาย

และมีอีกหลายข้อที่ผมกำลังจะเขียนให้คุณอ่านอยู่นี่...

ผมเป็นทหารสังกัด กองพันทหารราบ กรม...(ขออนุญาตตัดออก เพื่อภาพพจน์ที่ดีงามของกองทัพบก...กระเด็นกระดอน) ที่จริงกรมผมอยู่แถวสนามหลวง แต่ต้องไปฝึกทหารใหม่สองเดือนที่...(ขออนุญาตไม่เปิดเผยชื่ออีกเหมือนกัน...กระเด็นกระดอน) เมืองกาญจน์

คุณเอ๊ย...วันแรกที่เข้ามา พวกผมต้องพักที่กรมแถวสนามหลวงก่อน แล้วเป็นเย็นวันศุกร์ กุญแจคลังอาภรณ์เครื่องใช้ทหารอยู่กับจ่ากองร้อย แล้วจ่ากองร้อยดันเสือกไปต่างจังหวัดอีก

คุณนึกภาพตามนะ... เริ่มเย็นวันศุกร์ ออกกำลังเล็กๆน้อยๆ วิ่งรอบกองพันสามสิบรอบ (เคล็ดแย่จัง!!! เล็กๆน้อยๆของมัน...ผมแทบตาย) วิ่งโดยที่รองเท้าไม่มี วิ่งเสร็จยืนเข้าคิวตัดผม ช่างตัดผมของทัพบกนี่ฝีมือชิบหายว่ะ แย่จังตัดได้ไงใช้เวลาไม่เกินนาทีต่อหัว

คิดดูวิ่งเหนื่อยก็เหนื่อย เหงื่อก็ท่วม เสื้อก็มีแต่เศษผม แย่จังทั้งคันทั้งคาย หงุดหงิดโว้ย อาบน้ำโดยที่ไม่มีสบู่ มีขัน 10 ใบกับคน 90 คน แปรงสีฟันไม่มี ผ้าเช็ดตัวไม่มี และแน่นอนแก้ผ้าอาบ คืนนั้นผมถึงฝัน เคล็ดแย่จัง! กล้วยเต็มห้องจนจะล้มทับผม ดีที่ผมตื่นทัน

ตั้งแต่วันศุกร์ ยันเช้าวันจันทร์ ผมแย่จังเน่ากับกางเกงขาสั้นและเสื้อยืดตัวเดียวที่เต็มไปด้วยเศษผม แล้วสองวันนี่แย่จังไม่ได้อยู่เฉยๆนะเว้ย เช้าวิ่งเปลือยตีน กลางวันลอกท่อ บ่ายวิ่งอีกรอบ

ลอกท่อนะ กลิ่นแย่จัง!ๆ น้องๆส้วมเลยคุณ แล้วเสื้อผ้าไม่มีเปลี่ยน กลิ่นน้ำครำแย่จังติดตัวตลอดเวลา แดกข้าวแทบไม่ลง กว่าจะถึงเช้าวันจันทร์ผมแย่จัง ร่ำๆจะถอดกางเกงในทิ้ง ก็มันทั้งชื้น ทั้งเหนอะ เวลาผมวิ่งแย่จังสีกับโคนขาเจ็บชิบหาย

เช้าวันจันทร์ถึงได้รับแจก ชุดฝึก 2 ชุด กางเกงใน กางเกงขาสั้นและเสื้อยืดอย่างละ 2 ตัว ถุงเท้า รองเท้าผ้าใบ รองเท้าเดินป่า รองเท้าคอมแบทและรองเท้าแตะ อย่างละคู่ ผ้าเช็ดตัว สบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ขันน้ำ ถังน้ำ เข็มด้าย กระจก แป้ง มีดโกนหนวด มีดตัดเล็บ หมอนผ้าห่ม มุ้ง เสื้อกันหนาว (เดือนพฤศจิกายนปีนั้น เมืองกาญจน์ฯ หนาวโคตร) ได้ของครบก็ถูกต้อนขึ้นรถมุ่งสู่เมืองกาญจน์

ชีวิตทหารของจริงใกล้เข้ามาแล้ว ผมระทึก

ถึงเมืองกาญจน์ 90 ชีวิต แบ่งเป็น 4 หมวด เรียงตามลำดับความสูง ผมอยู่หมวดสาม แย่จังแบ่งตามความสูงนี่ ยุติธรรมชิบหาย หมวดสี่สูงแค่สะดือหมวดหนึ่ง ถ้ามีวิ่งแข่ง หรือเตะบอล แย่จังเลิกคิดจะชนะเลยนายหมวดสี่ ผมอยู่ลำดับ 51 จับคู่เป็นบัดดี้กับ 52

เรียงลำดับเสร็จ มีบัดดี้พร้อม โดนรับน้องเลย จับคู่บัดดี้แบกฟูกรอบสนามบอล ฟูกทหารไม่ได้ยัดด้วยนุ่นหรือฟองน้ำ แต่แย่จังยัดด้วยใยมะพร้าว หนักไม่หนักไม่รู้ แต่ถ้าคุณหยุดวิ่งโอกาสโดนฟูกทับตายมีสูง กี่รอบจำไม่ได้แต่เหนื่อยเ!้-ๆ

วิ่งเสร็จก็มายืนแถว ชูฟูกเหนือหัว ฟังผู้หมวดชี้แจง พูดอะไรก็ไม่รู้ รู้อย่างเดียว แกก็พูดนาน นาน นาน นาน นานจนผมเกือบทิ้งฟูก แต่ประโยคสุดท้ายจำติดหูผมมาถึงวันนี้ คือ ยินดีต้อนรับสู่...วิทยาลัยลูกผู้ชาย...

อื้อหือ วิทยาลัยลูกผู้ชาย ฟังแล้ว ฮอร์โมนเทสโทนเทอโรน พุ่งสูงจนผมแทบชัก กว่าจะได้ขึ้นโรงนอนได้เกือบตาย สภาพโรงนอนก็โล่งๆ มีเตียงสองชั้นเหมือนที่หอนั่นแหละ โชคดีผมได้เตียงล่างไม่ต้องปีนขึ้นกระโดดลง

ครูฝึกทหารใหม่ก็มี นายทหารที่เป็นผู้ฝึก 1 คน ยศร้อยโท เราเรียกว่า ผู้หมวด ที่เหลือ ก็เป็นชั้นประทวนมีจ่าบ้างหมู่บ้าง 10 คน และพวกที่ผมเกลียดที่สุด ก็พวกผู้ช่วยครูฝึก ที่ดึงขึ้นมาจากทหารรุ่นพี่ พวกหัวกล้วยนี่เป็นเ!้-อะไรของแย่จังผมไม่รู้ แย่จังชอบวางอำนาจ ลงโทษรุนแรง ทั้งที่ไม่ได้มีหน้าที่อะไรเลย ผมด่าแม่พวก!นี่ (ในใจ) บ่อยๆแหละ ต่อไปผมจะเรียกพวกมันว่า พวกผู้ช่วยครูฝึก

กิจวัตรของพวกทหารใหม่ก็มี 5.00 น. นกหวีดปลุก เก็บผ้าห่มพับมุ้งผ้าปูเตียงตึง คว้าขันผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าแปรงฟัน เข้าส้วม และสวมเครื่องแบบให้เรียบร้อยในเวลา 15 นาที (แย่จัง! 15นาที อยู่บ้านผมยังขี้ไม่เสร็จเลย)

5.15 น. จับคนช้า 5 คน คนช้าแสดงว่าเครื่องยังไม่ร้อน วิดพื้นเร่งเครื่องก่อน 50 ครั้ง เข้าแถวหน้าเสาธง แล้วกล่าวปฏิญาณตามหัวหน้าตอน "ไม่มีอะไร ที่ทหารใหม่ทำไม่ได้ ทำไม่ไหว ทำไม่ทัน" นายเ!้-…คนนะโว้ยไม่ใช่เทวดาจะได้ทำได้ทุกอย่าง รวมแถวเสร็จก็เริ่มวิ่งวันละ 8-9 กิโล วิ่งเสร็จก็มากายบริหารอีกเป็นชั่วโมงแหละ

6.30 น. ทำความสะอาดหน่วยฝึก 7.00 น. แดกข้าว ทุกเช้ามีไมโลทุกวัน (คุณอย่านึกถึงไมโลที่ชาวบ้านชาวช่องเขากินกันนะโว้ย! นี่มันหางไมโลและหางนมข้นบวกกับเศษน้ำตาลบางวันแถมหนังยางมาด้วย) 8.00 น. ยืนตากแดดเคารพธงชาติ และเริ่มเข้าสู่นรกแห่งการฝึก

11.30 น. ขึ้นสวรรค์ (หากการขึ้นสวรรค์หมายถึงน้ำอุ่นๆ ในถังน้ำกลางแดด) 12.00 น. แดกข้าว 12.30 น. พักร้องเพลงทหาร เหมือนเพลงเชียร์อักษรแหละคุณ ว่างๆผมจะเขียนเนื้อเพลงมาให้คุณอ่าน

13.00 น. ฝึก (ถ้าคุณเรียกว่าการไปยืนตากแดดยามบ่ายจัดสลับกับการวิ่งและเดินเรียกว่าการฝึก) 16.00 น. พักการฝึก เพื่อเตรียมตัววิ่งออกกำลังกาย 16.10 น. วิ่ง และกายบริหาร 17.30 น. แดกข้าวเย็น

18.00 น. อาบน้ำ 18.30 น. เตรียมตัวเรียนหนังสือ (จดตามคำบอก เช่น โทษของยาเสพติด คนดีในสังคมมีลักษณะอย่างไร ทหารที่ดีต้อง...แหวะ...โคตรเอียน...แต่ก็ต้องจด มีตรวจสมุดด้วยนะคุณ เหมือนเด็กประถมแหละ)

20.00 น. มีอาหารว่างก่อนนอน นายเ!้- ผมก็เรียกให้ดูดีเท่านั้นแหล่ะ ที่จริงมันคือ ข้าวต้มมัด (ข้าวเหนียวใส่เศษกล้วยห่อใบตอง ไม่มีกะทิ ดิบมั่งสุกมั่ง รสชาติเหมือน...แทะรองเท้าแตะ) มัดละ 5 บาท ลูกชิ้นผ่าครึ่ง (จริงๆ) ห้าเสี้ยว 5 บาท เนี่ยะมันเป็นอาหารประเภทเนี่ยะ

เรียกว่ากินกันตาย (ต้องซื้อให้หมดด้วยนะโว้ย หากไม่หมด คนขายก็คือพวกจ่า พวกหมู่นั้นแหละจะบังคับซื้อให้หมด ถ้าไม่หมดก็เตรียมเหนื่อยก่อนนอน) อ้อ น้ำนมถั่วเหลืองโยอีก 7 บาท ทั้งหมดลงบัญชี หักจากเงินเดือน (เงินเดือน 2 เดือนแรกรู้สึก จะประมาณ พันสอง เบี้ยเลี้ยงวันละ 50 หักค่าข้าว วันละ 34 บาท ก็จะเหลือ 16 บาท แต่ขอโทษ 2 เดือนผมไม่ได้จับเงินซักบาท เขามีกฎห้ามมีเงิน กลัวทหารหนี)

20.30 น. เข้าห้องน้ำ ไปขี้ ไปเยี่ยว ขึ้นโรงนอน เตรียมตัวนอน 20.50 น. สวดมนต์ไหว้พระ แผ่เมตตา และกล่าวคำปฏิญาณตน "ตายในสนามรบ เป็นเกียรติของทหาร ตายซะดีกว่าที่จะละทิ้งหน้าที่" พวกเรามักจะดัดแปลงเป็น "ตายในสนามรบ เป็นศพของทหาร ตายซะดีกว่าที่จะอยู่ที่นี่" 21.00 น. เป่านกหวีดปิดไฟนอน หมดไปวันหนึ่ง พรุ่งนี้จะโดนอะไรไม่รู้

นี่คือกิจวัตรที่เป็นไปตลอดสองเดือน แต่ก็มีบางอย่างเปลี่ยนไปบ้าง อย่างการปลุกมาแดกน้ำค้างมองพระจันทร์วันเพ็ญ เรียกความฟิตตอนดึก อะไรแบบนี้ (ถ้าผมไม่ขี้เกียจพิมพ์ จะเล่าให้ฟัง)


อาทิตย์แรก เนื้อตัวผมเหมือนถูกมือที่มองไม่เห็นจับบิด แย่จังปวดเมื่อยทั้งตัว ผมแย่จัง นั่งขี้แทบไม่ได้ ขึ้นโรงนอนก็ค่อยๆ คลานขึ้น มันระบมทั้งตัว เป็นทหารความเหนื่อยไม่ต้องถามถึง ที่นี่ไม่มีคำว่าค่อยเป็นค่อยไป ร่างกายใครไม่ไหวก็กัดฟัน คนเหมือนกันโว้ย คุณไหวผมก็ต้องไหว มันอยู่ที่ใจจริงๆนาย

รองเท้าวิ่ง (ผ้าใบ) ก็ดุยังกะหมา กัดผมอย่างไม่ปรานีปราศรัย ขอบรองเท้าแย่จังแข็งโคตร ยี่ห้อ Gold City คุณอย่าซื้อมาใช้เด็ดขาด ส่วนรองเท้าคอมแบทก็ดูแลยังกะลูก ทั้งขัดทั้งชโลมกีวีให้หนังมันนิ่ม ทหารราบตีนสำคัญกว่าใบหน้า หน้าแหกยังเดินได้แต่ตีนเจ็บโอกาสจะตายมีสูง ดังนั้นรองเท้าต้องดูแลอย่างดี เคล็ดแย่จัง!…ผมซวยโคตร รองเท้าผ้าใบกัดผมส้นเหวอะ สวมเ!้-อะไรไม่ได้นอกจากรองเท้าแตะ เวลาวิ่งลำบากชิบหาย กว่าแผลจะหายก็เป็นสิบวัน บางคนเป็นเดือนแผลก็ยังไม่หาย

ทรมานชิบหาย สามวันแรกผมนั่งขี้แทบไม่ได้ ขี้ไม่ออก จนรู้สึกว่ากลิ่นเหม็นเหมือนจะออกมาทางรูขุมขนเลยว่ะ ส้วมแย่จังก็ไม่มีกลอนเว้ย นั่งๆอยู่คุณต้องคอยใช้มือดันประตูไว้ เพื่อนบางคนแย่จังก็ขี้แกล้ง เดินมาถีบประตูเปิดแล้วเดินหนี สภาพตอนเช้านะ คุณนึกภาพนะ มีเวลา 5 นาที ห้องน้ำมี 8 ห้อง เต็ม 2 ใช้ไม่ได้ 1 เหลือ 5 ห้อง

คุณคิดดู ส้วม 5 ห้องกับคน 90 คนนะ จะวุ่นวายขนาดไหน แต่ละห้องจะมีคนต่อคิว 4-5 คน รอไปแปรงฟันไปด่าแม่คนอยู่ข้างในไป ผมก็เคย แบบ นั่งขี้อยู่ มือหนึ่งดันประตู มือหนึ่งแปรงฟัน ท้องก็เบ่งขี้ไป มันส์ชิบหายเลยคุณเอ๊ย

ส่วนมากตอนเช้าไม่ค่อยจะได้อาบน้ำกัน โธ่! กะอีแค่ล้างหน้าแปรงฟันยังแทบจะไม่ทัน วันหนึ่งอาบหนเดียวคือหกโมงเย็น ตอนอาบน้ำนี่ ไม่มีหรอกที่จะอาบแบบชาวบ้านเขาตามปกติ ห้องน้ำยาวซัก 15 เมตร แบ่งเป็นสองส่วน ด้านในเป็นส้วม ด้านนอกก่ออิฐสูงประมาณเมตรกว้างเมตรครึ่ง ยาว 5 เมตร ทำเป็นอ่างน้ำ ที่มันแคบยังงั้น เวลาอาบทีต้องอาบทีละหมวด หมวดไหนอาบก่อนก็สบาย ตักได้เต็มขันและน้ำใส หมวดสุดท้ายไม่ต้องพูดถึงน้ำขอดอ่างและตะกอน

แต่ละหมวดอาบได้ไม่เกิน 2 นาที ทิ่มแปรงสีฟันเข้าปากขยับซ้าย 3 ที ขวา 3 ที บ้วนปาก ตักน้ำราดตัวโครมๆ 5–6 ขัน ฟอกสบู่ รักแร้ที ขาหนีบที หัวกล้วยที ตักน้ำล้างสบู่ แค่นี้ก็แทบจะไม่ทัน 2 นาที บางวัน นายพวกผู้ช่วยครูก็ให้อาบสิบขัน เราก็ต้องทำตามมัน บางทียังไม่ล้างสบู่มันก็ให้วางขัน แย่จังเอ้ย คันคะเยอไปทั้งคืน


มันจะมันส์ก็ตรงกิจกรรมก่อนจะอาบน้ำนี่สิ หมวดไหนจะได้อาบก่อนก็ต้องมีวิธีการเลือก ปรกติก่อนอาบน้ำก็ต้องแก้ผ้าเตรียมไว้ก่อนอยู่แล้ว มันก็มีวิธีเลือกหลายวิธี

อย่าง...

1. หมวดไหนมีคนกล้วยใหญ่สุดได้อาบก่อน ถ้ากติกานี้หมวดหนึ่งได้อาบก่อนใคร ก็นายเ!้-บางคน แย่จังไปฉีดมาโว้ย ผมเห็นยังกลัวเลย ผมว่าแย่จังท่อนแขนดีๆนี่เอง มันบอกเคยไปเที่ยวแล้วอีตัวไม่รับ ส่วนผมเท่าที่เทียบกับคนอื่นนะ อืม!!!!! คิดว่ามาตรฐานว่ะ ฮะ...ฮะ...ฮะ (คุณอย่าคิดว่าตัวใหญ่แล้ว กล้วยแย่จังต้องใหญ่ตามนะโว้ย คุณดูนายดิดดิ แย่จังใหญ่แต่ตัว ส่วนอื่นเท่านิ้วชี้)

2. หมวดไหนกล้วยจะขยายเร็วสุด โดยห้ามใช้มือปั่น ยืนแก้ผ้าเข้าแถวตอน แล้วก็ยืนคิดโว้ย คุณก็จินตนาการไปดิ นางเอก นางแบบ ใครก็ได้ที่แย่จังสวยๆ ก็ยืนไป ขมิบไปจินตนาการไป ผมว่าแย่จังเมื่อยมากกว่า กติกานี้จินตนาการแย่จังต้องเลิศ และไม่ค่อยมีหมวดไหนผูกขาด ส่วนมากก็ผลัดกันชนะ

3. หมวดไหนจะมีลีลาถูกใจสิบเวรมากที่สุด ลีลาก็ไม่ใช่ลีลาห่าอะไรหรอก ถ้าพูดแบบสุภาพก็แบบกาลามสูตร ถ้าพูดภาษาทหารก็แบบท่าคนเอากัน ก็ส่งตัวแทนออกมาหมวดละคู่ แต่ละคู่ก็โชว์ท่าที่คิดว่าเด็ดสุด งัดแย่จังมาหมดแหละนาย ธรรมดาๆ อย่าง Crawl , Missionary หรือ Futon น่ะเด็กๆ เก็บไว้ใช้คนเดียว ทั้งคนสั่งคนทำ แย่จังจัญไรจริงๆ (ใครไม่รู้ว่า Crawl, Missionary หรือ Futon นี่คืออะไร ถามนายตุ๊กได้ นายนี่มันเชี่ยวชาญ)...เป็นต้น (มีอีกมากอุบาทว์จัญไรอัปรีย์สีกระบาลกว่านี้อีก)

เห็นไหมกว่าแย่จังจะได้อาบน้ำแต่ละทีมันไม่ธรรมดา นี่แค่ขั้นเตรียมตัวก่อนอาบนะโว้ย ในห้องน้ำก็มีวิธีอาบเหมือนกัน เช่น เล่นรถไฟคน แก้ผ้านั่งเป็นแถวตอนหันหน้าไปทางเดียวกัน คนข้างหลังสอดขาเข้าสะเอวคนหน้า หนีบขาไว้ กล้วยชนหลังเพื่อนข้างหน้า ใช้มือสองข้างยันตัวไว้แล้วก็เขยื้อนๆไปข้างหน้า มีพวกผู้ช่วยครูคอยสาดน้ำ บางเวลาก็ให้ใช้ส้นตีน…เอ้ย…ขอโทษ ส้นเท้า บี้ไปที่กล้วยของคนข้างหน้า ก้นถูไปกับพื้นปูน เคล็ดแย่จัง เจ็บโคตร

อาบน้ำแบบสามัคคี คน 90 คน ลงอ่างอาบน้ำให้หมด นาย! คิดได้ยังไง อ่างก็เล็ก แต่แย่จังก็ลงได้ว่ะ คนตัวเล็กถูกบีบแทบแบน เนื้อแนบเนื้อ ก้นแนบก้น กล้วยแนบกล้วย คงมีหลายคนที่ใยกล้วยพันกันผมว่า

นี่แค่การอาบน้ำในห้องน้ำนะ อาบน้ำนอกสถานที่ก็มี หลังหน่วยฝึกจะมีสระน้ำอยู่สระ ใครไปฝึก รด.ที่เขาชนวัว คงเคยเห็นสถานีที่ต้องไต่เชือกเส้นเดียวข้ามลำน้ำสระนั่นแหละ สระก็ไม่ใช่สระปกติ แต่มันคือสระบัว ไม่ใช่บัวแดงที่ก้านหรือต้นมันลื่น ๆ แต่นี่มันเป็นบัวหลวง เต็มพรึดทั้งสระ ทั้งก้านทั้งต้นทั้งใบ มีหนามเล็กๆขึ้นเต็ม

"พวกคุณจะอาบน้ำท่ามกลางแสงจันทร์หรือ ได้ ผมอนุญาต" สิบเวรว่าอย่างนั้น แล้วให้ตั้งแถววิ่งไปสระซึ่งห่างประมาณ 300 เมตร และแน่นอน แก้ผ้า ผ้าขาวม้าพันคอ วิ่งโทงๆ คุณนึกดูเวลาวิ่งทั้งกล้วยทั้งไข่มันก็แกว่งกระทบหน้าขาดังเปาะแปะๆ เจ็บชิบหาย ถ้าใช้มือกุม มันก็วิ่งไม่ทันเพื่อน กว่าจะถึงสระก็ระบม

ถึงสระ...ยืนแถวหน้ากระดานริมสระ พอได้ยินเสียงนกหวีดก็โผลงน้ำ แทบสะดุ้ง เคล็ดแย่จังเอ้ย ก็หนามบนก้านบัวนะสิ จะถอยหลังก็ไม่ได้จำใจต้องลุยน้ำขึ้นไปอีกฝั่ง มือหนึ่งแหวกทาง มือหนึ่งกุมกล้วยไว้ ส่วนอื่นบาดเจ็บช่างมัน กล้วยต้องอยู่ก่อน ทั้งแข้งขาและลำตัวโดนก้านบัวข่วนเป็นริ้วๆ ลายพร้อยทั้งตัว ในใจก็ด่าพ่อล่อแม่นายคนเสนอความคิดขออาบน้ำนอกสถานที่ นาย!อยู่ดีไม่ว่าดี

แล้วรอยข่วนของบัวนะ ทรมานเ!้-ๆ ห่มผ้าแทบไม่ได้ เพราะผ้าห่มจะติดแผล สวมชุดฝึกก็ลำบากเพราะกางเกงขายาวมัดเสียดสีกับรอยแผล ปวดน้ำตาเล็ด แป้งมีเท่าไหร่ชโลมลงไป โชคดีอย่างเดียว คือกล้วยไม่เป็นไร นั่นคือการอาบน้ำสระใหญ่ มีสระเล็กอีก

สระเล็ก ไม่ใช่สระ มันคือบ่อน้ำทิ้ง ใช่ อ่านไม่ผิดหรอก บ่อน้ำทิ้ง ที่รองรับ น้ำเยี่ยว น้ำล้างจาน น้ำล้างส้วม และล้างอะไรอีกสองสามอย่าง สถานภาพมันดีกว่าหลุมขี้หน่อยเดียว

สระเล็กกว้างซัก 4X4 เมตร ลึกประมานเมตร รองรับคลองส่งน้ำเสียที่กว้างซัก 50 เซ็นต์ มาจากห้องน้ำและห้องครัวนาย คลองนี้ก็ยาวเกือบร้อยเมตรได้

ก็สิบเวรคนเดิมนั่นแหล่ะ ก่อนอาบน้ำก็บอกว่า จะพาไปแอบดูลูกสาวจ่าสินอาบน้ำ ให้ไปกันเงียบแบบคลานไปเหมือนไปซุ่มโจมตีข้าศึก ผมใจหายวาบ อีกแล้ว มาทำนองนี้เหนื่อยอีกแล้ว

พวกเราก็หมอบคลานไปเป็นแถวและแน่นอนแก้ผ้า คุณเอ๊ย!…ทรมาน!ๆ คิดดู พวกผมต้องคลานต่ำ และคลานต่ำก้นก็จะสูงไม่ได้ ถ้าสูงข้าศึกก็จะเห็น และพอก้นไม่สูงกล้วยก็ต้องติดพื้น ถลอกปอกเปิกหมดแหล่ะ ใครก้นสูงสิบเวรก็จะเดินไปกระทืบก้นให้แนบดิน ช่วงที่เป็นหญ้าไม่เท่าไหร่ นายที่เป็นลูกรังนี่สิ ฮือ…สงสารกล้วย

คลานลงไปในคลองน้ำทิ้ง ไม่ต้องห่วงเรื่องความเหม็น แถกเหงือกเถลือกไถลตามคลอง ระวังน้ำเข้าปากมั่ง ระวังตีนนายคนหน้าถีบยอดหน้าเอาบ้าง ระวังกล้วยมั่ง พอไถลลงสระเล็กหมดทุกคน ก็เป็นการอาบน้ำและดำน้ำแข่งกัน ใครโผล่ขึ้นก่อนสามคนแรก ไปไถลตามคลองมาใหม่ แทบตาย เหม็นแทบอ้วก

ยุงก็ชุมซ้ำยังแก้ผ้าอีก เสียงยุงยังกะเสียงเครื่องบิน ยุงเมืองกาญจน์ ตัวแย่จริงยังกะแมงวัน ต้องอยู่นิ่งๆ จะยกมือไล่ยุงก็ไม่ได้ใครหยุกหยิก หรือหายใจแรง ถ้าสิบเวรได้ยินก็ซวย เขาบอกว่า ฝึกความอดทนในการซุ่มโจมตี ผมจะอ้วกหลายครั้ง เคล็ดแย่จัง ผะอืดผะอม ผมว่าถ้าใครอ้วกออกมาก่อน คงมีเพื่อนอ้วกตามมาไม่ต่ำกว่าสิบแหละ คืนนั้นกว่าจะได้นอนก็เกือบตีหนึ่ง เฮ้อ!!!!!! แต่ก็รอดมาได้...

นี่ผมเล่าแค่การอาบน้ำนะ ซึ่งที่จริง วิธีอาบน้ำยังมีอีกแยะ ลูกเล่นของสิบเวรแต่ละคน ไม่ซ้ำกัน ยังมีอีกมากที่ผมอยากเล่า (ถ้าคุณคิดว่าคุณอยากฟัง) อย่าง -กินข้าว -ฝึกวิ่ง -เดิน -ยิงปืน -แทงใกล้ -แทงไกล -ผี-ปิศาจ-อูยเยอะแยะนาย

กิจกรรมพวกนี้ไม่มีหรอกที่จะเหมือนชาวบ้านเขาน่ะ ไว้ว่างๆ ผมจะเล่าให้ฟัง ผมขี้เกียจพิมพ์โว้ย เสียเงินเสียทอง

โชคดีคุณ

จาก...ตองหนึ่ง


ฉบับที่สอง...

ประสบการณ์ชีวิตผม ในช่วงสองเดือนของการฝึก ให้อะไรผมมาก ความแกร่งหนึ่งล่ะ ความเป็นนักสู้หนึ่งล่ะ ต้องกัดฟันสู้กับความเหนื่อยยากทั้งกายและใจ ได้เรียนรู้ถึงความอดทนอดกลั้นของจิตใจ จากคำก่นด่าคำเยอะเย้ยถากถางสบประมาท ได้รับรู้ถึงความรู้สึกหิวโหย อ้างว้าง ท้อแท้ ซาบซึ้งในรสชาติของคำว่าเพื่อน ได้เห็นถึงธาตุแท้และความเห็นแก่ตัวของคนบางคน

และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ได้รู้ว่า จิตใจเป็นพลังขับเคลื่อนที่สำคัญ จิตใจเป็นพละกำลังที่แข็งแกร่งกว่าร่างกาย และกว่าสิ่งใดทั้งหมด บางเวลาที่ผมหมดแรงแทบจะเดินไม่ไหว เหนื่อยสายตัวแทบขาด ทั้งหมวกเหล็ก ปืน เป้ ที่ถืออยู่มันช่างหนักเหมือนแขวนโลกทั้งใบไว้กับตัว ในภาวะที่ร่างกายแย่สุดสุดแบบนี้ ที่รอดมาได้ก็เพราะจิตใจที่เข้มแข็งที่เป็นตัวกระตุ้นให้ผมสู้ต่อไป คนที่ไม่เคยผ่าน "กระบวนการกดดัน บีบคั้น เพื่อทดสอบพลังกายพลังใจ" ไม่เคยผ่าน "วิทยาลัยลูกผู้ชาย" คงยากที่จะเข้าใจสภาพเช่นนี้ได้

ครั้งที่แล้วผมเล่าถึงการอาบน้ำใช่ไหม ผมคิดอะไรออกก็เล่าไปตามที่ผมคิดแหละ ไม่ได้เรียงลำดับ ถ้างง ก็ช่างหัวคุณ ครั้งนี้ผมจะเล่าถึงการแดกข้าวมั่ง ต่อไปนี้คือเรื่องจริงที่โลกต้องรู้ถึงความอุบาทว์ของกองกำลังพลชนกลุ่มน้อยตามแนวตะเข็บชายแดนไทย-พม่า

เริ่มมื้อเช้าก่อน เมนูส่วนมากจะเป็นต้มจืดหรือจับฉ่าย ที่เจอบ่อยก็มี ไข่น้ำ (เจียวไข่เสร็จ ซอยหรือสับเป็นชิ้นเล็ก โยนลงในหม้อน้ำซุบ ผักชี ต้นหอม เนี่ยวิธีทำไข่น้ำ) ต้มฟักโครงไก่ (ฟักก็ปอกเปลือกมั่งไม่ปอกมั่ง หั่นเล็กบ้างใหญ่บ้างตามอารมณ์คนหั่น โครงไก่ก็สักแต่ว่าสับเสร็จก็โยนลงหม้อ จบ) จับฉ่าย (ผักล้วนๆ อย่าหวังว่าจะมีชิ้นหมู ถ้าวันไหนในถาดมีมันหมูติดมาด้วยวันนั้นโชคดีตลอดวัน)

มื้อเช้ามีไมโลด้วยคนละแก้ว เวลาแดกข้าวมีถาดหลุมคนละใบ แต่ละหมวดผลัดกันจัดเวรเลี้ยง ก็ตักข้าว กับข้าว น้ำปลาพริก (หรือน้ำต้มกระดูกหมาใส่เกลือก็ไม่รู้) ใส่ถาดหลุม วางไว้บนโต๊ะ รอเพื่อนมาแดก ส่วนช้อนของใครของมัน ต้องมีช้อนติดกระเป๋ากางเกงไปตลอดด้วยตลอดเวลา ใครทำหายก็แดกมือไป ช้อนก็ใช่ว่าจะสะอาดนะ ตกดินมั่ง ลงน้ำครำมั่ง ก่อนกินเพื่ออนามัยที่ดีเราก็เช็ดกับเสื้อสองสามแผล่บ ก็สะอาดแล้ว

การกินนี่แหละ เสมอภาคที่สุด ทุกคนตั้งแต่หัวหน้าแก๊งค์ ยัน ไพร่ราบพลเลวต้องแดกข้าวหม้อเดียวกัน กับเหมือนกัน จะต่างก็ตรงที่ ถ้าวันไหนมีแกงไก่ใส่มะเขือ พวกหัวหน้าแก๊งค์ ก็จะได้กินไก่ ส่วนไพร่ราบพลเลวก็แดกมะเขือไป

ในบางวันพวกผู้ช่วยครูมันจะสั่งให้เทไมโลลงถาดข้าว เทกับข้าวผสม ปนๆกันเละๆ เหมือนอ้วกหมาน่ะแหละ ผะอืดผะอมขนาดไหนก็ต้องแดก ไม่งั้นไม่มีแรง แล้วนายพวกนี่เป็นเ!้-อะไรก็ไม่รู้นะ ชอบบังคับให้แดกข้าวหมดถาด

อ้อ! เล่าข้ามไป ก่อนแดกก็ต้อง ขัดฉาก ก่อน ขัดฉาก ก็คือ ยื่นมือทั้งสองข้างออกมาข้างหน้าแล้วงอข้อศอกเข้าหากัน ใช้มือขวาตบไปที่ข้อศอกของมือซ้ายให้เสียงดัง ตัวตรง (ใครเรียน ร.ด.มาต้องรู้) แล้วเวลาขัดฉากต้องพร้อมกันนะเว้ย หากได้ยินคนละแปะ สองแปะ ล่ะก็ ข้าวมื้อนั้นแทบไม่ต้องแดก ขัดฉากอยู่นั่นแหละ

ขัดฉากเสร็จก็ต้องกล่าว "ข้าวทุกจาน อาหารทุกอย่าง เป็นของมีค่า ผู้คนอดอยาก มีมากนักหนา สงสารชาวนา เด็กตาดำๆ ขอขอบคุณชาวนาทุกคน ที่ปลูกข้าวให้เรากิน เราจะกินไม่ให้เหลือแม้แต่เม็ดเดียว" แล้วค่อยเอาฉากลง และถึงลงมือกิน บางหนแย่จังก็แกล้ง เราขัดฉากเสร็จ ก็ไม่ยอมสั่งเอาลง อบรมอยู่นั่นแหละ มือก็เมื่อยจนสั่น จะทำอะไรแย่จังก็ไม่ได้นอกจากด่าในใจ

เวลากินห้ามเกิดเสียงดัง ถ้าได้ยินช้อนกระทบถาดดังเบาๆ ล่ะก็ มันจะสั่งให้เก็บช้อน และใช้มือ ถ้าใช้มือยังมีเสียงถาดกระแทกโต๊ะอีก แย่จังก็สั่งให้แดกแบบหมา คือมือขัดหลังก้มหน้าใช้ปากเลียและขย้ำข้าว แย่จัง! นายพวกนี่แย่จังโรคจิต สิ่งไหนที่ทำแล้วทหารลำบาก ทรมาน มันชอบ...นาย

ถาดหลุมนี้ก็เหมือนกัน วันดีคืนซวย จ่าครูฝึกก็โวยวาย มันล้างถาดกันยังไงโว้ย เม็ดข้าวแห้งยังติดขอบถาดอยู่เลย ถาดใบนิดเดียวล้างไม่สะอาดใช่ไหม งั้นพวกคุณไม่ต้องล้าง กินอิ่มแล้วนำถาดไปตากแดดริมถนนหน้าโรงเลี้ยง เดี๋ยวผมจะให้ลูกน้องผมล้างให้

ผมนึกกลัวอยู่ในใจว่า มันจะมาไม้ไหนวะ และความจริงก็ปรากฏ ถาดทุกใบที่วางตามริมถนนจะมีเศษอาหารติดอยู่ แล้วพนักงานทำความสะอาดก็ปรากฏ ทั้งคุณดำ คุณแดง คุณด่างพร้อมลูกๆ พร้อมใจกันเก็บกวาดซะเกลี้ยงเป็นมันแผลบ หากมีเครื่องล้างจานบางเครื่องมีเชื้อบ้า คงได้กลัวน้ำกันทั้งแก๊งค์ ถึงเวลาอาหารมื้อต่อไป ก็หยิบไปตักข้าวมากินโดยไม่ต้องล้างซ้ำ หึ…หึ…หึ… เครื่องล้างจานอัตโนมัติ ใครจะยืมไปใช้บ้าง ก็เชิญ

คุณจำได้ไหมตอนว้ากชาย รุ่นพี่ให้แดกเงาะลูกเดียวเราสะอิดสะเอียนกันแทบตาย แต่อยู่ที่นี่เป็นเรื่องปกติ เวลาฝึกล้มลุกคลุกคลานกลางแดดแผดเปรี้ยง คอแห้งเป็นผง ยังไม่ถึงเวลาพักแดกน้ำไม่ได้ แต่มีนายบ้าคนหนึ่งสำออย ขออนุญาตแดกน้ำ ซึ่งเป็นความผิดมหันต์ (พวกเราจะถูกสั่งให้ทำเป็นเวลา จะขี้ จะเยี่ยว แดกน้ำอะไรนี่ ต้องนอกเหนือเวลาฝึก)

วันนั้นจ่าครูฝึกก็ใจดีให้กินได้ แต่ต้องกินทุกคน จับคู่บัดดี้ ใครเลขคี่ ให้เป็นคนไปเอาน้ำมาให้คู่ตัวเองกินก่อน และแน่นอนไม่มีแก้ว ไม่มีภาชนะอะไรทั้งสิ้น มีอยู่อย่างเดียว ก็ปากและกระพุ้งแก้มของเรานี่ไง ก้มหน้าดูดน้ำจากถังเต็มปากกลืนครึ่งหนึ่ง เหลืออีกครึ่งนำไปป้อนบัดดี้ที่นั่งอ้าปากเป็นลูกนก รอน้ำจากเราอยู่ คุณเอ๊ย มีการสั่งให้กลั้วคอด้วยนะ โชคดีที่ผมเลขที่ 51 เป็นผู้ป้อน ไม่ใช่ผู้ถูกป้อน...

ถ้าวันไหนพวกจ่าครูฝึกไม่มีอะไรเล่นก็หันไปเล่นขั้นพื้นฐาน อย่างฝึกๆอยู่ แกก็ปลิ้นลูกอมออกจากกระเป๋าด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ และตะโกนถามว่า ใครจะอมฮอลล์มั่ง ถึงขั้นนี้แล้วคุณจะเงียบหรือตอบรับก็มีผลเหมือนกันคือ แดกฮอลล์เม็ดนั้นแหละนาย ของเล่นพวกนี่ก็มีเรื่อยๆแหล่ะ ฮอลล์มั่ง น้ำแข็งมั่ง เถาบรเพ็ดมั่ง พริกมั่ง แต่ที่เด็ดสุดก็คือ หมากฝรั่ง เคี้ยวคนละ 5 ครั้ง แล้วส่งต่อ อี๋…แน่นอน ห้ามใช้มือช่วย อยู่สองเดือน ผมแทบจะจำรสชาติริมฝีปากและน้ำลายของบัดดี้ผมได้

ตอนแดกข้าวถ้าเจอสิบเวรดี ก็ได้กินเหมือนสามัญชน ถ้าเจอพวกจิตวิปลาสก็เหนื่อยกว่าจะอิ่ม มื้อไหนมีไข่พะโล้ สิบเวรก็จะใจดียกไข่ในถาดของแกให้พวกเรา ใบเดียวนั่นแหละ แดกไปเหอะทั้ง 90 คน

คนแรกไม่เท่าไหร่อมเข้าไปในปาก แล้วออกมากัดไข่ขาวนิดนึงแล้วส่งต่อ นายคนกลางๆ และท้ายแถวนี่สิ ซวย... เมื่อไข่ขาวหมดจะเหลือไข่แดง และไข่แดงเวลาเจอน้ำลายก็แย่จังยุ่ยง่าย ออกจากปากทีมันจะเละ น้ำลายใครต่อใครก็จะยืดติดประสานกันเป็นก้อน แหวะ...

บางมื้อมีไข่ต้ม สิบเวรก็ห้ามปอกแดกแย่จังทั้งเปลือกนั่นแหละ เวลาเคี้ยวยังกะเคี้ยวทรายเป็นกำมือ แต่ก็ดีรู้ว่าเปลือกไข่ก็แดกได้และรสชาติก็ดูดีกว่าหมากฝรั่งสามัคคีซะอีก

มื้อเช้ากับมื้อกลางวันไม่เท่าไหร่ ไม่ค่อยมีเวลาให้สิบเวรเล่นมากนักเพราะเวลามันจำกัด ต้องฝึกตามเวลา แต่มื้อเย็นนี่สิ สุดยอด...เล่นได้เต็มที่ บางเย็นสิบเวรก็ประกาศ เบื่อบรรยากาศโรงเลี้ยงโว้ย และเดินนำพวกเราไปหลังส้วม

ใช่! หลังส้วม นั่งล้อมวงรอบหลุมแล้วเปิดฝาส้วมขึ้น หือ...เวลาเปิดฝาส้วมนะคุณ กองทัพแมลงสาบเป็นพันบินว่อน นายคนไหนอยู่ใกล้หลุมมาก แมลงสาบก็รักคนนั้นมาก ทั้งถาดข้าว เนื้อตัว ก็กลายเป็นสถานที่พักพิงชั่วคราวของมัน แล้วคำสั่งก็ตามมา ห้ามไล่แมลงสาบเพราะมันเป็นเจ้าถิ่น เจออย่างนี้ทำได้อย่างเดียวคือก้มหน้าก้มตากิน อย่ามองบรรยากาศรอบข้าง รีบกินรีบกลืนถ้าติดคอก็น้ำยัดตามลงไป เฮ้อ! อิ่ม

บางเย็นก็สิบเวรคนเก่านั่นแหละ ก็ประกาศ วันนี้เราจะกินข้าวแบบเด็กที่ฟันยังไม่ขึ้น ผมสะดุ้ง อีกแล้ว วันนี้แดกข้าวลำบากแน่ ให้ทุกนายนั่งประจำที่ ตักข้าวขึ้นมาหนึ่งช้อนเคี้ยวให้ละเอียด แต่ห้ามกลืนให้คายลงไปที่ถาดเหมือนเดิม เสร็จแล้วให้วิ่งออกนอกโรงเลี้ยง ตั้งแถวเข้ามาใหม่ ห้ามนั่งประจำที่เดิม ซวยล่ะสิ ต้องแดกขี้ปากใครก็ไม่รู้ ดูในถาดนะ มันจะเป็นโจ้กเลยอะ ข้าวละเอียด ผักละเอียด ถ้าเติมน้ำส้มหน่อยใช่เลย อ้วก...

บางเย็นก็กินแบบพระธุดงค์ ก็ไม่มีอะไรมากนอกจาก ข้าว กับข้าว ของหวาน รวมในหม้อเดียว กลัวว่าจะไม่คลุกเคล้าเข้ากันเหรอ ได้ ให้ทุกนายมือล้วงลงในกางเกง เกาข้างซ้าย 3 ที ข้างขวา 3 ที แล้วก็ใช้มือข้างนั้นแหละ ล้วงลงในหม้อคนให้เข้ากัน 90 คน 90 มือ 180 ไข่ คนเสร็จก็ใช้สองมือกอบข้าวในหม้อนั้นใส่ถาดตน ห้ามใช้ช้อน วันนี้แดกมือ ในถาดมันก็จะเป็นข้าวเละๆ ผักชิ้นเล็กๆ เม็ดพริกจากน้ำพริก ที่ชุ่มฉ่ำด้วยน้ำเชื่อมของถั่วเขียวต้มน้ำตาล

ฮือ...ผมสะอื้นในอก ใครหนอบอกเมืองไทยอุดมสมบูรณ์ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว เป็นอู่ข้าวอู่น้ำ เราจะเป็นครัวของโลก แต่อาหารที่ผมจะกินในมื้อนี้มันช่างลำบากแสนเข็ญนักหนากว่าจะกลืนลงแต่ละคำ ผม ถอนสะอื้น ถ้าเด็กน้อยผู้หิวโหย ชาวเอธิโอเปียมาเห็นมันก็คงเบือนหน้าหนี

แม้ว่าช่วงมื้อเช้าเราจะไม่ค่อยโดนเล่นนักในเวลากินข้าว แต่ก็มีอยู่วันหนึ่ง หลังจากตื่นนอน วิ่งออกกำลังกายกันแล้ว เราก็เล่นแถวชิดต่อ (เล่นแถวชิด-พวกที่เคยเรียน รด.น่าจะรู้ ใครไม่รู้คราวหลังจะอธิบายให้ฟัง) เล่นแถวชิดเหนื่อยแทบรากเลือดจวนได้เวลาแดกข้าว ครูฝึกจะปล่อยไปกินข้าวอยู่แล้วเชียว

แต่นายเ!้- ตัวหนึ่งอยู่หมวด 4 เสือกยกมือขออนุญาตเข้าห้องน้ำ (ถือว่าผิดมารยาทอย่างมหันต์) ครูฝึกก็เกิดพุทธิปัญญาขึ้น ให้นายเ!้-นั่นออกไปขี้หน้าแถวเลย แย่จังก็หน้าด้านออกไปจริงๆ (มันคงทนไม่ไหว) ยังหรอก ถ้าขี้หน้าแถวเพื่อนที่อยู่ข้างหลังก็จะไม่เห็น บนนู้นเลย บนแสตนด์เชียร์ แย่จังก็ขึ้น ตอนนี้ขอบรรยายเป็นภาพสโลว์นะ และกรุณาอ่านช้าๆ และอ่านสองครั้ง เพื่อจะได้อินในบรรยากาศ

นายเ!้-นั่น ค่อยๆ...ก้าวขึ้นบนแสตนด์แล้วครับ
นายเ!้-นั่น ค่อยๆ...ก้าวขึ้นบนแสตนด์แล้วครับ

ปลดเข็มขัดอย่างช้าๆ แล้วครับ
ปลดเข็มขัดอย่างช้าๆ แล้วครับ

ถอดกางเกง...แล้วครับ
ถอดกางเกง...แล้วครับ

ค่อยๆ...นั่งลง...แล้วครับ
ค่อยๆ...นั่งลง...แล้วครับ

กล้วยขยายทีละน้อยๆ ๆ แล้วครับ
กล้วยขยายทีละน้อยๆ ๆ แล้วครับ

น้ำพุ่งเป็นสาย...จากปลายกล้วยแล้วครับ
น้ำพุ่งเป็นสาย...จากปลายกล้วยแล้วครับ

ก้อนสีเหลือง...โผล่ออกมาจากด้านหลังช้าๆ ๆ ๆ แล้วครับ
ก้อนสีเหลือง...โผล่ออกมาจากด้านหลังช้าๆ ๆ ๆ แล้วครับ

ก้อนนั้นค่อยๆ...ล่องลอยเหมือนขนนกล้อเล่นลม
ก้อนนั้นค่อยๆ...ล่องลอยเหมือนขนนกล้อเล่นลม

(ภาพหยุดนิดหนึ่ง)
........................
........................
(อ่านตามปกติได้แล้วครับ)

เผละ!...นาย เจ้าก้อนนั้นหล่นบนพื้น ก่อนจะตามมาเป็นสายอีกสี่ห้าก้อนติดๆ เศษเล็กเศษน้อย กระดอนกระเด็นตามแรงตก

นายเ!้-นั่น พอเสร็จธุระของมันสบายเนื้อสบายตัวเรียบร้อยแล้ว ก็หันมาโปรยยิ้มให้ผองเพื่อน แย่จังหน้าด้านจริงๆ คงสงสัยล่ะสิไม่มีกระดาษไม่มีน้ำ มันทำความสะอาดร่างกายมันยังไง...

บัดดี้ของมันนะสิ วิ่งไปหากิ่งไม้แห้งๆ 3-4 กิ่ง มายื่นให้มัน เคยไหมใช้ไม้แทนกระดาษ ขอโทษไม่หมดแค่นี้ เนื่องจากเศษเล็กเศษน้อยสีเหลืองกระเด็นไปติดขาแสตนด์มั่ง สนามบอลมั่ง ซึ่งมันสกปรก และโสโครก ดังนั้นครูฝึกจึงให้ทำความสะอาดให้เรียบร้อย อ๊ะ...อ๊ะ…อย่าคิดถึง ถุงพลาสติก หนังสือพิมพ์ หรือวัสดุอะไรทั้งสิ้น

มือ ครับ มันคือ มือ ทหารทุกนาย ยื่นมือข้างที่ไม่ถนัดออกมา ชูนิ้วชี้ขึ้น ใช้นิ้วนั่นแหละจิ้มลงไปและตวัดขึ้นมาให้ชิ้นสีเหลืองอุ่นๆ ติดปลายนิ้ว ให้ได้ขนาดเท่าเม็ดถั่วลิสง ให้หมวดหนึ่งจิ้มก่อนโดนไปเต็มๆ เลยคุณ หมวดสี่สบายไม่ค่อยเจอเนื้อส่วนมากจะเป็นน้ำๆ มากกว่า

ยังครับ จิ้มเสร็จแล้ว ยังล้างไม่ได้ ใกล้เวลาอาหารเช้าแล้ว ทุกคนเข้าแถวยกนิ้วชี้อยู่ระดับจมูก เดินไปกินข้าว เดินนับก้าวไป สูดลมหายใจแรงๆไป อา...สดชื่น...

ยัง ยังล้างไม่ได้ มันเปลืองน้ำ นั่งประจำถาดข้าว หยิบช้อนขึ้นมา วันนี้กินข้าวตามเสียง คำสั่งเริ่ม นั่งตัวตรง หยิบช้อน ตักกับข้าว ราดข้าว ยกช้อนขึ้นเสมอปาก นิ้วชี้ที่มีผลิตผลของเพื่อนอยู่ ขยับเข้ามาใกล้จมูก สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยตักข้าวใส่ปาก มันจะเป็นจังหวะแบบนี้ เริ่ม หยิบช้อน ตัก ยก ยื่น สูด กิน เคี้ยว

...ตัก ยก ยื่น สูด กิน เคี้ยว
...ตัก ยก ยื่น สูด กิน เคี้ยว

มื้อนั้นผมแดกข้าวพร้อมน้ำตา ไม่ใช่ซึ้ง ไม่ใช่โกรธ แต่มันจะอ้วก ข้าวมื้อนั้นฝืดคอฉิบหาย

วันนี้พอแค่นี้ ทั้งหมดมันคือการฝึก ทั้งครูฝึกทั้งผู้ช่วยครูฝึก ต่างก็โดนมาแบบนี้ทั้งนั้น

อาหารในสนามรบเลวกว่านี้ ไม่งั้นซีอุย คงไม่ติดใจเนื้อมนุษย์แน่ เย่ เข้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ กว่าจะหมดสาด เยอะเ!้ๆๆๆเลย

โชคดีคุณ

จาก...ตองหนึ่ง

ปล. ผมไม่ได้รู้จักกับคนเขียนหรอก เพื่อนมันส่งมา อยากให้เพื่อนๆได้อ่านดู มันตลกปนเศร้านะสำหรับคนที่เป็น ก็อยากให้เพื่อนๆที่ได้อ่าน ช่วยขุดๆนะ เผื่อว่าคนอื่นๆจะได้อ่านบ้าง เพื่อนผมมันได้มาอีกชุดแต่ยังไม่ส่งให้ผมเลย ว่างๆจะเอามาโพสต์ใหม่นะ...

จาก...กระเด็นกระดอน


ขอขุดมั่ง...

ของผมนี่ทหารเรือ วีรกรรมที่ผมคิดว่าจ่าแมร่งเล่นเราแรงสุดๆ คือว่าโดนสั่งให้ไปรบในวันหยุด รบที่ว่านี่ไม่ใช่รบกับต่างชาตินะครับ นี่เลย รบกับหญ้าฆ่ากับมด วันเสาร์-อาทิตย์นี่พวกเราไม่หยุด เราจะรบกันทั้งวันตากแดดทั้งวัน แล้วก็ดูดส้วมกันเองที่กองร้อยเป็นประจำทุกอาทิตย์ มันจะมีเครื่องสูบน้ำ แต่มันใช้เป็นเครื่องสูบขี้

แล้วสายสูบนี่...ใช่เลยครับมันเป็นรูๆเพียบเลยครับ มันจะให้พวกเราเข้าแถวยืนชมสายสูบที่มันกระเพื่อมๆ แล้วขี้ก็จะโดดเข้าหาคนที่มองมันไง ถึงเวลากินข้าวก็ไปกับเศษขี้ที่มันติดเสื้อคุณๆน่ะแหละ กลิ่นไม่ต้องพูดถึง

พอกินเสร็จก็ไปถางหญ้าต่อ ใครหยอกกันเล่นกัน ก็โดนไปโดดถังพักขี้ เรียกง่ายๆก็บ่อขี้น่ะแหละ โดดลงไปเหลือแต่หัว แล้วก็ขึ้นมาตากแดดให้ขี้ที่ติดตามตัวแห้ง แล้วโดดไปใหม่ เสร็จแล้วใครที่เป็นบัดดี้ก็ซวยไป ต้องไปอาบน้ำด้วยกัน ของผมนี่แค่เอาแขนจุ่มลงไป ที่จำได้แม่นเลยก็แค่นี้แหละ หะหะ อยากลองก็ไปได้เลย ศูนย์ฝึกทหารใหม่ สัต!บ

เรื่องทุเรศๆแบบนี้มันบอกว่าเป็นการฝึกจิตใจครับ ให้เราพร้อมสำหรับทุกๆอย่าง นี่ผมปลดมา 3 ปีแล้ว เลยคิดได้อยู่อย่างนึง ชีวิตตอนเป็นทหารเคยลำบากมากที่สุดในชีวิตแล้ว พอเราปลดออกมาแล้วทำให้เราไม่กลัวอุปสรรคที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ไม่ว่าอะไรจะลำบากแค่ไหน พอเราเอาไปเทียบกับที่เคยผ่านมาตอนเป็นทหาร เรื่องที่ว่าลำบากจะกลายเป็นเรื่องง่ายทันที แล้วเราจะมีกำลังใจต่อไป

ขอเม้นท์มั่ง...

นายเอ้ย...ขอบคุณมากเลยที่เล่าให้ฟัง ผมเรียน รด.นะครับ แต่ผมอยากเป็นทหารสะด้วยดิ สนุกน่าดูเลย โชคดีผมเป็นคนฝืนสังขาร วิ่งทั้งทีผมวิ่งไม่หยุดนะครับ ถ้าครูไม่สั่งให้หยุด เหมือนผมเป็นแนวชอบทรมานตัวเอง แต่แย่จังเอ้ย...พอเค้าให้หยุดนี้ดิ เหนื่อยขึ้นมาเลย เฮ้อ ฮามากครับ ขอบคุณมากๆ เรียน รด.จบ 5 ปี แล้วผมจะเกณฑ์ทหารนะครับ

เล่ามั่งฮี่...

เรื่องราวต่างๆเป็นประสบการณ์จริงโดยตรงของผม ที่จะนำเอาบรรยากาศ ความรู้สึกต่างๆ ที่ตัวผมเอง ได้ประสบพบมา กับการเป็นทหาร 2 ปี ในรั้วของ กองทัพอากาศไทย ความรู้สึก ทั้งหลายเป็นความรู้สึก ช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็ไม่อาจจะลืมมันไปได้เลย ตลอดชีวิต ซึ่งผู้อ่านบางคนก็อาจจะ เคยเป็นอย่างผม หรือบางคนที่ไม่เคยเป็น ทหาร อาจจะยังไม่ทราบ แต่อ่านเรื่องผม คุณก็คงจะเดาชีวิตการเป็นทหารของคุณได้คราวๆเอง เริ่มเรื่องกันเลย...

วันที่ 1 พฤศจิกายน ผมได้ไปรวมตัวที่ สำนักงานเขต เวลา 08.00 น. เพื่อรถทหารจะได้มารับไปส่งกองพันใคร กองพันมัน บรรยากาศในตอนนั้น ผมรู้สึกหดหู่ ยังงัยไม่รู้ เหมือนต้องจากบ้านตัวเองไป

แล้วรู้สึกคิดถึงแม่ รักแม่ตัวเองมากขึ้นเลย พ่อแม่บางคนที่มาส่งลูก บางคนก็ร้องไห้ บางคนก็ดีใจแทนลูกที่จะได้เป็นทหาร ฝึกนิสัยใหม่ๆ ซึ่งชั่วโมงนั้นมันทำให้ผมแย่ยิ่งกว่าเดิม

พอถึงเวลา 8.30 น. เสียงรถทหารก็ได้มา จอดรับที่หน้าสำนักงานเขต ได้ยินเสียงครั้ง สุดท้าย จาก แม่ว่า สู้ๆๆ นะลูก ตอนนั้นรู้สึกมีกำลังใจขึ้น จากนั้นรถ ก็ได้พาผม และ คนอื่นๆ ไปส่งที่บริเวณ ค่ายทหาร แยกลำลูกกา เขตปทุมธานี

รู้ไหมท่านผู้อ่าน ผมคิดว่าจะจบแค่นั้น แต่ ไม่ใช่อย่างที่คิด พวกเราต้องนั่งรอ แต่ละเขต มารวมตัวกันก่อน แล้วค่อยแบ่งว่า ใครได้ไปอยู่กรมไหน กองพันไหน ซึ่งบางคนก็ถูก คัดให้เป็น สห. ไปอยู่ ลพบุรี ส่วนตัวผมถูกคัด ให้เป็น ทหารราบ ประจำอยู่ที่ กองพันทหารอากาศโยธินพัน2 รู้ไหม ใจเสียเลย เห็นคนบอกกันว่า ทหารราบ มันฝึกหนัก แล้วคิด ในใจว่า เราจะไหวรึป่าว กลัวความตายจริงๆๆ แต่ก็หนีไม่พ้น

ประมาณ 5 โมงเย็นของวันนั้น รถทหาร ก็บรรทุก พวกเรา มาส่ง ในกองพัน หลังจากที่รถเลี้ยวเข้ากองพัน ใจหายเวี้ยบ เลย เหมือนชีวิต ตัดขาดจากโลกภายนอก...

หลังจากรถจอด พวกเราก็ต้องไปรวมตัวกันในห้องโถง เพื่อรอ รับ ชุด และผ้าห่ม และ แบ่ง หมวดหมู่ ว่าเราจะได้อยู่หมวดไหน ซึ่งตัวผมจับได้ หมวดb ก็เลยต้องลุกไปนั่งรวมกับคนใน กลุ่มb บางคน ผมถามว่านาย อยู่แถวไหน เขาก็คุยกับเรา บางคนถามก็ไม่ยอมพูด ทำให้ผม อึดอัด เข้าไปใหญ่ ไม่รู้ว่าจะอยู่ร่วมกันได้รึป่าว หรือต้องชกต่อยกัน เพราะถามไม่ค่อยจะตอบเลย

หลังจากนั้นประมาณ 1 ทุ่ม เกือบ 2 ทุ่ม นายทหารก็ให้พวกเรา ขึ้นไปจัดที่นอน แล้วจัดเก็บของให้เรียบร้อย ซึ่งตอนนอน ก็ต้องนอนตามเลขที่ ไม่สามารถ นอนมั่วได้เลย คนที่นอนเตียงใกล้ๆผมชื่อ หลิว เขาเป็นคนคุยดี ได้รู้ประวัติคราวว่า เขาติดคุกมา คดี ยาบ้า 4 ปี แล้วเขาก็เล่าประวัติ เขาให้ฟังว่า ตอนติดคุก เขาได้ เป็นหัวหน้าโรงครัว ฟังเขาไปมาก็สนุกดี แต่หน้าตาไม่ค่อยไว้ใจ

ส่วน อีกข้างของเตียง คนที่นอน ข้างๆ ชื่อ เลาะ เขาเป็นคน อิสลาม พึ่งเรียนจบ ปริญญาตรีมา จากการพูดกับเขา เขารู้สึกจะเศร้าๆ เป็นห่วงแม่และแฟนเขา เหมือนคนที่ไม่อยากเป็นทหารเลย ยิ่งแย่กว่าผมซะอีก

เวลา 20.30 น. เสียง นกหวีดดังมาจากกลางสนาม พวกเราทุกคนในเรือนนอน ตกใจ แล้วงง มองหน้ากัน สักพักก็ได้ยินเสียงคนตะโกนว่า ให้ลงมารวมตัวกันหน้าสนาม...

ขอเม้าท์ด้วยคน...

แล้วก็อย่างที่บอก... วันนั้นจะรู้สึกได้เองเลย ว่า ถ้าเราทำไรพลาดกันแม้แต่แค่นิดเดียว เช่น กินข้าวแล้วมีเสียงช้อนดังแม้เพียงนิดเดียวข้าวมื้อนั้นจะต้องเลิกแดรกและโดนมันแดรกทันที นี่คือกรณีโดนเป็นหมู่นะ แต่ถ้ามันซวยหนักๆหน่อยไปทำให้มันโมโห แบบ ตัวต่อตัว จะโดนมันประเคนหมัด ต่อยยังกะเขาทราย ต่อหน้าเพื่อนๆทั้ง 100 กว่าคนนั่นแหละ แล้วถ้าเราตอบโต้ ก็จะโดน ครูฝึกทั้งหมด (มีครูฝึกรวม 23 คน) เรียงคิวแดรก วนไปวนมา จนกว่าเราจะสลบ แล้วก็เอาน้ำราดให้ฟื้นขึ้นมาแดรกต่อ อย่างเด็กๆก็ 3 วัน ซวยหน่อยก็ 7 วัน+ติดคุกทหาร

ไม่มีใครอยากทำตามมันหรอก แต่นั่นคือทหาร ทหารไม่มีสิทธิคิดเอง ชีวิตอยู่แค่ทำตามคำสั่ง จนกว่าเราจะได้อิสรภาพ ถ้ามองอีกแง่ มันก็คือการฝึกความอดทน ไม่งั้นเวลาไปรบจริงๆมีไรนิดหน่อยก็คงหนีทัพทิ้งให้เพื่อนต้องตาย เพราะเรื่องแค่นี้ยังทนมันไม่ได้ ถ้าไปรบจริงแล้วโดนจับเป็นเชลย รับลองเชื่อเหอะ จะโดนยิ่งกว่าที่อิก๋อยมันจัดซะอีก

ซ่อม+แดรก ก็คืออันเดียวกันแหละครับ มันก็คือการสั่งให้เรา ดันพื้น (วิดพื้น) พุ่งหลัง กลิ้งไป กลิ้งมา ลุกนั่ง และอีกสารพัดท่าแล้วแต่ครูฝึกจะคิดได้ แต่ที่มันโหดร้ายคือ เค้าสั่งทีละ เป็น 100 ครับ และไม่ใช่ว่า 100 ครบแล้วจบนะ เค้าจะวนไปท่าอื่นๆ ท่าละ 100 แล้ววนกลับไป กลับมา หรืออาจแล้วแต่ครูฝึกจะเลือกท่า แต่ที่แน่ๆ ผมไม่เคยโดนต่ำกว่าท่าละ 500 เลย 500 ต่อ 1 ท่านะครับ ท่า ซ่อมมีเป็น 10

ปล.การนับเวลาซ่อม จะแบ่งเป็น 2 แบบนะครับ นับเป็นครั้ง กับ นับเป็น ยก ถ้านับเป็นครั้งก็ตามปกตินั่นแหละ แต่ถ้าเป็นยกล่ะก็ ขอยกตัวอย่าง วิดพื้นละกัน 1 ยก คือ วิดลงไป นับ 1 ขึ้นมา นับ 2 ลงไปนับ 3 และขึ้นมาอีกทีนับ 1 (ยก) 1 2 3 1 - 1 2 3 2 - 1 2 3 3 สมมุติสั่ง 10 ยก ก็จะจบด้วย 1 2 3 10 งง เป่าอะ

ส่วนเหตุการณ์เลวร้ายสุดใน 4 เดือนนรกคือ อิก๋อย มันงอนทหารครับ ไม่รู้ทหารไปทำอะไรมันเข้า มัน ซ่อมรวมเลยครับ โดนไป 10 ช.ม. อะ ตั้งแต่ เที่ยง ยัน 4 ทุ่ม แต่อินี่มัน ซ่อม ท่าโหดครับ เช่น กอดคอลุกนั่ง 1000 ยก ทหารทั้งหมดต้องกอดคอกันแล้ว ลุก-นั่ง ให้พร้อมกันจนครบ 1000 ถ้ามีคนไม่ไหว รึ อู้ นับ 1 ใหม่ คนเราอะครับ แต่ให้ฟิตมาจากไหนก็เถอะ นับเป็นยก ลุกนั่งเนี่ยะ พอเริ่มเข้า ยกที่ 100 มันก็ไม่ไหวแล้วครับจะเริ่มมีคนอู้+ไม่ไหว มันก็สั่งนับใหม่ทันทีเลย ขนาดครูฝึกคนอื่นยังดูกันไม่ได้ ส่ายหน้าหนีกันเลย แล้วสุดท้ายทำกันไม่ครบหรอกครับ ทำกันได้ 500 ยกเอง แต่รวมๆที่มันให้นับใหม่ ผมคิดว่าเกิน 900 ยกไปแล้ว แถมมีท่าอื่นอีก ตลอด 10 ช.ม.นั้น พออีกวัน ทหารฝึกกันไม่ได้เลยคับ แค่เดินยังเดินกันไม่ได้เลย ผู้พัน ด่าอิก๋อย ลั่นศูนย์ฝึกเลย แต่พอผู้พันไป มันหันมาว่าเราครับ ว่า แสดงความอ่อนแอ วินัยยังอ่อน พวกเมิงยังเจอกุอีก 2 เดือน กุเข้า สิบเวรเมื่อไหร่ พวกเมิงซวย แต่ หลังจากนั้น 3 อาทิตย์มันก็ลดความโหดลงไปบาน เพราะมันได้ ทหารถูกใจครับ ก็เลยสบายขึ้นมาหน่อย

ปล. ตอนลุก-นั่ง 1000 ยกนั้น ตอน ยกที่ 400 ผมก็หุบปากตัวเองไม่ได้แล้วครับ น้ำลายไหลยืดเลย ในหัวคิดว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตกรู ทำไมกุต้องมาโดนอะไรอย่างนี้กับเรื่องที่กุไม่ได้ก่อ เกลียดมัน แค้นมัน แค้นอิก๋อย แค้นเพื่อนที่ทำให้โดนซ่อม สารพัด แต่ตอนนี้ลืมมันไปหมดแล้ว ทิ้งไว้แค่ มันคือประสบการณ์ที่ไว้คุยสนุกๆ เท่านั้นเอง

วันเยี่ยมญาติ...สุขและทุกข์ ในวันเดียว
Credit: พลทหารแบงค์ @ ติดตามอ่านฉบับเต็ม..คลิกที่นี่..

หลังการฝึกทหารใหม่(10 สัปดาห์)ผ่านไปประมาณ 3 สัปดาห์...จะมีการอนุญาตให้ญาติพี่น้องของทหารมาเยี่ยมได้ทุกวันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 9.00 น. ถึง 16.00 น.

จากนั้นได้มีการแจกซองจดหมายพร้อมเอกสารที่จะแจ้งญาติของพวกเราให้กับพวกเราทุกคน ในเอกสารจะบอกเรื่องวันเยี่ยมญาติและสถานที่ตั้งของหน่วยที่พวกเราสังกัดอยู่

นอกจากเอกสารและซองแล้วยังมีการแจกกระดาษเปล่าให้พวกเราเขียนจดหมายถึงคนที่บ้านด้วย

และแล้ววันเยี่ยมญาติก็มาถึง...

ที่บริเวณลานกว้างนั้นปกติจะโล่งตา แต่วันนี้กลับเต็มไปด้วยญาติๆของทหารใหม่ ผมสังเกตได้ว่าสายตาหลายต่อหลายคู่จับจ้องมายังกลุ่มของผม พวกญาติๆเหล่านั้นคงจะหวังว่าเป็นลูกหลานของตนเองอยู่เหมือนกัน ผมเองก็กวาดสายตาไปทั่วแต่ไม่ยักจะเห็นครอบครับผมเลย

ระหว่างที่ผมกวาดสายตามองก็ไปสะดุดกับหมวกสานที่มีผ้าลาย pokadot คาดอยู่ มันดูคุ้นมากและคิดว่าใช่แน่ๆ เลยโบกมือใหญ่เลยทั้งๆที่ไม่ได้มองหน้าด้วยซ้ำ เพราะตื่นเต้นมากๆๆๆๆๆ มากๆ จริงๆ

พอเดินเข้าไป จึงเห็นว่าตาผมไม่ผิดจริงๆ มันคือหมวกที่แม่ผมมักจะใส่เวลาไปเที่ยวต่างจังหวัด ตอนแรกพวกเค้ายังไม่เห็นผม จนผมต้องเดินเข้าไปตรงหน้าและโบกมือทักทาย ทุกคนถึงกับอึ้งในสิ่งที่ตัวเองเห็น มากันทั้งหมด 3 คน ป๊า ม้า และ พี่สาวคนโตผม

ทั้งสามคนจำผมไม่ได้เลยเพราะทุกคนไม่คาดคิดว่า ลูกชาย/น้องชายตัวเองจะต้องมาอยู่ในสภาพดังนี้อย่างกับคนละคน

ผมก็ทักทายอย่างมีความสุข ยิ้มแย้มถามสารทุกข์สุกดิบ ระหว่างที่คุยกัน มือของแม่ผมก็มาลูบที่แขนเบาๆอย่างอ่อนโยน (ซึ่งปกติไม่เคยทำมาก่อน) แอบเห็นตาคลอๆ ส่วนพ่อผมเองก็ยิ้มแย้มแฮ๊ปปี้ แต่ว่าตาแดงๆ

พี่สาวผมเอาแขนมาเทียบกันและถ่ายรูปเก็บไว้ และตะลึงกับภาพ เพราะมันช่างต่างกันมากๆ จากแต่ก่อนที่ผมเป็นคนขาว แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเหมือนชนเผ่าอะไรซักอย่างในแอ๊ฟฟริกา

เนื่องจากครอบครัวผมไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้าง จึงไม่ได้เตรียมของอะไรมามากมายนอกจากของกินกับของใช้ที่ผมมีฝากให้ซื้อเข้ามา

พวกเราจึงต้องนั่งกับพื้นปูนสกปรกๆที่ปกติพวกผมนั่งและนอนระหว่างพักนั่นแหละครับ ผมก็พูดไม่หยุดเหมือนกันเพราะความตื่นเต้น และความคิดถึงครอบครัว

ระหว่างเม้าท์แม่ผมก็มาจับคอเสื้อขยับไปมา เพราะมันโชว์ให้เห็นถึงสีผิวที่ตัดกันอย่างก่ะโดนผ่าตัดจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง ผิวขาวแบบคนจีน ตัดกับสีดำไหม้และตัดเป็นรอยคอเสื้อ เห็นเด่นชัดมาก

คิดว่าแม่ผมคงยังทำใจไม่ได้กับสภาพของลูกชายตัวเองที่ไม่อยากจะให้ลูกตัวเองลำบากแต่ต้องมาเป็นทหารหัวเกรียนตัวไหม้แบบที่เห็นอยู่ตรงหน้า ผมเองเห็นแล้วหดหู่มากเพราะเวลาเค้าลูบ เค้ามองด้วยสายตาเศร้ามากๆ ระหว่างที่ผมพิมพ์อยู่นี่ผมยังน้ำตาคลอเลย เพราะว่าภาพมันติดตามาก ตอนนั้นผมก็ได้แต่บอกไม่เป็นไร ทนได้ และก็ยิ้มหน้าบานแฉ่ง

จำได้ว่าวันนั้น ยิ้มบานแฉ่งมากที่สุดหลังจากที่ไม่ได้ยิ้มเยอะๆแบบนี้มาหลายวัน มันเป็นความรู้สึกที่มีความสุขสุดๆ คุยไปคุยมา มารู้ภายหลังว่า พวกเค้าออกจากบ้านตั้งแต่ตี 5 แล้ว แม่ผมผู้ที่ปกติจะตื่นสายสุดดันตื่นก่อนคนแรกเลย ได้ยินแล้วก็มีความสุขนะครับ

ระหว่างคุยกัน แม่ผมก็หยิบยื่นเอาของกินมาให้อย่างเยอะ กาแฟเอย ช๊อกโกแลตเอย ข้าวเหนียวหมูฝอยเอย เค้กเอย และขนมอีกเพียบ จำได้ว่าสภาพผมตอนนั้นคือมือนี่กวาดหาของกินตลาดเวลา ปากถ้าไม่ได้พูด ก็เคี้ยว แลดูเหมือนคนที่หิวโหย อดอยาก มานานเป็นเดือน

พี่สาวผมเห็นสภาพเช่นนั้นอดพูดออกมาไม่ได้ว่า "หิวโหยมาจากไหน นี่แกกินไม่หยุดเลยนะแบ้ง"

ผมก็ได้แต่ยิ้มและบอกว่าในนั้นมันไม่มีอะไรเลย อยากกินอะไรก็ไปซื้อไม่ได้พูดเสร็จก็ค้นหาว่ามีอะไรที่กินได้อีก น่ากลัวมากๆครับ ผมเห็นสายตาของครอบครัวผมที่มองดูผมในตอนนั้นมันดูอนาถนิดๆอ่ะ ยิ้มแต่แฝงด้วยความเศร้า

แต่เวลาก็ผ่านไปถึงสามโมงกว่าสีหน้าของผมเปลี่ยนไปทันที เพราะเวลามันผ่านไปเร็วมาก ไม่อยากให้กลับเลย พี่สาวผมบอก "กลับเหอะ เดี๋ยวรถติด"

ผมถึงกับเอ่ยว่า "อย่าเพิ่งกลับสิ" และสีหน้าเศร้าออกมาโดยไม่รู้ตัว แม่ผมเลยให้อยู่กันอีกแปบแล้วค่อยกลับ

ตอนเดินไปส่งที่ที่ไกลที่สุดที่ไปได้ มันเป็นความรู้สึกที่ทรมานมาก แต่ก็ต้องฝืนยิ้ม จริงๆคือจะร้องเพราะตอนบอกลากัน แม่ผมคงเห็นท่าทีแล้ว เลยบอกว่า ไม่ต้องร้องๆ ผมก็ฝืนยิ้มไป และกลั้นใจหันหลังกลับโดยไม่หันไปมองต่อ น่าตลกนักที่ต่อหน้าพ่อแม่ผมกลับยิ้มร่าอย่างมีความสุข แต่พอไปเข้าแถว น้ำตามันตกออกมาเอง เพราะความคิดถึงดีใจกับการที่ได้เจอกันซะที

ระหว่างนั้นก็มีเสียงประกาศให้ญาติๆทยอยกลับ แต่ยังมีคนที่ไม่ยอมกลับซักทีจนเค้าต้องประกาศว่า

"ญาติๆเชิญกลับได้แล้วครับ ไม่ต้องเป็นห่วงบุตรหลานของท่านเพราะทางเราดูแลพวกเค้าอย่างดีครับ เชิญครับ"

แต่หลังจากที่ญาติๆกลับไปกันหมดไม่ถึง 5 นาที พวกเราต่างสามารถสัมผัสได้กับสิ่งที่ตัวเองจะต้องเผชิญต่อไป

เพราะพวกเราเองได้รู้มาอยู่แล้วว่าเยี่ยมญาติทีไรไม่เคยมีครั้งไหนที่ไม่โดนแดก เพียงแต่พวกเราทำใจ และยอมโดนแดกเพื่อพบครอบครัวที่รัก

.......

ทำไมถึงต้องโดนแดกหลังเยี่ยมญาติ?

นายทหารเวรก็จะสรรหาข้อกระทำผิดของพวกเราแล้วมาลงโทษ เช่น เดินออกนอกบริเวณที่กำหนด ทำตัวไม่เหมาะสม (กอดกับแฟน นั่งตัก ฯลฯ)

หรือ แฟนใครแต่งตัวไม่เหมาะสม นุ่งสั้น โป๊ พวกเขาทำโทษญาติไม่ได้ แต่เขาสามารถทำโทษทหารใหม่ได้

นี่คือเวรกรรมที่เราต้องได้รับหลังจากที่เยี่ยมญาติครับ ถึงแม้ว่าผมเองหรือหลายๆคนจะไม่ได้ทำอะไรผิด ก็ถูกเหมารวมไปด้วย

จำได้ว่าวันนั้นพวกเราที่มีญาติเยี่ยมทุกคน โดนสั่งให้ทำท่าดันพื้นเตรียม และโดนสั่งให้ดันพื้นทีละ 5 ครั้งและค้างอยู่อย่างนั้น ระหว่างที่เค้าอบรมและชี้แจงความผิด

สั่งทีละ 5 ครั้งอาจจะฟังดูจิ๊บๆ แต่พอทำ เค้าจะบอกว่า

"ทำไมไม่พร้อม เอาใหม่ 5 ครั้ง"

"มีคนอู้ 5 ครั้ง"

"มีคนไม่นับ 5 ครั้ง"

"มีคนลงไม่สุด 5 ครั้ง"

"นับไม่พร้อม 5 ครั้ง"

"นับไม่ดัง 5 ครั้ง"

วนเวียนอยู่อย่างนี้ มีคนนับไว้ว่าวันนั้น โดนไป 460+กว่า ครั้ง และระหว่างนั้นต้องทำท่าดันพื้นเตรียมเอาไว้ตลอดเวลา ขอบอกว่ามือผมชาแทบจะไร้ความรู้สึกไปเลยตอนที่ทำท่าดันพื้นค้างเอาไว้

ทุกครั้งที่มีการเยี่ยมญาติ ต้องโดนแดกทุกครั้ง และจากที่โดนมาสองครั้ง (จาก3) บอกได้ว่าครั้งแรกเด็กๆจริงๆ เพราะครั้งที่สองที่ผมโดนคือครั้งที่ 3 ของการเยี่ยมญาติและเป็นครั้งสุดท้ายที่จะมีการเยี่ยมญาติที่ตาคลี

วันนั้นเราก็มีความสุขเหมือนครั้งก่อนที่มีการเยี่ยมญาติ แต่วันนั้นโดนหนักมาก นายทหารเวรเอาท่ากายบริหาร ลุกนั่งซิทอัพ ลุกหมอบ ดันพื้น พุ่งหลัง กระโดดตบ มาทำโทษ ฟังดูง่าย แต่หลายสิบยกนะครับ แต่ที่หนักกว่านั้นคือ......

เค้าสั่งให้พวกเราวิ่งทีละหน่วยฝึกจากจุดที่ยืนรวม ให้วิ่งไปไกลมากๆ ถ้าให้เทียบประมาณ 3-4 ความยาวของสนามบาสฯ ให้วิ่งไปกลับและกลับมาเข้าแถวยืนตามระเบียบพักดังเดิม

ปัญหาคือต้องกลับมาพร้อมท่าตามระเบียบพัก ภายในเวลา 1 นาที หรือกี่นาทีนี่แหละผมจำไม่ได้ แต่ดูจากระยะทางและจำนวนคนแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ และไม่ได้วิ่งกันรอบเดียว วิ่งหลายรอบมาก มีคนขาเดี้ยง มีคนเป็นลม มีคนอ้วกแตก ใครขาเดี้ยงเพื่อนก็ช่วยพยุง ใครเป็นลม บางคนโดนทิ้งอยู่เพราะกลัวตัวเองจะมาเข้าแถวไม่ทันเวลา ผมเองช่วยพยุงเพื่อนที่วิ่งจะไม่ไหวแล้วไปด้วยกัน ให้กำลังใจกันตลอดว่า สู้เว้ยเพื่อน และก็กลับไปเข้าแถวในสภาพปางตาย เพราะหายใจจะไม่ทันจริงๆ

หลังจากโดนวิ่งไป 2 หรือ 3 รอบผมไม่แน่ใจตอนยืนตามระเบียบพัก อยู่ๆน้ำตาผมไหลออกมาเองเลยครับ ไม่ใช่เพราะโศกเศร้า แต่เพราะว่าเหนื่อยที่สุด และดีใจมากๆที่ตัวเองยังไม่ตาย!!!

เรื่องจริงครับ!!! มันเป็นความรู้สึกที่ลืมไม่ลงจริงๆ สุขและทุกข์ ในวันเดียวและเฉียบพลัน เยี่ยมญาติที่ตาคลี คล้ายๆตายทั้งเป็น

แต่ขอบอกว่า การเจอหน้าครอบครัวตัวเองมันเป็นกำลังใจที่ดีจริงๆ และเป็นแรงผลักดันให้เราทนอยู่ต่อไป

เพราะฉะนั้นใครมีญาติเป็นทหารใหม่ให้ไปเยี่ยมเค้าด้วยนะครับ หรือส่งจดหมายก็ยังดี สิ่งเหล่านี้มันทำให้เราอดทนมากขึ้นจริงๆ.................

การเป็นทหารยิ่งทำให้รู้ว่า ผมรักครอบครัวผมมากๆ และไม่มีใครดีเท่าคนในครอบครัวเราจริงๆ




เมื่อเวลา 15.15 น. วันนี้ (29 พ.ค.) ที่ บก.น.1 พล.ต.ต.พชร บุญญสิทธิ์ ผบก.น.1 พ.ต.อ.พจน์ บุญมาภาคย์ รองผบก.น.1 พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.มักกะสัน แถลงการจับกุม นายศุภกฤต สมกิจกมล หรือบอล อายุ 21 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 1753/2554 ลงวันที่ 5 พ.ย. 2554 ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่น จับกุมตัวได้ที่บริเวณชุมชนจารุรัตน์ ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง

โดยสืบเนื่องมาจาก เมื่อวันที่ 1 พ.ย.2554 เวลา 03.00 น. นายศุภกฤต พร้อมกับพวกได้ร่วมกันรุมทำร้าย นายจักรพงษ์ พันธ์มณี อายุ 25 ปี ครูฝึกทหารจนเสียชีวิต เหตุเกิดที่ย่านชุมชนจารุรัตน์ ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แขวงบางกะปิ แขวงห้วยขวาง หลังจากก่อเหตุกลุ่มผู้ต้องหาได้หลบหนีไป กระทั่งศาลได้ออกหมายจับผู้ก่อเหตุ 8 คน ซึ่งที่ผ่านมาสามารถตามจับกุมตัวได้แล้ว 5 คน กระทั่งล่าสุดสามารถจับกุมตัว นายศุภกฤตได้ ใกล้กับสถานที่เกิดเหตุ เมื่อวันที่ 28 พ.ค.2555 เวลา 22.00 น.

สอบสวน นายศุภกฤต หรือบอล ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ร่วมกับพวกก่อเหตุรุมทำร้าย นายจักรพงษ์ จนเสียชีวิต เนื่องจากมีความโกรธแค้นเป็นการส่วนตัว เพราะถูกผู้ตายซึ่งเป็นครูฝึกทหารในช่วงที่ประจำการอยู่ที่กรมทหารราบที่ 1 กลั่นแกล้ง และสร้างความไม่พอใจ กระทั่งตนปลดประจำการออกมา และในคืนเกิดเหตุได้นั่งดื่มสุรากับพรรคพวก และพบเห็นผู้ตายจึงชักชวนกันไปรุมทำร้าย จึงได้ใช้อาวุธปืนยิงขู่ และเข้ารุมทำร้ายทันที โดยใช้อิฐตัวหนอนทุบตีจนเสียชีวิตก่อนหลบหนีไป

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่น ทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตราย พร้อมกับพกพาอาวุธปืน และเครื่องกระสุนไว้ในครอบครองอย่างผิดกฎหมาย ก่อนควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.มักกะสัน ดำเนินคดีต่อไป


@ By: เดี่ยว เทวดา

...นี่หรือคือการฝึก นี่หรือกองทัพไทย..
...มันคือการละเมิดสิทธิ์พื้นฐานที่พวกเขามี ตามรัฐธรรมนูญ..
...ทั้ง ผบ.หน่วย.ทั้งหน่วยฝึก ครูฝึก..ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำนี้..
...มันเอาเกียรติ เอาศักดิ์ศรีของคำว่า กองทัพมาละเลงสิ้น..
...ภูมิใจกับการกระทำนี้หรืออย่างไร..

"ไอ้เณร"พวกนี้จะพูดไปมันก็คือ "ผู้มีพระคุณ"อันใหญ่หลวง เพราะทุกๆ 6 เดือนมันจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาเป็น"ตัวเงินตัวทอง"ของทุกๆหน่วยนั่นแหละ (ไม่ขยายความ..รู้ๆกันอยู่)

ควรที่ทุกหน่วยต้องให้ความดูแลความเป็นอยู่สุขทุกข์เหมือนเป็นลูกหลานในครอบครัว ปฏิบัติกับพวกมันในฐานะที่มันก็มีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์คนหนึ่งเช่นกัน

จะว่าไปมันก็น่าเห็นใจ"ไอ้เณร"พวกนี้เหมือนกันนะ เพราะทุกๆ 6 เดือนจะมีข่าว"ไอ้เณร"ถูกเมียทิ้งเมียหอบเสื้อผ้าหนี ก็ทำไมจะไม่ให้เมียมันทิ้งมันหนีล่ะ เพราะตั้งแต่ที่ผัวไปเป็นทหารรับใช้ชาติ ไม่มีรายรับไม่มีเงินทองค่าใช้จ่ายส่งถึงครอบครัวทางบ้านหรือลูกเมียมันเลย


จะให้"ไอ้เณร"มันเอาเงินทองที่ไหนส่งไปให้ครอบครัวล่ะ 3เดือนแรกเบี้ยเลี้ยงหลังจากหักค่าข้าวค่ากับข้าวค่าเชื้อเพลิงเหลือวันละ 20 บาท จ่ายให้ครั้งละ 10 วัน 200 บาท ส่วนเงินเดือนก็โดนหักค่าไอ้โน่นค่าไอ้นี่ค่าไอ้นั่นอีกสารพัด สรุปเงินเดือนไม่เหลือซักบาทเดียวแถมยังติดลบอีก..ต้องเบิก พชค เงินฝากจ่า(เงินติดตัวมา)โปะเข้าไป และตั้งแต่เดือนที่4เป็นต้นไป เงินเดือนจะจ่ายให้"ไอ้เณร"ทุกๆสิ้นเดือน

จะชื่นอกชื่นใจอยู่บ้างก็เงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราว(พชค) ที่รัฐบาลจ่ายเพิ่มให้ โดยส่งเงินเข้า บ/ช ของ"ไอ้เณร"โดยตรง... หึหึ..มันก็โดยตรงจริงๆนั่นแหละ หน่วยให้เซ็นชื่อเปิด บ/ช ธนาคาร แล้วก็ยึด บ/ช เอทีเอ็มรหัสบัตร เอาไปเก็บไว้เลย ครบ3เดือน..อ้าว!! พชค นึกว่าจะพ้น ตามมาหักอีกจนได้ ค่าเปิดเอทีเอ็ม ค่าประกันชีวิต"ไอ้เณร"ต้องจ่ายเองทั้งนั้น... พชค ที่เหลือกับ พชค เดือนต่อๆไป รวมทั้ง บ/ช เอทีเอ็มรหัสบัตร และเงินอื่นๆ หน่วยจะคืนให้ตอนปลดประจำการ"ไอ้เณร"จะได้มีเงินก้อนใหญ่ๆกลับบ้านไง...เฮ้อ!!

ทางแก้ไขมันก็มีอยู่นะถ้าตั้งใจจะช่วยเหลือไม่ให้"ไอ้เณร"ประสบกับปัญหาชีวิตเมียทิ้งเมียหอบเสื้อผ้าหนี เพื่อมันจะได้ตั้งใจรับใช้ชาติมีขวัญมีกำลังใจ ฝึก..ฝึก..แล้วก็ฝึก ต่อไป

บ/ช เอทีเอ็มรหัสบัตรอะไรพวกนี้ ควรจะมอบให้"ไอ้เณร"หรือพ่อแม่ลูกเมียของมันเก็บไว้เอง ถึงวันสิ้นเดือนลูกเมียมันจะได้ไปเบิกที่ตู้เอทีเอ็ม เพื่อครอบครัวทางบ้านจะได้มีเงินทองไว้ใช้จ่ายตั้งแต่เดือนแรกที่ผัวมันไปเป็นทหารรับใช้ชาตินั่นแหละ...





เมื่อวันที่ 1 เม.ย.56 ที่กระทรวงกลาโหม พ.อ.ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า ในปีนี้กระทรวงกลาโหมมีความต้องการทหารกองประจำการ 94,480 คน จากผู้เข้ารับการตรวจเลือกทหารกองเกินตามบัญชีเรียก 359,863 คน ซึ่งคิดเป็นอัตราส่วนเท่ากับ 3.8 ต่อ 1 คน โดยในส่วนของกองทัพบกต้องการทหารกองประจำการ 69,356 คน กองทัพอากาศ 7,667 คน กองทัพเรือ 16,000 คน สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม 506 คน และกองบัญชาการกองทัพไทย 951 คน

วันที่ 5 เม.ย.56 พล.ท.ภานุวิชญ์ พุ่มหิรัญ เจ้ากรมแพทย์ทหารบก กล่าวว่า จากสถิติการเจ็บป่วยจากความร้อนในการฝึกพลทหารใหม่ในผลัดที่ 1 ช่วงเดือน พ.ค.จนถึง มิ.ย. ซึ่งเป็นช่วงที่มีอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์สูง ตั้งแต่ปี 2551 จนถึง 2555นั้น มีอัตราการป่วยเพิ่มสูงขึ้น เนื่องมาจากสภาพอากาศที่ร้อนขึ้นทุกปี ที่ผ่านมาในการฝึกพลทหารใหม่ ร่างกายอาจจะยังไม่เคยชินต่อการออกกำลังกายอย่างหนักภายใต้อากาศที่ร้อนอบอ้าวอาจนำไปสู่การเจ็บป่วยจากความร้อนได้ หากไม่ได้ให้ความสำคัญและตระหนักถึงแนวทางการป้องกัน ทั้งนี้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และผู้บังคับบัญชาชั้นสูงของกองทัพบก ได้ให้ความสำคัญต่อการเฝ้าระวังป้องกันการเกิดการเจ็บป่วยจากความร้อน โดยได้สั่งการให้ผู้บังคับหน่วยทหารทุกระดับได้ให้ความสำคัญ เข้มงวด และจริงจังต่อมาตรการในการเฝ้าระวังและป้องกันโรคดังกล่าว

พล.ท.ภานุวิชญ์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ภาควิชาเวชศาสตร์ทหารและชุมชน วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้าได้จัดทำคู่มือแนวทางการคัดกรองและเฝ้าระวังการเจ็บป่วยจากความร้อน สำหรับหน่วยฝึกทหารใหม่ ในการเฝ้าระวัง สังเกตอาการเจ็บป่วยจากความร้อนก่อนอาการจะพัฒนาไปสู่โรคลมร้อน และแนวทางปฏิบัติทางคลินิกสำหรับโรคลมร้อน ในส่วนของหน่วยรักษาพยาบาลได้ให้การรักษาอย่างถูกต้องและเป็นไปในแนวทางเดียวกัน อีกทั้งกรมการแพทย์ทหารบกโดยโรงพยาบาลกองทัพบกแต่ละแห่งที่กระจายอยู่ในทุกกองทัพภาคได้อบรมความรู้เกี่ยวกับโรคลมร้อน เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ ซึ่งเป็นการให้ความรู้แก่พลทหาร ครูฝึก ผู้ช่วยครูฝึกและผู้ฝึกทหารใหม่ นายสิบพยาบาล และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง

นอกจากนี้ยังได้จัดทำโปสเตอร์ สื่อวิดีทัศน์ และคู่มือโรคลมร้อนแจกจ่ายพลทหารใหม่ และโรงพยาบาล เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติยังได้จัดตั้งศูนย์เฝ้าระวังการเจ็บป่วยจากความร้อน ในการประสานข้อมูลและติดตามสถานการณ์ของโรคอย่างใกล้ชิดจากศูนย์ฝึกทหารใหม่ โดยใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศด้วย

"ในปี 2556 ที่คาดว่าสภาพอากาศจะมีอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์สูงขึ้น โดยเฉพาะช่วง เม.ย.- มิ.ย.นี้ กรมแพทย์ทหารบก เน้นย้ำต่อมาตรการในการเฝ้าระวังและป้องกันการเจ็บป่วยจากความร้อนอย่างเข้มงวดและจริงจัง ได้ให้หน่วยสายแพทย์ทุกหน่วยเฝ้าติดตามสถานการณ์ โดยใกล้ชิดและสามารถติดตามแนวโน้มของการเกิดโรคดังกล่าว ไม่ให้การเกิดการเจ็บป่วยจากความร้อนพัฒนาไปสู่โรคลมร้อนได้ ในปีนี้กรมแพทย์ทหารบกได้ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะต้องไม่มีผู้ป่วยโรคลมร้อนจากการฝึกทหารใหม่ ด้วยความห่วงใยของกองทัพบกและกรมแพทย์ทหารบกต่อบุตรหลานที่จะผ่านการตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ามารับราชการเป็นทหารกองประจำการนั้น กองทัพบกจะให้การดูแลกำลังพลและทหารกองประจำการทุกนาย เหมือนเป็นลูกหลานทุกคน ทั้งในด้านชีวิตความเป็นอยู่ สุขภาพอนามัย ความปลอดภัยจากการฝึกเพื่อให้การฝึกทหารใหม่ปลอดภัยจากโรคลมร้อนตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ทุกประการ" พล.ท.ภานุวิชญ์ กล่าว


ทหาร กับ ควาย ... ท.ทหาร กับ ค.ควาย
Credit: bloggang.com infantry&group=34

ทหารแท้ นายสั่งให้ไปไหนก็ไป แม้นรู้ว่าอาจต้องตาย ก็ไป ทหารแท้อาจเหมือนควายในท้องนาที่ชาวนาเป็น ผบช.เป็นคนลากจูงไปในทิศทางต่างๆในนา ควายดีใจยิ่งนักเมื่อยามใดที่ ผบช.ให้บำเหน็จแก่การทำงานด้วยฟางหญ้าด้วยการพาไปแช่ปลักแช่โคลนเพื่อคลายเหนื่อยคลายร้อน ควายมันคงไม่รู้หรอกว่า งานที่มันทำนั้นคือการรักษานาไว้ให้ชาวนาได้มีกินมีอยู่ ควายมันรู้อย่างเดียวว่า มันมีหน้าที่ หน้าที่ของมันคือไถนา มันเกิดมาเพื่อแบกแอกและไถนาเท่านั้น งานอื่นมันคงทำไม่ได้ดีนัก คนทั่วไปจึงมองว่ามันโง่ แต่โง่ๆอย่างควายนี่แหล่ะ เมื่อยามใดไม่มีควาย ชาวนาต้องร้องไห้ทุกคน เพราะทำนาไม่ได้ และสุดท้ายก็ต้องขายนา รักษานาไว้ไม่ได้

ทหารกับควาย ดูแล้วคล้ายๆกัน ทหารต้องอดทนเหมือนควาย บางครั้งก็ต้องจำยอมทำโง่เหมือนควาย ทำยังไงได้ ก็นายสั่งนี่หว่า ควายก็คงเหมือนกัน ทำยังไงได้ ชาวนาเขาสั่งนี่หว่า ทหารมีหน้าที่ปกป้องนา เอ๊ย ปกป้องชาติตามคำสั่งของ ผบช. ควายก็มีหน้าที่ไถนาตามคำสั่งของชาวนา บางครั้งผลของงานโง่ๆที่ปรากฏแก่ตาโลก อาจดูเหมือนว่าทหารโง่ ควายโง่ งานถึงออกมาแบบโง่ๆ แต่ที่จริงแล้วนั้น คนสั่งทหาร คนสั่งควาย ต่างหากที่น่าจะถูกเรียกว่าไอ้โง่ เพราะถ้ามึงไม่สั่งแบบโง่ๆ ทหารก็ไม่ต้องจำยอมทำหน้าที่แบบโง่ๆ ควายก็จะไม่ไถนาแบบโง่ๆ เพราะฉะนั้นในอารยะประเทศที่เจริญแล้วนั้น เมื่อเกิดความผิดพลาดหรือล้มเหลวจากความโง่ คนสั่งจึงต้องรับผิดชอบ คนทำตามสั่งด้วยหน้าที่ มิมีผลใดๆ บางทีอาจแอบดีใจอยู่ลึกๆที่ เจ้านายโง่ๆไปผุดไปเกิดเสียที ภาวะจำยอมจะได้หมดไปจากตนเสียที งานในหน้าที่จะได้ลุล่วงถ้าได้เจ้านายที่ดี หลักแหลมและเก่ง ที่สำคัญคือ ต้องไม่ถือตน หยิ่ง และสุดท้ายคือ โง่ รวมๆแล้วคือ หยิ่งโง่โลว์โพร์ไฟล์

ควายเมื่อตายลง เนื้อหนังกระดูก เป็นประโยชน์แก่ชาวนาได้ทั้งสิ้น ยามอยู่ก็มีหน้าที่ ยามตายก็ยังให้ประโยชน์ ทหารก็คงมิต่างไปจากนี้เท่าไรนัก เมื่อตายลงด้วยคมหอกคมดาบคมกระสุน วีรกรรมและการปฏิบัติหน้าที่ ก็เป็นประโยชน์ให้ทหารรุ่นหลังได้ศึกษาและซึมซับในวิถีคนกล้า เมื่อยามอยู่ก็เสียสละเลือดเนื้อชีวิตและความสุขสบายตามอัตตาของชีวิตให้กับแผ่นดินให้กับหน้าที่ ควายนั้นคนอาจเรียกแบบเหยียดๆว่า "ไอ้ทุย" ทหารผู้ต่ำต้อยด้วยยศศักดิ์นั้น ทั่วไปก็เรียก "ไอ้เณร" ทั้งไอ้ทุยและไอ้เณรนั้น หากวันไหนไม่มีมันหรือขาดมันไป วันนั้นคนเหยียดจะรู้สึก หนึ่งชีวิต หนึ่งโพสิชั่น ล้วนมีความหมายและมีความสำคัญอยู่ในตัวของมันเองทั้งนั้น ลองคิดทบทวนกันดูเล่นก็ได้ว่า ไอ้ทุยและไอ้เณร มีส่วนในการสร้างชาติป้องชาติอย่างไร

ในพยัญชนะไทย มี ค.ควาย มี ท.ทหาร แล้วทำไม ต.เต่า ถึงไม่ได้เป็น ต.ตำรวจ น.หนู ถึงไม่ได้เป็น น.นายกฯ นั่นอาจเป็นเพราะในห้วงคำนึงของคนไทยนั้น ก็รู้ดีและสำนึกอยู่ในใจว่า ควายกับทหารนั้น มีคุณค่าอย่างไรสำหรับความเป็นมาของชาติ การสร้างคุณงามความดีไว้จนเป็นที่จดจำและคำนึงถึงในจิตใจของคนทั่วไปในสังคมชาตินั้น มิอาจสร้างได้ในช่วงข้ามคืนข้ามปี แต่ต้องสร้างสะสมกันมายาวนานเป็นร้อยเป็นพันปี เมื่อยามกินข้าว เห็นข้าวในจาน เรานึกถึงควาย เมื่อยามชาติมีภัย เห็นอริราชศัตรูบนแผ่นดิน เรานึกถึงทหาร อย่างไรก็ตาม บางคนที่อ่านอาจคิดว่าผู้เขียนบ้าที่จะเขียนประโยคนี้ "ตายในสนามรบเป็นเกียรติของทหาร ตายในท้องนาเป็นเกียรติของกระบือ" แต่สำหรับประโยคหลังนี่คงยาก เพราะทุกวันนี้เกียรติของควายแทบจะไม่เหลือ เพราะควายในทุกวันนี้ส่วนใหญ่ตายในโรงฆ่าสัตว์ทั้งนั้น

ปล. ไหนๆก็เขียนแล้ว แถมอีกหน่อยละกัน ร.ร.เตรียมทหาร ก่อนรับมอบตัวนักเรียน ควรจะสืบโคตรเหง้าลงไปลึกๆในทุกๆด้านของนักเรียนด้วยก็จะดีมาก คนเรียนเก่งไม่จำเป็นจะต้องเป็นคนดีที่หวังทำหน้าที่เพื่อชาติไทยเสมอไป มันอาจโตไปทำเพื่อชาติอื่นก็ได้ใครจะรู้...

อีกเรื่องคือ การพิจารณาโยกย้ายนายทหารมาคุมกำลังหลักๆหรือตำแหน่งในกองทัพหลักๆของชาติ ผู้มีอำนาจพิจารณาควรจะสงวนตำแหน่งเหล่านั้นไว้ให้ไทยแท้ๆเท่านั้น ไม่ได้รังเกียจ ไม่ได้แบ่งแยก แต่วิถีทางในแบบไทยๆ มันควรจะเป็นอย่างนั้น ก็ลองย้อนไปดูที่ ผบช.ในอดีตที่เขายึดถือปฏิบัติกันมาดูก็แล้วกัน...

สิ่งใดสำคัญที่สุดที่ทหารทุกคนควรจะมีให้กันและกัน "ความไว้เนื้อเชื่อใจกันและกัน" หากทหารขาดสิ่งนี้ นักรบจะตายศึกหน้า กองทัพจะแตกแยก สหายศึกจะไม่บังเกิด และสุดท้ายนั้น เราจะต้องฆ่ากันเอง ก็แบบที่เป็นอยู่เนี่ย...

และ สุดท้าย..ขอฝากไปถึงทหารหาญทั้งหลายในกองทัพไทย...

"กระสุนทุกนัด ปืนทุกกระบอก รถหุ้มเกราะทุกคัน เบี้ยหวัด บำเหน็จบำนาญ สิทธิพิเศษของพ่อแม่ลูกเมียทหาร รวมไปถึงข้าวทุกๆเมล็ดที่พวกคุณกินในโรงเลี้ยง ล้วนมาจากหยาดเหงื่อแรงกายที่รัฐรีดจากประชาชนออกมาเป็นภาษีเลี้ยงดูทหารทั้งกองทัพ ความเก่งกล้าสามารถและทักษะทางทหารที่พวกคุณมีเหนือประชาชนมือเปล่าๆนั้น คุณควรเอาไปใช้กับข้าศึก ไม่ใช่เอามาใช้กับประชาชนผู้ที่ได้ชื่อว่าเลี้ยงดูคุณและครอบครัวมาตลอด"

"สำเหนียก"กันไว้บ้าง!!