"คู่มือ...ทำกับข้าวเมืองเหนือประยุกต์" (ฉบับรีไซเคิ้ล) เล่มนี้ ผมขออนุญาตเรียกอย่างนี้ เพราะกระดากที่จะเรียกว่า "ตำรา" ผมเขียนขึ้นจากประสบการณ์ในการทำกับข้าวด้วยตนเองเกือบจะทุกวัน ตั้งแต่ยังเป็นเด็กจนกระทั่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่จนเกือบจะลาจากโลกใบนี้ไปแล้ว ส่วนหนึ่งซึ่งนับว่าเป็นส่วนมากที่สุดมาจากความทรงจำในอดีต ที่ได้อาสาเป็นลูกมือช่วยผู้ใหญ่ทำกับข้าวอยู่เสมอ... และทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้ผมได้ตรวจสอบชำระข้อความบางท่อนบางตอนที่เป็นส่วนสาระสำคัญกับหนังสือ "ตำราทำกับข้าวเมืองเหนือ" เขียนโดย คุณสงวน โชติสุขรัตน์ ซึ่งเป็นบรมครูทางการหนังสือพิมพ์ขั้นปฐมของผม แล้วนำมาคลุกเคล้าผสมผสานเรียบเรียงเขียนขึ้นมาใหม่ในเชิง "เล่าสู่กันฟัง" ทั้งนี้ เพื่อสะดวกแก่คนรุ่นใหม่ จะได้นำเอาไปเป็น "คู่มือ" อนุรักษ์การทำกับข้าวของเมืองเหนือ ให้คงอยู่ถึงคนรุ่นต่อๆไป โดยคำนึงถึงวิธีการการทำกับข้าวเพื่อให้ทำกันได้อย่างง่ายๆ ไม่ยุ่งยากซับซ้อนอะไร
"โปรดสังเกต.. ที่ช่อง url ด้านบนซ้าย ถ้าเป็น https กรุณาเปลี่ยนเป็น http แล้วกด enter เข้ามาใหม่ครับ"
@ คลิกที่นี่ ดูบนyoutube... @ ภาพรับปริญญามีต่อที่นี่... @ และที่นี่อีกจ้า... @ บัณฑิตรามฯรุ่น38(2555) ทุกคณะและทุกคน โหลดคลิปที่นี่...

วันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2560

"ก่อนชีวิตจะจางหาย ภายใต้ฟ้ากว้าง" (1) By: Chote Vanhakij

"ขออนุญาตคุณ Chote Vanhakij ขอนำบทความของท่านมาโพสต์ที่นี่นะครับ" ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร

UpDate..
ตอนที่ 1 "ถวิลหาอดีต..." ถึง ตอนที่ 11 "ล่าเก้ง"

"ก่อนชีวิตจะจางหาย ภายใต้ฟ้ากว้าง"
By: Chote Vanhakij

@ คลิกที่นี่.. ตอนที่ 12 "ผีโพง" "ผีเป้า" ถึง ตอนที่ 20 "คาถากันผีน้ำ"
@ คลิกที่นี่.. ตอนที่ 21 "ประสาพราน" ถึง ตอนที่ 30 "กะระณียะเมตตสูตร"
@ คลิกที่นี่.. ตอนที่ 31 "ป" ถึง ตอนปัจจุบัน


ตอนที่ 1 "ถวิลหาอดีต..."

ยุ่งกับเรื่องการเมือง เรื่องบ้าบอคอแตกในประเทศไทยมาพักหนึ่ง...ก็ไม่หนักนัก ผมเน้นเรื่องทำมาหากินมากกว่า...ไม่ค่อยเข้าไปยุ่มย่ามกับเขาโดยตรงเท่าไหร่...! เลยไม่ค่อยเดือดร้อน.

คิดได้ว่า...เอาความเป็นอยู่ของชาวชนบทเมื่อสัก 40-50 ปีที่แล้ว...มาเล่าทิ้งไว้ในเฟสบุ๊คถ้าจะดี.

เพราะเมื่อบันทึกไว้แล้ว...ผ่านไปอีกครึ่งศตวรรษ...มีคนอ่านพบก็จะได้ซึมซับบรรยากาศที่จะหาไม่ได้อีกแล้วในอนาคต.

บ้านที่ผมเกิด ได้รับฐานะเป็นตัวตำบลก่อนผมเกิด(ไม่อ้างอิงนะครับ)...ห่างจากตัวอำเภอประมาณ 15-16 ก.ม.สมัยที่ยังเป็นทางเกวียนก็เดินเท้าไปกลับ หรือนั่งเกวียนไปกลับ...ก็พอดีถึงบ้านค่ำ.

ถ้าหนทางหน้าแล้ง และล้อเกวียนไม่ติดหล่ม...ก็จะประมาณนี้...แต่ถ้าบรรทุกข้าวของมาหนักล้อเกวียนติดหล่ม.. .บางทีอาจต้องนอนกลางทาง.

หมู่บ้านที่ใกล้กันที่สุด ห่างออกไป 3 ก.ม. ไกลอีกหน่อย 5 ก.ม..

สมัยปี 2510...จนถึงปี 2527 ยังไม่มีไฟฟ้าใช้...มีหลังจากปีที่ว่านั้นมา.

ตัวตำบล...สมัยที่พอจำความได้ มีบ้านประมาณร้อยกว่าหลังคาเรือน...มีภูเขาโอบล้อมทุกด้าน...หนทางออกสู่บ้านอื่น ไปตามทางเกวียนลัดเลาะไปตามช่องเขา และทางชักลากไม้...ของบริษัททำไม้บริษัทหนึ่ง.

สัตว์ป่ายังมีอุดมสมบูรณ์...สมัยที่ผม 7-8 ขวบ ฝูงลิงลงมากินข้าวโพดที่ชาวไร่ปลูกไว้ ยังมีเป็นร้อย.

เก้งเยอะ หมูป่าเยอะ เสือโคร่งมีพอได้ยินเลา ๆ (คือบางปีแล้งมาก เสือโคร่งข้ามมาจากฝั่งซ้ายน้ำโขง ไม่ได้อยู่ประจำถิ่น)...พอให้ชาวบ้านตื่นเต้น.

เลียงผามี กวางนี่ไม่ได้ยินคนเฒ่าเล่าให้ฟังว่ามีหรือไม่ ไม่แน่ใจ...

แนะนำมาพอสมควรครับ...เพื่อจะบอกว่าที่มาตุภูมิสมัยนั้น ป่าดงยังอุดมสมบูรณ์...น้ำท่า ป่าเขียว.

กระทั่งยังเคยเห็นนกเงือก ที่แสดงความสมบูรณ์ของป่า ยังมี ยังเคยเห็น...!

และตำนานรอบกองไฟ จากปากคนเฒ่า...ที่เล่าตำนานลึกลับ อาถรรพ์ของป่า จากปากพรานไพร.

จากคนเฒ่า คนแก่ที่บุกเบิกมาตั้งบ้านเรือน จนเป็นหมู่บ้าน....

ใครเคยฟัง...เรื่องจิ้งเหลนกลายร่างเป็นปลากั้ง(ปลาช่อนภูเขา).

ผีกองกอย...!

โขมดดง.

ผีป่าบ้าง.....ฯลฯ....อยากฟัง คอมเม้นต์มานะครับ.

จะเล่าให้ฟัง....

Chote Vanhakij
23 มิถุนายน 2560 เวลา 21:57 น.
คลิกที่นี่..อ่านคอมเม้นท์ใต้บทความครับ
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1865945730393037&id=100009328851456

* * * * *


ตอนที่ 2 "ไล่ราวหมู่ป่า"

เพี้ยนมาจาก "เหล่า" (ป่าไม้ใหญ่ที่ถูกโค่นลงทำไร่เลื่อนลอย แล้วถูกทิ้งร้าง จนเริ่มมีป่าพื้น เต็มไปด้วยไม้เนื้อแข็งที่เริ่มเติบโต ประมาณ 3-5 ปี...พื้นล่างจะรกไปด้วยแฝก หญ้าสาบเสือ(หญ้าเมืองวาย,ดงฮ้าง)...และหญ้าประเภท เลา, ต้นอ้อ...ฯลฯ).

สรรพสัตว์ที่เกิดมาบนโลกนี้...เหมือนพุทธดำรัส ที่ตรัสเป็นพุทธธรรมเตือนชีวิตไว้แบบนี้ครับ...

....."หยาดน้ำค้างบนปลายยอดหญ้า ยามต้องแสงอาทิตย์อุทัย ย่อมเหือดแห้งหายไป ตั้งอยู่ไม่นาน ฉันใด,

ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย ย่อมถูกความแก่ ความเจ็บ และความตาย เผาผลาญไป ตั้งอยู่ไม่นาน ฉันนั้น".

ไม่อธิบายต่อนะครับ...จะยาว เมื่อยังมีกิเลส เวียนว่าย ตายเกิด ตามคติพุทธ ไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์ก็ต้องเป็นแบบนี้.

จะล่าสัตว์...แล้วเอาพุทธพจน์มาอ้างทำไม?.

ก็แทรกไว้ครับ...มีเกิด มีตาย มีเจ็บไข้ได้ป่วย ตามคติโลก ธรรมดาโลกละครับ.

เข้าเรื่องเลยแล้วกัน...สมัยที่ผมพอจำความได้ สัก 7-8 ขวบ...เรื่องสนุกสนานของพรานชาวบ้าน และหนุ่มรุ่น ๆ ที่กำลังหัดยิงปืน กำลังห้าว อยากเป็นพราน ก็คือ ไล่ราวหมู่ป่านี่แหละ...

มันยังไงครับ?.

เกริ่นพื้นที่ ที่บ้านเกิดนิดหนึ่ง บ้านเกิดเป็นชุมชนใหญ่ ตั้งอยู่บนพื้นราบ กลางแอ่งหุบเขา ที่มีภูเขาสูงกว่าระดับน้ำทะเลปานกลาง สูงไม่เกิน 500 เมตร ล้อมรอบทุกด้าน ชุมชนปลูกบ้านเป็นกระจุก ติดกันไม่ห่าง ภายในพื้นที่ 1 ตารางกิโลเมตร.

ที่รวมเป็นกระจุก เพราะต้องช่วยเหลือกันยามมีภัยทุกชนิด...ตั้งแต่ปล้น ไฟไหม้ โจรขโมยวัว ควาย ฯลฯ.

ไกลปืนเที่ยงจริง ๆ ครับ...

และป่า ถึงจะไม่คงสภาพดงใหญ่ เหมือนป่าสงวนในปัจจุบัน แต่ก็เปลี่ยวดิบ และเต็มไปด้วยไม้ใหญ่ ป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง ตามความสูงของภูเขา.

บ้านของข้าพเจ้า ปลูกเรือนสับฟาก(สมัยนั้น) อยู่บนลาดเขา ฟากหนึ่งของหมู่บ้าน...ท้ายหมู่บ้านวัดระยะทางตรงไปทางทิศตะวันตก ตามสายตาไกลจากบ้านที่อยู่...ประมาณ 1.5 ก.ม.ถูกจับจองเป็นพื้นที่ที่จะสร้างวัดป่าเนื้อที่ประมาณ 30-40 ไร่ ปัจจุบันเหลือไม่ถึง.

ค่ำคืน ประมาณสักสองทุ่ม เมื่อบ้านเมืองยังไม่มีไฟฟ้าใช้...ยังมีเสียงโหยหอนของหมาจิ้งจอก ดังมาจากทางวัดอยู่บ่อย ๆ.

นั่นคือ สภาพหมู่บ้านขณะนั้นครับ.

สิ้นหน้าแล้ง...หลังบุญเดือนหกในหมู่บ้านผ่านแล้ว...ฝนจะเริ่มตก พื้นดินอ่อนนุ่ม สัตว์ป่าจะเริ่มออกมาจากที่หลบภัย เช่น โพรงไม้ใหญ่ ซุ้มกอไผ่ป่า เงื้อมหิน เพื่อหาอาหารกิน.

โดยเฉพาะหมูป่าละครับ...จะเริ่มมีรอยกีบเท้า ปรากฏบนพื้นดิน ให้พรานที่เตรียมล่าแกะรอย และรู้จักแหล่งที่อยู่ รัศมีการหากินว่ากว้างขนาดไหน จะได้ประมาณพื้นที่เตรียมล่า...

เมื่อถึงวันล่า ก็หาสมัครพรรคพวก(ลูกไล่ สัก 10-20 คน)ไม่เกินนั้น...พร้อมคนมีปืนแก๊ป ที่จะเป็นพรานคอยยิงหมู สัก 4-5 คน(สมัยนั้น หาปืนยาก).

วางแผนว่าจะวางพรานไว้ตรงไหน...! ลูกเหล่า ลูกไล่ จะไล่ จะตีเกราะ เคาะไม้ จะให้หมาพราน ค้นหาหมูป่า จากทางไหน ไปทางไหน.

ทิ้งระยะ ห่างจากหมูที่ล่าเท่าไหร่...ถึงจะไม่โดนปืนลูกหลงจากพรานที่ซุ่มยิงหมูตรงทางด่านที่หมูจะวิ่งผ่าน....

จนเกิดตำนาน พรานโดนหมูป่าขวิดท้องไส้ไหล.

โดนหมูวิ่งสวนควันปืน ขวิดจนพวงสวรรค์หาย.

สับไกปืน แล้วปืนไม่ลั่น เพราะหมูมีเขี้ยวหมูตัน...!

สับไกปืน แล้วปืนไม่ลั่น เพราะหมูป่ามีช้องหมูอยู่ในปาก

พรานหนุ่มใจกล้า สับไกปืนแก๊ป ปืนไม่ลั่น ขัดใจ ชักมีดเดินป่าออกฟันหมูป่า ดวลกันแบบฝ่ายหนึ่งอยากเอาชีวิต กับอีกฝ่ายป้องกันชีวิต.

เยอะแยะครับ...

รวมทั้งอาถรรพ์ต่าง ๆ จากการล่าหมูป่า.

จะเล่าตอนหน้าครับ....ยาวไปเดี๋ยวจะอ่านยาก

Chote Vanhakij
24 มิถุนายน 2560 เวลา 21:32 น.
คลิกที่นี่..อ่านคอมเม้นท์ใต้บทความครับ
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1866551293665814&id=100009328851456

* * * * *


ตอนที่ 3 "ไล่ราวหมูป่า" (ต่อ)

"ช้องหมูป่า, เขี้ยวหมูป่าตัน"

เมื่อวานได้เล่าถึงการเตรียมการในการไล่ราวหมู่ป่า หลังฝนเดือนหกตกแล้ว เห็นรอยกีบหมูป่าเหยียบดิน จนพรานแกะรอย และรู้ที่อยู่เตรียมล่า.

(ผมเอง จบ ป.6.เมื่อสิ้นเมษายน 2523...อายุ สิบสามปีเต็ม ย่างเข้าสิบสี่ เพราะความที่ยากจน แต่เรียนดี เรียนเก่ง พ่อ แม่ไม่อยากให้มีชีวิตเป็นชาวไร่ยากจน.

เลยบอก บวชเรียนเถอะลูก...เผื่อได้ร่ำเรียนเป็นมหาเปรียญ มีความรู้เป็นคนดีแล้วออกมาทำมาหากิน...ว่างั้น..!)...เพราะเหตุนี้แหละ เลยทำให้ชีวิตพลิกผันแบบหน้ามือ หลังมือ...

เพราะจากเด็กต่างจังหวัดกะโปโลไม่รู้เรื่องอะไรเลยกับโลกภายนอก(คือ พอรู้บ้างผ่านตัวหนังสือพิมพ์ที่มีขายภายในหมู่บ้านสมัยโน้น)...ห่มผ้าเหลือง พอรู้วัตร ปฏิบัติของพระเณร...ก็มีอันต้องจากสังคมทุ่งนา ป่าใหญ่ ฟ้าใส ผู้คนจิตใจงดงามเข้ามาเป็นพระเณร ใน กทม.ทันที...

เพราะลุงนำมาฝากไว้ที่วัดแห่งหนึ่งแถวบางซื่อ กทม.

ก่อนนี้...เข้ามาครั้งหนึ่งแล้ว...พักที่วัดแถวลาดกระบัง กทม.แต่กลับไปจำพรรษา ที่ต่างจังหวัด.

ก็คิดเอาแล้วกันครับ...ว่าหน้ามือ หลังมือขนาดไหน.

คือ มาแบบปุบปับ แล้วชีวิตชนบท ก็ขาดหายไปเลยแต่นั้น ว่างจากเรียน ก็กลับไปเยี่ยมพ่อ แม่และญาติปีละครั้ง....

กลับไปแต่ละครั้ง หมู่บ้านก็เปลี่ยน ผู้คนเริ่มแปลกหน้า...เด็ก ๆ เริ่มโต....จนผ่านไปสิบกว่าปี ผมออกจากวัด(สึก)กลับไปก็เป็นคนแปลกหน้า แปลกถิ่นสำหรับคนในหมู่บ้าน นอกจากคนเฒ่า คนแก่ และญาติแล้ว แทบจะไม่มีใครรู้จักผมเลย ว่าเกิด และใช้ชีวิตในหมู่บ้านนี้สิบกว่าปีก่อนจะออกจากบ้านไปอยู่ถิ่นอื่น.

หมู่บ้านที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว สาเหตุใหญ่สาเหตุหนึ่งก็คือ ประเทศลาวฝ่ายประชาธิปไตย พ่ายแพ้ให้กับพรรคอมมิวนิสต์อันเป็นชนชั้นแรงงาน...และถือเป็นการแตกประเทศ....

ลาวต้องไปอยู่ภายใต้การปกครองแบบสังคมนิยม.

ทำให้คนลาวที่ถือฝ่ายเสรีประชาธิปไตย โดนไล่ล่า เข่นฆ่า จนต้องหนีกระเซอะ กระเซิงเข้ามาฝั่งไทยตลอดระยะเวลาตั้งแต่ปี 2515...จนถึง 2525 จนทางสหประชาชาติ และโดยความช่วยเหลือของอเมริกา ส่งไปอยู่โลกที่สาม.

นั่นแหละครับ...หมู่บ้านเลยมีผู้คนมากขึ้นและโตแบบก้าวกระโดด เพราะมีผู้คนเพิ่มขึ้นมาอย่างกระทันหัน จากคนลาวที่ไม่สามารถไปอยู่โลกที่สาม...และมีญาติที่อื่น...ตกค้างในหมู่บ้านหลายร้อย.

จะยาว...เข้าเรื่องละกัน...

ช้องหมูป่า และเขี้ยวหมูป่าตันนั้น โบราณท่านว่ามีดีทางคงกระพัน แคล้วคลาด กันภูติผีปีศาจที่เกิดจากอำนาจป่า ฯลฯ.

บางท่านว่า ช้องหมูป่า คือขนเพชรของหมูป่าจ่าฝูง ที่มีฤทธิ์ส่งให้เกิดผลทางคงกระพัน.

แต่ผมเชื่อกระแสนี้มากกว่า...ว่าเกิดจากขนแผงของหมูป่าที่เกิดขนแผงตั้งแต่หว่างคิ้ว ยาวไปตลอดสันหลังจนถึงโคนหาง.

เป็นขนแข็งและหนา.. วิธีการเกิดคงเกิดจากขนแผงตรงหว่างคิ้วและกลางหัวของหมูป่ายาวมาก จนมาปิดตาหมูป่า บางทีอาจย้อยยาวมาจนจนถึงปากและเขี้ยว...หมูป่าคงรำคาญ เลยเอาลิ้นตวัดมากัดออก กลายเป็นขนที่คล้องอยู่ตรงเขี้ยวมั่ง.

ติดอยู่ในกระพุ้งแก้มมั่ง...จนยางไม้และอะไรต่าง ๆเข้าไปเคลือบจนแข็ง.

เขี้ยวหมูตัน...ตรง ๆ แล้ว ไม่บรรยายครับ

ทีนี้มาพูดถึงฝ่ายพรานครับ...

พรานโบราณสมัยนั้น นอกจากปืนลูกซองแฝด(ลำกล้องคู่)...และลำกล้องเดี่ยวที่ถือว่าเป็นปืนดีที่สุดที่ชาวบ้านมีครอบครองได้แล้ว.

ก็มีลูกซองห้านัดของ อ.ส.ประจำหมู่บ้านนี่แหละ ที่ดีกว่า.

นอกนั้นก็จะเป็นปืนแก๊ป....ที่พรานสร้างดินปืนเอง...หล่อลูกปืนจากตะกั่วอวนเอง จะเอาลูกโดด ก็หล่อลูกปืนใหญ่หน่อย เท่าเม็ดลูกปัด ถ้าจะเอาลูกเก้าก็เอาเม็ดเขื่องกว่าหัวเข็มหมุดหน่อย.

ลูกปรายก็เล็กลงไปอีก......

จึงเป็นเหตุให้คิดว่าหมูป่าหนังเหนียวมาจากตรงนี้.

หมูป่านั้น เป็นสัตว์หนังหนาครับ ถ้าลูกปืนที่เข้ากระทบ(โดยเฉพาะลูกตระกั่วกลม ๆ)ไม่กระทบเป็นมุมฉากกับพื้นผิวหนัง หรือมากกว่า 70 องศาขึ้น.

ลูกปืนจะแฉลบ และไม่ทะลุผิวหนังหมูป่า...ต่อให้เป็นปืนลูกซองลูกโดดหรือลูกเก้าเม็ด.

ถ้ามุมยิง...โดนขนที่แผงคอ(ซึ่งขนแข็งมาก)ไล่ตั้งแต่กึ่งกลางหน้าผากไป....มุมลูกกระสุนที่เข้าปะทะน้อยกว่า 70 องศาละก็.

กระสุนจะแฉลบ...ไม่เข้า.....กลายเป็นหมูป่าหนังเหนียวทุกตัว...จนเป็นตำนานเขี้ยวหมูตัน

และช้องหมูป่าแหละครับ.

ทีนี้ ปืนแก๊ปที่ชาวบ้านมี จะมีนกสับปืนไปตีแก๊ปให้แตกจนเกิดประกายไฟ ไหลไปจุดชนวนดินปืนที่ท่อรูเข็มจนไประเบิดภายในลำกล้องปืน.

ส่งกระสุนจากท่อลำกล้องปืน เข้าสู่เป้าหมาย.....

ไว้ต่อวันหน้าละกันครับ....

บทหน้า...พรานหนุ่มขัดใจชักมีดเดินป่า...ออกดวลกับหมูป่า....เพราะปืนไม่ลั่นครับ

Chote Vanhakij
25 มิถุนายน 2560 เวลา 21:32 น.
คลิกที่นี่..อ่านคอมเม้นท์ใต้บทความครับ
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1867165393604404&id=100009328851456

* * * * *


ตอนที่ 4 "หลามปลากั้ง"

"ถวิลหาอดีต" "ไล่ราวหมูป่า" ทีแรกก็เขียนเล่น ๆ ไว้ให้ลูกหลานอ่านในอนาคต...กะว่าอย่างนั้นจริง ๆ ครับ...แต่คุณพี่ที่เคารพ เพราะติดตามข่าวทางด้านการเมืองมานาน(ไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว)...แต่ดูเหมือนญาติสนิท...ท่านคนทางลำพูน...คิดว่าแบบนั้น. พี่ ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร.ครับ.

ขออนุญาตเอ่ยนาม...ท่านนำข้อเขียนเล่น ๆ ของผมไปลงในที่แห่งหนึ่งทั้งสามตอนแล้ว...แก้ไขอะไรไม่ทัน ท่านนำไปลงแล้วถึงส่งข่าวมาบอก.ผมก็ไม่มีโอกาสแก้ไข วรรคตอน ตัวอักษร สำนวนทั้งสิ้น... ทั้งเรื่องส่วนตัวที่แทรกไว้...ก็ไม่ได้ตัดออก...ถ้ามีโอกาส หรือท่านบอกก่อน ก็คิดว่าจะแก้ให้สำนวนลื่นไหลกว่านี้.

เป็นเกียรติอย่างมากครับ...!


Tong Maririn : "ผมว่าเขียนอย่างที่คุณโชติเขียนภาษาบ้านๆนี่ละครับมีเสน่ห์ชวนติดตาม เขียนมาจากชีวิตไม่ต้องแต่งเสริมเติมแต่งนี่ละครับที่น่าอ่านน่าจดจำ"

เลยขอพัก เรื่องไล่ราวหมูป่า เมื่อปลายเดือนหก...เริ่มเข้าต้นฤดูฝน ข้ามไปปลายฤดูฝนเดือนสิบเอ็ด ต้นเดือนสิบสอง...ต่อเดือนยี่จะเข้าหน้าแล้ง.

(เป็นการนับเดือน แบบจันทรคติของไทยครับ มีเวลาจะอธิบายในหน้าอื่น).

ปลายเดือนสิบเอ็ด ข้าวไร่เริ่มแก่ ใกล้เก็บเกี่ยว(ข้าวปี) ถ้าเป็นข้าวเบา(ข้าวดอ)ก็เกี่ยวไปทานกันเป็นข้าวใหม่, ข้าวหลาม ในกระบอกไม้ไผ่ข้าวหลามเสียแล้ว.

เดือนนี้ฝนขาดเม็ด ลมหนาวมาแล้ว...น้ำในลำห้วยต้นน้ำจะใสมากจนเห็นพื้นท้องน้ำ...

และลำห้วยเล็ก ๆ ต้นน้ำบนภูเขา สายน้ำจะขาดห้วงเป็นช่วง ๆ ปลาจำพวก ปลาผ่านบู่, ปลากั้ง, ปลาซิว, กระสูบจุด แม้กระทั่งลูกอ๊อดของกบภูเขา (ทางแม่ฮ่องสอนเรียก กบแลว) แถวบ้านเกิด เรียกเขียดปาดบ้าง.

หรือมีชื่ออื่นอีก ก็จำไม่ได้...แต่ลูกอ๊อด(เพชรบูรณ์ เรียกอีปุ่ม)เหล่านี้ พร้อมปลาจะหลบลงน้ำลึก ลงแอ่ง.

เขียนมาซะยาว...!

วันนี้...จะพาไป "หลามปลากั้ง" กินข้าวกลางป่ากันครับ

เรื่องหมูป่า...ขอขยักเรียกความจำก่อน.

(ทีมงานวันนั้น พ่อ, ผม, น้องชายเก้าขวบ...แม่เลี้ยงน้องสาวคนที่สาม, และสี่อยู่บ้าน)

ปลากั้ง...บางที่เรียกปลาก้าง (อังกฤษ Dwarf snakehead, Red-tailed snakehead) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งในวงศ์ปลาช่อน (Chanidae).

มีรูปร่างคล้ายปลาในวงศ์นี้ทั่วไป แต่มีส่วนหัวกลมมน และโตกว่า ลำตัวมีสีน้ำตาลอ่อน ถึงน้ำเงินคล้ำ และมีลายปะ หรือจุดสีคล้ำ ท้องสีจาง โคนครีบอกมีลายเส้นสีคล้ำเป็นแถบ 4-6 แถบ ครีบหลัง ครีบก้น และครีบหางมีสีเทาหรือสีน้ำเงินเรื่อ ขอบหางสีส้มหรือสีจาง.

มีการกระจายพันธุ์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในพม่า, ไทย, ลาว, เขมร, เวียดนาม...

บางตำราว่ามีกระทั่งมาเลย์, อินโดนีเซีย,บาหลี โดยพบได้แถบลำธารต้นน้ำในภูเขา...พอออกลำน้ำใหญ่กลับไม่ค่อยพบ.

ปลาก้างจัดเป็นปลาชนิดหนึ่งของปลาวงศ์นี้ ที่มีขนาดเล็ก โตเต็มที่มีขนาดยาวไม่เกินหนึ่งฟุต.

พบได้ในต้นน้ำบนภูเขา ทั่วทุกภาคของประเทศไทย จัดเป็นปลาที่มีสีสันสวยงาม และเลี้ยงไว้ดูเล่น.

แต่ยังไม่มีเลี้ยงในเชิงพาณิชย์.

ปลากั้ง หรือปลาก้าง ที่พบในถิ่นเกิด มีสีครีบหลังสีแดงสดเหมือนไฟ เหมือนกับที่พบในเทือกเขาสูงทางฝั่งซ้ายน้ำโขง(ลาว)...มีชื่อที่ทางนักมีนวิทยาให้ชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า "Channa gahua" เหมือนกับปลากั้งอินเดีย.

แต่นักมีนวิทยาบางท่านเห็นว่า ปลากั้งทางเอเชียอาคเนย์ น่าจะใช้ชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า "Channa limbata" มากกว่า.

พอแล้วนะครับ...อ้างอิง.

เดินห่างจากบ้านประมาณ 3-4 ก.ม.ก็ถึงซอกห้วยต้นน้ำ สายน้ำขาดช่วงเป็นแอ่ง ๆ พ่อพาเดินเลาะลำห้วยหมายตาไว้สองสามแอ่ง ที่มีชายเฟือยจากหญ้าเลา ล้มปลายหญ้าลงในน้ำ.

พ่อบอกให้รื้อออก ก็ช่วยกันทั้งสามคนรื้อหญ้าออกพ้นน้ำ...เริ่มเห็นปลากั้งตัวขนาดถ่านไฟฉายก้อนใหญ่ออกมากระโดดหลายตัว.

ลงมือไล่ตะครุบสิครับ ทีนี้ น้ำแค่หัวเข่า แอ่งแคบ ๆ กว้างแค่ 2-3 เมตร...สนุกมาก แต่ละแอ่งตัวใหญ่ ๆ มีเป็นสิบ...ตัวเล็กนี่เยอะ.

ไม่ได้เอาสวิงไป....เพราะตั้งใจไว้แบบนั้น...!

ชาวป่า...ถ้าจะจับปลาแบบหมดแอ่ง...ทำไม่ยากครับ(ทุบรากไหล โล่ติ๊นนั่นแหละครับ)...โยนลงน้ำ สอง สามราก สิบนาทีปลาก็โผล่มาให้จับ.

ใครเคยดูยูทูปจะรู้ครับ....เหมือนชาวป่าทุบแช่น้ำ ให้ปลาไหลไฟฟ้าโผล่ แล้วเอาไม้แทงนั่นแหละ.

พืชมีพิษต่อระบบเหงือกของปลา...ชนิดเดียวกัน.

ได้มาแล้ว ทั้งเล็กใหญ่ ร่วมสามสิบตัว...พ่อบอกพอ ขึ้นจากน้ำคัดตัวงาม ๆ มาสิบตัว ให้ขอดเกล็ดห้าตัว.

ไว้ย่างอีกห้าตัว.

บอกให้ขอดเกล็ดปลารอ แล้วก่อไฟไว้ด้วย พ่อหายไปสักพัก กลับมาก็มีมะเขือพวง, มะกอกป่า,เถาสะค้าน, ผักกูด...

ได้มาแล้วใช้ให้น้องไปล้างผัก....ผมย่างปลา.

ขั้นตอนนี้ พ่อเลือกบั้งหลามจากต้นไผ่หลามข้างห้วย...สับปลา ปาดกระบอกไผ่....คะเนปลากับน้ำแล้ว.

เคล้าเกลือกับปลา สับเถาสะค้านลงกระบอก...

กรอกพริกขี้หนู เนื้อปลา เกลือ ควักน้ำพริกปลาร้าในกระปุกลงไปด้วย.

ผ่ามะกอกลงไปลูกหนึ่ง.....ส่วนผักกูด บางทีก็ไม่ใส่

เอาไปเผาไฟ(หลาม)ครับ.

สุกแล้ว ก็ดูภาพเลยครับ.

เทลงรางไม้ไผ่....ล้อมวง....เป็นมื้ออาหารที่ถือว่าอร่อยที่สุดของปีนั้นเลย

Chote Vanhakij
26 มิถุนายน 2560 เวลา 22:43 น.
คลิกที่นี่..อ่านคอมเม้นท์ใต้บทความครับ
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1867846133536330&id=100009328851456

* * * * *


ตอนที่ 5 "ไล่ราวหมูป่า" (ต่อ)

"ช้องหมูป่า เขี้ยวหมูตัน"

ประเภทเครื่องราง...ที่เกิดจากสัตว์ทิ้งไว้ โบราณาจารย์ถือว่าเป็นของทนสิทธิ์โดยธรรมชาติ...แล้วมนุษย์เอามาให้ครูบา อาจารย์ปลุกเสก ลงเลขยันต์เพื่อความขลังนั้น ที่ได้ยิน ได้ฟังคุ้นหูมาบ่อย ๆ ก็มี.

1. ช้องหมูป่า.
2. เขี้ยวหมูตัน
3. เขี้ยวเสือ
4. กระดูก หรือหนังหน้าผากเสือ.
5. เขากวางคุด
6. งากำจัด งากำจาย
7. เขากำจัด เขากำจาย
ฯลฯ....

สมัยที่ยังอยู่บ้านป่า เป็นเด็ก ยังไม่เข้าใจอะไรมากมาย คนเฒ่า เล่าอะไรให้ฟัง ก็เชื่อตามละครับ ประเภทเครื่องราง ของขลัง ที่เล่ามานี่........

ก็อยากได้ อยากมี.

จนเมื่อบวชหลายพรรษา มีความรู้ทางโลกสูง และทางธรรมสูงแล้ว เฉย ๆ แต่ก็ไม่ทำร้าย ทำลายความเชื่อใคร ถือว่าใครเชื่อจนเกิดความเชื่อมั่น แปรพลังความเชื่อมั่นนั้น เป็นกลุ่มก้อน พลังงานทางจิต...

ส่งให้เกิดผล ในทางความคงกระพัน ชาตรี หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ของทนสิทธิ์ที่กล่าวมาจะอำนวยผลให้.

มันมาเกี่ยวกับการล่าหมูป่ายังไงละครับ?....

คือ หลาย ๆ ครั้ง ที่พรานตามล่าหมูโทน หรือหมูจ่าฝูง ตัวใด ตัวหนึ่ง จนยกปืนขึ้นยิงหลายครั้ง ก็ไม่แตก ปืนไม่ลั่น.

แน่ใจว่ายิงโดนจัง ๆ แต่อำนาจทะลุ ทะลวงของกระสุนก็ทำอันตรายหมูป่านั้นไม่ได้ จนทำให้พรานนั้นสงสัย และสืบดู จนถึงเวลาหมูนั้นโดนกับดัก จับตัวมาได้.

หรือยิงตาย แล้วเอาบางสิ่งบางอย่างที่แปลกพิเศษในร่างนั้น มาถามผู้รู้...จนแน่ใจว่าใช่สิ่งนั้น แล้วเกิดการแสวงหา.....

แต่ในความคิดของผม คิดว่าอำนาจของแรงกระสุนปืนโบราณนั้น ไม่รุนแรงพอมากกว่า.

จึงทำให้ดูเหมือนว่าหมูนั้นหนังเหนียว ยิงไม่เข้า...เพราะจริง ๆ หนังหมูป่า เทียบกับหนังเก้งแล้ว หนา บาง ห่างกันเป็นเซ็นต์เลยครับ.

อีกอย่างดินปืนโบราณนั้น มีกรรมวิธีที่คล้ายกันก็จริง แต่ก็มีสูตรดินปืนของใครของมัน(คือระเบิดแรง ปานกลาง)ต่างกัน...ง่าย ๆ ใครเคยดูบั้งไฟ ที่เขาจุดทางภาคอีสานบ้างครับ.

เคยขอดูดินปืน ที่บรรจุในกระบอกบั้งไฟไหมครับ?

งั้นผมจะอธิบาย ดินปืนที่บรรจุบั้งไฟนั้นมีแรงระเบิดปานกลางให้ผลในทางลุกไหม้มากกว่าแรงระเบิด.

ส่วนดินปืนที่บรรจุในกระบอกปืนแก๊ปนั้นให้แรงระเบิดมากกว่า และจุดระเบิดอย่างรวดเร็ว รุนแรงมากกว่าดินปืนบั้งไฟครับ......

วิธีทำ...

ไม่อธิบายสูตรโดยละเอียดนะครับ เอาแต่พอรู้หลัก ๆ แล้วจะข้ามไป.

ต้นพริกแก่แห้งสนิท, ไม้ปอมอง(ไม่ทราบชื่อในถิ่นอื่น)ไม้ชนิดนี้เนื้อไม้เบา เป็นถ่านแล้วโขลกแหลกง่าย พอ ๆกับต้นพริก, หรือไม้ชนิดอื่นเนื้อเบา.

เผาให้เป็นถ่านเตรียมไว้ ได้พอแล้วใส่ครกหินโขลกให้ละเอียด(ใส่น้ำไปด้วยหน่อยหนึ่ง)พอให้ถ่านจับตัวเป็นก้อน

ใส่กำมะถัน ใส่ดินประสิว ตามอัตราส่วน ระวังอย่างเดียวต้องคอยหยอดน้ำในครกเรื่อย ๆ ไม่ให้ดินปืนแห้ง.

ถ้าไม่อย่างนั้น จะเท่ากับเราเอาระเบิดมือลูกหนึ่งมาโยนลงตรงหน้าใกล้ ๆ ตัวเอง.

บดไปจนได้ที่...แบ่งดินปืนสักครึ่งช้อน ไปตากแดดให้แห้ง ทดลองจุด ถ้าพรึบเดียว....

เหลือแต่รอยจาง ๆ บนพื้นใบตองก็ใช้ได้.

ถ้าลุกไหม้ช้า มีรอยไหม้บนพื้นใบตอง ก็แน่ละ ถ่านไม่ละเอียดพอ ดินประสิวน้อย.

เติมดินประสิวเข้าไป...โขลกและทดลองจนได้แรงระเบิดที่ต้องการแล้ว...ยีให้ละเอียด ตากแดดให้แห้งสนิท.

ทดลองกรอกปากกระบอกปืนแก๊ป ลองยิงครับ.

ปืนแก๊ปนั้นเป็นปืนลำกล้องเรียบ ใช้ยิงด้วยลูกตะกั่วกลม ๆ ยิงครั้งหนึ่งแล้ว กว่าจะกรอกลูกปืน พร้อมยิงนัดที่สอง ก็ใช้เวลาอย่างเร็วสุดก็สิบนาทีครับ....ประมาณนั้น เป็นจุดอ่อนในการล่าสัตว์อย่างมาก เพราะจะไม่สามารถยิงซ้ำได้อย่างรวดเร็วเหมือนปืนยุคปัจจุบัน.

กรณีหมูป่าวิ่งสวนควันปืนนัดแรก ถ้าไม่โดนจุดตาย หรือที่สำคัญ...มีทางเลือกสามทางครับ.

1.โดดเกาะต้นไม้ที่อยู่ใกล้ ขึ้นไปให้สูงที่สุดเท่าที่จะมีเวลา.

2.บังหลังต้นไม้ ถ้ามีต้นไม้ใหญ่ให้บัง และปีนขึ้นไม่ได้

3.ชักมีดซุย หรือมีดประแดะ ออกมาเตรียมสู้.

(ตัดเรื่องหมูป่าหนังเหนียวไว้ก่อนครับ เอาเรื่องนี้ให้จบก่อน).....

พรานทั่วไป...มักจะเลือกสองวิธีแรก...ไม่เอาวิธีที่สาม กลัวไส้ตัวเองทะลัก...เพราะคมเขี้ยวหมูป่า.

พรานป่าพื้นบ้านมักจะมีมีดซุยปลายแหลม, มีดชายธง, มีดบ่องหรือจะเรียกมีดประแดะ ก็ตามแต่ติดตัวทุกคนเวลาเข้าป่า เป็นมีดเดินป่าประจำตัวทุกคน.

สมัย พ.ศ.นั้น การเห็นชาวบ้านสะพายย่าม พร้อมปืนแก๊ป มีดเดินป่าในแปมหวาย(ฝักมีด)...ในหมู่บ้านหรือในดงเป็นเรื่องปกติครับ....เพราะแต่ก่อนไกลปืนเที่ยง โจรผู้ร้ายเยอะ...ต้องมีไว้ป้องกันตัว.

(ปัจจุบัน ปืนเถื่อน เสียค่าปรับ (โดนรีดด้วยมั้ง) เป็นหมื่นละครับ).

เหลือบไปดูภาพปืนแก๊ปนิดหนึ่ง....!

พ้นแล้ง เริ่มฝนปีนั้น...คุ้มบ้านผมมีไล่ราวหมูป่า พรานอาวุโส มือยิงหมูป่า สี่ห้าคน ดักตามช่องทาง ที่หมูจะวิ่งผ่าน.

พรานใหม่คอยซ้ำ มีแต่หนุ่ม ๆ วัยรุ่นเป็นสิบ.

เด็ก ๆ อย่างพวกผม คอยตีเกราะ เคาะไม้ให้ป่าแตก.

หมาพรานคอยตามกลิ่นเป็นสิบตัว.

......................

หมาพรานได้กลิ่น เห่าโฮ่ง ขึ้นสี่ ห้าตัวก็รู้แน่ครับ เจอตัวแล้ว พรานลูกไล่รุ่นหนุ่ม เริ่มต้อนหมูไปทางพรานใหญ่ พวกผมเด็ก ๆ อยู่ชั้นนอกห่าง ๆ กลัวขวางทางปืน.

หมูวิ่งจะพ้นเหล่า(ป่าหญ้าสาบเสือท่วมหัว)อยู่แล้ว จะเข้าทางปืน กลับวิ่งสวนทางกลับมาหาพรานลูกไล่มือใหม่....

(ข้อความต่อไปนี้ ไม่ได้เห็นกับตา แต่ฟังจากปากพรานรุ่นพ่อ และคนเจ็บทีหลัง)...พวกเด็ก ๆ อย่างพวกผมเห็นอยู่ห่าง ๆ

หมูป่าวิ่งสวนทางเข้าหาพรานหนุ่ม หมาพรานพื้นบ้านกระโชกไล่ตามเป็นสิบ...ระยะ 15 เมตร.

พรานมือใหม่ ตวัดปืนแก๊ปจากไหล่ ประทับพานท้ายเข้าซอกไหล่ประทับบ่า.

(ถ้าล้มได้นัดเดียวและประจันหน้าแบบนี้ คุยได้เป็นปี และขึ้นชั้นพรานอาชีพเลยแหละ...ขอบอก)

ง้างนก สับไกไล่หลังกันแค่ครึ่งวินาทีละมั้ง(โม้เอามันนะครับ)...น่าจะสามวินาที.

นกสับแก๊ปปืนบนถ้วยแก๊ปดังเป๊ก....เงียบ

ปืนไม่ลั่น.....!

พรานหนุ่มขัดใจ โยนปืนเข้าป่าสาบเสือทางขวา...คว้าด้ามมีดข้างเอว.

ยังไม่พ้นฝัก หมูป่าก็ชนตูมเข้าตรง กระดูกเชิงกรานด้านหน้า...กระเด็นเข้าป่าสาบเสืออีกทาง.

หมูป่าเป๋ไปอีกทาง.

หมาพรานล้อมหน้า ล้อมหลังเข้าทัน หมูป่าก็หันซ้าย หันขวา สู้หมา พอดีพรานใหญ่ตามมาทันก็เล็งปืนรอจังหวะ(กลัวยิงโดนหมาพราน).

(ปกติถ้ามุมยิงทางซ้ายลำตัวเหยื่อได้ นี่ถือว่าสุดยอดเป้าครับ....เป้าหัวใจ).

หมูป่าเคลื่อนตัวพ้นหมา พรานใหญ่ก็สับไกโป้ง.....ตูมสนั่น..

พวกผมก็เฮสิครับ.....พรานระดับนี้อยู่แน่นอน.

ปรากฏว่าเป้าเลื่อน โดนกระดูกสันหลังหมูหัก ลงไปนั่งกอง....จะซ้ำก็ต้องบรรจุนัดใหม่.

หมูป่าก็งับซ้าย งับขวาสู้หมา...

แต่พรานหนุ่มสิครับ หายจุกลุกจากป่าหญ้าสาบเสือ คว้ามีดซุยได้ก็กระโจนเข้าฟันหมูป่า.

พรานใหญ่ร้องทันแค่....อย่า.

พรานหนุ่ม ฟันไป หมูหลบทัน แต่หันกลับ มางับกัดมือที่ถือมีดพรานหนุ่ม กระดูกหักไปหนึ่งนิ้ว.

กระดูกหลังมือแตก เส้นเลือดขาด...หลุดออกมาก็พอดีพรานคนอื่นตามทัน.

ซ้ำปืน ไปอีกสองนัด.

แต่ต้องมาปฐมพยาบาลคนเจ็บด้วยใบสาบเสือห้ามเลือด พันด้วยผ้าขาวม้า ส่งอำเภอก่อนค่ำ.

หมูป่าโทนตัวนั้น หนักเกือบ 80 กิโลกรัม.

ดูภาพประกอบปืนแก๊ป, มีดซุย และพรานรุ่นหนุ่มได้เลย.

พรานหนุ่มของจริง(ภาพจากเน็ต).

พรานแก่ ภาพจากละคร.

Chote Vanhakij
27 มิถุนายน 2560 เวลา 23:35 น.
คลิกที่นี่..อ่านคอมเม้นท์ใต้บทความครับ
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1868565510131059&id=100009328851456

* * * * *


ตอนที่ 6 "ไล่ราวหมูป่า" (ต่อ)

"ช้องหมูป่า, เขี้ยวหมูตัน"

ส่งท้ายเรื่อง เรื่องนี้..............

เครื่องราง ของขลัง บรรดามีที่มนุษย์สรรหามาไว้คุ้มครองป้องกันตัวเอง ก็ล้วนมาจากความหวาดกลัวต่อภัย และความไม่รู้ต่าง ๆ นั่นแหละครับ.

เมื่อยังไม่มีพุทธศาสนาเป็นแนวทางให้คิด...ให้ขยายไปสู่ความเข้าใจโลกและชีวิต.

ก็ยึดเอาสิ่งต่าง ๆ ที่คิดว่าทำให้ตัวเองปลอดภัย รู้สึกมีความมั่นคงทางด้านจิตใจ เต็มอิ่มในความรู้สึกมายึดถือ เคารพบูชา เป็นที่พึ่ง ที่ยึดเหนี่ยว.

แม้เมื่อมีพุทธศาสนาเป็นที่ให้ความเข้าใจ ด้านโลก, ชีวิต และโลกหน้า.....ก็ยังมีแนวความคิดเดิม ๆ เข้ามาเกาะเกี่ยวกับคติทางศาสนาหลาย ๆ อย่าง เช่น กรรม, ผลบุญ, หรือผลแห่งบาปอกุศลที่ส่งผลข้ามภพชาติ ในคติทางพุทธศาสนา จนมีส่วนหยั่งรากลึก ในความคิดและสามัญสำนึกของชาวไทยถิ่นนี้...ให้มีคติ ความเชื่อ และแนวคิดอื่น ๆ ปน ๆ กันอยู่เสมอ กับแนวความคิดเดิมที่เข้ากันได้....

อย่างไรครับ?......

อย่าง...ช้องหมู เขี้ยวหมูตัน แบบนี้ คนไทยส่วนใหญ่เชื่อกันอย่างมาก และเล่าสู่ลูกหลานรุ่นต่อรุ่น ว่าเป็นเครื่องรางจากสัตว์ ที่มีฤทธิ์ อำนาจในตัวเอง เป็น "ทนสิทธิ์"...ที่ไม่จำเป็นต้องผ่านการปลุกเสก.

เพราะเชื่อว่าชาติก่อน ๆ สัตว์เหล่านี้อาจเคยเป็นมนุษย์ที่มีฤทธิ์ หรือเป็นสัตว์ที่บำเพ็ญบารมีมาก่อน.

เมื่อเกิดมาในชาติภพปัจจุบัน...อำนาจฌาณ อภิญญาต่าง ๆ ที่เคยบำเพ็ญไว้ จะทำให้วัตถุธาตุบางอย่างในตัวมีฤทธิ์ เกิดอำนาจที่จะปกป้องคุ้มครองสัตว์นั้น ๆ จนกว่าจะหมดภาวะความเป็นอยู่ในภพนั้น ชาตินั้น แล้วไปเสวยภพใหม่ ตามผลแห่งกรรม.

และทิ้ง "ทนสิทธิ์" ตามธรรมชาติเหล่านี้ ไว้ให้แก่ผู้มีกรรมเกี่ยวเนื่อง นำไปใช้.

ผมเองที่นำมาเป็นหัวเรื่อง มิได้มีเจตนา จะให้ไปคลุ้มคลั่งแสวงหา เอามาเป็นเครื่องปกป้อง คุ้มครองตัวแต่อย่างใดครับ.

............................................

ในเอกภพ (Univers) อันกว้างใหญ่นี้...จะอธิบายแบบบ้าน ๆ นะครับ.

จักรวาลที่เราอาศัยอยู่นี้ ชื่อ สุริยะจักรวาล มีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง มีดาวบริวารอยู่ 9 ดวง ปัจจุบันให้การยอมรับว่ามีแค่ 8 ดวง.

สุริยะจักรวาลของเรานี้ คือ หนึ่งในจักรวาล ที่มีแสนหรือล้านจักรวาล รวมอยู่ในแกแล็คซี่ทางช้างเผือก.

และแกแล็คซี่ทางช้างเผือกของเรา ก็แค่หนึ่งในกาแล็คซี่หนึ่งเท่านั้น ที่บรรจุอยู่ในความว่างเปล่าอันกว้างใหญ่ คือ Univers.

แม้แกแล็คซี่ใหญ่ที่อยู่ใกล้ที่สุด คือ กาแล็คซี่อันโดรมีดา ก็ไกลออกไป 2.2 ล้านปีแสง.

เฮ้อ...คิดตามช้า ๆ นะครับ ตัวตนของมนุษย์เราแต่ละคนก็แค่ธุลีเล็ก ๆ ในเอกภพ อันกว้างใหญ่เท่านั้น.

เฉลี่ย 85 ปีทุกคนก็จะกลายเป็นเถ้าธุลี คืนสู่ธาตุกำเนิดเดิมทั้งหมด.

ลัทธิใดที่เชื่อว่า ไปสู่พระเจ้าที่ยิ่งใหญ่....ก็หวังว่าตัวเองจะกลับไปรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระเจ้า

พุทธศาสนา ก็บอกว่าเมื่อละโลกนี้ไป ทุกคนจะไปที่ใดก็แล้วแต่ ผลกรรมดี ชั่วที่ตัวเองสร้างไว้....บังคับที่เกิดเบื้องหน้าไม่ได้.

แล้วคนเราเกิดมาเพื่ออะไร? เกิดมาพบความลำบาก ไม่มีความสุขเสมอกันทำไม?.

นั่นสิ?.......

อยากพูดอะไรลึกซึ้งกว่านี้ละครับ.

แต่ช่างเถอะ....

ต่อให้มีเครื่องราง ของขลัง เมื่อหมดเวลาของเรา ของเขา ต่างคนก็ต่างไป.

หาอะไรยึดเหนี่ยว เป็นอมตะตลอดไม่ได้.

มีเครื่องรางของขลัง ก็เพราะเราอยากได้ อยากมี อยากเก่งกว่าคนอื่น มิใช่หรือ?.

" เมื่อวานก็ผ่านไปแล้ว คิดคำนึงนึกไป ก็กลับไปทำอะไรไม่ได้.....

พรุ่งนี้ ก็ยังมาไม่ถึง....!

มีแต่เดี๋ยวนี้...ที่สามารถกระทำ ".

นี่ใยมิใช่ แนวทางพุทธศาสนา ที่พระพุทธองค์พร่ำสอน ตรัสสอนอยู่เสมอ....

Chote Vanhakij
29 มิถุนายน 2560 เวลา 21:58 น.
คลิกที่นี่..อ่านคอมเม้นท์ใต้บทความครับ
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1869911463329797&id=100009328851456

* * * * *


ตอนที่ 7 "ไปไต้เขียด"

"ส่องไฟ จับกบ จับเขียดตอนกลางคืน"

สมัย พ.ศ.นั้น ก่อนปี พ.ศ.2515 ประเทศลาว ยังมีฝ่ายเสรีประชาธิปไตย รบติดพันอยู่กับฝ่ายพรรคคอมมิวนิสต์ ทางเหนือขึ้นไปจากหมู่บ้านที่ผมอยู่ ประมาณ 200 ถึง 200 กว่ากิโลเมตรด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ แถวทุ่งไหหิน ซำทอง เมืองล่องแจ้ง.

ผมเป็นเด็ก พื้นที่แถวนี้ได้ชื่อว่าเป็นพื้นที่สีแดง ลัทธิคอมมิวนิสต์กำลังแผ่ระบาด ขยายแนวคิดเต็มที่...และเจ้าหน้าที่รัฐที่ไม่มีความเป็นธรรม มักจะตกเป็นเป้าโจมตีของพลพรรคลัทธินี้.

เพื่อแสดงให้ชาวบ้านเห็นแนวทาง จะได้มาศรัทธา เชื่อถือเป็นแนวร่วม ส่งเสบียงอาหาร เวชภัณฑ์ต่าง ๆ ให้แก่พลพรรคลัทธินี้อยู่ได้.

รอคอยทัพใหญ่ และกำลังพลเมื่อฝ่ายเสรีประชาธิปไตยพ่ายแพ้(ตอนนั้น มีนายพลวัง เปา เป็นหลักโดยการหนุนของชาติมหาอำนาจ...และแนวร่วมจากทหารรับจ้างปิดทองหลังพระจากไทย...

และไทย โดยการที่ไทยยอมให้ชาติที่หนุนลาวสมัยนั้น เข้ามาตั้งฐานทัพในแดนไทย เช่น กองบินอุดรฯ, กองบินโคราช, กองบิน 4 ตาคลี, ฐานทัพอู่ตะเภา ฯลฯ ).....

แล้วพลพรรคคอมมิวนิสต์ที่เชื่อมั่นในชนชั้นกรรมาชีพ ว่า คือผู้ทำงาน.....

หาใช่ชนชั้นผู้ดี ชนชั้นผู้ปกครองไม่....ที่เป็นผู้สร้างผลผลิตแก่ชาติ...

จะได้ยาตราเข้ายึดประเทศไทย สถาปนาการปกครองแบบใหม่ ที่ชนชั้นผู้ดีเกลียดชังและคัดค้านลัทธินี้...ชนิดตายกันไปข้าง ไม่ยอมประนีประนอมเด็ดขาด.

มันเกี่ยวกับเรื่องที่ผมจะเล่าตอนเด็กตรงไหน?.

เกี่ยวครับ...!

พื้นที่สีแดง คือที่แทรกซึมของ ผกค.สมัยนั้น เจ้าหน้าที่รัฐ หรือ คนต่างพื้นที่จะแห่แหนกันเข้าไปยุ่มย่าม หรือ คึกคะนอง โลดโผน ใช้อำนาจกดขี่ เรียกร้องอะไรจากชาวบ้าน หรือคนที่อยู่ในพื้นที่ได้ยาก.

ชาวบ้านเอง ก็ไม่ได้เดือดร้อนจากการที่มีพวกนี้อยู่มากนัก(ที่อื่นไม่ทราบ)...แต่แถวเขตตำบล แทบจะไม่มีผลกระทบจากการที่มีพวกนี้อยู่เลย.

แต่ก่อนนักเลง, โจร, ขโมยลักวัว ลักควาย ถ้าก่อความเดือดร้อนมาก ๆ ชาวบ้านยังได้อาศัยพวก ผกค.มายิงทิ้งให้....!

(ซึ่ง ผกค.ส่วนหนึ่งก็เป็นชาวบ้านที่ได้รับความอยุติธรรมจากรัฐ และเจ้าหน้าที่รัฐ เลยไปเข้ากับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(ทั้งนี้ ยังไม่ถึงสมัยนักศึกษาจากธรรมศาสตร์ไปเข้าร่วมครับ)...และเห็นความอยุติธรรมบ้าง เจ้าหน้าที่บ้านเมืองล่าช้าไม่สนใจติดตามคดีแบบนี้บ้าง ฯลฯ เป็นญาติกับประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อนบ้าง...

พอได้รับการร้องขอ...ก็จะไปจัดการให้ เพราะมีปืนดีอย่างหนึ่ง...มีที่หลบซ่อนตัวดีอีกหนึ่ง...ได้คะแนนนิยมอีกอย่างหนึ่ง)....

สรุปง่าย ๆ ครับ...!

จะได้สั้นเข้า พื้นที่สีแดง คือ พื้นที่อันตรายจากพวกก่อการร้ายคอมมิวนิสต์(ตามคำโฆษณาของรัฐบาลสมัยนั้น)...จึงเป็นเหมือนพื้นที่ป่าศักดิ์สิทธิ์...พวกพ่อค้า นายทุนหน้าเลือดทั้งหลาย ก็ไม่กล้าเข้าไปตัดไม้ทำลายป่า..

ชาวบ้านเองก็ไม่กล้าหักล้าง ถางพง เข้าไปทำไร่ลึกนัก เพราะกลัวถูกทางการโยนข้อหาเป็นแกนบ้าน เป็นสายให้กับพรรคคอมมิวนิสต์...และกลัวต่อการเสี่ยงจากความเข้าใจผิดจากฝ่ายคอมมิวนิสต์ด้วย...

เพราะฉะนั้น ป่าจึงเป็นป่า ดงจึงเป็นดง ความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติ จึงมีอยู่ครบถ้วน...

สัตว์ประเภทสัตว์ครึ่งบก ครึ่งน้ำ กบ เขียด อึ่งอ่าง เขียดเล็ก เขียดน้อยอื่น ๆ จึงมีให้จับไม่หวาด ไม่ไหว...

เพราะจะเอาไปขายใครที่ไหน ก็ไม่มีใครซื้อ เนื่องจากใคร ๆ ก็หาจับเองได้.

ไม่มีการลดจำนวน เพราะสารเคมีต่าง ๆ เช่น ยาฆ่าหญ้าแบบดูดซึมในสมัยปัจจุบัน.

เดือนหก ข้างเพ็ญสิ้น...เริ่มข้างแรม....ฝนเริ่มกระหน่ำหนัก ทำให้เริ่มมีน้ำในกระทงนา...กบ เขียดที่จำศีล เริ่มออกมาหาอาหารกิน จนเริ่มอ้วน....

รอฝนห่าใหญ่ ๆ ก่อนจะมีน้ำหลาก สักห่า....ก็จะมีกบ เขียดออกมาจับคู่ข้างหนองน้ำ.

คงต้องขอยกยอดวันพรุ่งนี้ครับ.......เน็ตรวน..

จะมาต่อ...นะครับยังไม่จบ.

Chote Vanhakij
30 มิถุนายน 2560 เวลา 17:58 น.
คลิกที่นี่..อ่านคอมเม้นท์ใต้บทความครับ
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1870485329939077&id=100009328851456

* * * * *


ตอนที่ 8 "ไปไต้เขียด" (ต่อ)

หลังหน้าแล้งของปีหลังจากแล้งมานาน ผ่านสงกรานต์ กลางเดือนเมษายนแล้ว พื้นดินแถบถิ่นบ้านเกิด ถ้าปีไหนไม่แล้งจัด...หรือแล้งนานจนถึงค่อนปี เดือนเจ็ด เดือนแปด.

ฝนก็จะทยอยตกมาเรื่อย ๆ ห่าเล็กบ้าง ห่าใหญ่บ้างแล้วแต่พายุที่เข้า ทำให้พื้นดินที่แห้งแล้งมานาน เริ่มอ่อนนุ่ม จนสัตว์ใหญ่ เช่น หมูป่า เก้ง ชะมด ฯลฯ เริ่มมีรอยเท้าปรากฏบนพื้นดิน.

เพราะออกจากที่ซุ่มซ่อนในป่ารก มาหากินรากไม้ และอาหารอย่างอื่น ซึ่งผมก็ได้พาไล่ราวหมูป่าไปแล้ว.

เริ่มมีน้ำขังตามแอ่ง แต่ไม่มากนัก กบ เขียด ยังไม่ออกมาจากที่หลบซ่อน และมาออกันตามหนองน้ำ เพื่อรอผสมพันธุ์.

ขึ้นเดือนเจ็ด (ต้นเดือนพฤษภาคม) ฝนห่าใหญ่ จะมาและมาเรื่อย ๆ ช่วงนี้แมลงเม่าที่ออกมาบินหาแสงไฟมากมาย จะโดนกบ เขียด อึ่งอ่าง และสัตว์อื่นกินไปเสียเยอะ.

สัตว์ครึ่งบก ครึ่งน้ำเหล่านี้จะมีอาหารกินจนอิ่ม และเริ่มมีไข่เพื่อเตรียมผสมพันธุ์.

ก่อนวิสาขบูชาไม่กี่วัน ฝนเทลงมาขนาดหนัก จนในแอ่งกลางนา และชายป่ามีน้ำขัง...เสียงกบ เขียด ร้องระงมแต่หัวค่ำ เสียงอึ่งอ่างนี่ดังแต่กลางวันแต่ยังไม่ปรากฏตัว.

พ่อบอกว่า ถ้าหัวค่ำฝนหยุดและไม่ดึกเกินไป ให้เตรียมตะเกียงแก๊ส ข้อง สวิงจับกบ เตรียมออกจับกบ.

(เมื่อโตแล้วและเข้าใจการศึกษา ตอนที่เคยเป็นครูอยู่พักหนึ่ง...ผมจึงมาสำเหนียกได้ว่า นี่คือ สปช.(สร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต) ที่นักการศึกษาพูดถึง ว่าอยากให้เด็กได้เข้าใจและเรียนรู้การทำมาหากิน เพื่อปากท้อง เพื่อเลี้ยงชีวิต).

มันจึงเป็นประสบการณ์ตรงที่ถ่ายทอดกันรุ่นสู่รุ่น ในวิถีชีวิต ที่นักการศึกษาพูดถึงนั่นแหละครับ.

ในการจับกบ จับเขียดนี้ คนเก่า ๆ มักพูดตำนานเรื่อง "ผีโพง" ให้ฟัง มันเป็นนิทานรอบกองไฟบ้าง ปู่เล่าให้หลานฟังก่อนเข้านอนบ้าง...คนเฒ่าพูดกัน แล้วเด็ก ๆ อย่างพวกผมไปนั่งใกล้ ๆ คอยฟังบ้าง..แล้วแต่โอกาส.

พอฝนหยุดสักหนึ่งทุ่ม ไม่ดึกมาก บ้านผมอยู่บนลาดเขา ก็เดินลงมาทางทิศตะวันออก สักร้อยกว่าเมตร ก็พ้นเขตเรือน ลงทุ่ง...พ่อบอกให้ระวังงูต่าง ๆ ที่พบ อย่าเข้าใกล้ แม้ตัวเล็ก ๆ

(แต่ในใจคิดอยู่ว่า งูสิงตัวใหญ่ ๆ ก็เข่นด้วยหนังสะติ๊กกับเพื่อนร่วมก๊วน เอาไปขายซะเยอะ ตัวละ กิโล สองกิโล สมัยนั้น ผมขายตัวละ ห้าบาท สิบบาทแล้วแต่...ก็ไม่รู้ว่างูมีพิษ แตกต่างกันอย่างไร...ได้แต่ระวัง).

ผมเลือกเอาแต่อึ่งอ่างละครับ กอดกันเป็นคู่ ๆ เพราะมันจับง่าย ได้เยอะ ส่วน"เขียดลายโม้"นั้น จับไม่ค่อยทันหรอก มันกระโดดหนีเร็ว.

กบไม่ต้องพูดถึง...มีแต่คนโตเท่านั้นที่จับได้...ซึ่งก็เห็นแสงไฟวับแวมของคนจับกบ อยู่ในทุ่งเดียวกัน สอง สามจุด.

ขนาดย่อง ๆ ใช้สวิงตะครุบก็ไม่ทัน.

คงร่วมชั่วโมงละครับ ข้องผมหนักอึ้ง คงร่วมสามโล ผมบอกพ่อว่ากลับเถอะ แกมาเขย่าชั่งน้ำหนักข้องดูแล้ว คะเนว่าเยอะ ส่วนแกได้กบ และเขียดมาเต็มข้องใหญ่เหมือนกัน.

ก็พากันกลับ.....ถึงบ้านผมล้างมือ ล้างตีน เปลี่ยนเสื้อผ้าได้ก็มุดเข้ามุ้งตัวเอง.

ส่วนแม่นอนแล้ว...พ่อเลยเอา กบ เขียด อึ่งอ่าง ไปขังรวมกันในถัง.

ใครยังไงไม่รู้ ตอนนั้น เพราะการเอากบ เขียด อึ่งอ่าง เป็นร้อย ๆ ตัวไปขังรวมกันในถังเหล็กใบเดียว แล้วเอาไว้บนบ้าน(ก็คือกระท่อมฟาก มีฝาฟากล้อมบ้าน ตรงกลางโล่ง ๆ ทั้งหลัง มีชานยาวต่อมาหน้าบ้าน).

โดยทิ้งไว้นอกชาน หาของหนัก ๆ ทับฝาปิดไว้....มันก็ส่งเสียงร้องทั้งคืนสิครับ...เด็กอย่างผม กว่าจะหลับได้ ก็คงเที่ยงคืนเข้าไปแล้ว.

ค่อนแจ้ง แม่ลุกมาก่อไฟนึ่งข้าวเหนียว แยกกบออก หลังจากนึ่งข้าวสุก ก็เอาน้ำร้อนลวกเขียด และอึ่ง...ทำความสะอาดแล้ว.

ควักเครื่องใน เตรียมแกง..

ดูสูตรในคอมเม้นต์ครับ.


"สูตรอ่อมเขียด" ครับ.

1. เขียดทำแล้วสับหยาบ ๆ กะให้พอหม้อ และคนกิน.
2. ผักชีลาว สับหยาบ ๆ 1 ถ้วยตะไล.
3. ตะไคร้ ทุบแตกสับหยาบ ๆ เช่นกัน 3 ต้น
4. พริกชี้ฟ้า หรือพริกขี้หนู มาก น้อย ตามที่คิดว่าชอบเผ็ดมาก เผ็ดน้อย...และตามปริมาณแกงที่จะทำ...ไม่น่าเกิน 10 เม็ด
4. ใบแมงลัก(ผักอีตู่) เด็ดไว้สักสามยอด.
5. ใบมะกรูดฉีก เยอะมากจะขมใบมะกรูด สี่ ห้าใบคงพอ.
6. หอมแดงทุบหรือโขลกพอแหลก 5 หัว.
7. ปลาร้า ต้มกรองแล้ว 1 ถ้วยตวง.

ผมชอบแบบนี้...ต้มน้ำสักสามถ้วยตวง พอเดือด เอาเกลือลงสักเม็ด (เกลือแกงเม็ด) หรือเกลือป่นสักช้อน.

ตามด้วย พริกชี้ฟ้า ตะไคร้ หอมแดง จนได้กลิ่นหอมเครื่องเทศ.

ก็ตามด้วยเนื้อเขียดสับ เดือดอีกทีใส่น้ำปลาร้า...ชิมรสพอดีแล้ว....!

ตามด้วย ใบแมงลัก ใบมะกรูด(บางคน ชอบเอายอดพริกอ่อน ตามลงไปด้วย.

ปิดฝาหม้อ จนกลิ่นแกงออกอ่อน ๆ ชิมดูครับ.

พอดี ยกลง...

ไม่พอดี เติมรสอีกหน่อย แล้วยกลง.

ตั้งวงข้าวสิครับ.....

ถ้าเป็นต้มส้ม ก็จะไม่ใส่ใบมะกรูด แต่จะใส่ยอดส้มป่อย(ส้มพอดี)ให้เปรี้ยว.

มะขาม ตามชอบ.

ซดคล่องคอ ข้าวเหนียวอุ่น ๆ

มีแรงสู้ชีวิตได้ยาว...

Chote Vanhakij
1 กรกฎาคม 2560 เวลา 19:47 น.
คลิกที่นี่..อ่านคอมเม้นท์ใต้บทความครับ
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1871332266521050&id=100009328851456

* * * * *

ไม่ได้หายไปไหน อีก 7 วันพบกันใหม่จ้า



* * * * *


ตอนที่ 9 "ล่าเก้ง"

ปกติ หลังจาก "ไปไต้เขียด" แล้ว ก็คิดว่าจะต่อด้วยเรื่อง "ผีโพง" ละครับ เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศก่อนปี พ.ศ.2516...เพราะสมัยนั้นที่บ้านเกิด มีเพียงแสงคบไต้ ดีขึ้นมาหน่อยก็ตะเกียงน้ำมันก๊าด มันเข้ากับบรรยากาศที่จะพูดเรื่องผีพวกนี้ที่สุด และแสงสว่างที่สว่างไสวที่สุดตอนนั้นก็มีแสงตะเกียงเจ้าพายุที่วัดเท่านั้น ซึ่งก็จะนาน ๆ ครั้งถึงจะจุด คือ ช่วงมีงานใหญ่ประจำปี การเขียนเรื่องผี จึงน่าจะเหมาะ...แต่ดูแล้ว เรื่อง "ผีโพง" นี่ เขียนได้ยาวชนิดห้าตอนจบเลยแหละครับ...เพราะไปได้ข้อมูลมาเยอะ.

แต่เอาเถอะครับ...! คั่นเรื่องด้วยเรื่องนี้ก่อนก็ได้ ฟังดูเรื่องนี้ ถ้าอ่านแบบธรรมดา ก็จะธรรมดา แต่ถ้าขบคิดเสียหน่อย ก็จะมองได้หลายหลาก แล้วแต่ความลึกซึ้งของความคิด

ตามตำนานของหมู่บ้านนั้น บ้านที่ผมเกิด และพื้นที่ใกล้เคียงรอบฝั่งโขงทั้งสองด้าน ทั้งซ้ายและขวายังอยู่ในการปกครองของไทย โดยฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงจรดทางเหนือไปถึงเมืองแถน(เดียนเบียนฟู) ยังเป็นรัฐใต้อาณัติของไทย การข้ามไปมาระหว่างผู้คนสองฝั่งจึงเป็นไปปกติ เพราะถือเป็นชนชาติเดียวกัน ก่อนที่พื้นที่ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง จะถูกผนวกเข้าเป็นอินโดจีนของฝรั่งเศส เมื่อปี พ.ศ.2436...จึงข้ามไปมาหาสู่กันค่อนข้างลำบาก...แต่ก็ยังมีการข้ามไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ โดยไม่ถึงกับต้องมีวีซ่า มีพาสปอร์ต หรือมีใบผ่านแดนแต่อย่างใด แต่ก็เข้าไปไม่ได้ลึกนัก.

นอกจากพรานป่ารุ่นปู่ รุ่นพ่อ ที่แบกปืน ชนิดค่ำไหน นอนนั่น ประสาพรานที่ชอบป่า เคยเล่าให้ฟังว่าเคยเที่ยวข้ามไปล่าสัตว์ฝั่งโน้น ประมาณ 80 ปีที่ผ่านมา ว่าเคยไปถึงภูฝอยลม (ปัจจุบัน น่าจะบ้านกาสี นาโคก นาล้อมประมาณนั้น ฝั่งโน้น)...ว่าเคยเข้าไปเที่ยวป่าลึกเข้าไปในแดนนั้นขนาดนั้น (ไม่ล้มสัตว์ใหญ่ เพราะถึงล้มก็จะแบกหามข้ามฟาก ชนิดสามวัน สามคืนค่อยถึงบ้านนั้น ลำบากมาก)...เอาแค่ยังชีพ ด้วยสัตว์เล็ก หรือเมื่อใกล้เข้าแดนไทย ถ้าเจอสัตว์ใหญ่ค่อยล้ม แล้วส่งข่าวบอกพรรคพวก เพื่อนบ้านมาช่วยกันหาบหาม.

สายตระกูลของผมมาจากบ้านห้วยห่าว-นากาว(ปัจจุบัน ทราบว่าไม่มีหมู่บ้านนี้แล้ว สภาพหมู่บ้านไม่มีเค้า กลายเป็นที่ทำไร่ ทำนาของหมู่บ้านอื่น) เพราะเหตุใดไม่แน่ชัด...บ้างว่าเพราะความกันดาร บ้างว่าเพราะตอนนั้นฝรั่งเศส กำลังหาทางเข้าครอบครองฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง พวกที่ไม่ชอบฝรั่งเศส เลยข้ามฟากมาอยู่ฝั่งขวาแม่น้ำโขง...และย้ายมาเรื่อย จนมาทำไร่อยู่ที่หมู่บ้านนี้ จนถึงย้ายมาตั้งเป็นหมู่บ้านถาวรโดยคนจากสามตระกูล...เมื่อปี พ.ศ.2412.

..........................................

ปกติการล่าสัตว์ของบ้านนี้ หัว เขา...(หรือมีอย่างอื่นอีกนั้นก็เลือน ๆ แล้ว)จะยกให้แก่พรานที่ทำให้สัตว์นั้นบาดเจ็บก่อน หรือทำให้สัตว์ตัวนั้นล้ม...และขาหลังข้างหนึ่ง จะถูกยกให้แล่ง(ลูกน้องพรานไล่ราว หรือคนติดตามในคณะ)...ส่วนที่เหลือจึงจะแบ่งเท่ากันเป็นพูด ๆ (กอง,ส่วนแบ่ง)ให้เท่า ๆ กัน มากน้อยแล้วแต่ขนาดของสัตว์ ไม่มียกเว้น.

ซึ่งข้อความที่ผมเขียนนี้ เป็นข้อความที่ตัวผม อยากบันทึกยุคสมัยไว้ให้ลูก หลานอ่าน ผ่านมุมมองของปัจเจกชนคนหนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้ว จะผิด จะถูกอย่างไร...ก็เป็นเพียงเหตุการณ์ในอดีต ไม่มีใครกลับไปแก้ไขได้ และผมก็ต้องการเพียงนั้น เพียงบอกเล่าข้อเท็จ จริงของยุคสมัย...ไม่เน้นความผิด ถูก.

............................................

ธรรมเนียมการยกหัวให้แก่พรานผู้ล่านั้น มาจากไหนไม่อาจตอบได้ชัดเจน แม้จะสอบถามพรานเก่า พรานใหญ่หลายคน ก็ตอบแต่แบบว่า เขามีมาอย่างนั้น...บางคนยังตอบว่า เขายกให้เป็นเครื่องเซ่น แก่อาวุธที่ใช้ล่า(ผีปืน...เพราะปืนของพรานใหญ่หลายคนเปรียบเหมือนอีกชีวิตหนึ่งของพราน มีความศักดิ์สิทธิ์ มีความขลัง เป็นเครื่องราง ที่อาจใช้ข่มผีไพร ข่มผีโป่ง...และแม้แต่เสือสมิงก็ไม่อาจลวงตาพรานให้เห็นเป็นอื่น...ถ้าถือปืนคู่กายอยู่กับตัว คงจะเหมือนซามูไร ญี่ปุ่น กระมังครับ ที่ถืออาวุธคู่กายเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งต่างจากนินจา ที่ถืออาวุธ เป็นแค่ของใช้งาน).

ผมจึงอยากนำเรื่องที่เกี่ยวข้อง กับธรรมเนียมยกหัวให้แก่พรานนี้...มีที่มาจากตรงนี้หรือเปล่า?.

โปรดใช้วิจารณญาณนะครับ.............

คนป่าโบราณนั้น หลาย ๆ เผ่า มักมีธรรมเนียมล่าหัวมนุษย์ต่างเผ่า อาจจะเพราะเป็นศัตรูกัน, เพราะเป็นการฝึกนักรบของเผ่าให้แกร่งกล้า, เพราะเป็นการหาเครื่องเซ่น มาเซ่นไหว้ผีประจำเผ่าก่อนเริ่มฤดูเพาะปลูก ซึ่งเชื่อกันว่าจะทำให้พืชผลงอกงาม เช่น ชนเผ่าว้าทางตอนเหนือของพม่า...ฯลฯ.

จะนำมาเขียนถึงเฉพาะที่เห็นว่าชัดเจน และรอบ ๆ แถวทวีปเรานะครับ ถ้าเอามาทั้งหมดเรื่องคงยาวมาก เช่น ชนเผ่าว้า พวกละว้ามีหลายชื่อ แข่วะ ข่าว้า ว้า หรือวะ...ถิ่นฐานก็อยู่ตามป่าเขา ทางตอนเหนือของพม่า กระจายลงมาถึงรัฐฉาน และอาจมีมาถึงชายแดนไทย ที่รวมกันตั้งเป็นบ้านเมืองใหญ่อยู่ระหว่างจีน กับเมืองเชียงตุง เรียกรัฐวะ หรือว้า.

ค.ศ.1893 อังกฤษยึดพม่า รวบเอาเมืองวะเข้าไว้เป็นเมืองหนึ่งของสหรัฐฉาน แต่ไม่กล้าจัดการปกครอง คงปล่อยให้พวกว้าปกครองกันต่อไป คอยระวังแต่ไม่ให้พวกฝรั่ง หรือคนต่างเมืองหลงเข้าไปในฤดู "ล่าหัวมนุษย์".

ฤดูนี้ มีอยู่เดือนเดียว คือ เริ่มต้นเดือนมีนาคม ไปสิ้นสุดเอาเมื่อต้นเมษายน ก่อนสงกรานต์.

โดยปกติ พวกว้าไม่ล่าหัวมนุษย์นอกเขต ที่พวกเขากำหนด เป็นเขตบ้าน เขตเมืองของเขา นอกจากคนต่างถิ่นที่พลัดหลงเข้าไปในเขตบ้านเมืองของเขา ซึ่งพวกเขากำหนดว่าเป็นเขตแดนศักดิ์สิทธิ์เขาถึงจะฆ่า.

โดยจะยกกันออกจากหมู่บ้าน คุมกันเป็นพวก ๆ ถ้าเจอคนต่างถิ่นที่มีพวกน้อยกว่าก็จะเข้าจู่โจมแล้วฆ่า แต่ถ้าเจอคนมากกว่าก็จะเลี่ยงหนี.

ถือโอกาสตอนพลบค่ำเข้าโจมตี ฆ่าแล้วตัดหัว แต่พวกว้าถือว่าหัวเดียวมักจะไม่พอ ถ้าได้หลาย ๆ หัว นำไปเป็นเครื่องเซ่น ก็จะทำให้ผีบ้าน ผีเมืองพอใจ การเพาะปลูกก็จะเจริญงอกงาม ได้หมาก ได้ผลเต็มที่

ความเชื่อเช่นนี้แหละที่ทำให้ว้าทีล่าหัวมนุษย์มาได้...จึงเป็นผู้กล้า เป็น "วีรบุรุษ" ของเผ่า ของเมือง ถือเป็นวีรกรรมของนักรบผู้กล้า.

เมื่อได้มาแล้วจะกี่หัวก็ตาม พวกเขาจะรีบนำกลับเผ่า ต้มให้เนื้อหนังเปื่อยยุ่ย เอาแต่กะโหลกขาว ๆ แห้งแล้วนำมาขัดให้เงางาม วางไว้บนเสาสูง ประมาณ 1 วาที่ปากทางเข้าหมู่บ้านหรือเมือง

ซึ่งจะบอกว่าหมู่บ้านใหญ่ตั้งมานาน หรือหมู่บ้านเล็ก ตั้งมาไม่นาน ดูได้จากจำนวนหัวกะโหลก.

การล่าหัวนี้ มีอีกหลายที่ในพื้นที่ใกล้เคียงของประเทศไทย เช่น ชาวลาว ก็มีพวกข่า ขมุ ที่โหดร้ายไม่แพ้กัน ล่าเอามนุษย์ต่างเผ่า หรือเผ่าเดียวกันก็แล้วแต่...มาเป็นเครื่องเซ่นสังเวยแก่เผ่า.

จนมีคนลาวบางกลุ่ม ฝังศพญาติ พี่ น้อง ที่เสียชีวิตไว้ใต้ถุนบ้าน กันการขโมยเอาหัวของศพไปเป็นเครื่องเซ่น จนดูเหมือนผู้ไปพบเห็นดูเป็นประเพณีแปลกประหลาด...และแม้แต่ปัจจุบัน ชนชาวดอยหลายเผ่าในเมืองไทย ที่ชอบฝังศพมากกว่าเผา ก็ยังโดนขุดหลุมทำลายศพ เพื่อหาของประดับมีค่า และของอื่น ๆ อยู่เสมอ.

คงพักเรื่องนี้ เรื่องการยกหัวให้แก่พรานที่ล่าได้ ว่ามาจากเรื่องนี้หรือเปล่า?.

แล้วค่อยต่อ การล่าเก้ง ในตอนต่อไป.

ฝากไว้ให้คิดครับ...

Chote Vanhakij
10 กรกฎาคม 2560 เวลา 19:31 น.
คลิกที่นี่..อ่านคอมเม้นท์ใต้บทความครับ
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1877324392588504&id=100009328851456

* * * * *


ตอนที่ 10 "ล่าเก้ง" (ต่อ)

เก้ง หรือ อีเก้ง หรือที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกกันว่า ฟาน...(อังกฤษ Barking deer, Muntjac)...เป็นกวางขนาดกลางและเล็ก ที่อยู่ในวงศ์ย่อย Muntiacinae กระจายพันธุ์อยู่ตั้งแต่อนุทวีปอินเดีย,ประเทศจีน ทางตอนใต้ไปจนถึงภูมิภาคอินโดจีน และเกาะต่าง ๆ ในฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย.

มีรูปร่างโดยรวมคือ มีขนตามลำตัวสีน้ำตาล อาจมีสีอื่นผสมแตกต่างกันออกไปตามแต่ละชนิด เขามีขนาดเล็กกว่ากวางในสกุลอื่น ไต้ตามีต่อมน้ำตาเห็นได้ชัดเจน เป็นเส้นสีดำร่องยาว ตัวผู้เมื่อโตเต็มที่จะมีเขี้ยวงอกออกมาจากมุมปาก หางมีขนาดสั้น เวลาตกใจจะร้องดัง "เอิ๊บ ๆ, เปิ๊บ ๆ ...แล้วแต่คนฟัง...แล้วก็กระโดดหนีไป จึงเป็นที่มาในชื่อภาษาอังกฤษว่า Barking deer...กวางเห่า.

เก้งเป็นกวางที่หากินในสภาพภูมิประเทศได้หลากหลาย ทั้งทุ่งหญ้า,ป่าดิบ และป่าเสื่อมโทรม หรือป่าที่ถูกแผ้วถาง...เมื่อยังมีขนาดเล็ก จะมีจุดสีขาวตามลำตัวเหมือนกวางสกุลหนึ่ง.

.................................

เก้งธรรมดา หรือ ฟาน, อีฟาน หรือที่นิยมเรียกกันว่า เก้ง (อังกฤษ Indian muntjac,Coomon barking deer, Red muntjac; ชื่อวิทยาศาสตร์: Muntiacus muntjak) เป็นกวางชนิดหนึ่ง นับเป็นเก้งชนิดหนึ่งที่รู้จักกันแพร่หลาย และมีถิ่นกระจายพันธุ์กว้างขวางที่สุด

มีส่วนหลังโก่งเล็กน้อย ลำตัวมีสีน้ำตาลแดง ด้านใต้ท้องซีดและอมเทาเล็กน้อย หางด้านบนมีสีน้ำตาลเข้ม ด้านล่างมีสีขาว เก้งตัวผู้มีเขาสั้น ฐานเขาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกะโหลกยื่นยาวขึ้นไปเป็นแท่ง มีขนปกคลุม และมีขนสีดำขึ้นตามแนวเขาจนดูเป็นรูปตัว วี เมื่อมองด้านหน้าตรง ส่วนปลายเขาสั้น แต่เป็นง่ามเล็ก ๆ แค่สองง่าม ไม่แตกเป็นกิ่งก้านแบบกวาง ผลัดเขาปีละครั้ง

ส่วนตัวเมีย ไม่มีเขาและฐานเขา แต่บนหน้าผากก็มีขนรูปตัววีเหมือนกัน เก้งที่แก่มาก ๆ จะมีเขี้ยวยาวแหลมโผล่พ้นขากรรไกรออกมาตามที่กล่าวแล้ว เวลาเดินจะยกขาสูงทุกย่างก้าว.

ปกติออกหาอาหารกินได้ทั้งกลางวัน กลางคืน แต่ส่วนใหญ่จะพบตอนเย็นหรือหัวค่ำ และตอนเช้ามืด จนถึงช่วงสาย ๆ อดน้ำไม่เก่งจึงมักไม่อยู่ไกลจากแหล่งน้ำ อาหารหลัก ได้แก่ ยอดไม้,ใบไม้,ผลไม้,หน่ออ่อน และรวมถึงเปลือกไม้ด้วย...

แต่ไม่ค่อยชอบกินหญ้า พบแพร่กระจายพันธุ์ในเอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้...ตั้งแต่ศรีลังกา, อินเดีย, จีนตอนใต้,พม่า, ไทย, ลาว, เวียดนามกัมพูชา, มาเลเซีย, เกาะสุมาตรา, เกาะชวา, เกาะบอร์เนียว, เกาะไหหลำ และหมู่เกาะซุนดรา.

มีฤดูผสมพันธุ์อยู่ในช่วงฤดูหนาว ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ถึงเดือนมกราคม ตกลูกต้นฤดูฝนพอดี ปกติตกลูกครั้งละหนึ่งตัว ตั้งท้องนานราว 6 เดือน ออกลูกตามใต้พุ่มไม้ ลูกเก้งเมื่อเล็กมีจุดสีขาวตามลำตัว เมื่ออายุได้ราวหกเดือนจุดสีขาวนั้นจึงจางหายไป...เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ได้เมื่อ 18 เดือน มีอายุโดยเฉลี่ย 15 ปี ในประเทศไทย ถือเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง.

..................................

ส่วนเก้งหม้อ หรือ กวางเขาจุก หรือเก้งดำ, เก้งดง (อังกฤษ Fea's muntjac, Tenasserim munjac: ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Muntiacus feae) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับสัตว์กีบคู่ จำพวกกวาง มีลักษณะคล้ายเก้งธรรมดา (M.muntjac) แต่มีขนตามลำตัวเข้มกว่า ใบหน้ามีสีน้ำตาลเข้ม บริเวณกระหม่อม และโคนขามีสีเหลืองสด ด้านล่างของลำตัวมีสีน้ำตาลอ่อน ขาทั้งสี่ข้างมีสีดำ จึงเป็นที่มาของอีกชื่อสามัญที่เรียกกัน.

ส่วนด้านหน้า ด้านหลังมีสีขาว เห็นได้ชัดเจน หางสั้น หางด้านบนมีสีเข้ม แต่ด้านล่างมีสีขาว มีเขาเฉพาะตัวผู้ เขาของเก้งหม้อสั้นกว่าเขาของเก้งธรรมดามีความยาวของลำตัวและหัวประมาณ 88 เซนติเมตร ความยาวหาง 10 เซนติเมตร น้ำหนักตัว 22 กิโลกรัม.

เคยเชื่อกันว่า เป็นเก้งหรือกวางที่หายากในโลกที่สุดชนิดหนึ่ง และเคยคิดว่ามีที่สวนสัตว์ดุสิตตัวเดียว แต่ปัจจุบันพบว่า มีพระภิกษุเลี้ยงไว้ตามวัดแถวชายแดนด้านตะวันตกของไทย และที่ใกล้เคียงแถวชายแดนพม่า.

มีถิ่นกระจายพันธุ์ เช่นเดียวกันกับเก้งธรรมดา อดน้ำได้ไม่เก่งเท่ากับเก้งธรรมดา จึงมักหากินใกล้แหล่งน้ำ การผสมพันธุ์ ในฤดูผสมพันธุ์ และการออกหาอาหารไม่แตกต่างจากเก้งธรรมดาเท่าไหร่นัก...

ปัจจุบันเป็นสัตว์ป่าสงวนตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าแห่งชาติ พ.ศ.2535.

ง่าย ๆ คือ ผู้ใดล่า, มีซาก, เขี้ยว, เขาไว้ในครอบครอง จะโดนโทษตามกฎหมาย.....!

.............................

พ.ศ.นั้น ควายยังเป็นแรงงานที่ใช้ทำนาที่สำคัญที่สุด รถไถนาที่มีก็มีประมาณ 7-8 แรงม้าให้กำลังฉุด, ดึง ในการทำงานได้น้อยมาก และมีในหมู่บ้านที่เห็นน่าจะมีแค่คันเดียว เนื่องเพราะน้ำมันหายาก

เวลาเช้า ๆ เสียงกระดึงคอวัว ควายที่เจ้าของต้อนออกจากคอกไปหากินนั้น จึงดังโป๊กเป๊ก หรือเสียงอื่นแล้วแต่วัสดุที่ใช้ จึงดังลั่นทุกเช้า บางทีออกพร้อมกันหลายฝูง ถนนแทบเดินไม่ได้เพราะเต็มไปด้วยวัว ควาย.

............................

เพ็งเดือนเจ็ดปลายเดือน(เพ็ญเดือนเจ็ด ข้างขึ้น ปลายเดือน) ปีนั้น ฟ้าครึ้มฝน...แดดไม่ร้อน ผมยังเป็น Buffaloboy (มหิงสาบาล...เด็กเลี้ยงควาย) ให้ปู่อยู่ เพราะปู่แบ่งควายแม่ลูกเป็นมรดกให้พ่อ แต่ยังอยู่ในฝูงใหญ่ ไม่ได้แยกคอกออกมาต่างหาก เนื่องเพราะยังมีโจรปล้น, ลักขโมยวัว ควาย อยู่ชุกชุม...และบ้านที่อยู่ อยู่เขตนอกสุดของหมู่บ้าน...การแยกออกมาจากฝูงใหญ่จึงค่อนไม่ปลอดภัย และระวังรักษาลำบาก.

ปกติชีวิตของชาวป่า ชาวนาทางบ้านนี้ ที่ทำไร่ก็ลงข้าวปลูก ฟัก แฟง แตงเถา หรือข้าวโพด ถั่ว งา ไว้เสียแต่ปลายเดือนหกหลังฝนตก จนพื้นดินเพาะปลูกอ่อนนุ่ม ชุ่มน้ำ หรือแต่ต้นเดือนเจ็ดเสียแล้ว...บางคนมีฐานะดี ลูก หลาน แรงงานเยอะ ก็ทำทั้งไร่ และนา.

บางคน ไถฮุด(ไถดะ) ในเนื้อที่นาของตนเสร็จแล้ว ก็เอาจอบออกมาซ่อมคันนาที่ทะลุเพราะรูปู หรือรูหนู แต่หน้าแล้งที่ผ่านมา เพื่อให้น้ำท่วมก้อนขี้ไถ ให้ดินนุ่มจะได้ไถแปรได้ง่าย เวลาคราดไม่เปลืองแรงควาย ไม่ต้องใช้ควายหลายตัว หรือต้องขอยืมญาติมาทำนาให้เสร็จ

บางคนทำไร่เสร็จแล้ว ก็ว่าง...ที่มีนิสัยเป็นพราน ก็ออกตามรอยเท้าสัตว์ในชายป่า และรอบ ๆ ไร่ ปะเหมาะเคราะห์ดี แน่ใจว่าสัตว์มาซุ่มซ่อนหากินชายไร่ ชายดง ก็นัดแนะพี่ น้อง และเครือญาติ ออกไล่ราว หรือวางกับดักแล้วแต่เหมาะ...

แต่ไม่ทำปืนผูก, หลาว, แหลน, หรือจั่นห้าว ที่จะเป็นอันตรายแก่เพื่อนบ้านด้วยกัน...ด้วยกลัวคนไม่รู้ หรือคนหาของป่าชายไร่ โดนกับดักจนเป็นอันตรายแก่ชีวิต.

ปีนี้ก็เช่นกัน มีพรานและลูกไล่ เจอรอยเท้าหมูป่าท้ายไร่ ที่ไร่ด้านเหนือของหมู่บ้าน ก็นัดแนะกันล้อมป่า เตรียมตีป่า ให้สัตว์ตกใจออกจากที่ซ่อน.

(ขอทวนความจำตรงนี้นิดหนึ่ง...เรื่องปืนแก๊ปล่าสัตว์ ว่าเป็นปืนที่ใช้กรอกดินปืน และกระสุนปืนทางปากกระบอกเข้าไป กระทุ้งให้แน่น ใส่ฝอยไม้ หรือปุยฝ้ายเข้าไปอัดไว้หลังสุดกันลูกกระสุนร่วง.

และยิงนัดหนึ่งแล้ว...เสียเวลาบรรจุนัดใหม่นานมาก เพราะฉะนั้น พรานถ้าไม่แน่ใจว่าโดนจริง ๆ จะไม่ค่อยยิงสัตว์ เพราะถ้าแค่บาดเจ็บต้องตามรอยกันนาน.

และเวลาไล่ราว จะตกขบวน เพราะเสียเวลาบรรจุปืนดังกล่าวแล้ว ทำให้ตามสัตว์ไม่ทัน).

พระที่วัดท่านย่ำค่ำ(ตีกลองแลง)ผ่านไปนานแล้ว บอกเวลาให้ชาวบ้านรู้ตัวว่าอีกหน่อยจะหมดวันมืดค่ำ ให้รีบวางมือจากงานกลับบ้าน มาหุงหาอาหาร ไว้ต่อชีวิต ก่อนจะสิ้นแสงตะวัน.

ส่วนผมไปต้อนควายที่ทุ่งนาด้านทิศใต้ เดินเลาะในลำห้วย กำลังจะต้อนเข้าคอก ขึ้นตลิ่งลำห้วยก่อนจะเอาเข้าคอกและปิดประตูคอกให้ปู่.

กำลังหันรี หันขวางไล่ควายน้อยเข้าคอกขณะที่ตัวใหญ่เข้าหมดแล้ว...เพราะควายน้อยกำลังสนุก.

ก็ต้องตกใจอย่างหนัก เพราะได้ยินเสียงร้องเปิ๊บ....!

เก้งครับ...!

มาจากทางไหนไม่ทราบ...! ผมก็ไม่คิดจะทำร้ายมันในขณะนั้น เพราะมีเพียงหนังสติ๊กห้อยคอ และเรียวไม้ไผ่ที่กำลังต้อนควายน้อยเข้าคอกเท่านั้น.

(มาทราบภายหลังว่า เก้งตื่นตกใจ จากการที่พรานและลูกไล่ ไปไล่ราวทางเหนือของหมู่บ้านที่กะจะเอาหมูป่านั่นแหละ แต่เก้ง นอกจากตกใจร้องเสียงดัง และวิ่งแล้ว ไม่ค่อยจะหันไปสู้หมาพรานเหมือนหมูป่า ให้พรานรู้ตัว และติดตามได้

และคิดว่าตัวนี้ คงอยู่ชายป่าไกลกันหน่อยจากที่กำลังไล่ราว...คงตกใจแตกตื่นออกมา....และด้านเหนือของหมู่บ้าน มีทุ่งนากว้างพอสมควรโอบล้อมหมู่บ้านยาวตลอดไปตามที่ราบลุ่มจนจรดด้านทิศตะวันตก ข้ามลำน้ำก็จะเป็นดงใหญ่อีกดงหนึ่ง(ปัจจุบัน ยังมีสภาพเป็นดงพอสมควร เพราะเป็นป่าชุมชนชาวบ้านช่วยกันรักษา)...ส่วนด้านทิศตะวันออกจากที่นาก็จะเป็นเขาลูกเล็กที่เรือนผม และญาติ ๆ ปลูกเรือนอยู่).

เก้งตัวนี้ วิ่งเตลิดผ่านบ้านชายบ้าน มาสี่-ห้าหลังคาเรือน โดยไม่มีหมาเห่าตาม และไม่มีคนรู้ จนมาใกล้คอกควายของปู่ และเจอกับผม โดยที่เก้งยังไม่บาดเจ็บอะไรเลย....

ผมตั้งสติได้ ก็ร้องชู่ว ๆ ไล่ตีไป...เก้งวิ่งพ้นคอก ก็ไปติดจวน(รั้วทำด้วยไม้ไผ่ขัดแตะอย่างหนา สูงราว 150 - 160 เซนติเมตร)...เก้งวิ่ง วนไป วนมา ผมก็ไล่ตีไป.

พอจวนตัว มันร้องเปิ๊บอย่างแรง แล้วก็กระโดดข้ามรั้ว สูงขนาดนั้นทีเดียว วิ่งลงทางใต้ ผ่านบ้านอีกเป็นสิบ ๆ หลังคา ก่อนออกทุ่งนาอีกครั้ง.

ผมก็ได้แต่ร้องบอกญาติ ๆ ว่า เก้ง ๆ วิ่งไปทางโน้น...แต่ก็มีคนไม่กี่คนหรอก เพราะยังกลับกันมาไม่ถึงบ้าน...ผมก็ไม่ได้ตามต่อ เพราะติดรั้ว และต้องหันมาต้อนควายน้อยเข้าคอก ปิดประตูคอก.

สักพักก็ได้ยินเสียงหมาพราน และพรานที่ไล่ตามดังมาจากทางเหนือของหมู่บ้าน และวกลงทางด้านตะวันตก เพราะคงเห็นเก้งวิ่งออกทุ่งนาทางโน้น.

........................................

#เหตุการณ์ต่อไปนี้ ไม่ได้เห็นกับตาครับ เพราะผมไม่ได้ตามไปไล่กับเขาด้วย แต่ฟังจากปากของญาติที่เขาเป็นพราน....อาว์ชายคนนี้มีบ้านใกล้กันกับบ้านผม เพราะอยู่คุ้มเดียวกัน.

แกเล่าว่า...ก็ก้มหน้า ก้มตาซ่อมคันนาอยู่เพราะใกล้ค่ำ...ได้ยินเสียงล้งเล้ง ๆ จากในหมู่บ้าน, เสียงหมาเห่า, และเห็นพรานวัยรุ่นที่แรงดี วิ่งตามเก้งมาแต่ทิศเหนือ.

แกเองก็ยังไม่เข้าใจ....!

พอเหลียวเห็นเก้ง วิ่งมาทางแก แถมวิ่งผ่านก้อนไถ ขี้โคลน ทำให้วิ่งลำบากและช้า.

หรือเพราะเก้งเหนื่อยแล้วก็ไม่ทราบ....

แกก็เข้าใจกระจ่าง...!

วิ่งออกสกัด....และทุบด้วยด้ามจอบไปสอง-สามที ยังไม่โดน.

พอตูมที่สี่....โดนที่คอ.

เก้งฟุบ...

วันนั้น แกเป็นพรานที่โชคดีที่สุด ไม่ต้องวิ่งไล่ให้เหนื่อย ไม่ได้ออกล่า #แต่ได้หัวและเขา เป็นบำเหน็จตามธรรมเนียมพรานของบ้านนี้.

ส่วนที่เหลือก็แบ่งกันไปตามสัดส่วนที่ได้เขียนถึงไปแล้ว...

แปลกยิ่งกว่าแปลกไหมครับ?...

Chote Vanhakij
11 กรกฎาคม 2560 เวลา 23:48 น.
คลิกที่นี่..อ่านคอมเม้นท์ใต้บทความครับ
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1878064632514480&id=100009328851456

* * * * *


ตอนที่ 11 "ล่าเก้ง" (ต่อ)

(#อ่านแล้วไม่ชอบใจให้เว้นข้ามนะครับ)

ส่งท้าย........

พุทธศาสนา เจริญรุ่งเรืองอย่างมากในแถบสุวรรณภูมิมาแต่ก่อนยุคสุโขทัย ในสมัยพ่อขุนรามคำแหง ยังมีปรากฏในประวัติศาสตร์ว่าได้นิมนต์พระเถระ, ปู่ครู มาแต่เมืองนครศรีธรรมราช และจัดตั้งพระแท่นไว้กลางดงตาล เป็นที่สำหรับพระเถระขึ้นแสดงธรรม และพระมหากษัตริย์เองก็โปรดที่จะสดับธรรมในวันธรรมะสวนะ.

จนในปลายยุคสุโขทัยถึงกับมีกษัตริย์ที่ปราดเปรื่องทางด้านพุทธศาสนา เขียนตำราทางศาสนา ชื่อ "ไตรภูมิพระร่วง" เพื่อแสดงความเชื่อทางด้านศาสนา และผลดี กรรมชั่ว ไว้จนเป็นที่รู้จักกันจนทุกวันนี้.

แม้ในสมัยล้านนา ก็มีพระเถระที่ปราดเปรื่องถึงขั้นแต่งปกรณ์ฎีกา เป็นภาษาบาลีจารึกไว้ให้ปรากฏว่า รวบรวมข้อมูลในอรรถกถา มาอธิบาย แสดงเหตุ ผล อยู่ในชั้นดีเลิศ จนถึงกับเป็นตำราที่ใช้แปล ใช้เรียนของเปรียญธรรม 4 และ เปรียญธรรม 5 ประโยค ในด้านภาษาบาลีอยู่จนทุกวันนี้.

คัมภีร์นั้นชื่อ มังคลัตถะทีปนีฎีกา แต่งโดยพระมหาเถระชาวล้านนา ชื่อ สิริมังคลาจารย์.

........................................

แต่ในความรุ่งเรืองของพุทธศาสนาในยุคนั้น กลับเป็นความรุ่งเรืองอยู่แต่ในชั้นในของเมือง และแวดวงของผู้มีความรู้เท่านั้น...ในชั้นนอก ๆ ปลายบ้าน ชนบท ยังมีความเชื่อเดิม ๆ ฝังรกรากอยู่เสมอ การนับถือผี ถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ ฯลฯ....ยังควบคู่กับการนับถือพุทธศาสนาในระดับความเชื่อพื้นฐาน เช่น การทำบุญ ให้ทาน การรักษาศีล แต่ในความรู้และเข้าใจในระดับที่สูงขึ้น เช่น การนำเอาธรรมะ หลักการอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ชีวิต ความเป็นอยู่ในภพชาติปัจจุบัน กลับมีน้อยมาก (ซึ่งก็แทบไม่แตกต่าง จากพุทธศาสนิกชนในปัจจุบัน...ที่รู้จัก ศาสนาพุทธในระดับนี้...).

จนเมื่อก้าวเข้าสู่การสื่อสาร ในระดับ 4 G เช่นที่กำลังอ่านของผมอยู่นี้ ก็ไม่ได้แตกต่างกันเช่นใดเลย.

พุทธศาสนา แม้จะเจริญรุ่งเรือง แต่ก็มีความเสื่อมพอ ๆ กันควบคู่มาเสมอ เสื่อมเพราะความไม่รู้ ไม่เข้าใจ ไม่ศึกษาเพิ่มเติมของพุทธศาสนิกชนนั่นแหละ...!

เสื่อม...! เพราะคิดว่าศาสนาเป็นเรื่องน่าเบื่อ ไม่เหมาะกับการนำมาใช้ทำมาหากิน ทั้งที่พุทธองค์ก็สอนธรรมะไว้สองระดับ ตั้งแต่การขยันทำมาหากิน, การครองเรือน, การรักษาทรัพย์, การคบมิตร, การวางตัวในสังคม ฯลฯ (โลกียะ).

จนถึงระดับของการทำตัวเองให้หลุดพ้นไปจากกองทุกข์โ(ลกุตตระ).

เสื่อม...จนน่าเป็นห่วง...!

......................................

พุทธศาสนานั้น มีคติในการยอมรับ เรื่องการเวียนว่าย ตายเกิด ไม่รู้จบในวัฏฏะสงสาร(วังวนแห่งทะเลทุกข์...ผมขอแปลแบบนี้) หากยังมีกิเลส เป็นเชื้อกรรม(พีชะ=พืช) เป็นเชื้อให้เกิด พุทธองค์ถึงกับตรัสว่าหาเบื้องต้น ที่เริ่มเกิดมานั้น ก็รู้ได้ยาก....(อวิชชา)

แม้เบื้องปลายแห่งวัฏฏะสงสารนี้ ของผู้เวียนว่ายอยู่ในทะเลทุกข์ เกิดแล้ว ดับแล้ว เป็นอยู่อย่างนี้ แล้ว ๆ เล่า ๆ ก็จะรู้ที่สุด หรือเบื้องปลายตอนจบนั้นก็ยาก

"ภิกษุทั้งหลาย สงสาร(วัฏฏ์)นี้ กำหนดที่สุดเบื้องต้น เบื้องปลายไม่ได้

เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูก ที่สุดแห่งเบื้องต้น เบื้องปลายย่อมไม่ปรากฏ"

การคิด ขบคิด หรือหาตรรกะใด ๆ เพื่อจะขบปัญหาเหล่านี้ให้รู้ทะลุปรุโปร่ง พระพุทธองค์จึงตรัสบอกว่า เป็นอจินไตย เป็นเรื่องเหลือวิสัยของปุถุชนผู้ยังมีกิเลสหนา.

และแม้เป็นผู้ปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุแล้ว ก็จะเป็นการเนิ่นช้าอย่างมาก...! ที่จะมาขบคิดเรื่องพวกนี้.

พุทธองค์แสดงไว้ 4 อย่าง......

1. พุทธวิสัย วิสัยของพระพุทธเจ้า
2. ฌานวิสัย วิสัยของผู้ได้ฌาน
3. กรรมวิบาก การให้ผลของกรรมที่ติดตามตัวบุคคล ข้ามภพ ข้ามชาติ
4.โลกจินตา การคิดเรื่องของโลก เช่น พระจันทร์ พระอาทิตย์ ใครเป็นผู้สร้าง? เอกภพคืออะไร?.

.................................

#เกี่ยวอะไรกับการล่าเก้ง?.

#ผมเอามาพูดถึงทำไม?

จากผลกรรมข้ามภพ ข้ามชาติที่พุทธองค์ตรัสถึงในข้อสาม คือ การให้ผลของกรรมนั่นแหละครับ...! พระพุทธองค์ จึงตรัสสอนว่า เฉพาะน้ำตาที่มนุษย์ผู้ตกทุกข์ ได้ยาก, พลัดพรากจากคนรัก จากของรัก, ก็มากว่าน้ำในมหาสมุทรทั้งสี่จะมาเทียบเท่า.

เพราะฉะนั้น เหตุต่าง ๆ ที่บังเกิด #เช่นอาว์ชายที่ทุบคอเก้ง ใยมิใช่เพราะผลของกรรมวนมาครบรอบแห่งการให้ผล.....

ใครทำใครก่อน...ครบรอบของกรรมจึงบังเกิดให้ผลเช่นนั้นในสังสารวัฏฏ์อันยาวนาน หาเบื้องต้น เบื้องปลาย ที่สุดไม่ได้นี้.

คงรู้ได้ยาก...!

คงมิใช่เหตุบังเอิญแน่นอน....!

เรา ท่านทั้งหลาย ที่ผ่านพบกันในภพชาติปัจจุบัน ใยมิใช่เป็นแบบเดียวกัน....! ใยมิใช่เคยเป็นพ่อ แม่ ลูก เมีย หลาน เหลน พ่อตา แม่ยาย พ่อปู่ แม่ย่า คู่รัก คู่แค้น...ที่เคยร้องไห้ อาลัยรัก.

หรือเคยด่าทอ เข่นฆ่ากันมาก่อน...!

#หรือแม้เคยกินเนื้อกันมาแล้ว เช่น เก้งที่กล่าวถึง...!

ไม่ได้ให้สงสาร หรือให้เลิกกินเนื้อสัตว์หรอกครับ เพียงอยากให้มองความจริงอีกด้านที่ศาสนากล่าวถึง.

เรารู้สึกดีกับใคร ใยมิใช่เคยเป็นคู่รัก เคยเอื้ออาทรกันมาเก่าก่อนแต่ปางบรรพ์ดอกหรือ?.

เราเคารพใคร ใยมิใช่เขาเคยเป็นผู้ใหญ่ที่เราเคารพนับถือมาก่อนหรือ?.

เราเคียดแค้น อาฆาตใคร ทั้ง ๆ ที่เขาก็ไม่ได้ทำอะไรให้เรามากมาย ใยมิใช่เขาเคยทำร้ายเรา หรือเป็นคู่เวรกันดอกหรือ?.

ที่เรากินอยู่นี้ ใยมิใช่เป็นเนื้อ เป็นเลือด แห่งคู่รัก ที่เคยร้องไห้อาลัยรัก(แต่เพราะเขาต้องไปใช้กรรมในคราบร่างอื่น)ในภพชาติอันยาวนาน ในหนทางแห่งสังสารวัฏฏ์

จนเราเองก็ลืมไปแล้วดอกหรือ?.

จึงมากินเนื้อคนเคยรัก.... !

พิจารณาธรรมเถิด...! ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย...!

Chote Vanhakij
13 กรกฎาคม 2560 เวลา 23:46 น.
คลิกที่นี่..อ่านคอมเม้นท์ใต้บทความครับ
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1879338032387140&id=100009328851456

* * * * *

@ คลิกที่นี่.. ตอนที่ 12 "ผีโพง" "ผีเป้า"

* * * * *


"เจ้ากรรมนายเวรที่ชาวพุทธเข้าใจผิด"
ปาฐกถาธรรม : พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ

นี่เป็นเรื่องที่ต้องพูดกันให้ชัดหน่อย เวลาที่เราพูดถึงเรื่องเจ้ากรรมนายเวร แล้วเราคิดว่า เจ้ากรรมนายเวร ต้องเป็นอะไรสักอย่างที่มีวิญญาณล่องลอยไปมา คอยตามเข้าสิง หลอกหลอน หรือทำให้เราเป็นนั่นเป็นนี่ ความคิดแบบนี้ดูจะคลาดเคลื่อนจากหลักศาสนาไปมาก

ในพุทธกาล แม้พุทธศาสนาจะรองรับเรื่องโลกหลังความตาย แต่พุทธเจ้าไม่เคยอธิบาย หรือบอกใครว่า ชีวิตของคนที่เป็นแบบนั้น แบบนี้เพราะมีวิญญาณคอยบันดาลให้เป็น พุทธเจ้าไม่เคยอธิบายเรื่องการเจ็บป่วย เรื่องความมีเคราะห์กรรม ในลักษณะแบบนี้ คือถ้าอธิบายแบบนั้น คำสอนของพระองค์ ก็จะไม่ต่างอะไรจากศาสนาบางศาสนาที่บอกว่า เทพเจ้าสามารถบันดาลความดีความไม่ดี ความสุขหรือความทุกข์ ให้กับคนอื่นได้

พุทธศาสนา พูดเรื่องเวรหรือกรรมในลักษณะของการให้ผล ด้วยตัวของมันเอง อธิบายแบบ"ปฏิจสมุปปาท" ไม่ใช่ให้เข้าใจว่า ชีวิตแต่ละคน มีวิญญาณคอยตามหลอกหลอน

เวลาพระบอกว่า เมื่อทำบุญแล้วควรอุทิศส่วนกุศลหรือความดีให้กับเจ้ากรรมนายเวรบ้าง นั่นหมายถึงว่า ให้คุณส่งผลความดีที่คุณทำ ให้กับคนที่คุณอาจเคยตัดรอนชีวิตเขา อย่าง หมู ปลา หรือ สัตว์ต่างๆ จะโดยจำเป็นหรือไม่จำเป็น ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม หรือแม้แต่คนที่คิดประทุษร้าย เป็นศัตรูกับคุณ คุณควรมีเมตตาธรรมกับคนเหล่านี้ ไม่ใช่มุ่งว่าจะต้องหมายถึง วิญญาณที่ติดตามล่องลอยไปมา

พุทธศาสนาเน้นเรื่องของกรรมของเวร ในลักษณะที่เป็นการกระทำของมนุษย์ ซึ่งเป็นผลที่มนุษย์ต้องได้รับ เช่นถ้าคุณทำกรรมไม่ดีกับคนอื่นหรือแม้แต่กับชีวิตของตัวเอง คุณก็ต้องเผชิญหน้ากับผลของการกระทำนั้นนั้น ซึ่งทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากกรรมเวรที่คุณสร้างเอง ไม่วิญญาณที่ไหนมาบันดาลให้ นี่แหละที่เรียกว่า เจ้ากรรมนายเวร ที่แท้จริง

ที่อาตมาไม่สนับสนุนวิธีคิดในการมองเรื่องเจ้ากรรมนายเวร ที่เป็นรูปแบบของวิญญาณ ล่องลอย คอยกลั่นแกล้ง บันดาลนี่นั่นให้ เพราะการเชื่อแบบนี้สร้างปัญหาให้กับคน ให้คนมองข้ามเหตุผล อย่างที่เป็นข่าว ชีวิตไม่มีดีก็โทษเจ้ากรรมนายเวร เจ็บป่วยก็โทษเจ้ากรรมนายเวร ทำบุญแล้ว ทุกอย่างจะดีขึ้น

การมองแบบนี้ เป็นปัญหามาก เพราะทำให้เรื่องของการทำบุญ กลายเป็นเรื่องที่ส่งเสริมให้คนประมาทในการใช้ชีวิต เพราะคนก็จะคิดว่า ทำบุญแล้วทุกอย่างจะดีขึ้น ทำให้คนไม่เชื่อเรื่องกฎแห่งการกระทำของตนเอง ไม่ขวนขวายที่จะเปลี่ยนแปลงหรือลงมือทำอะไรเพื่อตนเอง ไม่มองการเจ็บป่วย เป็นเรื่องของพยาธิ ซึ่งมีอยู่เป็นธรรมดาในสังขารของมนุษย์ทุกคน เป็นเรื่องที่ต้องเยียวยาหรือรักษาโดยวิธีการทางแพทย์ที่ถูกต้อง

นี่ อาตมาอยากจะให้ทำความเข้าใจเรื่องเวรกรรมกันเสียใหม่.

พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ
13 กรกฎาคม 2560 เวลา 20:50
คลิกที่นี่..อ่านคอมเม้นท์ใต้บทความครับ
https://www.facebook.com/PhramahaPaiwan/posts/1894586547474644

* * * * *

@ คลิกที่นี่.. ตอนที่ 12 "ผีโพง" "ผีเป้า"

* * * * *