tag:blogger.com,1999:blog-61431901721842039502024-02-21T05:32:33.535+07:00คู่มือ...ทำกับข้าวเมืองเหนือประยุกต์somphonghttp://www.blogger.com/profile/07203143908234315462noreply@blogger.comBlogger57125tag:blogger.com,1999:blog-6143190172184203950.post-86906133403670827322017-11-08T20:29:00.002+07:002018-03-03T22:10:49.587+07:00เคยได้ยินไหม? "เงินเลี้ยงหัวใจแม่", น้ำพริกกุ้งแห้ง<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.picz.in.th/images/2017/11/08/vd-28-08-58-.jpg" /></center><br />
<span style="color: #3333ff; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;"><strong>เคยได้ยินไหม? "เงินเลี้ยงหัวใจแม่"</strong></span><br />
<span style="color: #ff9900;">By: Nameless</span><br />
<br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: large;">"..เลี้ยงกาย..อิ่มกาย เลี้ยงใจ..อิ่มใจ .. แม้วันนี้จะยังไม่พร้อมเลี้ยงท่านให้อิ่มทางกาย แต่เราสามารถเลี้ยงท่านให้อิ่มทางใจได้แล้ว โดยการทำให้ท่าน ชื่นอกชื่นใจ เย็นอกเย็นใจ สบายอกสบายใจ สุขอกสุขใจ ดีอกดีใจ เพียงเท่านี้ก็เป็นประหนึ่งดั่งว่าได้ทำให้ท่านขึ้นสวรรค์ทางใจแล้ว.."</span><br />
<br />
อาจารย์ของผมท่านได้ให้เงินเดือนคุณแม่ของท่านเดือนละ 1,000 บาท เป็นประจำทุกเดือน<br />
<br />
ผมสงสัยทำไมต้องให้เงินคุณแม่เดือนละ 1,000 บาท? ในเมื่อคุณแม่ก็อยู่บ้านหลังเดียวกับอาจารย์อยู่แล้ว ค่าใช้จ่ายสำหรับท่าน อาจารย์ก็จัดการทั้งหมดอยู่แล้ว<br />
<br />
วันหนึ่งสบโอกาสผมจึงตัดสินใจ ถามอาจารย์ "อาจารย์กำลังทำอะไรครับ?"<br />
<br />
อาจารย์ตอบว่า "ผมกำลังตัดรายจ่ายอยู่.. ผมต้องจ่ายค่าแม่ครัว คนขับรถ คนสวน ค่าใช้จ่ายในบ้าน และให้คุณแม่อีกเดือนละ 1,000 บาท.. ตอนนี้รายได้กับรายจ่ายมันไม่ค่อยสัมพันธ์กัน ต้องตัดรายจ่ายลงบ้าง"<br />
<br />
ผมเลยบอกว่า "เงินเดือนที่ให้คุณแม่ 1,000 ตัดได้นี่ครับ.. อาหาร 3 มื้อ อาจารย์ก็จัดให้ท่านเรียบร้อย เสื้อผ้าก็ซื้อให้ใหม่ปีละ 3 ชุด ไม่สบาย อาจารย์ก็พาหมอมาฉีดยาให้ คุณแม่ตาบอดไม่ได้ไปไหน ฉะนั้นเงินเดือน 1,000 นี่ ตัดได้ครับ"<br />
<br />
อาจารย์บอกว่า "ตัดไม่ได้เด็ดขาด...1,000 บาทนี่สำคัญที่สุด เพราะเป็นเงินสำหรับเลี้ยงหัวใจแม่!"<br />
<br />
ผมฟังแล้วสะอึก! "เงินเลี้ยงหัวใจแม่" ..พวกเราเคยได้ยินไหมครับ?<br />
<br />
อาจารย์บอกต่อ..<br />
<br />
"หัวใจต้องการอาหารที่มาหล่อเลี้ยงให้เอิบอิ่ม เบิกบาน เป็นสุข.. คุณลองนึกดู คนที่ไม่มีเงินอยู่ในตัวเลยนี่เป็นยังไง? หัวใจมันแฟบ หัวใจมันเหี่ยวเฉา-เหมือนดอกไม้ยามเย็น ใครที่เป็นมนุษย์เงินเดือนจะรู้ พอเลยวันที่ 25 ไปแล้วนี่ มันเหี่ยวๆยังไงชอบกล ไม่มีเงินค่ารถ ค่าอาหาร ซื้อข้าวสาร มันเหี่ยวไปจนถึงสิ้นเดือน..<br />
<br />
แม่อยู่กับเราก็จริง แต่ถ้าแม่ไม่มีเงินอยู่ในมือนี่ หัวใจท่านเหี่ยว พอถึงวันเงินเดือนออก ทุกคนหน้าบานเหมือนดอกไม้ยามเช้า จิตใจสดชื่นเบิกบาน มีความสุข รับเงินเดือนมาใหม่ๆ หน้าสดใส สั่งกาแฟยังเสียงดัง ฟังชัด..<br />
<br />
ทุกสิ้นเดือนพอเงินเดือนออก ผมเข้าไปสวัสดีแม่ บอกแม่ว่า วันนี้เงินเดือนออกครับ ผมเอาเงินใส่มือแม่ 1,000 บาท แม่ก็ให้พร แล้วเก็บเงินไว้ใต้หมอนไว้อย่างมีความสุข"<br />
<br />
เงิน 1,000 บาท เลี้ยงหัวใจแม่อย่างไร?<br />
<br />
วันหนึ่งน้องของอาจารย์พาภรรยาไปคลอดลูก คุณแม่ก็ซื้อทองให้หลานด้วยเงิน 1,000 บาท ที่เก็บสะสมไว้ ท่านกอดหลานสาว.. สวมสร้อยให้พร้อมให้พร<br />
<br />
พอเด็กคนนี้โตพอพูดได้ มีคนถามว่าสายสร้อยนี้ใครซื้อให้ เด็กก็จะตอบว่า "คุณย่าซื้อให้" ชี้มือไปที่คนตาบอด คนที่ใหญ่ที่สุดในบ้านคือคุณย่า ไม่ใช่พ่อแม่ เพราะเงิน 1,000 บาท นี่ทำให้คนตาบอดดูน่าเกรงขาม ถ้าคุณแม่ไม่มีเงิน จะรับขวัญหลานได้อย่างไร? เห็นไหมครับ?<br />
<br />
ไม่ใช่ว่าพอโตขึ้น มีคนถามว่าคนนี้เป็นใคร เด็กบอกว่ายายแก่ตาบอดที่มาอาศัยพ่อแม่ฉันอยู่ เห็นหรือยังคุณว่าเงินเดือน 1,000 บาทนี่ทำให้คนแก่ตาบอดมีคุณค่าขึ้นมาได้<br />
<br />
วันดีคืนดี แม่ครัวล้างชามเสร็จ คุณแม่ก็บอกให้มานวดขาให้ แม่ครัวหน้ามุ่ยทำงานเหนื่อยยังต้องมานวดให้อีก นั่งขยำๆคว่ำหน้า พอนวดเสร็จคุณย่าหยิบเงินให้ 100 บาท แม่ครัวยิ้มหน้าบาน ยกมือไหว้ ขอบคุณค่ะ<br />
<br />
วันรุ่งขึ้นพอล้างจานเสร็จ รีบวิ่งมานั่งใกล้ๆ.. วันนี้นวดอีกไหมคะคุณย่า?<br />
<br />
เห็นไหม..เงินเดือน 1,000 บาท ที่เราให้แม่ของเรามีฤทธิ์ขึ้นมาได้ มีคนมายกมือไหว้ มีคนมาปรนนิบัติ มีคนมานวดให้ ถ้าไม่มีเงินเดือน 1,000 บาทนี้แม่เราจะมีฤทธิ์ได้อย่างไร?<br />
<br />
บันไดไปสวรรค์ด้วยเงิน 1,000 บาท<br />
<br />
วันหนึ่ง กำนันมาที่บ้านอาจารย์ หารือจะปรับปรุงห้องน้ำวัดที่ชำรุดทรุดโทรม แม่อาจารย์ได้ยินกวักมือเรียกอาจารย์ แล้วคุณแม่ยกหมอนขึ้น นับเงินมา 5,000 บาท บอกเอาไปให้กำนันปรับปรุงห้องน้ำ<br />
<br />
เห็นมั๊ยว่าเงินเดือน 1,000 ที่เราให้เป็นบันไดพาแม่ไปสวรรค์.. นี่ถ้าแม่ไม่มีเงินในมือแม่จะได้ทำบุญไหม?<br />
<br />
พอกำนันรับเงินเสร็จ ก็เดินผ่านไปบ้านถัดไป ลุงแก่ๆบ้านโน้นกำลังเก็บผ้าอยู่ในบ้าน กำนันตะโกนข้ามรั้ว ทำบุญสร้างส้วมไหมลุง?<br />
<br />
ลุงข้างบ้านตอบ "ลุงไม่มีเงินหรอก ลุงอาศัยลูกสาวเขาอยู่ เดี๋ยวเผื่อลูกสาวเขากลับมาทันจะขอเงินเขาทำบุญ"<br />
<br />
เพราะลูกเค้าไม่ได้ให้เงินเดือนลุง ลุงคนนี้เป็นเพียงแค่คนเก็บผ้าของลูกๆ ลุงคนนี้ไม่มีเงิน เพราะลูกเอามาเลี้ยง เอาไว้คอยเก็บผ้า!<br />
<br />
เป็นยังไงบ้างครับ.. เห็นอิทธิฤทธิ์ของเงิน 1,000 บาท "เงินเลี้ยงหัวใจแม่" แล้วหรือยังครับ<br />
<br />
วันนี้เราให้ "เงินเลี้ยงหัวใจแม่" แล้วหรือยัง?<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<font color="#FF0000">@</font> <a href="http://www.ebooks.in.th/download/794/เลี้ยงกายเลี้ยงใจพ่อแม่_[หลวงพ่อจรัญ]" target="_blank">*pdf เลี้ยงกายเลี้ยงใจพ่อแม่ [หลวงพ่อจรัญ]</a><br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
เพลงแม่ เพราะๆซึ้งๆ<br />
<center><iframe width="560" height="385" src="https://www.youtube.com/embed/QZogX3pJTPw" frameborder="0" allowfullscreen></iframe></center><br />
* * * * *<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.picz.in.th/images/2017/11/08/vsaj-09-11-60-.jpg" /></center><br />
<span style="color: #3333ff; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;"><strong>"น้ำพริกกุ้งแห้ง"</strong></span><br />
<span style="color: #ff9900;">By: "เจ๊ส้มลิ้ม"</span><br />
<br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: large;">"..คลุกข้าวสวยร้อนๆ กินแก้มกับหมูทอด ผักบุ้งต้มหั่นฝอย เท่านี้ก็อร่อยแล้วค่ะ.."</span><br />
<br />
สวัสดีค่ะ..คุณผู้อ่าน<br />
<br />
พบกับ "เจ๊ส้มลิ้ม" อีกครั้งนะคะ หลังจากที่ครั้งแรกยืมเฟสคุณสามีโพสต์เรื่องการบ้านการเสื้อผ้าจนถูกแอดมินลบชื่อออกจากกลุ่ม 555<br />
<br />
คราวนี้หวังว่าแอดมินกลุ่มต่างๆคงไม่ใจจืดใจดำลบออกจากกลุ่มอีกนะคะ<br />
<br />
หลังจาก "เจ๊ส้มลิ้ม" เกษียณมาหมาดๆ มาอยู่เฝ้าบ้านเป็นเพื่อนคุณสามี ก็มีเวลาว่างเยอะแหละค่ะ<br />
<br />
ก่อนหน้า 37 ปีที่ผ่านมา "เจ๊ส้มลิ้ม" ต้องตื่นแต่เช้ามืด อาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน กว่าจะกลับถึงบ้านก็มืดค่ำทุ่มสองทุ่มเข้าไปแล้วล่ะค่ะ<br />
<br />
ก็คนมันเคยตื่นแต่เช้านี่คะ จะให้นอนคุดคู้อยู่บนที่นอนได้ไง<br />
<br />
ตื่นแต่เช้า "เจ๊ส้มลิ้ม" ชวนคุณสามีเดินสำรวจรอบหมู่บ้านที่อาศัยปัจจุบันซึ่งเป็นชุมชนขนาดใหญ่ พอดวงอาทิตย์โผล่ก็แวะตลาดสดกลางหมู่บ้านนั่นแหละค่ะ หาซื้อผักผลไม้กลับมาทำอาหารเช้ารับประทานที่บ้าน<br />
<br />
ก็เป็นความสุขเล็กๆของคนที่เพิ่งเกษียณมาหมาดๆแหละค่ะ<br />
<br />
และแล้วเช้าวันนั้น "เจ๊ส้มลิ้ม" ก็พบความจริงอันนึง คุณผู้อ่านเชื่อมั้ยคะ.. เดี๋ยวนี้อาชีพที่ฮิตที่สุดของผู้สูงอายุคือ "เดินเก็บของเก่า" ค่ะ<br />
<br />
เท่าที่เห็น ผู้สูงอายุ "เดินเก็บของเก่า" 5 ราย เป็นหญิง 2 ชาย 3 ค่ะ<br />
<br />
โอ้พระเจ้ากล้วยทอด เศรษฐกิจ รบ.ยึดอำนาจ เป็นแบบนี้กันแล้วรึ?<br />
<br />
ผ่าน..ผ่าน.. ไม่คอมเม้นท์จ้า!<br />
<br />
มา..เข้าเรื่องที่อยากจะเล่าให้ฟังกันดีกว่าค่ะ<br />
<br />
ห่างจากบ้าน "เจ๊ส้มลิ้ม" ไปประมาณ 1 กิโลเมตร มีคุณยายท่านหนึ่งอายุก็ราวๆ 70-80 "เจ๊ส้มลิ้ม" เดินผ่านไปทีไรก็เห็นท่านนั่งอยู่หน้าบ้าน เห็นครั้งแรก "เจ๊ส้มลิ้ม" นึกว่าท่านนั่งขอทาน นาทีนั้น "เจ๊ส้มลิ้ม" คิดถึงแม่ที่จากไปแล้ว นึกสงสารคุณยาย เลยควักแบ้งร้อยยัดใส่มือของท่าน<br />
<br />
เท่านั้นแหละค่ะ คุณยายเอะอะโวยวายลั่นไปเลย<br />
<br />
คุณยายท่านว่าท่านไม่ได้นั่งขอทาน ที่นั่งอยู่นี่ก็บ้านหลานชายของท่านเอง<br />
<br />
"เจ๊ส้มลิ้ม" ยกมือไหว้ขอโทษขอโพยคุณยายค่ะ และขออนุญาตนั่งคุยด้วย สักพักก็คุยกันถูกคอ คุณยายท่านเล่าให้ฟังหลายเรื่องราว เป็นชีวิตที่น่าสงสารและน่าเห็นใจของตัวคุณยายเอง สุขบ้างทุกข์บ้างคละเคล้ากันไป เอาเป็นว่า "เจ๊ส้มลิ้ม" ขออนุญาตไม่ขยายความต่อนะคะ<br />
<br />
แล้วความคิดนึงก็แว้บเข้ามาในสมองอันน้อยนิดของ "เจ๊ส้มลิ้ม"<br />
<br />
2-3 วันต่อมา "เจ๊ส้มลิ้ม" เอา "น้ำพริกกุ้งแห้ง" ไปฝากคุณยาย 30 ถ้วยพลาสติก<br />
<br />
"น้ำพริกกุ้งแห้ง" เป็นน้ำพริกประจำบ้าน "เจ๊ส้มลิ้ม" ทำกินเป็นประจำ ไว้ชูรสเวลากินข้าวไม่อร่อย ไม่ใส่สารกันบูด แต่ใส่กุ้งแห้งครึ่งกิโลกรัม<br />
<br />
ส่วนผสมนี้ "เจ๊ส้มลิ้ม" ปรุงครั้งนึงจะได้ 30 ถ้วยพลาสติก(Ǿ75 5oz) ถ้าใส่กระปุกแก้วเก็บไว้กินเป็นเดือนๆก็ไม่เสีย<br />
<br />
"น้ำพริกกุ้งแห้ง" สูตรนี้ ทั้งเผ็ดและเค็ม ที่เค็มคือใส่กุ้งแห้งเยอะค่ะ สำหรับคลุกข้าวสวยร้อนๆ กินแก้มกับหมูทอด ผักบุ้งต้มหั่นฝอย เท่านี้ก็อร่อยแล้วค่ะ<br />
<br />
วันต่อมา "เจ๊ส้มลิ้ม" เดินผ่านไป คุณยายบอกว่าน้ำพริกกุ้งแห้งที่ให้มา ยายไม่ทันได้กิน แต่มีคนมาขอซื้อ ไม่ถึงชั่วโมงก็ขายเกลี้ยง<br />
<br />
ว่าแล้วคุณยายก็นับเงินส่งให้ "เจ๊ส้มลิ้ม" 900 บาท "คนซื้อบอกว่าแซบดี ถ้ามีอีกก็เอามาให้อีก ยายจะนั่งขายน้ำพริกกุ้งแห้งนี่แหละอีหนูเอ๊ย"<br />
<br />
"???"<br />
<br />
"เงินหนูไม่เอา คุณยายเก็บไว้ใช้ไว้ทำบุญเถอะค่ะ"<br />
<br />
"???"<br />
<br />
"ทุกต้นเดือนหนูจะเอาน้ำพริกมาให้คุณยายอีกนะคะ"<br />
<br />
"???"<br />
<br />
"ไม่ต้องคิดอะไรมากค่ะ คุณยายจะได้มีเงินไปทำบุญที่วัดทุกวันพระไงคะ"<br />
<br />
"???"<br />
<br />
หุหุ.. แม่นักสังคมสงเคราะห์ โนเนม 555<br />
<br />
"???"<br />
<br />
วันนี้โชคดีนะคะ คุณผู้อ่านทุกๆคน..<br />
<br />
"เจ๊ส้มลิ้ม บูติคซิตี้"<br />
8 พฤศจิกายน 2560<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
หลายๆท่านที่สนใจถามมา ก็ขอตอบโดยรวมตรงนี้นะคะ..<br />
<br />
น้ำพริกกุ้งแห้งนี่ต้นทุนสูงค่ะกุ้งแห้งเนื้อโล 800 ต้องทำกินเองทำขายไม่ได้ค่ะ<br />
<br />
สงสารคุณยายที่ลูกหลานไม่ค่อยสนใจ ให้เงินท่านก็ไม่รับ ที่ท่านนั่งเป็นทางผ่านออกถนนผู้คนเดินไม่ขาด ก็เลยลองเอาน้ำพริกที่ทำกินเองใส่ถ้วยไปให้ 30 ถ้วย<br />
<br />
โชคช่วยหรือฟลุ๊กก็ไม่รู้ ท่านขายถ้วยละ 30 บาท ปรากฏว่าไม่ถึงชั่วโมงขายเกลี้ยง เห็นท่านยิ้มอย่างมีความสุขก็พลอยปลื้มไปด้วย น้ำตาร่วงเลยค่ะ<br />
<br />
ตอนนี้ทุกต้นเดือนจะทำน้ำพริกไปให้ 30 ถ้วย ให้เปล่าๆนะคะ ท่านจะได้มีเงินไปทำบุญทำทานกับเขามั่งค่ะ<br />
<br />
(น้ำพริก 2 ชุด ชุดละ 30 ถ้วยพลาสติก(Ǿ75 5oz) ให้คุณยาย 1 ชุด อีก 1 ชุด ไว้กินเองเผื่อเพื่อนบ้านใกล้เคียงที่ทราบ)<br />
<br />
คำตอบนี้คงกระจ่างนะคะ แต่ถ้ายังงงๆก็อ่านบทความนี้อีกสักรอบค่ะ<br />
<br />
ขอบคุณหลายๆท่านที่สนใจถามมานะคะ<br />
<br />
"เจ๊ส้มลิ้ม"<br />
10 ธันวาคม 2560<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.img.in.th/images/ccbe4e42fe1afeeca6826c05a985df87.jpg" /></center><br />
* * * * *<br />
<br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: large;">@</span> <a href="https://www.facebook.com/Thanawutforever/" target="_blank">"<span style="color: #ff0000; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: large;">อยากชิมแวะไปที่นี่..</span></a><br />
<br />
* * * * *<br />
somphonghttp://www.blogger.com/profile/07203143908234315462noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6143190172184203950.post-59569611468550132322017-09-26T09:40:00.001+07:002017-11-14T09:13:29.104+07:00สนามบินเจ็ดชั่วโคตร<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.picz.in.th/images/2017/09/28/vsag-29-09-60-.jpg" /></center><br />
<span style="color: #3333ff; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;"><strong>สนามบินเจ็ดชั่วโคตร</strong></span><br />
<span style="color: #ff9900;">By: "คนการเมือง"</span><br />
<br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: large;">"..พ.ศ.2516 รัฐบาลทหารของจอมพลถนอม กิตติขจร ได้ซื้อที่ดินหนองน้ำ 20,000 ไร่ บริเวณหนองงูเห่า จังหวัดสมุทรปราการ สำหรับสร้างสนามบินใหม่ .. ผ่านมาผ่านไปหลายๆรัฐบาลสนามบินแห่งนี้ก็ยังสร้างไม่แล้วเสร็จสักที .. เวลาเกือบ 30 ปีต่อมา รัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงได้เร่งการก่อสร้างตั้งแต่เดือน มกราคม พ.ศ.2545 ใช้เวลาก่อสร้างเพียง 4 ปีเศษๆก็สร้างเสร็จ หลังจากนั้นก็ได้มีการทดลองบินเป็นเที่ยวปฐมฤกษ์เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ.2549.."</span><br />
<br />
จากสนามบินซึ่งคนไทยเราต้องรอนานถึง 46 ปี ผ่านไปไม่รู้กี่รัฐบาลก็ยังสร้างไม่ได้สักที จนได้รับฉายาว่า "สนามบินเจ็ดชั่วโคตร" แต่บัดนี้กลายมาเป็น "ความภูมิใจของคนไทยทั้งชาติ"<br />
<br />
ใครจะว่าไม่ดีอย่างโน้นอย่างนี้ก็ช่าง ผมถือว่า "สนามบินสุวรรณภูมิ" เป็นสิ่งที่ผมภูมิใจในฐานะคนไทยคนหนึ่ง<br />
<br />
แนวคิดในการก่อสร้าง ท่าอากาศยานนานาชาติแห่งที่สองในกรุงเทพมหานคร เริ่มมีขึ้นในปี พ.ศ.2503 *(ผมอายุ 13 ปี กำลังเรียนชั้น ม.4 --ธนวุฒิ)* ในสมัยรัฐบาลจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการจัดตั้ง "สภาเศรษฐกิจแห่งชาติ" ในสมัยจอมพล แปลก พิบูลสงคราม<br />
<br />
ต่อมา พ.ศ.2516 รัฐบาลทหารของจอมพลถนอม กิตติขจร ได้ซื้อที่ดินหนองน้ำ 20,000 ไร่ บริเวณหนองงูเห่า จังหวัดสมุทรปราการ สำหรับสร้างสนามบินใหม่ .. ผ่านมาผ่านไปหลายๆรัฐบาลสนามบินแห่งนี้ก็ยังสร้างไม่แล้วเสร็จสักที<br />
<br />
เวลาเกือบ 30 ปีต่อมา รัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้เห็นว่า สนามบินมีความสำคัญต่อการส่งเสริมและพัฒนาความเจริญด้านเศรษฐกิจ สังคม การท่องเที่ยว และด้านอื่นของประเทศเป็นอย่างมาก รัฐบาลจึงกำหนดให้ การก่อสร้าง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะต้องร่วมกันดำเนินการแบบบูรณาการ เพื่อให้สำเร็จตามเป้าหมาย จึงได้เร่งการก่อสร้างตั้งแต่เดือน มกราคม พ.ศ.2545<br />
<br />
ใช้เวลาก่อสร้างเพียง 4 ปีเศษๆก็สร้างเสร็จ หลังจากนั้นก็ได้มีการทดลองบินเป็นเที่ยวปฐมฤกษ์เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ.2549 *(ผมอายุ 59 ปี --ธนวุฒิ)* ก่อนที่จะมีการปฏิวัติเดือนกว่าๆ และได้มีการเปิดให้บริการจริงในวันที่ 28 กันยายน พ.ศ.2549 ภายหลังการปฏิวัติเพียง 9 วัน<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.picz.in.th/images/2017/11/14/z23472329_1-103.jpg" /></center><br />
* * * * *<br />
<br />
(เริ่ม19:33) ความคิดสร้างสรรค์เป็นหัวใจสู่ความสำเร็จใน ศก.สมัยใหม่ทักษิณ ชินวัตร<br />
<center><iframe width="560" height="385" src="https://www.youtube.com/embed/jLBm3yqJijA" frameborder="0" allowfullscreen></iframe></center><br />
* * * * *<br />
<br />
(ดูบนYouTube) ความคิดสร้างสรรค์เป็นหัวใจสู่ความสำเร็จใน ศก.สมัยใหม่ทักษิณ ชินวัตร<br />
<center><embed type="application/x-shockwave-flash" width="560" height="385" src="http://www.youtube.com/v/jLBm3yqJijA?fs=1&start=1173"></embed></center><br />
* * * * *<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.picz.in.th/images/2017/09/24/vsag-27-09-60-.jpg" /></center><br />
<span style="color: #3333ff; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;"><strong>"เบื้องหลังการเจรจากับญี่ปุ่นในการสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ"</strong></span><br />
<br />
ผมขอเริ่มตอนที่หนึ่งโดยการเล่าเรื่องเบื้องหลังการเจรจากับญี่ปุ่นในการสร้างสนามบินสุวรรณภูมิครับ<br />
<br />
ปี 2544 ผมได้ประกาศว่าจะยกเลิกการประกวดราคาก่อสร้างอาคารผู้โดยสารของสนามบินสุวรรณภูมิซึ่งประกวดราคาโดยรัฐบาลก่อนเป็นวงเงิน 54,000 ล้านบาทเศษ โดยออกแบบรองรับผู้โดยสารได้ 35 ล้านคน ซึ่งขณะนั้นผมเห็นว่าแพงและจำนวนผู้โดยสารที่รองรับได้น้อยไป เกรงจะไม่พอ เปิดปุ๊บก็ต้องเต็มปั๊บ ทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยในขณะนั้นก็วิ่งมาพบผมและขอคัดค้านเพราะเรากู้เงิน JBIC อยู่ โดยบอกว่าจะยกเลิกเงินกู้<br />
<br />
ผมก็นั่งคิด เนื่องจากเรายังไม่พ้นวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นเมื่อ ก.ค. 40 แต่ถ้าเรากลัวไม่ได้กู้เงิน เราก็ต้องสร้างสนามบินที่แพงเกินจริงและรองรับผู้โดยสารได้น้อยเกินไป เพราะจะสร้างใหม่ทั้งทีอุตส่าห์รอกันมาตั้ง 40 ปี ขณะนั้นผมอ่านออกว่าทูตญี่ปุ่นกลัวว่าประกวดราคาใหม่บริษัทญี่ปุ่นจะไม่ชนะประมูล เรื่องการไม่ให้กู้เงินคงจะไม่จริง<br />
<br />
ผมก็เลยบอกไปว่าผมจำเป็นต้องยกเลิกการประมูลและแก้แบบใหม่ให้รองรับผู้โดยสารจาก 35 ล้านคนเป็น 45 ล้านคน ถ้าญี่ปุ่นไม่ให้กู้ก็ไม่เป็นไร ผมใช้เงินแบงค์กรุงไทยกับแบงค์ออมสินก็ได้ ผมก็เลิกการประมูล แก้แบบเป็น 45 ล้านคน และให้มีการประมูลใหม่<br />
<br />
ผลปรากฏว่าราคาลดลงจาก 54,000 ล้านบาท เป็น 36,666 ล้านบาท ประหยัดไป 17,000 ล้านบาทเศษ พร้อมกับรองรับผู้โดยสารได้เพิ่มอีก 10 ล้านคน จาก 35 เป็น 45 ล้านคน ซึ่งขนาดเพิ่มแล้ววันนี้หลังจากเปิดไม่กี่ปีก็เต็มแล้ว ทั้งๆที่ไปใช้ดอนเมืองด้วย<br />
<br />
และในที่สุด ท่านทูตญี่ปุ่นคนเดิมก็กลับมาขอร้องให้เราใช้เงินกู้ JBIC ต่อไปเหมือนเดิม (การเจรจาต้องรู้ความต้องการของเขาและของเรา)<br />
<br />
ถ้าท่านจำได้ช่วงผมเป็นนายกฯใหม่ๆ ผมได้ประกาศว่าไทยจะไม่ยอมกู้เงินนอกเด็ดขาดยกเว้นสัญญาที่มีอยู่เดิม ทั้งๆที่ตอนนั้นเรามีเงินสำรองอยู่ 27-28 พันล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น แต่เรามีหนี้ต่างประเทศมากกว่าเงินสำรองเรามาก รวมทั้งหนี้ IMF ถึง 12,000 ล้าน<br />
<br />
ผมเข้าใจโลกทุนนิยมดีครับ มันเปรียบเสมือนว่าเมื่อแดดออก มีแต่คนจะเอาร่มมาให้เราถือเต็มไปหมดทั้งๆที่เราไม่ต้องใช้ แต่ยามฝนตก เราอยากได้ร่มสักคันก็ไม่มีใครให้ยืม เพราะฉะนั้นจึงต้องสร้างคำว่า Trust & Confident ให้ได้ เงินถึงจะมา<br />
<br />
ผมเลยใช้นโยบายว่า กัดฟันไม่กู้เงินนอกเท่านั้น ต่างประเทศก็เริ่มมั่นใจขึ้น เงินต่างประเทศก็เริ่มเข้ามาประกอบกับการปรับนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยในขณะนั้นให้สอดคล้องกัน ทำให้พ่อค้านำเข้าและส่งออกที่เก็บเงินไว้ต่างประเทศก็เริ่มนำกลับเข้ามา เสถียรภาพเงินบาทก็แข็งขึ้น เงินสำรองก็มากขึ้นจนเราสามารถใช้หนี้ IMF ได้ ซึ่งตอนเกิดวิกฤตตอนเราต้องยืมเงิน IMF ทุกคนก็คิดว่าต้องใช้เวลาเป็นสิบๆปีกว่าจะใช้หนี้ได้<br />
<br />
ตอนที่ผมตัดสินใจใช้หนี้หลายคนก็ห้ามผมว่าทำไมต้องรีบใช้ เดี๋ยวเงินสำรองจะพร่องมากไปไม่พอใช้ บังเอิญผมมีประสบการณ์เป็นนักกู้เงินมาก่อน ถ้าเราเป็นหนี้แล้วใช้คืนได้เขาถึงว่าเราเป็นลูกค้าชั้นดีที่จะให้กู้มากขึ้นอีก ผมก็เลยสั่งให้ใช้หนี้ทั้งหมดทีเดียว หม่อมอุ๋ยขอต่อรองเป็นอีก 6 เดือน ผมก็เลยบอกว่าผมประกาศเลยนะว่าอีก 6 เดือนจะชำระ<br />
<br />
ก็เลยเกิดการชำระหนี้ IMF ก่อนครบกำหนดถึง 2 ปี ทำให้ชื่อเสียงของประเทศไทยดีขึ้นมาก เงินก็เริ่มไหลเข้าประเทศไทยอย่างต่อเนื่องจนเรากลายเป็นประเทศที่เรียกว่าเป็น Net Creditor Nation คือเป็นประเทศที่มีเงินฝากเป็นเงินตราต่างประเทศมากกว่าเงินกู้ต่างประเทศ โดยรวมตัวเลขทั้งภาครัฐและภาคเอกชนด้วย เป็นครั้งแรกของไทย<br />
<br />
สรุปก็คือว่าถ้าเรามียุทธศาสตร์การเงินและการทำงานที่ควบคู่กันได้ดี เราจะสร้างTrust & Confident ให้กับองค์กรของเรา(ซึ่งในที่นี้ก็คือประเทศ) แล้วเราจะเติบโตได้ เพราะจะมีเงินทุนเข้ามาให้เราได้ใช้บริหารและสร้างรายได้อย่างไม่จำกัดครับ<br />
<br />
วันนี้เอาเท่านี้ก่อนครับ.<br />
<br />
Me and My Country (1)<br />
ดร.ทักษิณ ชินวัตร<br />
8 ตุลาคม 2556<br />
https://www.facebook.com/thaksinofficial<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
มิติใหม่ทางการบริหาร ดร.ทักษิณ ชินวัตร (น่าจะ2546) พูดเมื่อ 7ม.ค.2547<br />
<center><iframe width="560" height="385" src="https://www.youtube.com/embed/jjovzi7hq8g" frameborder="0" allowfullscreen></iframe></center><br />
* * * * *<br />
<br />
มิติใหม่ทางการบริหาร ดร.ทักษิณ ชินวัตร พูดเมื่อ 7ม.ค.2547 (น่าจะ2546)<br />
<center><iframe width="560" height="385" src="https://www.youtube.com/embed/oQz0O_B6NS4" frameborder="0" allowfullscreen></iframe></center><br />
* * * * *<br />
somphonghttp://www.blogger.com/profile/07203143908234315462noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6143190172184203950.post-42372371147104246902017-09-25T12:57:00.001+07:002017-09-26T10:26:27.886+07:00คำวินิจฉัยหนึ่งเดียวในองค์คณะคดียึดทรัพย์ทักษิณจากทั้งหมดเก้าคน<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.picz.in.th/images/2017/09/25/vsag-26-09-60-.jpg" /></center><br />
<span style="color: #3333ff; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;"><strong>คำวินิจฉัยหนึ่งเดียว<br />
ในองค์คณะคดียึดทรัพย์ทักษิณจากทั้งหมดเก้าคน</strong></span><br />
<span style="color: #ff9900;">By: "คนการเมือง"</span><br />
<br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: large;">"..พลิกคำวินิจฉัย"หนึ่งเดียว"ในองค์คณะคดียึดทรัพย์" ม.ล.ฤทธิเทพ เทวกุล รองประธานศาลฎีกา ตอบโจทย์ ทำไม"ทักษิณ"มิได้ร่ำรวยผิดปกติ.."</span><br />
<br />
หมายเหตุ"มติชนออนไลน์" : เป็นส่วนหนึ่งของคำวินิจฉัยส่วนตนของ ม.ล.ฤทธิเทพ เทวกุล รองประธานศาลฎีกาซึ่งเป็นผู้พิพากษาเพียงคนเดียวในองค์คณะจากทั้งหมด 9 คนที่เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไม่ได้ใช้อำนาจหน้าที่ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพื่อเอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจของบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือชินคอร์ปทั้ง 5 กรณี ในคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณกว่า 46,000 ล้านบาท แม้ว่า ม.ล.ฤทธิเทพ จะเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ณ ป้อมเพชร อดีต ภรรยาซุกหุ้นหรือคงไว้ซึ่งหุ้นชินคอร์ปจำนวน 1,419 ล้านหุ้นก็ตาม<br />
<br />
► ต่อไปนี้เป็นเหตุผลในคำวินิจฉัยส่วนตนของ ม.ล.ฤทธิเทพ เทวกุล ที่เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มิได้ร่ำรวยผิดปกติ<br />
<br />
"..ปัญหาประการต่อไปมีว่า เงินที่ได้จากการขายหุ้นและเงินปันผลตามคำร้องเป็นทรัพย์ที่ต้องตกเป็นของแผ่นดิน หรือไม่<br />
<br />
เห็นว่า ข้อเท็จจริงซึ่งฟังเป็นที่ยุติแล้วว่าผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้ใช้อำนาจรัฐเพื่อเอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจของบริษัทชินคอร์ป ทั้งห้ากรณี ดังได้วินิจฉัยข้างต้นแล้ว นับเป็นข้อสำคัญประการหนึ่งที่บ่งชี้ว่า หุ้นบริษัทชินคอร์ปไม่ได้มีค่าสูงเพิ่มขึ้นขึ้นผิดปกติ แต่ก็ยังมีข้อสนับสนุนอื่นอีกที่สอดคล้องกันคือ นอกจากทางไต่สวนจะไม่ปรากฏพยานหลักฐานที่ชัดเจนว่า ผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้สั่งการหรือมอบนโยบายต่างๆ ทั้งห้ากรณีแล้ว<br />
<br />
ยังเห็นว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแต่ละกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับเหตุคดีนี้ ย่อมเป็นผู้มีอำนาจวางแนวนโยบายในการบริหารราชการในแต่ละกระทรวงที่ตนต้องรับผิดชอบโดยอิสระ<br />
<br />
การจะฟังว่า เมื่อรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ ดังกล่าว ทำงานอยู่ในรัฐบาลเดียวกับผู้ถูกกล่าวหา หรือสังกัดพรรคการเมืองเดียวกันกับผู้ถูกกล่าวหา ย่อมมีผลให้รัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ เหล่านั้นต้องปฏิบัติตามคำสั่งของผู้ถูกกล่าวหาทุกกรณีไป แม้กระทั่งคำสั่งที่อาจมีผลเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ถูกกล่าวหา ทั้งที่เป็นไปได้ว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยงานของรัฐภายใต้การบังคับบัญชาหรือกำกับดูแลของผู้ถูกกล่าวหา อาจกระทำการต่างๆ เองเพื่อให้เป็นที่พอใจแก่ผู้ถูกกล่าวหาก็ได้นั้น ย่อมเป็นการรับฟังพยานหลักฐานไปในทางที่เป็นโทษแก่ผู้ถูกกล่าวหา ทั้งๆ ที่ยังมีมูลเหตุยังไม่ชัดแจ้งพอ และเป็นเหตุผลที่ถูกโต้แย้งได้อีกด้วย<br />
<br />
นอกจากนี้ยังเห็นว่า หุ้นบริษัทชินคอร์ปมีราคาสูงขึ้นในระหว่างที่ผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็ไม่ถือเป็นเรื่องผิดปกติ เพราะราคาหุ้นจะสูงหรือต่ำในแต่ละช่วงเวลาย่อมต้องอาศัยปัจจัยหลายประการที่เกิดจากทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ นอกเหนือจากการดำเนินการ 5 กรณีตามคำร้องด้วยเหตุผลดังนี้<br />
<br />
ประการแรก บริษัทชินคอร์ปเป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจด้วยการเป็นผู้ลงทุนในบริษัทอื่น (Holding Company) มีบริษัทในเครือหลายบริษัทประกอบธุรกิจสัมปทานจากรัฐ ย่อมทำให้นักลงทุนเล็งเห็นได้ว่า แนวโน้มที่คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งเป็นรัฐ และทำให้บริษัทชินคอร์ปเป็นผู้ประกอบธุรกิจที่มีคู่แข่งทางการค้าน้อยหรือแทบไม่มี<br />
<br />
นอกจากนี้ยังเป็นบริษัทที่ลงทุนประกอบกิจการด้วยจำนวนเงินมาก อันสามารถทำผลประโยชน์ตอบแทนได้ในปริมาณมากเช่นกัน สิ่งสำคัญเหล่านี้ส่งผลให้บริษัทชินคอร์ปและบริษัทในเครือมีความมั่นคงสูง ได้เปรียบบริษัทอื่นๆ สามารถเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนได้มาก จึงเป็นที่ต้องการของนักลงทุนทั้งภายในและภายนอกประเทศยิ่งกว่าบริษัทอื่น<br />
<br />
ประการที่ 2 เมื่อพิจารณาถึงดุลอำนาจทางการเงินของผู้ซื้อหุ้นบริษัทชินคอร์ป คือกลุ่มเทมาเส็ก ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีอยู่ว่า เป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ของโลกรายหนึ่งที่มีกำลังซื้อสูง กับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตำแหน่งดาวเทียมของประเทศไทยที่ได้รับอนุมัติจาก ITU เป็นตำแหน่งที่มีศักยภาพสูงมาก สามารถครอบคลุมพื้นที่ให้บริการ (Foot Print) แผ่ไพศาลไปได้กว้างไกลมากกว่าตำแหน่งอื่นที่หลายประเทศได้รับอนุมัติ<br />
<br />
ทั้งตามทางไต่สวนยังได้ความว่า ดาวเทียม iPSTAR เป็นดาวเทียมที่ใหญ่และดีที่สุดในโลก เป็นดาวเทียมดวงแรกของโลกที่มีหลายช่องสัญญาณ ทำงานได้หลากหลายกว่า ติดต่อได้ 14 ประเทศ มีสถานีภาคพื้นดิน 18 แห่ง มีประสิทธิภาพสูง คุณสมบัติทางเทคนิคดีกว่าดาวเทียมทั่วไป สร้างขึ้นเพื่อรองรับความก้าวหน้าของเทคโนโลยี และยังทำให้ประชาชนสามารถใช้อินเตอร์เน็ตได้ในราคาที่ถูกลงย่อมเป็นที่ปรารถนาอย่างยิ่งของประเทศที่ต้องการศักยภาพทางยุทธศาสตร์ และความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีกิจการดาวเทียม เพื่อชิงความได้เปรียบทางด้านธุรกิจสื่อสารทางดาวเทียม หรือแม้แต่ในเรื่องความมั่นคงของประเทศของตน<br />
<br />
หุ้นบริษัทชินคอร์ปจึงเปรียบได้กับเพชรเม็ดงามที่ผู้ครอบครองสามารถต่อรองราคาซื้อขายได้สูง อันเป็นสิ่งปกติในกลไกทางธุรกิจและการซื้อขายหลักทรัพย์<br />
<br />
ประการที่ 3 บริษัทในเครือบริษัทชินคอร์ปหลายบริษัทลงทุนว่าจ้างบุคลากรที่ความรู้เฉพาะด้านกิจการของบริษัทหรือผู้ที่มีประสบการณ์สูงในการทำงานเกี่ยวกับกิจการของบริษัทเป็นผู้บริหาร ย่อมทำให้มีความได้เปรียบทางด้านแผนธุรกิจการค้าและมีผลประกอบการที่ดี รวมทั้งเกิดความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนซื้อขายหลักทรัพย์ได้มากยิ่งกว่าผู้ประกอบธุรกิจอื่นอีกหลายรายที่ไม่ได้ลงทุนในด้านนี้<br />
<br />
และประการสุดท้าย เมื่อเปรียบเทียมดัชนีราคาหุ้นบริษัทชินคอร์ปกับหุ้นของบริษัทอื่นๆ ที่ประกอบธุรกิจขนาดใหญ่ และเป็นที่นิยมของผู้ลงทุนซื้อขายหลักทรัพย์ในช่วงเวลาเดียวกันก่อนมีการขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปให้กลุ่มเทมาเส็กแล้ว เห็นได้ชัดเจนว่า เป็นราคาขึ้นลงที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ได้ผิดปกติแต่อย่างใด<br />
<br />
ด้วยเหตุดังกล่าว จึงฟังไม่ได้ว่า หุ้นบริษัทชินคอร์ปจำนวน 1,419,490,150 หุ้น หรือเงินที่ได้จากการขายหุ้นบริษัทชินคอร์ป 69,722,880,923.05 บาท รวมทั้งเงินปันผลอีก 6,898,722,129 บาท เป็นทรัพย์สินที่ผู้ถูกกล่าวหาได้มาเนื่องจากการกระทำที่เป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม ทั้งไม่เป็นทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นมากผิดปกติหรือได้มาโดยไม่สมควรสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่อันถือว่า เป็นการร่ำรวยผิดปกติ ตามคำจำกัดความแห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 4 ที่จะต้องสั่งให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542 มาตรา 35 วรรคสอง<br />
<br />
สำหรับคำร้องคัดค้านของผู้ถูกกล่าวหา และของผู้คัดค้านทั้งยี่สิบสอง ซึ่งขอให้ศาลมีเพิกถอนคำสั่ง คตส. ที่อายัดเงินและทรัพย์สินนั้น เมื่อปรากฏว่า คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.)เพิกถอนคำสั่งอายัดเงินของผู้คัดค้านที่ 7 ที่ 8 ที่ 14 ที่ 17 และที่ 19 ต้องตามความประสงค์ของผู้คัดค้านเหล่านี้และมีผลให้เงินของผู้คัดค้านเหล่านี้หลุดพ้นจากการถูกอายัดแล้ว จึงไม่มีเหตุต้องขอให้ศาลมีคำสั่งเช่นว่านั้นซ้ำอีก<br />
<br />
ส่วนเงินและทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านที่ 1-6 ที่ 9-13 ที่ 15 ที่ 16 ที่ 18 และที่ 20-22 ซึ่ง คตส. ยังคงมีคำสั่งอายัดไว้นั้น เมื่อไม่อาจสั่งให้ทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านที่ 1 ตกเป็นของแผ่นดินแล้ว ก็ไม่มีเหตุที่จะอายัดอีกต่อไป<br />
<br />
จึงมีความเห็นว่า ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง และเพิกถอนคำสั่ง คตส.ที่อายัดเงินรวมทั้งทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหากับของผู้คัดค้านที่ 1-6 ที่ 9-13 ที่ 15 ที่ 16 ที่ 18 และที่ 20-22 ยกคำร้องคัดค้านของผู้คัดค้านที่ 7 ที่ 8 ที่ 14 ที่ 17 และที่ 19 ..."<br />
<br />
"มติชนออนไลน์"<br />
วันที่ 18 มีนาคม พ.ศ.2553 เวลา 11:20:33 น.<br />
1.. http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1268832227&grpid=10&catid=02<br />
2.. https://www.matichonweekly.com/hot-news/article_27333<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<font color="#0000FF">@ คลิกที่นี่..</font> <a href="https://www.facebook.com/DailyDoseTH/videos/1656611831021245/" target="_blank">ไม่ควรยึดทรัพย์ ดร.ทักษิณตั้งแต่แรก</a><br />
<br />
* * * * *<br />
<font color="#0000FF">@ คลิกที่นี่..</font> <a href="http://www.nationtv.tv/main/content/economy-business/378538246/" target="_blank">"สรรพากร" รับสภาพ! หุ้นชิน "จบแล้ว" ไม่มี กม.ใดเรียกเก็บภาษีทักษิณได้อีก ยันหมดอายุความ 31 มี.ค. 2555"</a><br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<font color="#0000FF">@ คลิกที่นี่..</font> <a href="https://www.facebook.com/DailyDoseTH/videos/1649100801772348/" target="_blank">ทำไมสรรพากรไล่เก็บภาษีดีลชินคอร์ปไม่ได้แล้ว?</a><br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
ดร.ทักษิณ ชินวัตร เปิดใจหลังคำพิพากษาคดียึดทรัพย์<br />
<center><iframe width="560" height="385" src="https://www.youtube.com/embed/9vCWjIYDsU8" frameborder="0" allowfullscreen></iframe></center><br />
* * * * *<br />
<br />
คดีภาษีหุ้นทักษิณ ชินวัตร จบแล้ว<br />
<center><iframe width="560" height="385" src="https://www.youtube.com/embed/FblCE-aia0Y" frameborder="0" allowfullscreen></iframe></center><br />
* * * * *<br />
<br />
กฎหมาย เครื่องมือทางการเมือง?? เริ่มนาที 44:00<br />
<center><iframe width="560" height="385" src="https://www.youtube.com/embed/fKm6gI8aB7g" frameborder="0" allowfullscreen></iframe></center><br />
* * * * *<br />
somphonghttp://www.blogger.com/profile/07203143908234315462noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6143190172184203950.post-38060685867536907842017-09-24T13:48:00.001+07:002017-11-14T09:16:58.358+07:00รัฐบาลไหน?ใช้หนี้ไอเอ็มเอฟ?<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.picz.in.th/images/2017/09/24/1387804390-1379608044-oo.jpg" /></center><br />
<span style="color: #3333ff; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;"><strong>รัฐบาลไหน?ใช้หนี้ไอเอ็มเอฟ?</strong></span><br />
<span style="color: #ff9900;">By: "คนการเมือง"</span><br />
<br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: large;">"..วันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ.2546 เวลา 20.30 น. "ทักษิณ"ออกโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจฯ ชี้แจงเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ สถานะการเงิน-การคลังของประเทศไทย รวมทั้งการชำระหนี้งวดสุดท้ายให้กับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ) ซึ่งสามารถชำระก่อนครบกำหนด 2 ปี.."</span><br />
<br />
"รัฐบาลทักษิณใช้หนี้ไอเอ็มเอฟก้อนสุดท้ายก่อนครบกำหนด 2 ปี"<br />
<br />
เมื่อเวลา 20.30 น. วันที่ 31 กรกฎาคม 2546 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ สถานะการเงิน-การคลังของประเทศไทย รวมทั้งการชำระหนี้งวดสุดท้ายให้กับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ) ซึ่งสามารถชำระก่อนครบกำหนด 2 ปี มีรายละเอียดดังนี้<br />
<br />
"..... วิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 ทำให้ไทยต้องกู้ยืมเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ) พร้อมกับยอมรับเงื่อนไขที่เข้มงวด ซึ่งเป็นบทเรียนที่เจ็บปวดและไม่อยากกลับไปอยู่ในสภาพนั้นอีก<br />
<br />
ปัจจุบันเศรษฐกิจดีขึ้นโดยลำดับ เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2546 รัฐบาลนี้(รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร)ได้ประกาศชำระหนี้ก้อนสุดท้ายกว่า 6 หมื่นล้านบาท ทำให้ไทยพ้นจากพันธกรณีกับไอเอ็มเอฟ สามารถดำเนินนโยบายเศรษฐกิจเป็นของตนเอง<br />
<br />
โดยไอเอ็มเอฟอนุมัติวงเงินให้ไทย 14,500 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่เบิกมาใช้จริงเพียง 12,296 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 5.1 แสนล้านบาท<br />
<br />
โดยรัฐบาลชุดที่แล้ว(รัฐบาลนายชวน หลีกภัย)ได้ชำระไป 1 หมื่นล้านบาท (2%ของหนี้ 5แสนล้านบาท) แต่รัฐบาลนี้(รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร)ได้ชำระครบทั้ง 5 แสนล้านบาท (98%ของหนี้ 5แสนล้านบาท) ทำให้ไทยพ้นจากพันธกรณีกับไอเอ็มเอฟ ....."<br />
<br />
งวดที่ 1 พ.ศ.2543 ชำระโดย รัฐบาลนายชวน หลีกภัย<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.picz.in.th/images/2017/09/24/1387804390-1379608057-oo.jpg" /></center><br />
งวดที่ 2 - งวดที่ 12 พ.ศ.2544 ชำระโดย รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.picz.in.th/images/2017/09/24/1387804416-1379608068-oo.jpg" /></center><br />
งวดที่ 13 - งวดที่ 34 พ.ศ.2545 ชำระโดย รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.picz.in.th/images/2017/09/24/1387804428-1379608455-oo.jpg" /></center><br />
งวดที่ 35 - งวดสุดท้าย พ.ศ.2546 ชำระ(ก่อนครบกำหนด 2 ปี)โดย รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.picz.in.th/images/2017/09/24/1387804436-1379608464-oo.jpg" /></center><br />
* * * * *<br />
<br />
PlayList..วิสัยทัศน์ผู้นำประเทศที่แท้จริง 1<br />
<center><iframe width="560" height="385" src="http://www.youtube.com/embed/videoseries?list=PL3XWjPnsAEO8lEwXTVLYjDLgUUpWRAjbF" frameborder="0" allowfullscreen></iframe></center><br />
* * * * *<br />
<br />
รัฐบาลลุงตู่..<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.picz.in.th/images/2017/09/24/1387804436-1379608565-oo.jpg" /></center><br />
* * * * *<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.picz.in.th/images/2017/11/14/z23472329_1-103.jpg" /></center><br />
* * * * *<br />
somphonghttp://www.blogger.com/profile/07203143908234315462noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6143190172184203950.post-14728409123976383092017-09-23T17:57:00.002+07:002017-09-24T14:07:37.044+07:00คดีที่ดินรัชดา..คดีสะเทือนโลก!!! ตอนที่ 2 และ ตอนที่ 3<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.picz.in.th/images/2017/09/23/vsag-23-09-60-..jpg" /></center><br />
<span style="color: #3333ff; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;"><strong>คดีที่ดินรัชดา..คดีสะเทือนโลก!!! ตอนที่ 2 และ ตอนที่ 3</strong></span><br />
<span style="color: #ff9900;">By: "คนการเมือง"</span><br />
<br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: large;">"..คดีการซื้อขายนี้ ได้ถูกสั่งยกเลิก ให้ถือว่าการซื้อขายเป็นโมฆะ มีการคืนเงินค่าซื้อขายพร้อมดอกเบี้ย ให้คุณหญิงพจมานไปเป็นที่เรียบร้อย .. แต่ "ทักษิณ" คนเซ็นชื่อรับรองในฐานะคู่สมรส ถูกสั่งลงโทษติดคุก 2 ปี.."</span><br />
<br />
ตอนที่ 2... ให้ข้าราชการมาทำงานวันสิ้นปีเพื่อหลีกเลี่ยงค่าโอนที่ดินรัชดา???<br />
By: ผีน่ารัก เว็บpantip-ราชดำเนิน<br />
<br />
*** ที่ดินรัชดา"แม้ว-อ้อ"งกจนได้เรื่อง<br />
http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9500000072910<br />
<br />
คัดลอกพอสังเขป: " ... สนธิ - ข้อที่ 4 น่าสนใจมาก พอโอนเสร็จ รีบเร่งโอนที่ดินของกองทุนฯ ทำให้รัฐเสียประโยชน์ เอื้อผู้ชนะประมูลไม่ต้องเสียภาษีมาก รวยฉิบหายเลยนะ นี่ผมต้องขอพูดอย่างหยาบๆ นะ ยังโกงแม้กระทั่งค่าโอนที่ดินแค่ 10 กว่าล้าน ก็ยังไม่ยอมเสีย ผมจะบอกให้เป็นอย่างไร คือรัฐบาลเขาตั้งอัตราค่าธรรมเนียมการโอนที่เขาต้องการส่งเสริมการซื้อที่ดิน การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เขาขยายระยะเวลามาจนถึงปลายปี 2546 แล้วก็ที่ดินผืนนี้ ถ้าโอนภายในปี 2546 ก็จะเสียภาษีแค่ 722,000 บาท ถ้าโอน 47 เสีย 2 เปอร์เซ็นต์ เสีย 15 ล้านบาท เห็นไหม กับแค่ 13-14 ล้านบาท อั๊วก็ไม่ยอมเสีย วิธีลื้อไม่ยอมเสียลื้อทำยังไง ก็ให้ผัวลื้อ ประกาศว่าวันพุธที่ 31 ธันวาคม<br />
<br />
สนธิ - จำได้หรือเปล่าพ่อแม่พี่น้อง มีอยู่ปีหนึ่ง พุธที่ 31 ธันวาคม 2546 บอกว่าไม่ใช่วันหยุด เป็นวันทำงาน ดูมันสิ เห็นหรือยัง เพื่อให้กรมที่ดินทำงาน อีจะได้โอนที่ดินให้คุณหญิงพจมาน โอนในวันที่ 31 ธันวาคม 2546 เห็นหรือยังพ่อแม่พี่น้อง ที่ดินที่ควรจะซื้อในราคากลางก็ไม่ยอมจ่าย ภาษีเล็กๆ น้อยๆ 10 กว่าล้าน ก็ไม่ยอมจ่าย มีเงิน 7-8 หมื่นล้าน ในประเทศ ซ่อนไว้เมืองนอกอีก 7-8 หมื่นล้าน เบ็ดเสร็จอีมีเงินแสนกว่าล้าน เงินแม้กระทั่งเล็กแค่นี้อียังไม่ยอมให้รัฐ ... "<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
วันก่อนรายการตอบโจทย์ทนายพันธมิตรก็ยังเอาเรื่องนี้มากล่าวหาทักษิณ เลยเอามาให้อ่านกันอีกทีครับ ไม่ได้หวังว่าคนเกลียดจะเลิกเกลียด แต่หวังว่าผู้ที่มีใจเป็นกลางจะได้ข้อมูลอีกด้านไปพิจารณาครับ<br />
<br />
เรื่องการที่ให้ข้าราชการมาทำงานในวันสิ้นปีเพราะต้องการหลีกเลี่ยงค่าโอนที่ดินรัชดาซึ่งจะโอนกันในวันนั้นโดยใช้อำนาจหน้าที่ออกมติคณะรัฐมนตรีประกาศให้วันที่ 31 ธันวาคม 2546 ซึ่งเป็นวันสิ้นปีเป็นวันทำงานนั้น<br />
<br />
ถ้าทักษิณทำแบบนี้จริงผมก็ถือว่าเลวสิ้นดีครับ ไม่น่าเกิดบนแผ่นดินไทยที่ผมรักด้วยซ้ำ...<br />
<br />
เพียงเพื่อประโยชน์ส่วนตนกลับทำให้ข้าราชการต้องลำบากลำบนมานั่งทำงานเพียงเพื่อต้องการรักษาผลประโยชน์ส่วนตนซึ่งเป็นเงินไม่กี่ล้านบาท ซึ่งท่านก็ต้องมีปัญญาจ่ายอยู่แล้วเงินแค่นี้<br />
<br />
คนเลวมีหลายประเภทแต่ประเภทที่ผมเกลียดที่สุดก็คือคนที่เอาเปรียบสังคมนี่แหละครับ...คนประเภทนี้อยู่ที่ไหนก็รังแต่จะสร้างความแตกแยกให้สังคม ถ่วงความเจริญของประเทศและสังคม ถ้าท่านทักษิณใช้อำนาจหน้าที่ไปในทางนั้นจริงผมก็ขอแช่งให้เวรกรรมที่ทำไว้กับสังคมและแผ่นดินเกิดย้อนกลับไปหาในชาตินี้ครับ<br />
<br />
ถ้าคนชื่อ ทักษิณ คิดเล็กคิดน้อยกับเงิน ที่ต้องจ่ายภาษี ให้รัฐแค่ 10 กว่าล้านบาท ตามที่เจ็กลิ้มพูด ก็สู้เอาเงินที่ต้องใช้หนี้คืนกองทุน IMF ก่อนกำหนด มาฝากแบงค์ประเทศอังกฤษ แล้วกินดอกเบี้ยส่วนต่างไม่ดีกว่าหรือ? ได้มากกว่าที่จะไปงกกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง<br />
<br />
แต่ดีนะครับที่ท่านทักษิณไม่ได้เป็นคนแบบนั้น เพราะถ้ารู้จักใช้หลักกาลามสูตร ลองตรองดูแล้วท่านน่าจะถูกกล่าวหาโดยข้อหาปัญญาอ่อนไร้สาระ ไม่ประเทืองปัญญาซึ่งมีเป้าหมายเพิ่มความเกลียดชังให้สาวกซะมากกว่าเพราะถ้าลองตรองดีๆจะพบว่า<br />
<br />
1. มติคณะรัฐมนตรีเรื่องนี้ออกมาในวันที่ 25 พ.ย.2546และเป็นวันเดียวกันกับที่กองทุนฟื้นฟูประกาศให้มีการประมูลที่ดินรัชดารอบ 3 ทักษิณยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองจะประมูลได้หรือเปล่ากระบวนการจะเสร็จวันไหนจะประกาศให้วันที่ 31 ธ.ค.2546 เป็นวันทำงานเพื่อประโยชน์ตัวเองได้อย่างไรครับ<br />
<br />
2. มติ ครม.ในวันนั้นให้เหตุผลว่าอย่างนี้ครับ<br />
<br />
" ... เรื่อง กำหนดให้วันที่ 2 มกราคม 2547 เป็นวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษ<br />
<br />
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ กำหนดให้วันศุกร์ที่ 2 มกราคม 2547 เป็นวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษ และให้วันพุธที่ 31 ธันวาคม 2546 เป็นวันปฏิบัติราชการ<br />
<br />
ทั้งนี้ การกำหนดให้วันที่ 2 มกราคม 2547 เป็นวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษ เป็นการดำเนินการแนวทางเดียวกับวันหยุดเทศกาลปีใหม่ในปีที่แล้ว จะช่วยลดปัญหาการใช้สิทธิลาก่อน – หลังวันหยุดราชการเพื่อให้มีวันหยุดต่อเนื่องกับวันหยุดประจำสัปดาห์ ทำให้ข้าราชการ ลูกจ้างของหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจ ได้มีโอกาสกลับไปเยี่ยมครอบครัว และภูมิลำเนาของตน รวมทั้งเป็นการช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวอีกทางหนึ่งด้วย ทั้งนี้ สำหรับรัฐวิสาหกิจ และหน่วยราชการใดที่มีภารกิจจำเป็นเร่งด่วนหรือราชการสำคัญที่จะต้องดำเนินการในวันดังกล่าว หากยกเลิกหรือเลื่อนไปจะเกิดความเสียหายต่อทางราชการหรือกระทบต่อการให้บริการประชาชน ก็ให้รัฐวิสาหกิจและหัวหน้าส่วนราชการนั้นๆ พิจารณาตามความเหมาะสมต่อไป ... "<br />
<br />
ผมถือว่าเหตุผลฟังขึ้นนะครับเพราะนอกจากจะช่วยไม่ให้ลูกจ้าง,ข้าราชการสิ้นเปลืองวันลาโดยใช่เหตุแล้วยังช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวอีกตะหาก เก่งจัง...<br />
<br />
แล้วช่วยไม่ให้ข้าราชการและลูกจ้างสิ้นเปลืองวันลาอย่างไร...ก็ลองเปิดปฏิทินดูก็จะพบว่าในปี 2546 วันที 31 ธ.ค.ตรงกับวันพุธ ดังนั้นในวันที่ 2 มกราคม 2547 ซึ่งตรงกับวันศุกร์ก็จะเป็นวันทำการซึ่งคงไม่มีใครอยากมาเท่าไร บางคนบ้านไกลๆก็กลับบ้านไม่ได้เพราะวันหยุดไม่ติดต่อกัน รัฐบาลทักษิณก็เลยให้มาทำงานในวันที่ 31 ธ.ค.และให้หยุดในวันที่ 2 มกราคมไงครับ<br />
<br />
3. ในคำฟ้องของ คตส. คดีที่ดินรัชดา มีตอนหนึ่งว่าอย่างนี้ครับ<br />
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=59451<br />
<br />
คัดลอกพอสังเขป: " ... ต่อมากองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯได้รังวัดแบ่งแยกที่ดินแปลงดังกล่าวใหม่ โดยกันส่วนที่เป็นสาธารณะประโยชน์ออก การแบ่งแยกที่ดินจาก 13 โฉนด เหลือเพียง 4 โฉนด เลขที่ 2298, 2299, 2300 และ 2301 เหลือเนื้อที่เพียง 33-0-78.9 ไร่ แล้วประกาศประมูล เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2546 โดยกำหนดให้ผู้เข้าประกวดราคาต้องวางเงินมัดจำการยื่นซองเป็นเงินถึง 100 ล้านบาท ซึ่งเกิน 10% ตามที่ระบุในระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งเป็นระเบียบที่นำมาใช้ในการปฏิบัติ มีผู้ซื้อแบบ 4 ราย แต่มีผู้ยื่นซองเสนอราคาและชำระเงินมัดจำการยื่นซอง 3 ราย คือ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เสนอราคา 730,000,000 บาท, บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เสนอราคา 750,000,000 บาท และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นคู่สมรสจำเลยที่ 1 เสนอราคา 772,000,000 บาท<br />
<br />
กระทั่งคณะกรรมการกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯอนุมัติให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้ชนะการประมูลและกำหนดให้จำเลยที่ 2 นำเงินมาชำระก่อนวันที่ 29 ธันวาคม 2546 ต่อมาได้ทำสัญญาซื้อขายและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์พร้อมส่งมอบที่ดินวันที่ 30 ธันวาคม 2546 โดยการทำนิติกรรมจำเลยที่ 1 ได้ลงนามยินยอมพร้อมแสดงสำเนาบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐประเภทข้าราชการการเมือง ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ... "<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
สรุปสั้นๆได้ว่า คุณหญิงพจมานได้ชำระเงินตั้งแต่วันที่ 29 ธ.ค.46 (เป็นอย่างน้อย) และการโอนเสร็จสิ้นตั้งแต่วันที่ 30 ธ.ค.46 แล้วครับ ไม่มีความจำเป็นต้องประกาศให้วันที่ 31 ธ.ค.46 เป็นวันทำงานแต่อย่างใด...<br />
<br />
ดังนั้นการปล่อยข่าวให้ร้ายผู้อื่นทั้งที่ตนเองก็รู้อยู่แล้วว่าไม่จริงโดยมีเป้าหมายหลอกลวงคนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ (ถ้าสำนวนที่สนธิใช้ก็ต้องบอกว่า เข้าไม่ถึงข้อมูลเหมือนที่คนดูเอเอสทีวีได้รับ) นั้น ผมถือว่าชั่วซะยิ่งกว่าที่ผมด่าเอาไว้ด้านบน และขอให้ที่ผมแช่งเอาไว้ตามกระทู้กลับไปหาคนปล่อยข่าวเพื่อสร้างความแตกแยกในสังคมเพียงเพื่อประโยชน์ของตัวเองโดยเร็วครับ 555555<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
ตอนที่ 3... ย้อนรอย "ที่ดินรัชดา"<br />
By: minimalist เว็บpantip-ราชดำเนิน<br />
<br />
ปี 2538 สมัยรัฐบาลนายบรรหาร ศิลปอาชา ที่ดินจำนวน 35 ไร่เศษได้รับโอนมาจาก บง.เอราวัณทรัสต์ ในมูลค่า 2,000 ล้านบาท ให้กับกองทุนฟื้นฟู ระบบสถาบันการเงิน ซึ่งบริษัทมีปัญหาทางการเงิน กองทุนฟื้นฟูเข้าไปอุ้มได้ที่ดินเป็นหลักประกัน<br />
<br />
ปี 2538-2540 กองทุนได้จำหน่ายที่ดินที่ยึดมา แต่ขายไม่ออก เพราะเริ่มอยู่ในช่วงต้นภาวะฟองสบู่ ธุรกิจพัฒนาที่ดินกำลังส่อปัญหา จนถึงปี 2540 ซึ่งเป็นปีที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ต้องหยุดการจำหน่ายเริ่มจำหน่ายอีกครั้งปี 2546<br />
<br />
ต้นปี 2546 ครั้งแรกได้เปิดการประมูลทางอินเทอร์เน็ต กำหนดราคากลางไว้ที่ 870 ล้านบาท ปรากฏไม่มีใครเข้าประมูล ทั้งที่มีผู้สนใจ 20 ราย ต่อมาปรากฏว่าที่ดินดังกล่าวเจ้าของได้โอนให้เป็นที่สาธารณประโยชน์เพื่อทำถนน และลำรางสาธารณะ ไป 2 ไร่เศษ โดยได้ทำการรังวัดหลังสุด จึงทำให้ที่ดินเหลือจริงเพียง 33 ไร่<br />
<br />
กรกฎาคม-ธันวาคม 2546 จึงหันมาใช้ระบบประมูลแบบเปิดซองทั่วไปโดยยื่นตั้งแต่วันที่ 16 ก.ค.2546 ประมูลเสร็จสิ้นในเดือน ธ.ค.2546 ปรากฏว่า มีผู้เข้าประมูล 4 ราย ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติ 3 ราย เสนอราคาสูงกว่าราคาประเมินทั้ง 3 ราย ประมูลได้ที่ราคาตารางวาละ 5.8 หมื่นบาท (ราคาประเมินตารางวาละ 5 หมื่น 2 พันบาท) ซึ่งผลปรากฏว่า ตัวแทนของคุณหญิงพจมาน ชินวัตร คือ นายสมบูรณ์ คุปติมนัส เสนอราคาสูงสุด คือ 772 ล้านบาท สูงกว่าราคาประเมิน คือ 695.8 ล้านบาท ส่วนรายอื่นๆ คือ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เสนอ 730 ล้านบาท โนเบิล เสนอ 750 ล้านบาท บริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ เสนอ 750 ล้านบาท<br />
<br />
ซึ่งกองทุนฟื้นฟู ก็ได้ดำเนินการโอนเสร็จสิ้นก่อนวันที่ 30 ธ.ค.2546 ซึ่งได้สิทธิทางภาษีธุรกิจเฉพาะและค่าธรรมเนียมการโอน ก่อนที่รัฐบาลจะปรับอัตราใหม่<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
สรุปความเป็นมาของที่ดินที่ขายให้ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร<br />
<br />
กองทุนฟื้นฟูฯ ประมูลซื้อจากบริษัท เอราวัณ ทรัสต์ จำกัด เมื่อ พ.ศ. 2538 – 2539 จำนวน 31 โฉนด เนื้อที่ 1.21-2-55.1 ไร่ มูลค่ารับโอนรวม 4,889,397,500 บาท ราคาเฉลี่ยตารางวาละ 100,491 บาท แบ่งเป็น 2 โซน คือ<br />
<br />
โซนที่ 1 ที่ดินบริเวณข้างศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย จำนวน 18 โฉนด เนื้อที่รวมประมาณ 85-3-68 ไร่ มูลค่า 2,749,040,000 บาท<br />
<br />
โซนที่ 2 (โซนที่คุณหญิงได้เข้าประมูล) ที่ดินบริเวณฝั่งตรงข้ามสถานทูตเกาหลี เยื้องกับโครงการเมืองรุ้ง และโรงแรมปี๊ปอิน ตลอดจนบริเวณใกล้เคียงกับสถานีจอดรถไฟฟ้าใต้ดินของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รถไฟฟ้ามหานคร) จำนวน 13 โฉนด เนื้อที่ประมาณ 35-2-87.1 ไร่ มูลค่า 2,140,357,500 บาท<br />
<br />
จะสังเกตว่าราคาตอนนั้นมันสูงมากๆ..เป็นแสนต่อตารางวา..ซึ่งเป็นช่วงที่ผลมาจากเศรษฐกิจฟองสบู่..ที่ยังไม่แตก...ขณะนั้นราคาที่ดินจึงสูงมาก..ซึ่งต่างกับราคาทุกวันนี้ <br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
โซนที่ 2 นำออกประมูลขายครั้งแรก เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2546 โดยวิธีประมูลขายทาง Internet<br />
<br />
โดยประมูลขายตามสภาพและเนื้อที่ตามโฉนด (35 ไร่ 2 งาน 92.1 ตารางวา รวม 13 โฉนด) (14,292.1 ตารางวา) ในราคาเริ่มต้นการประมูลที่ 870 ล้านบาท (ตารางวาละ 60,872.79 บาท)<br />
<br />
มีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมประชุม จำนวน 3 รายคือ (จากผู้สนใจ จำนวน 20 ราย)<br />
<br />
1. บมจ.แสนสิริ<br />
2. บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์<br />
3. บจ.ทองหล่อ เรสซิเดนซ์<br />
<br />
ผลการประมูลเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2546 ไม่มีผู้เสนอราคา<br />
<br />
สาเหตุที่ไม่มีผู้เสนอราคา<br />
<br />
1. ราคาเริ่มต้นตั้งประมูลขายที่ 870 ล้านบาท สูงเกินไป เนื่องจากการคิดราคาตั้งขายจากเนื้อที่เต็มตามโฉนด แต่เนื้อที่ใช้ประโยชน์ได้จริงมีไม่เต็มตามเนื้อที่ในโฉนด เพราะมีการที่อุทิศที่ดินบางส่วนให้เป็นสาธารณะประโยชน์ – ถนนเทียมร่วมมิตร และที่ให้ประชาชนใช้เป็นทางเข้า – ออกไปก่อนกองทุนรับโอน<br />
<br />
2. เป็นพื้นที่สีส้ม ประเภทหนาแน่นปานกลาง มีข้อจำกัดทางกฎหมายในการควบคุมอาคารสูง และอาคารขนาดใหญ่พิเศษ<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
การนำออกประมูลขายครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2546 โดยวิธียื่นซองประกวดราคา<br />
<br />
ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการจัดการกองทุน ครั้งที่ 9/2546 เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2546 ระเบียบวาระที่ 5.2 ให้ชะลอการประมูลขายที่ดินบริเวณ ดังกล่าวออกไปก่อนเพื่อดำเนินการรังวัดและแบ่งแยกโฉนดในส่วนที่อุทิศที่ดิน เพื่อใช้เป็นสาธารณะประโยชน์ – ถนนเทียมร่วมมิตร และส่วนที่ประชาชนใช้เป็นทางเข้า – ออกให้ชัดเจน<br />
<br />
ผลการรังวัด แบ่งแยกโฉนด และรวมโฉนด เสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2546 คงเหลือเนื้อที่จริง 33 ไร่ 78.9 ตารางวา (13,278,9 ตารางวา รวม 4 โฉนด)<br />
<br />
ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการจัดการกองทุน ครั้งที่ 11/2546 วันที่ 18 พฤศจิกายน 2546 มีดังนี้<br />
<br />
1. อนุมัติให้เสนอขายที่ดินตามเนื้อที่ ที่ได้มีการรังวัดใหม่แล้ว จำนวน 4 โฉนด เนื้อที่ประมาณ 33-1-12.4 ไร่ พร้อมทั้งให้แจ้งรายละเอียดให้ผู้ซื้อทราบเกี่ยวกับส่วนที่อุทิศให้เป็นถนนเทียมร่วมมิตร และส่วนที่อาจถูกแบ่งหักเป็นคลองลำชวดบางจาก รวมทั้งการขับไล่ผู้บุกรุกที่ดินดังกล่าวให้เป็นภาระของผู้ซื้อด้วย<br />
<br />
2. ให้ใช้วิธีการประมูลขายโดยยื่นซองประกวดราคา<br />
<br />
3. ไม่กำหนดราคาขั้นต่ำในการขายที่ดิน แต่กำหนดเงื่อนเวลาในการชำระเงินเป็นเงินสดทั้งหมดภายใน 7 วัน นับจากวันเปิดซองประกวดราคา<br />
<br />
4. อนุมัติกระบวนการและกำหนดการในการขายตามที่เสนอ โดยกำหนดให้ยื่นซองประกวดราคาในวันที่ 16 ธันวาคม 2546<br />
<br />
5. ให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการ เพื่อเปิดซองประกวดราคา โดยมีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธาน และกรรมการประกอบด้วยผู้จัดการกองทุน และบุคคลอื่นที่เหมาะสมตามที่ประธานเสนอ<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
ประกาศกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (ย่อที่เกี่ยวข้อง)<br />
<br />
เรื่อง การจำหน่ายที่ดินโดยวิธีการประกวดราคา ครั้งที่ 1 ลงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2546<br />
<br />
ข้อ ง. เงื่อนไขและการพิจารณาจำหน่าย<br />
<br />
ข้อ 13. ผู้ชนะการประกวดราคา ต้องเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน ค่าอากร และภาษีต่างๆ (ไม่รวมภาษีเงินได้นิติบุคคลของผู้ขาย)<br />
<br />
การประชาสัมพันธ์ – การยื่นซองประกวดราคา<br />
<br />
1. มีหนังสือแจ้งกลุ่มที่แสดงความสนใจซื้อจากครั้งก่อน (การประมูลทาง Internet) จำนวน 4 ราย ประกอบด้วย บจ.ไทยวัฒน์วิศวการทาง / บจ.นวเจษฎาขนส่งและก่อสร้าง / บจ.นิวเวฟ พร็อพเพอร์ตี้ / บจ.เมโทรสตาร์ พร็อพเพอร์ตี้<br />
<br />
2. มีหนังสือแจ้งกลุ่มที่ลงทะเบียนเข้าร่วมประมูลครั้งก่อน (แต่ไม่ได้เสนอราคา) ประกอบด้วย บจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ / บจ.แสนสิริ / บจ.ทองหล่อ เรสซิเดนท์<br />
<br />
3. มีหนังสือแจ้งกลุ่มที่แสดงความสนใจครั้งใหม่ ประกอบด้วย บจ.MBK ดีเวลลอปเมนท์ / บจ.พี.เอส.เอส.ออแกนิค (ประเทศไทย) / บจ.กฤษณา ดีวิลอปเม้นท์ / บมจ.ศุภาลัย / บจ.นภาพรทิพย์<br />
<br />
4. ประชาสัมพันธ์ ผ่าน Website ธปท./ Website กองทุน<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
ครั้งที่ 2 มีผู้ยื่นซองเพื่อเข้าร่วมยื่นซองประกวดราคา จำนวน 4 รายคือ<br />
<br />
1. บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์<br />
2. นายสมบูรณ์ คุปติมนัส (ตัวแทนคุณหญิงพจมาน ชินวัตร)<br />
3. บมจ.โนเบิล ดิวลลอปเม้นท์<br />
4. บมจ.เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้<br />
<br />
แต่มีผู้ยื่นซองประกวดราคาจริง จำนวน 3 รายคือ<br />
<br />
1. บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เสนอราคา 730 ล้านบาท<br />
2. คุณหญิงพจมาน ชินวัตร เสนอราคา 772 ล้านบาท<br />
3. บมจ.โนเบิล ดิวลลอปเม้นท์ เสนอราคา 750 ล้านบาท<br />
<br />
หมายเหตุ: บมจ.เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในประกาศของกองทุน คณะกรรมการรับซองจึงตัดสิทธิ์ไม่รับซองเสนอราคา<br />
<br />
คณะกรรมการจัดการกองทุนอนุมัติให้จำหน่ายที่ดินให้แก่ผู้เสนอราคาซื้อสูงสุด คือ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ในราคา 772 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ยตารางวาละ 58,137.35 บาท<br />
<br />
<center><iframe width="560" height="385" src="http://www.youtube.com/embed/FMsSTWTyknQ" frameborder="0" allowfullscreen></iframe></center><br />
<span style="color: #ff9900;">By: เห็ดหอม</span> ที่ดินนี้ เดิมเป็นพื้นที่ห้ามสร้างอาคารสูง กองทุนฟื้นฟู ยึดมาจากบริษัทสินทรัพย์ที่ล้มช่วงปี 2540<br />
<br />
พ.ศ.2546 คุณหญิงซื้อได้ 772 ล้าน ... บอกว่ากองทุนขาดทุนยับเยิน<br />
<br />
ไปยึดคืนมา ... ต้องจ่ายเงินไปประมาณ 1,300 ล้านบาทเพื่อเอาที่ดินคืน<br />
<br />
พ.ศ.2554 ขายได้ 1,815 ล้าน ... บอกว่าขายได้กำไรคงน่าเกลียดน่าดู...<br />
<br />
ข้อสังเกต: พ.ศ.2546 ขายให้คุณหญิง เป็นพื้นที่ห้ามสร้างอาคารสูง // พ.ศ.2554 ขายให้ศุภาลัย แก้กฎหมายให้สร้างอาคารสูงได้<br />
<br />
ถามจริงๆเหอะครับ ถ้าไม่แก้กฎหมายเอื้อประโยชน์แก่ กลุ่มนายทุน ให้สร้างอาคารสูงบริเวณตรงนั้นได้ ... จะขายได้มั้ยครับในราคาเกือบ 2 พันล้าน ????<br />
<br />
พ.ศ.2546 กับ พ.ศ.2554 ค่าของเงินมันต่างกัน ... ตอนนั้นราคาทองบาทละ 6-7พัน แต่ตอนนี้บาทละ 2หมื่น5<br />
<br />
มองมุมไหนก็ขาดทุน แถมยังเสียค่าโง่เพิ่มไปอีก ... ประเทศชาติไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง เสียทั้งคนทำงานดีๆ เสียทั้งเงิน เสียทั้งโอกาสความก้าวหน้าของประเทศ แถมโดนหลอก ...<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<font color="#0000FF">@ คลิกที่นี่..</font> <a href="http://northernfoodd.blogspot.com/2017/09/by.html" target="_blank">คดีที่ดินรัชดา..คดีสะเทือนโลก!!! ตอนที่ 1</a><br />
<br />
* * * * *<br />
somphonghttp://www.blogger.com/profile/07203143908234315462noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6143190172184203950.post-64105911372309459852017-09-23T15:46:00.002+07:002017-09-23T15:54:54.015+07:00พ่อเลิศห้ามอย่าเล่นการเมือง ในที่สุดก็ใจอ่อน..แต่ก็ยังมิวายบอกว่า..<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.picz.in.th/images/2017/09/23/vsag-24-09-60-.jpg" /></center><br />
<span style="color: #3333ff; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;"><strong>พ่อเลิศห้ามอย่าเล่นการเมือง<br />
ในที่สุดก็ใจอ่อน..แต่ก็ยังมิวายบอกว่า..พ่อไม่เห็นด้วยนะ!</strong></span><br />
<span style="color: #ff9900;">By: "คนการเมือง"</span><br />
<br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: large;">"..บทสนทนาประวัติศาสตร์ "ตระกูลชินวัตร" เกิดขึ้นที่ปลายเตียง "พ่อเลิศ ชินวัตร" ในขณะเข้าพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลกรุงเทพในปี 2541 .. ไม่มีใครรู้ว่าการ "โอนหุ้น" ซึ่งถูกบังคับโดยกฎหมายเพื่อกระโจนเข้าสู่ปลักโคลนการเมืองของ "พ.ต.ท.ทักษิณ" ในวันนั้น จะทำให้ "หัวหน้าครอบครัว" ต้องพเนจรอยู่ในต่างแดน ณ วันนี้!!!.."</span><br />
<br />
"หลังคำพิพากษาคดียึดทรัพย์ ฟังจากปากทักษิณชัดๆ"<br />
<br />
"..แต่ด้วยความที่อยากทดแทนบุญคุณแผ่นดิน ก็ตั้งใจอย่างนั้นครับเลยดื้อ ดื้อกับคุณหญิง ดื้อกับลูก พ่อขอโทษด้วยนะลูก.."<br />
<br />
- วันนี้พี่น้องคงเห็นว่าผมแต่งชุดดำ ผูกไทดำไว้ทุกข์ ผมขออนุญาตครับ ขอไว้ทุกข์ให้กับความดื้อของตัวเอง ที่ดื้อไม่ยอมเชื่อคุณหญิงกับลูกๆ ที่คัดค้านว่าไม่ให้ผมเข้าการเมือง..<br />
<br />
- เพราะเขาบอกว่าชีวิตการเมืองมันวุ่นวายสับสน เราเป็นเศรษฐีอยู่แล้วสบายๆ ใช้ชีวิตแบบเศรษฐีดีกว่า อย่าไปสนใจเรื่องการเมืองเลย..<br />
<br />
- แต่ด้วยความที่อยากทดแทนบุญคุณแผ่นดิน ก็ตั้งใจอย่างนั้นครับเลยดื้อ ดื้อกับคุณหญิง ดื้อกับลูก พ่อขอโทษด้วยนะลูก.<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
ฟังจากปากทักษิณชัดๆ<br />
<center><iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/iuZiq_jcd60" frameborder="0" allowfullscreen></iframe></center><br />
* * * * *<br />
<br />
ทักษิณ ชินวัตร เปิดใจก่อนรัฐประหาร 2549<br />
<center><iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/9aUIWIuvAnw" frameborder="0" allowfullscreen></iframe></center><br />
* * * * *<br />
<br />
<span style="color: #3333ff; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;"><strong>บทสนทนาประวัติศาสตร์ "ตระกูลชินวัตร"</strong></span><br />
<br />
เกิดขึ้นที่ปลายเตียงของ "พ่อเลิศ" ในขณะเข้าพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลกรุงเทพในปี 2541<br />
<br />
"..แฉทักษิณ รวย 60,000 ล้านบาท ก่อนเข้าสู่การเมือง .. ต่างกับคนอื่นๆรวยเอาๆ ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นจ๊นจน.."<br />
<br />
ล้วงลึกบทสนทนาลับ พ่อห้าม "ทักษิณ" อย่าเล่นการเมือง<br />
<br />
สมชาย วงศ์สวัสดิ์(เขยตระกูลชินวัตร) ออกตัว-ออกปากยอมรับว่าเป็นคนใกล้ชิด "ผู้นำพเนจร" นาม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร<br />
<br />
โดย "รู้จัก-รู้ไส้" กันดีตั้งแต่สมัย "บิ๊กแม้ว" ทำ "ดอกเตอร์" สาขาอาชญาวิทยา ที่มหาวิทยาลัยแซมฮิวสตันสเตท ประเทศสหรัฐก่อนกลับมารับราชการตำรวจ และได้ติดยศ "พ.ต.ท." ในที่สุด<br />
<br />
กระทั่งปี 2523 พ.ต.ท.ทักษิณหันไปทำธุรกิจควบคู่การรับราชการ เคยหยิบจับธุรกิจหลายชิ้น ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้าไหม ผู้อำนวยการการสร้างภาพยนตร์ นักค้าคอนโดมิเนียม ฯลฯ ซึ่ง "สมชาย" เผยว่า "พี่เขย" เคยปรารภกับคนในครอบครัวหลายครั้งว่าอยากลาออกจากราชการ เพราะถ้าธุรกิจมีปัญหาขาดทุน อาจพาลเดือดร้อน "คนในบ้าน"<br />
<br />
"ผมเป็นคนหนึ่งที่คัดค้านไม่ให้ท่านลาออกคล้ายๆ ว่าเราเป็นข้าราชการ ก็คิดว่าเออ! รับราชการก็ดีอยู่แล้ว ท่านจบดอกเตอร์ทางอาชญาวิทยา และได้เป็น พ.ต.ท.ตั้งแต่ยังหนุ่มๆ อย่างไรก็ตามเป็นนายพล ผมคิดแค่นั้นน่ะ แต่ท่านคิดไม่เหมือนผม ท่านบอกว่าถ้าเป็นนายพลแล้วอยู่จนๆ ไปวันๆ ก็ไม่รู้จะเป็นไปทำไมการทำธุรกิจน่าจะเป็นโอกาสที่ดี"<br />
<br />
อย่างไรก็ดี ปฏิเสธไม่ได้ว่าเส้นทางธุรกิจของ "อดีตนายพันตำรวจ" ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด เขาต้องวิ่งแลกเช็ค วิ่งขึ้นศาล และทำอีกหลายอย่างเพื่อความอยู่รอดของเงินในกระเป๋า<br />
<br />
"สุดท้ายด้วยความมานะพยายาม ความสามารถและความฉลาดของท่าน ก็ทำให้ท่านประสบผลสำเร็จ มีเงินมีทอง จนใครๆ ก็รู้ว่าทักษิณรวย นี่คือข้อเท็จจริงว่าทักษิณ รวยก่อนที่จะมาทำงานการเมือง" นายสมชายกล่าว<br />
<br />
ต่อมาในปี 2537 พ.ต.ท.ทักษิณได้ตัดสินใจเบนเข็มชีวิตอีกครั้ง คราวนี้เป็นการกระโจนเข้าสู่ถนนสายการเมือง และได้รั้งเก้าอี้ รวม.ต่างประเทศในรัฐบาล ชวน หลีกภัย ในอีก 1 ปีให้หลัง<br />
<br />
แม้ขณะนั้นกฎหมายจะไม่บังคับให้แสดงบัญชีทรัพย์สิน แต่ "คนการเมืองหน้าใหม่" ตัดสินใจลอกคราบตัวเองเพื่อสร้างภาพลักษณ์สุดโปร่งใส<br />
<br />
"แม้ไม่มีกฎหมายให้ดีแคลร์(แสดง)ทรัพย์สิน แต่ท่านต้องการบอกว่าก่อนเข้าการเมืองมีเงินเท่านี้นะ ตอนนั้นท่านดีแคลร์ไป 4.5 หมื่นล้านบาท จากนั้นเมื่อเกิดปัญหาจนต้องออกจากพรรคพลังธรรม ท่านมีความคิดว่าน่าจะช่วยบ้านเมืองได้ เพราะสตางค์ก็มีแล้วไม่เดือดร้อน ก็เลยคิดตั้งพรรคไทยรักไทยเพื่อเข้าสู่การเมืองอย่างเต็มตัว"<br />
<br />
ทว่าพลันที่ "พ.ต.ท.ทักษิณ" รุดไปแจ้งแนวคิดลงทุนทำ "พรรคการเมืองใหม่" ให้ เลิศ ชินวัตร บิดา รับทราบ ก็ถูกต่อต้านทันควัน<br />
<br />
พ่อท่านทักษิณไม่สนับสนุนให้ไปทำอย่างนั้น โดยบอกว่า "..เฮ้ย!! ษิณแกก็รวยแล้ว ตังค์ก็มีครอบครัวก็อบอุ่นดี ไปทำอะไรก็ได้ แกเล่นการเมืองไม่ทันเขาหรอก เดี๋ยวโดนเขาหลอกเพราะแกเป็นคนซื่อ.." นี่คือคำพูดของพ่อ<br />
<br />
แต่ท่านทักษิณตอบกลับไปว่า "ไอ้ที่ผมรวย ที่ผมพยายามทำมาหากินมาทั้งชีวิตก็เพื่อให้มีเงินมีทองไว้ให้ครอบครัวและตัวเองได้ใช้ ก่อนจะอุทิศตัวเพื่อพี่น้องประชาชน เพื่อการเมืองโดยที่ครอบครัวไม่ต้องเดือดร้อนกับการเข้าไปทำงานการเมืองของผม ไม่ต้องถูกครหานินทาว่าไปโกง"<br />
<br />
นั่นคือน้ำคำ "อดีตเจ้าของบริษัทในเครือชินคอร์ปอเรชั่น" ที่ประสงค์จะผันตัวไปเป็น "เจ้าของพรรคไทยรักไทย" แบบเต็มรูป<br />
<br />
สมชายบอกว่า "บทสนทนาประวัติศาสตร์" นี้เกิดขึ้นที่ปลายเตียงของ "พ่อเลิศ" ในขณะเข้าพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลกรุงเทพในปี 2541 โดยมีลูก-หลานตระกูล "ชินวัตร" รวมถึง "น้องเขยต่างสายเลือด" ร่วมเป็นสักขีพยาน<br />
<br />
"พอพ่อท่านไม่อนุญาต ก็คงทำไม่ได้เพราะขัดต่อความรู้สึกของผู้ใหญ่ท่านทักษิณนี้ซึมเลย พวกผมต่างหากที่ไปช่วยพูดกับพ่อว่าเห็นใจพี่เขาเถอะ เขาตั้งใจจริงๆ ว่าจะทำงานการเมือง พยายามหาเงินหาทอง เพราะไม่ต้องการมาแบบมือเปล่าแล้วกลับไปมีตังค์ท่านต้องการหาเงินหาทองให้ได้ก่อน ให้รวยก่อนถึงลงเล่นการเมือง"<br />
<br />
"พวกเราช่วยกันบอกพ่อว่าปล่อยเขาไปเถอะ เขาตั้งใจทำมาหากิน ได้มาขนาดนี้ คงไม่มีใครหลอก ตอนนั้นรวยหลายหมื่นล้านบาทนะ เป็นคนไทยนะ ในเมื่อรวยถึงขนาดนี้ก็ปล่อยเขาเหอะ ในที่สุดพ่อก็ใจอ่อนยอมให้ทำพรรค แต่ก็ยังมิวายบอกว่าพ่อไม่เห็นด้วยนะ" เขยตระกูลชินวัตรกล่าว<br />
<br />
เป็นความหวังที่ไม่มีใครรู้ว่าการ "โอนหุ้น" ซึ่งถูกบังคับโดยกฎหมายเพื่อกระโจนเข้าสู่ปลักโคลนการเมืองของ "พ.ต.ท.ทักษิณ" ในวันนั้น จะทำให้ "หัวหน้าครอบครัว" ต้องพเนจรอยู่ในต่างแดน ณ วันนี้!!!.<br />
<br />
ที่มา: น.ส.พ.มติชน ฉบับวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2553<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<font color="#0000FF">@ คลิกที่นี่..</font> <a href="https://www.thairath.co.th/content/405898" target="_blank">ย้อนรอยคดีประวัติศาสตร์ ยึดทรัพย์'แม้ว' 4 หมื่นล้าน</a><br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<font color="#0000FF">@ ย้อนอดีต..ทั้งอ่านทั้งฟัง!! คลิกที่นี่..</font> <a href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1746235678723780&set=a.433956156618412.116381.100000120933242&type=3&theater" target="_blank">"..พลิกคำวินิจฉัย"หนึ่งเดียว"ในองค์คณะคดียึดทรัพย์" ม.ล.ฤทธิเทพ เทวกุล รองประธานศาลฎีกา ตอบโจทย์ ทำไม"ทักษิณ"มิได้ร่ำรวยผิดปกติ.."</a><br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
ทักษิณเปิดใจหลังพิพากษายึดทรัพย์<br />
<center><iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/z2zvvz47lSs" frameborder="0" allowfullscreen></iframe></center><br />
* * * * *<br />
somphonghttp://www.blogger.com/profile/07203143908234315462noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6143190172184203950.post-5203840054407200982017-09-22T15:59:00.000+07:002017-09-23T21:42:36.560+07:00คดีที่ดินรัชดา..คดีสะเทือนโลก!!! ตอนที่ 1<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.picz.in.th/images/2017/09/22/vsag-23-09-60-...jpg" /></center><br />
<span style="color: #3333ff; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;"><strong>คดีที่ดินรัชดา..คดีสะเทือนโลก!!! ตอนที่ 1</strong></span><br />
<span style="color: #ff9900;">By: "คนการเมือง"</span><br />
<br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: large;">"..คดีการซื้อขายนี้ ได้ถูกสั่งยกเลิก ให้ถือว่าการซื้อขายเป็นโมฆะ มีการคืนเงินค่าซื้อขายพร้อมดอกเบี้ย ให้คุณหญิงพจมานไปเป็นที่เรียบร้อย .. แต่ "ทักษิณ" คนเซ็นชื่อรับรองในฐานะคู่สมรส ถูกสั่งลงโทษติดคุก 2 ปี.."</span><br />
<br />
ตอนที่ 1... คดีที่ดินรัชดา คดีสะเทือนโลก!!!<br />
<br />
1. กฎหมาย ปปช. มาตรา 100 (1) บอกว่าห้ามนายกฯ และรัฐมนตรี เป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐ กฎหมายนี้มีมาเมื่อปี พ.ศ.2542<br />
<br />
กองทุนฟื้นฟูฯ เป็นหน่วยงานที่ตั้งขึ้นมาเป็นกรณีพิเศษ อยู่ในความดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ประกาศขายที่ดินโดยการประมูลในปี 2546<br />
<br />
หมายเหตุ: ปี 2546 ธนาคารแห่งประเทศไทย และกองทุนฟื้นฟูฯ เป็นหน่วยงานอิสระ ไม่ได้เป็นหน่วยงานของรัฐ<br />
<br />
๑... <a href="http://www.baanjomyut.com/library/law/225.html" target="_blank">พระราชบัญญัติ ธนาคารแห่งประเทศไทย พุทธศักราช ๒๔๘๕ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี</a><br />
(มาตรา ๖ ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นนิติบุคคล)<br />
<br />
๒... <a href="http://www.fpo.go.th/FPO/index2.php?mod=Category&file=categoryview&categoryID=CAT0000332" target="_blank">พระราชบัญญัติ ธนาคารแห่งประเทศไทย พุทธศักราช ๒๔๘๕ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี</a><br />
(มาตรา ๖ ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นนิติบุคคล)<br />
<br />
คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ประมูลได้และชำระเงินเสร็จเมื่อเดือนธันวาคม 2546 โดย พ.ต.ท.ทักษิณเซ็นชื่อรับรองในฐานะคู่สมรสของผู้ซื้อ ตามหลักการปกติของการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ทั่วไป<br />
<br />
วันที่ 19 กันยายน 2549 พวกกบฏยึดอำนาจนายกฯทักษิณ<br />
<br />
ปี 2550 ให้ สนช. แก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นหน่วยงานของรัฐ สภาทาสเผด็จการ แก้ไขสำเร็จเมื่อ พ.ศ.2551 ห่างจากวันซื้อขายถึง 5 ปีเต็มๆ<br />
<br />
๓... <a href="http://law.longdo.com/law/335/rev535" target="_blank">พระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย(ฉบับที่ ๔)พ.ศ.๒๕๕๑ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี</a><br />
(มาตรา ๕ ให้มีธนาคารกลางเรียกว่า "ธนาคารแห่งประเทศไทย" เรียกโดยย่อว่า "ธปท." .. ให้ ธปท. เป็นนิติบุคคล มีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการ หรือรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายอื่น)<br />
<br />
เมื่อเข้าล็อค ก็สั่งให้ คตส. ทำเรื่องฟ้องว่านายกทักษิณ เป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐ เป็นการออกกฎหมายย้อนหลังเพื่อกำจัดคนๆเดียว โดยยอมให้บ้านเมืองย่อยยับ ปกติศาลทั่วโลกจะไม่ยอมรับการออกกฎหมายย้อนหลังเพื่อเอาผิด ต่อบุคคลใดๆ<br />
<br />
แต่ ผู้พิพากษา 5 คน ของไทย ได้ยอมว่าทำได้ แต่อีก 4 ท่านบอกไม่ผิด เรื่องนี้ได้มีผู้พิพากษาอาวุโสคนหนึ่งออกมาขอโทษประชาชนทันที แต่ 5 คนนั้น เฉย<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
Clip.. คดีที่ดินรัชดา คดีสะเทือนโลก!!!<br />
<center><iframe width="560" height="385" src="https://www.youtube.com/embed/HKXAAMIKbCY" frameborder="0" allowfullscreen></iframe></center><br />
* * * * *<br />
<br />
2. คดีการซื้อขายนี้ ได้ถูกสั่งยกเลิก ให้ถือว่าการซื้อขายเป็นโมฆะ มีการคืนเงินค่าซื้อขายพร้อมดอกเบี้ย ให้คุณหญิงพจมานไปเป็นที่เรียบร้อย หากคำสั่งนี้มีผลก่อนที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของนักการเมือง จะพิพากษาเสร็จ ก็จะเสมือนว่าไม่มีการกระทำผิดใดๆเกิดขึ้น<br />
<br />
โดยปกติ บทลงโทษที่มีต่อผู้ต้องคดีเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นผู้มีคุณูปการต่อบ้านเมืองมาก่อน และไม่เคยมีประวัติเคยถูกจำคุกมาก่อน ศาลจะสั่งให้มีเหตุให้บรรเทาโทษ หรือให้รอลงอาญาไว้ก่อน<br />
<br />
"แต่กรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับถูกสั่งลงโทษทันที"<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
Clip.. ศาลฯสั่งคืนเงินค่าที่ดินรัชดาให้ คุณหญิงอ้อ<br />
<center><iframe width="560" height="385" src="https://www.youtube.com/embed/FMsSTWTyknQ" frameborder="0" allowfullscreen></iframe></center><br />
* * * * *<br />
<br />
3. คดีดังกล่าวนี้ นานาชาติมองว่าเป็นคดีการกลั่นแกล้งทางการเมือง จึงไม่ถือว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนักโทษร้ายแรง แต่ รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ กลับหลอกประชาชนคนไทยว่า ตำรวจสากลออกหมายแดงกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังพยายามใช้ทุกวิถีทางที่จะไล่ล่า บีบบังคับให้นานาชาติไม่ให้อนุญาตออกวีซ่าให้นายกทักษิณเข้าประเทศ ทั้งยังจะให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน จนก่อความอึดอัดรำคาญแก่นานาชาติเป็นที่สั่นสะเทือนอารมณ์ไปทั่วโลกที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะเดินทางไป ตลอดอายุของรัฐบาลอภิสิทธิ์ที่ผ่านมา<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<font color="#0000FF">@ คลิกที่นี่..</font> <a href="http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1224599666" target="_blank">เปิดคำพิพากษาศาลฎีกาฯ คดีประวัติศาสตร์ทุจริตซื้อที่ดินรัชดาฯ จำคุก "ทักษิณ" 2 ปี - "พจมาน" รอด</a><br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<font color="#0000FF">@ คลิกที่นี่..</font> <a href="https://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=6387" target="_blank">เปิดคำพิพากษาศาลฎีกาฯ คดีประวัติศาสตร์ทุจริตซื้อที่ดินรัชดาฯ</a><br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
"ศาลแพ่งสั่งกองทุนฟื้นฟูฯคืนเงินค่าที่ดินรัชดาฯ ให้คุณหญิงพจมาน 772 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี"<br />
<br />
24 ก.ย.2553 ศาลแพ่งมีคำพิพากษาให้สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินย่านรัชดาภิเษกจำนวน 33 ไร่เศษ ระหว่างกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินกับคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นโมฆะตามคำร้องของพนักงานอัยการ หลังศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า นิติกรรมดังกล่าวเป็นโมฆะ จึงมีคำสั่งให้คุณหญิงพจมานคืนที่ดินดังกล่าวจำนวน 4 แปลง จำนวน 33 ไร่ให้แก่กองทุนฟื้นฟูฯ และให้กองทุนฟื้นฟูฯคืนเงินจำนวน 772 ล้าน พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีให้แก่คุณหญิงพจมานด้วย<br />
<br />
7 ต.ค.2553 ธปท.คืนเงินซื้อที่ดินรัชดาฯ 823 ล้านบาท ให้ 'คุณหญิงพจมาน' หลังปรึกษาอัยการบอกไม่คุ้มหากแพ้อุทธรณ์ ต้องจ่ายดอกเบี้ยวันละ 1 แสนบาท<br />
<br />
นางทองอุไร ลิ้มปิติ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายจัดการกองทุน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะผู้จัดการกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เปิดเผยว่า<br />
<br />
ธปท.ได้คืนเงินให้กับคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร กรณีที่ดินรัชดาฯ เรียบร้อยแล้ว รวมเป็นเงินต้นบวกดอกเบี้ยจำนวน 823 ล้านบาท หลังได้รับคำตอบจากอัยการสูงสุด ว่าหากกองทุนฟื้นฟูฯยื่นอุทธรณ์ หากแพ้คดีต้องจ่ายค่าปรับสูงถึงวันละ 1 แสนบาทกรณีศาลแพ่งมีคำสั่งให้กองทุนฟื้นฟูฯคืนเงินซื้อที่ดินรัชดาฯ ให้คุณหญิงพจมาน.<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<font color="#0000FF">@ ฉบับเต็ม..</font> <a href="http://2549crisis.blogspot.com/2013/10/blog-post_21.html" target="_blank">ลำดับความเป็นมา..คดีที่ดินรัชดา คดีสะเทือนโลก!!!</a><br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
Clip.. ผู้พิพากษาขอโทษ<br />
<center><iframe width="560" height="385" src="https://www.youtube.com/embed/sZsQG-peXAE" frameborder="0" allowfullscreen></iframe></center><br />
* * * * *<br />
<br />
คดีที่ดินรัชดา..คดีสะเทือนโลก!!! ตอนที่ 2 และ ตอนที่ 3<br />
<font color="#0000FF">@ คลิกที่นี่..</font> <a href="http://northernfoodd.blogspot.com/2017/09/2-3.html" target="_blank">คดีที่ดินรัชดา..คดีสะเทือนโลก!!! ตอนที่ 2 และ ตอนที่ 3</a><br />
<br />
* * * * *<br />
somphonghttp://www.blogger.com/profile/07203143908234315462noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6143190172184203950.post-41433660021937100402017-09-18T13:35:00.002+07:002017-09-18T14:22:10.338+07:00ย้อนตำนาน..วางระเบิดเครื่องบินทักษิณ3มีนา2544<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.picz.in.th/images/2017/09/18/vsag17-09-6032544.jpg" /></center><br />
<span style="color: #3333ff; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;"><strong>"ย้อนตำนาน..วางระเบิดเครื่องบินทักษิณ3มีนา2544"</strong></span><br />
<span style="color: #ff9900;">By: "คนการเมือง"</span><br />
<br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: large;">"..วินาทีที่เครื่องบินเตรียมทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้านั้น ที่นั่งชั้นหนึ่งหมายเลข 11A ที่เขาได้จองไว้เกิดระเบิดขึ้นกะทันหัน ผู้โดยสารที่อยู่บริเวณรอบๆที่นั่งนั้นได้รับบาดเจ็บหลายคน แต่ที่โชคดีก็คือที่นั่งนี้ไม่มีใครนั่งอยู่ในตอนนั้น .. ทักษิณผู้ซึ่งตรงต่อเวลามาโดยตลอดตัดสินใจที่จะรอลูกชายซึ่งก็คือนายพานทองแท้ ที่มาถึงช้า วันนั้นลูกชายก็ไม่ทราบสาเหตุว่าทำไมถึงมาช้า 25 นาที แต่ในที่สุดก็ได้ช่วยชีวิตพ่อของตนไว้ได้.."</span><br />
<br />
วันที่ 3 มีนาคม 2544 หลายคนยังจำกันได้ในสมัย "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" เป็นนายกรัฐมนตรี ในครั้งนั้นเป็นข่าวครึกโครมไปทั่วประเทศและทั่วโลก เมื่อเครื่องบินของสายการบินไทยที่จอดเทียบท่าอยู่สนามบินดอนเมืองเพื่อรอรับผู้โดยสารบินไปยังจังหวัดเชียงใหม่ โดยหนึ่งในผู้โดยสารในเที่ยวบินดังกล่าว มีผู้นำของประเทศชื่อ "พ.ต.ต.ทักษิณ ชินวัตร" รวมอยู่ด้วย<br />
<br />
ก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณและลูกชายจะขึ้นเครื่องไม่กี่นาที เครื่องบินลำดังกล่าวเกิดระเบิดขึ้นกลางสนามบินดอนเมือง สร้างความแตกตื่นให้กับผู้คนจำนวนมาก แต่ก็เป็นที่กังขาของหลายฝ่ายว่าระเบิดเครื่องบินไทยครั้งนั้นเกิดจากเหตุอะไรกันแน่ ลอบวางระเบิดนายกฯ..? วินาศกรรม..? ความประมาท..? อุบัติเหตุ..? จนวันนี้คำถามเหล่านี้ก็ยังไม่ได้รับความชัดเจน<br />
<br />
24 ชั่วโมงของทักษิณ: บทที่ 1 เสียงโทรศัพท์ยามรุ่งอรุณ (ตอนที่1)<br />
<br />
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทักษิณเอาชีวิตรอดมาได้ ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2544 เมื่อเขาได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพียง 25 วันเขาก็ได้รับรู้รสชาติของการถูกลอบสังหารในวันนั้น<br />
<br />
เครื่องบินโบอิ้ง 747 ลำหนึ่งของการบินไทยซึ่งบรรทุกผู้โดยสารจำนวน 129 คนเดินทางจากกรุงเทพฯไปยังจังหวัดเชียงใหม่ ผู้โดยสารบนเครื่องซึ่งรวมทั้งทักษิณที่เพิ่งได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยลูกชายรวมทั้งข้าราชการจำนวน 20 คนเตรียมพร้อมขึ้นเครื่อง วินาทีที่เครื่องบินเตรียมทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้านั้น ที่นั่งชั้นหนึ่งหมายเลข 11A ที่เขาได้จองไว้เกิดระเบิดขึ้นกะทันหัน ผู้โดยสารที่อยู่บริเวณรอบๆที่นั่งนั้นได้รับบาดเจ็บหลายคน แต่ที่โชคดีก็คือที่นั่งนี้ไม่มีใครนั่งอยู่ในตอนนั้น<br />
<br />
ทักษิณผู้ซึ่งตรงต่อเวลามาโดยตลอดตัดสินใจที่จะรอลูกชายซึ่งก็คือนายพานทองแท้ ที่มาถึงช้า วันนั้นลูกชายก็ไม่ทราบสาเหตุว่าทำไมถึงมาช้า 25 นาที แต่ในที่สุดก็ได้ช่วยชีวิตพ่อของตนไว้ได้.....<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<font color="#FF0000">@ คลิกลิ้งค์นี้..</font> <a href="http://northernfoodd.blogspot.com/2017/09/24-by.html" target="_blank"><span style="color: # ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: large;">"24 ชั่วโมงของทักษิณ"</span></a><br />
<span style="color: #000000; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: large;">"..เสียงโทรศัพท์เช้าวันนั้น "ฮัลโหล ฉันเอง พวกเขาอาจจะก่อรัฐประหาร" .. พวกเขาเป็นใครกัน? ผมวางใจง่ายไปหน่อย ไม่ใช่ว่าผมมั่นใจเกินไป แต่เป็นเพราะผมคิดว่า คนที่ตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์ไม่น่าทำเรื่องเช่นนี้ นี่มันศตวรรษที่ 21 แล้วนะ ยุคสมัยที่อาศัยอาวุธยึดอำนาจมันหมดไปแล้ว ผมคิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะทำเช่นนี้ นึกไม่ถึงว่าจะกล้าเช่นนี้.."</span><br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
• การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ภายหลังเครื่องบินเกิดเหตุระเบิด<br />
<br />
เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน กองสรรพาวุธ สถาบันนิติเวชวิทยา พนักงานสอบสวนกองบังคับการตำรวจนครบาล 2 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และแผนกทำลายวัตถุระเบิด กรมสรรพาวุธทหารอากาศ ได้นำเขม่าที่ติดอยู่กับชิ้นส่วนของเครื่องบินและที่ศพผู้เสียชีวิตไปตรวจสอบด้วยเครื่องมือ Gas Chromatograph พบสาร Research Department Explosive (RDX) เป็นส่วนใหญ่ และสารประกอบประเภท Chlorates ด้วย โดยที่สาร RDX เป็นส่วนประกอบ สำคัญของดินระเบิดแบบซีโฟร์ (Composition-4) คณะพนักงานสอบของ สตช.ได้ข้อสรุปเบื้องต้น เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2544 ว่า<br />
<br />
การระเบิดขึ้นในบริเวณห้องเก็บสินค้าส่วนด้านหน้าในสุดค่อนไปทางซ้ายของลำตัวเครื่องบินบริเวณใต้ที่นั่งชั้นประหยัด (Y-Class) หมายเลข 32-36 ห่างจากที่นั่งชั้นธุรกิจ (J-Class) ประมาณ 5-6 แถว<br />
<br />
รายงานการปฏิบัติของคณะกรรมการสอบสวนกรณีอันเกี่ยวกับอุบัติเหตุของอากาศยานในราชอาณาจักรกรณีเครื่องบินแบบ BOEING 737-400 เกิดเหตุเพลิงไหม้<br />
<br />
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ รายงานการปฏิบัติของคณะกรรมการสอบสวนกรณีอันเกี่ยวกับอุบัติเหตุของอากาศยาน ในราชอาณาจักร กรณีเครื่องบินแบบ BOEING 737-400 เกิดเหตุเพลิงไหม้ สรุปได้ดังนี้<br />
<br />
เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2544 เครื่องบินแบบ BOEING 737-400 เครื่องหมายสัญชาติและทะเบียน HS-TDC ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้เกิดเพลิงลุกไหม้เครื่องบินทั้งลำ ขณะจอดอยู่ที่บริเวณหลุมจอดที่ 62 ท่าอากาศยานกรุงเทพ ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวน 6 คน เสียชีวิตจำนวน 1 คน และเครื่องบินได้รับความเสียหายทั้งลำ<br />
<br />
เครื่องบินลำดังกล่าวซึ่งทำการบิน เส้นทางภายในประเทศและเส้นทางระหว่าง ประเทศในภูมิภาคเอเชีย โดยเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2544 ได้ทำการบินมาแล้วจำนวน 4 เที่ยวบิน คือ เส้นทางกรุงเทพฯ-ตรัง และ ตรัง-กรุงเทพฯ เส้นทาง กรุงเทพฯ-พิษณุโลก และ พิษณุโลก-กรุงเทพฯ ขณะที่เครื่องบินจอดบริเวณหลุมจอดที่ 62 อาคารผู้โดยสารภายในประเทศ ท่าอากาศยานกรุงเทพ เพื่อจะทำการบินในเที่ยวบินที่ 5 เส้นทาง กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ในเวลา 15 นาฬิกา 15 นาที โดยก่อนเกิดเหตุมีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานต่อเครื่องบิน จำนวน 5 กลุ่ม ซึ่งเจ้าหน้าที่ของบริษัท การบินไทยฯ ได้ทำการตรวจซ่อมเครื่องปรับอากาศของเครื่องบินลำนี้ เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2544 เวลา 11 นาฬิกา 25 นาที ที่ท่าอากาศยานกรุงเทพ ก่อนทำการบินไปท่าอากาศยานพิษณุโลก ต่อมาเวลาประมาณ 15 นาฬิกา 40 นาที เครื่องบินลำดังกล่าวได้เกิดระเบิด และเกิดเพลิงลุกไหม้บริเวณกลางลำตัวเครื่องบินลุกลามไปส่วนต่างๆของเครื่องบินอย่างรวดเร็ว และอีก 18 นาทีต่อมา ถังเชื้อเพลิงที่ปีกขวาเกิดระเบิด จากเหตุการณ์นี้ทำให้เครื่องบินได้รับความเสียหายทั้งลำ<br />
<br />
• การปฏิบัติของหน่วยที่รับผิดชอบภายหลังเครื่องบินเกิดเหตุระเบิด<br />
<br />
1. เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน กองสรรพาวุธ สถาบันนิติเวชวิทยา พนักงานสอบสวน กองบังคับการตำรวจนครบาล 2 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และแผนกทำลายวัตถุระเบิด กรมสรรพาวุธทหารอากาศ ได้นำเขม่าที่ติดอยู่กับชิ้นส่วนของเครื่องบินและที่ศพผู้เสียชีวิตไปตรวจ สอบด้วยเครื่องมือ Gas Chromatograph พบสาร Research Department Explosive (RDX) เป็นส่วนใหญ่ และสารประกอบประเภท Chlorates ด้วย โดยที่สาร RDX เป็นส่วนประกอบสำคัญของดินระเบิดแบบซีโฟร์ (Composition-4) คณะพนักงานสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ข้อสรุปเบื้องต้นเมื่อ วันที่ 6 มีนาคม 2544 ว่าการระเบิดเกิดขึ้นในบริเวณห้องเก็บสินค้าส่วนด้านหน้าในสุด ค่อนไปทางซ้ายของลำตัวเครื่องบิน บริเวณใต้ที่นั่งชั้นประหยัด (Y-Class) หมายเลข32-36 ห่างจากที่นั่งชั้นธุรกิจ (J-Class) ประมาณ 5-6 แถว<br />
<br />
2. ในวันที่ 6 มีนาคม 2544 คณะกรรมการสอบสวนฯ ได้จัดให้มีการประชุมเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ปรากฏว่าที่ประชุมยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นการก่อวินาศกรรมหรืออุบัติเหตุ ดังนั้นที่ประชุมจึงมีมติให้คณะกรรมการสอบสวนฯจะดำเนินการควบคู่ไปกับคณะกรรมการสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญจากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็น Accredit Representative และคณะที่ปรึกษา เข้าร่วมการสอบสวนกับคณะกรรมการสอบสวนฯ<br />
<br />
3. ต่อมาคณะเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญของหน่วยงานสหรัฐฯ ได้แก่ National Transportation Safety Board (NTSB) เป็น หน่วยงานในการสอบสวนกรณียานพาหนะของสหรัฐอเมริกาประสบอุบัติเหตุ และ Federal Aviation Abministration (FAA) เป็นหน่วยงานที่ควบคุมเกี่ยวกับกฎระเบียบการบินของสหรัฐฯ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ด้านเทคนิคของบริษัทโบอิ้ง Boeing ได้ขอเข้าร่วมการสอบสวนกับคณะกรรมการสอบสวนฯในฐานะประเทศผู้สร้างเครื่องบิน ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็น Accredit Representative และเป็นคณะที่ปรึกษา หลังจากผู้เชี่ยวชาญจากประเทศสหรัฐอเมริกาได้ตรวจสอบซากเครื่องบินพบว่ามีการระเบิดของถังเชื้อเพลิงกลางลำตัวเครื่องบิน (Center Tank) โดยสาเหตุหลักที่นำไปสู่การระเบิดของถังเชื้อเพลิงฯนั้น สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากเหตุ 3 ประการ คือ<br />
<br />
1) การวางระเบิดในห้องผู้โดยสาร (Cabin) เหนือบริเวณถังเชื้อเพลิงกลางลำตัวเครื่องบิน<br />
<br />
2) จากระบบของเครื่องบิน บริเวณถังเชื้อเพลิงกลางลำตัวเครื่องบิน<br />
<br />
3) จากเหตุอื่นๆ ซึ่งยังไม่สามารถพบหลักฐานในขณะนี้<br />
<br />
4. จากการนำชิ้นส่วนตัวอย่างส่งไปวิเคราะห์ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ในเบื้องต้นไม่พบสาร RDX และต้องนำชิ้นส่วนตัวอย่างอื่นๆของเครื่องบินไปทำการวิเคราะห์หาสารเคมีต่อไปซึ่งจะต้องใช้เวลาในการตรวจพิสูจน์อีกระยะหนึ่ง<br />
<br />
ในวันที่ 21 มิถุนายน 2544 NTSB ได้มีหนังสือแจ้งผลการดำเนินงานไปแล้ว โดยได้ถอดและแยกชิ้นส่วนต่างๆที่นำมาจากเครื่องบินเพื่อทำการตรวจสอบอย่างละเอียดในห้องปฏิบัติการ ซึ่งในขณะนี้ยังไม่พบต้นเหตุของการจุดระเบิด ปั๊มเชื้อเพลิงและเครื่องวัดเชื้อเพลิงยังต้องทำการตรวจสอบต่อไปเนื่องจากพบว่ามีรอยขูดขีดและมีวัตถุแปลกปลอมถูกกดเข้าไป ในขณะที่ FUEL GAGE CONNECTOR เกิดความเสียหาย ซึ่งอาจเนื่องมาจากไฟฟ้าลัดวงจร จึงต้องทำการตรวจสอบ โดยใช้ SCANNING ELECTRON MICROSCOPE ขณะนี้ได้ทำการทดสอบปั๊มเชื้อเพลิงไปแล้วหนึ่งเรื่อง และกำลังวางแผนในการทดสอบอื่นๆต่อไป เพื่อหาความเป็นไปได้ของ การเกิดประกายไฟ ขณะที่วัตถุแปลกปลอมถูกดูดเข้าไป และแหล่งของการจุดระเบิดที่เป็นไปได้ ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างการทำงานของมอเตอร์หรือลูกปืนปั๊มเชื้อเพลิงเป็นระยะเวลานานโดยไม่มีการระบายความร้อนจากเชื้อเพลิง<br />
<br />
ในวันที่ 6 สิงหาคม 2544 คณะเจ้าหน้าที่จาก NTSB และ BOEING จำนวน 5 คน ได้เดินทางมายังประเทศไทย และได้บรรยายสรุปการปฏิบัติงานที่ได้ดำเนินการไปแล้ว ณ ห้องประชุม ฝ่ายเสนาธิการทหารอากาศ โดยมี ประธานคณะกรรมการสอบสวนกรณีอันเกี่ยวกับอุบัติเหตุของอากาศยานในราชอาณาจักร เป็นประธานฯ โดยสรุปได้ดังนี้ ที่เกี่ยวข้องไปตรวจสอบเพิ่มเติมหลังจากที่บรรยายสรุป คณะเจ้าหน้าที่จาก NTSB และ BOEING ได้เดินทางไปโรงเก็บซากชิ้นส่วนเครื่องบิน เพื่อตรวจสอบและคัดเลือกชิ้นส่วนใหม่ที่เกี่ยวข้องในช่วงระหว่างวันที่ 6-10 สิงหาคม 2544 ภายใต้การดูแลของคณะกรรมการสอบสวนฯ ทั้งนี้ เพื่อนำไปตรวจสอบเพิ่มเติม ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา<br />
<br />
จากการตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ ซากเครื่องบิน ชิ้นส่วนต่างๆ ตลอดจนการส่งชิ้นส่วนไปตรวจสอบในห้องปฏิบัติการอย่างละเอียด ขณะนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่คาดว่าจะนำไปสู่การระเบิด แต่มีอุปกรณ์หลายอย่างอยู่ระหว่างการตรวจสอบวิเคราะห์ เช่น เครื่องวัดปริมาณเชื้อเพลิงอาจมีการลัดวงจรเกิดขึ้นภายในเครื่องวัด สวิตซ์ไฟฟ้า (FLOAT SWITCH) ในถังเชื้อเพลิงด้านขวาเกิดการแตกร้าว ปั๊มเชื้อเพลิงที่ถังเชื้อเพลิงกลางพบมีสิ่งแปลกปลอมและรอยขีดข่วนเกิดขึ้นภายใน และถ่ายเทประจุไฟฟ้าสถิต (STATIC ELECTRICITY) ที่สาย BONDING ของชุด VENT VALVE ของถังเชื้อเพลิง เป็นต้น ในการดำเนินการขั้นต่อไปของคณะเจ้าหน้าที่จาก NTSB จะได้ทำการตรวจสอบวิเคราะห์ต่างๆที่มีสิ่งผิดปกติดังกล่าวข้างต้น และนำชิ้นส่วนใหม่<br />
<br />
ในวันที่ 2 ตุลาคม 2544 The National Transportation Safety Board (NTSB) ได้แจ้งให้ทราบว่า<br />
<br />
1. จากการพบร่องรอย (Marks) ที่บริเวณ Pump Inlets NTSB ร่วมกับ Federal Aviation Administration (FAA) และบริษัท Boeing ได้จัดเตรียมแผนการตรวจสอบการทำงานของ Pump ดังกล่าว ซึ่งห้องทดลองได้ถูกสร้างขึ้นโดย บริษัท Boeing<br />
<br />
2. ชิ้นส่วนต่างๆได้แก่ Wiring, Fuel Vent Valves, Fuel Quantity Probes และ Fuel Filter ได้ถูกจัดส่งไปยังห้องทดลองต่างๆเพื่อทำการตรวจสอบ ในวันที่ 4 ตุลาคม 2544 NTSB ได้แจ้งให้ทราบว่า มีความจำเป็นต้องรื้อ Wing Tank Fuel Pumps ทั้งสอง เพื่อตรวจสอบ ซึ่งจะทำให้ Pumps ทั้งสองดังกล่าวไม่สามารถนำกลับมาใช้งานได้อีก คณะกรรมการสอบสวนฯจึงได้แจ้งให้ NTSB ทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป<br />
<br />
ในวันที่ 4 มกราคม 2545 NTSB ได้ส่งรายงานการตรวจสอบรูบริเวณผนังด้านข้างของเครื่องบินว่า ลักษณะรอยแตกและการเสียรูปของรูดังกล่าว เกิดจากการโดนวัตถุทะลุพื้นผิวจากภายนอกเข้าไปยังภายใน จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบไว้ในชั้นหนึ่งก่อน และหากมีข้อมูลเพิ่มเติมจักได้รายงานให้ทราบต่อไป.<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
รายงานพิเศษ ย้อนตำนานคาร์บอมบ์<br />
<center><iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/DRzXmGYat3Q" frameborder="0" allowfullscreen></iframe></center><br />
* * * * *<br />
<br />
• สิงหา2549 คาร์บอมบ์????? ก่อนยึดอำนาจ19ก.ย.<br />
<br />
พ.ต.ท.ทักษิณ: ถ้าดูจากการวางกระสอบทราย การบังคับทิศทางอะไรต่างๆ เจ้าหน้าที่ รปภ. ตนเห็นรถคันนี้ที่จอดอยู่ เขาวิทยุแจ้งข้างหลังว่ามีรถเป้าหมาย เพราะเนื่องจากเขามีรูปถ่ายรถคันนี้อยู่ เมื่อวันที่ 9 ส.ค. มีตุ๊กตา มีอะไรรูปพรรณสัณฐาน และทะเบียนปลอมที่ใช้ก็ใช้ทะเบียนเดิมกับที่ไปจอดเมื่อวันที่ 9 ส.ค. โดยจอดที่ทางออกสนามบิน เมื่อวานที่ผมพูดบางคนไม่รู้ นึกว่ารถไปวนเวียนที่บ้านไม่ใช่ คือไปตั้งแต่วันที่ 9-10 ส.ค.นั้นคือที่ บน.6 ทางออกจาก บน.6 แถวร้านเจ๊เล้งตรงนั้น<br />
<br />
คำถาม: เห็นบอกว่ามีคนอยู่เบื้องหลังเป็นกลุ่มบุคคล<br />
<br />
พ.ต.ท.ทักษิณ: วันนั้นที่เขาบอกมามันมีชื่อ ประมาณ 4 คน เป็นทหารหมดเลย<br />
<br />
คำถาม: ผู้ต้องหายังปากแข็งจะทำให้เป็นปัญหาสาวไม่ถึงตัวบงการ<br />
<br />
พ.ต.ท.ทักษิณ: ที่ให้การค่อนข้างจะโกหกอย่างชัดเจน เพราะรถคันนี้ออกจาก กอ.รมน. บังเอิญเราให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปขอความร่วมมือเอาสมุดคุมรถเข้า-ออก ก็รู้ว่ารถคันนี้ออกเมื่อเวลา 05.45 น. ออกจาก กอ.รมน.<br />
<br />
คำถาม: แสดงว่าดูจากหลักฐานแล้วเป็นการวางแผนกันเป็นขบวนการ<br />
<br />
พ.ต.ท.ทักษิณ: ใช่<br />
<br />
คำถาม: ขบวนการตรงนี้ใหญ่มากจะสาวถึงตัวผู้บงการหรือไม่<br />
<br />
พ.ต.ท.ทักษิณ: พอรู้กลุ่ม แต่ต้องจับกุมผู้ที่เกี่ยวข้องเพิ่ม ....."<br />
<br />
@ นำรถประกอบระเบิดย่อส่วนทดสอบ<br />
<br />
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2549 ที่ผ่านมา พ.ต.อ.ปรีชา ธิมามนตรี รองผู้บังคับการหัวหน้าศูนย์สืบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล พ.ต.ท.กำธร อุ่ยเจริญ สว.กลุ่มงานเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด กองบังคับการตำรวจปฏิบัติการพิเศษกองบัญชาการตำรวจนครบาล พร้อมกำลังชุดพนักงานสอบสวนและศูนย์ข้อมูลกองปราบปราม ประสานไปยังหัวหน้าหน่วยทหารแห่งหนึ่งในจังหวัดนครสวรรค์ เพื่อขอทดสอบระเบิดจำลองย่อส่วนขนาด 1 ต่อ 4 แบบเดียวกับที่คนร้ายใช้ในรถแดวูซุกระเบิดคันก่อเหตุที่ยึดได้ขณะ ร.ท.ธวัชชัย 1 ในผู้ต้องหากำลังขับบริเวณเชิงสะพานกรุงธน โดยใช้รถยนต์จริงเป็นตัวทดสอบ และมีอุปกรณ์ระเบิดประกอบด้วยระเบิดซีโฟร์ 0.8 ปอนด์ ระเบิดทีเอ็นที 2 ปอนด์ สารเอ็นโฟร์ซึ่งมีส่วนประกอบของสารยูเรียผสมน้ำมันดีเซล 16.8 กก. ฝักแคชนิดเอ็ม 7 เชื้อปะทุไฟฟ้าทางทหารชนิดเอ็ม 6 กระสอบทราย<br />
<br />
เมื่อเดินทางไปถึงบริเวณที่โล่งภายในค่าย ซึ่งมีการจัดหารถเก๋งเก่าคันหนึ่งเตรียมไว้แล้ว พ.ต.ท.กำธรได้นำส่วนประกอบระเบิดย่อส่วนประกอบใส่ไว้ภายในรถ โดยใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง จึงแล้วเสร็จ โดยมีวงจรจุดระเบิดแบบคลื่นสั้นของรถบังคับติดไว้บริเวณใต้ที่นั่งคนขับเหมือนกับที่พบในรถแดวู หลังจากนั้นชุดทดสอบทั้งหมด ได้กันเจ้าหน้าที่ให้ห่างออกไปจากรถประมาณ 300 เมตร ส่วนผู้จุดระเบิดคือ พ.ต.ท.กำธรยืนอยู่ห่างจากรถที่ใช้ทดสอบประมาณ 150 เมตร<br />
<br />
@ ผลรถแหลก-ถ่ายวิดีโอเก็บเป็นหลักฐาน<br />
<br />
หลังจากการเตรียมการเสร็จเรียบร้อย พ.ต.ท.กำธรได้กดระเบิดจนเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ตัวถังรถเก่าที่นำมาทดสอบถูกฉีกกระจายออกเป็นชิ้นๆ เหลือเพียงคัดซีรถและเครื่องยังติดกับตัวถังอยู่ จากการตรวจสอบแรงระเบิดมีระยะทำลายประมาณ 100 เมตร จากการคำนวณถ้าใช้ระเบิดจำนวนตามที่คนร้ายใช้ รัศมีการทำลายน่าจะมีระยะทำการประมาณ 500 เมตร แรงระเบิดจะมีอานุภาพทำลายทั้งจากแรงอัด เนื่องจากประกอบด้วยสารเอ็นโฟร์ ซึ่งเป็นระเบิดความดันต่ำ และสารซีโฟร์และทีเอ็นที ซึ่งเป็นระเบิดความดันสูง ซึ่งมีอำนาจการฉีกทำลายรุนแรง ทำให้วัตถุที่อยู่ในรัศมีฉีกขาด กลายเป็นสะเก็ดระเบิดจำนวนมหาศาล เมื่ออยู่ในที่ชุมชนหรือที่สาธารณะเช่นเชิงสะพานบางพลัดจุดเกิดเหตุ<br />
<br />
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในการดำเนินการครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ทำการถ่ายภาพวิดีโอ ภาพนิ่ง ไว้ตลอดการทดลอง เพื่อประกอบเข้าสำนวนการสอบสวน.<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
@ 19 ส.ค.2552 ศาลทหารยกฟ้องคดีคาร์บอมบ์ลอบฆ่าทักษิณ<br />
<br />
"..จากพยานหลักฐานศาลพิพากษาว่า จำเลยทั้ง 3 ร่วมกันกระทำความผิดใน 3 ข้อหา 1.ร่วมกันมีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียบเคียง และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 236 และมาตรา 63 โดยลงโทษจำคุกคนละ 4 ปี ข้อหาที่ 2 ร่วมกันเคลื่อนย้ายวัตถุระเบิดและพาไปในเขตเมืองโดยไม่มีเหตุอันสมควร ซึ่งมีโทษปรับ 4,000 บาท และข้อหาที่ 3 คือ ร่วมกันมียุทธภัณฑ์ โดยไม่ได้รับอนุญาตให้ลงโทษจำคุก 2 ปี รวมโทษทุกกระทงจำคุกจำเลยทั้ง 3 คน 6 ปี ปรับคนละ 4,000 บาท แต่เนื่องจากจำเลยที่ 1 ให้การเป็นประโยชน์จึงให้ลดโทษเหลือ 4 ปี 6 เดือน ปรับ 3,000 บาท ส่วนข้อหาพยายามฆ่า พ.ต.ท.ทักษิณ จากคำให้การของพยานไม่อาจมีหลักฐานบ่งชี้ได้ จึงไม่สามารถรับการลงโทษได้ จึงให้ยกฟ้องข้อหานี้ และข้อหาอื่น.."<br />
<br />
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า องค์คณะตุลาการศาลทหารกรุงเทพได้ใช้เวลาอ่านคำพิพากษาประมาณ 2 ชั่วโมง หลังรับฟังคำพิพากษาจำเลยทั้ง 3 มีสีหน้านิ่งเรียบเฉย ทั้งนี้ นายวันชัย ขันสุวรณ ทนายความจำเลยได้ยื่นหลักทรัพย์รายละ 8 แสนบาท เพื่อขอประกันตัว โดยจำเลยทั้ง 3 จะยื่นขออุทธรณ์คำตัดสินภายใน 15 วันตามกฎหมาย.<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<font color="#FF0000">@ คลิกลิ้งค์นี้..</font> <a href="http://northernfoodd.blogspot.com/2017/09/blog-post.html" target="_blank"><span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: large;">รออีกแป๊บนุงนะคะ..</span></a><br />
<br />
* * * * *<br />
somphonghttp://www.blogger.com/profile/07203143908234315462noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6143190172184203950.post-50819021036690534152017-09-17T22:44:00.001+07:002017-09-19T21:57:20.456+07:00"24 ชั่วโมงของทักษิณ" By: "คนการเมือง"<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.picz.in.th/images/2017/09/17/62dbfd17a5717211.jpg" /></center><br />
<span style="color: #3333ff; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;"><strong>"24 ชั่วโมงของทักษิณ"</strong></span><br />
<span style="color: #ff9900;">By: "คนการเมือง"</span><br />
<br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: large;">"..เสียงโทรศัพท์เช้าวันนั้น "ฮัลโหล ฉันเอง พวกเขาอาจจะก่อรัฐประหาร" .. พวกเขาเป็นใครกัน? ผมวางใจง่ายไปหน่อย ไม่ใช่ว่าผมมั่นใจเกินไป แต่เป็นเพราะผมคิดว่า คนที่ตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์ไม่น่าทำเรื่องเช่นนี้ นี่มันศตวรรษที่ 21 แล้วนะ ยุคสมัยที่อาศัยอาวุธยึดอำนาจมันหมดไปแล้ว ผมคิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะทำเช่นนี้ นึกไม่ถึงว่าจะกล้าเช่นนี้.."</span><br />
<br />
"24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย ให้พี่ๆ ได้อ่านก่อนเว็บไฮทักษิณอีกนะคะ .. ด้วยความรัก จากน้องลิเดียค่ะ จุ๊บๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ<br />
<br />
<span style="color: #000000; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">"24 ชั่วโมงของทักษิณ"</span><br />
<br />
คำนำ<br />
<br />
ในประวัติศาสตร์ไทยแต่ไรมาไม่เคยมีนายกรัฐมนตรีที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์เช่นทักษิณ<br />
<br />
เขาได้รับการวิจารณ์จากนักวิชาการในเมือง แต่กลับเป็นที่ชื่นชมจากประชาชนในต่างจังหวัด คนที่คัดค้านทักษิณกล่าวว่า เขาหยิ่งยะโส คอร์รัปชั่น ทำลายประชาธิปไตย นำพาประเทศไปสู่ระบบพรรคการเมืองเดียว ส่วนคนที่สนับสนุนเขากล่าวว่า เขาเป็นคนเรียบง่าย เข้าถึงชาวบ้าน เป็นผู้กล้าหาญ ดูแลเอาใจใส่คนจน และทำคุณประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอย่างใหญ่หลวง การตัดสินใจดำเนินนโยบายในแต่ละเรื่องของเขาขณะที่ยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่นั้น ดูเหมือนได้รับการโต้แย้งและถกเถียงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แม้กระทั้งรูปแบบของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ทำให้เขาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้ก่อให้เกิดการอภิปรายอย่างคึกคักอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในเวทีระหว่างประเทศ ประชาชนพินิจพิเคราะห์ประชาธิปไตย ผู้คนพูดคุยและถกเถียงเกี่ยวกับการเมืองของเอเชีย ติดตามสถานการณ์ของประเทศไทย และวิพากษ์วิจารณ์ทักษิณ<br />
<br />
ทักษิณ ชินวัตร อายุ 58 ปี เป็นผู้ซึ่งสื่อมวลชนให้สมญานามว่าเป็น "คนที่มีอำนาจและร่ำรวยที่สุดในประเทศไทย" ก่อนที่เขาจะเข้าสู่การเมือง เขาเป็นเศรษฐีร้อยล้านจากธุรกิจโทรคมนาคม และก่อนที่เขาจะสู่วงการธุรกิจ เขาเป็นนายตำรวจยศพันโทที่ได้เคยไปเรียนที่สหรัฐอเมริกา ก่อนที่เขาจะเข้าโรงเรียนตำรวจ เขาเป็นลูกหลานในครอบครัวนักธุรกิจชาวจีนโพ้นทะเล จากเด็กธรรมดาคนหนึ่ง ด้วยความมานะและความเฉลียวฉลาดของเขา ก็ค่อยๆ ก้าวขึ้นสู่ยอดปิรามิดแห่งอำนาจและความร่ำรวย ในกระบวนดังกล่าวนี้เต็มไปด้วยความผิดหวังและอุปสรรค แต่เขาเป็นคนที่เก่งเรียนรู้โดย "นำความผิดหวังเปลี่ยนเป็นโอกาส" ไม่ยอมล้มเหลว เขามีจิตวิญญาณที่ไม่ยอมแพ้ ประสบการณ์ในความสำเร็จ และอุปนิสัยที่มีเสน่ห์ของทักษิณก็อยู่ตรงนี้นี่เอง<br />
<br />
แม้ว่าจะมีการคัดค้านอย่างหนักหน่วง แต่เพียงแค่ดูตัวเลขทางเศรษฐกิจและบันทึกทางการเมืองในระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมาของประเทศไทย ก็ต้องยอมรับว่า คนคนนี้เป็นคนที่มีความสามารถอย่างแน่นอน มีความคิดปราดเปรียวฉับไว กล้าสร้างสรรค์สิ่งใหม่ แม้กระทั่งศัตรูทางการเมืองที่เคยโจมตีเขายังยอมรับในภายหลังว่า เขาได้นำความแตกต่างมาสู่เวทีการเมืองไทย พรรคไทยรักไทยที่เขาก่อตั้งเป็นพรรคการเมืองที่มีแนวคิดบริหารประเทศด้วยความชัดเจนมากที่สุด เขาได้นำวิธีการบริหารบริษัทมาบริหารประเทศโดยลดการทุจริตของข้าราชการ เขาปราบปรามการค้ายาเสพติดและอาชาญากรรมแบบไม่ยั้งมือ ด้วยเหตุนี้จึงก่อให้เกิดการตำหนิว่า "เมินเฉยต่อสิทธิมนุษยชน" เขาได้ดำเนินนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อคนจนหลายนโยบาย อาจกล่าวได้ว่า เขาเป็นนักการเมืองที่มีจิตใจเมตตา แม้ว่าจะมีเขามีจะมีอุดมคติลอยๆไปบ้าง นอกจากนี้ยังมีหลายสิ่งซึ่งเขาไม่มีเหมือนกับนักการเมืองทั่วไปก็คือ ท่าทีที่เสแสร้งและพูดซ้ำซากแต่เรื่องเดิม อุปนิสัยของเขาเต็มไปด้วยความน่าเกรงขามและอ่อนน้อมเข้ากับคนง่ายเป็นอย่างยิ่ง คุณสมบัติสองประการนี้ประกอบขึ้นเป็นตัวตนของเขาอย่างน่าอัศจรรย์<br />
<br />
วันที่ 19 กันยายน 2549 โชคชะตาของเขาก็ได้เปลี่ยนแปลงในชั่วข้ามคืน เขาถูกเนรเทศออกจากแผ่นดินเกิดโดยไร้ความปราณี จากยอดเขาตกลงสู่เหว นายกรัฐมนตรีของประเทศหนึ่งกลาย เป็นผู้ลี้ภัยที่ไม่สามารถกลับประเทศตนได้ จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ เรื่องราวที่พิสดารเหล่านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาถูกจดจำไว้ในประวัติศาสตร์<br />
<br />
ข้อสรุปที่มีต่อเขาตอนนี้ยังเร็วเกินไป ประวัติศาสตร์จะถูกเขียนโดยผู้ชนะเสมอ คุณอาจจะมองเขาเป็นผู้แพ้ และอาจมองเขาเป็นผู้ที่ถูกทำร้าย แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ในศตวรรษที่ 21 การเปลี่ยนแปลงอำนาจทางการเมืองโดยใช้กำลังทหาร เป็นการไม่ปฏิบัติตามกฎแห่งประชาธิปไตยและความหมายของเสรีภาพ แม้ว่าจะการรัฐประหารครั้งนี้จะไม่เสียเลือดเนื้อก็ตาม แต่ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ เราไม่สามารถที่จะหาคำที่รุ่งโรจน์ และมีมนุษยธรรมอันสูงส่งไปกว่าคำว่า "ประชาธิปไตย" และ "เสรีภาพ" อีกแล้ว คำแหล่านี้ได้ถูกคิดค้น อธิบาย ใน ท้ายที่สุดได้นำมาปฏิบัติให้เป็นจริงขึ้นเพื่อขจัดความรุนแรงและโหดร้ายให้หมดสิ้น และใช้รูปแบบที่มีเหตุผลและสันติมาแก้ไขความขัดแย้งและข้อพิพาทที่มนุษย์ได้สร้างขึ้น<br />
<br />
สิ่งนี้มีส่วนที่เหมือนกับแนวคิดคุณค่าของศาสนาพุทธที่เป็นศาสนาประจำชาติของไทย อย่างไรก็ตาม นอกจากศาสนาพุทธจะช่วยลดความระดับของความรุนแรงของการรัฐประหารแล้ว ก็ไม่ได้ให้ "ปรัชญาทางการเมือง" ใดๆ ต่อเมืองพุทธที่มีเมตตาธรรมนี้ บางทีหากมองจากมุมของศาสนาและการนับถือแล้ว การเมืองก็เหมือนกับเศรษฐกิจที่ต่างก็จะต้องรับผิดชอบต่อการแย่งชิงและการใช้กำลังของโลกเรา มนุษยชาติส่งเสริมการแก่งแย่งชิงดี แสวงหาของนอกกาย และบ่อยครั้งหลงทาง สูญเสียความรัก มันก็เหมือนกับที่นักการเมืองจำนวนหนึ่งที่ถกถียงกันไม่หยุด หย่อนว่า "ใครผิดใครถูก" และไม่ยอมปล่อยให้อำนาจในมือหลุดลอย มีใครบ้างที่จะสนใจความผาสุกของชาวบ้านและทุกข์สุขของคนจนอย่างแท้จริง?<br />
<br />
หนังสือเล่มนี้ผู้เขียนได้เขียนขึ้นจากการสัมภาษณ์ทักษิณแล้วหลายครั้ง "คำบอกเล่าของทักษิณ" ได้ย้อนรำลึกถึงชีวิต ความคิดที่มีต่อรัฐประหารและความเห็นคัดค้านต่อยุทธวิธีบริหารบ้านเมือง หนังสือเล่มนี้อาจบอกความจริงส่วนหนึ่ง แต่อาจไม่ใช่ทั้งหมด ทักษิณก็มีข้อจำกัดของตนเอง และข้อจำกัดของยุคสมัย บทเรียนจากการรัฐประหารของไทย มิเพียงเป็นบทเรียนของเขา และของประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นบทเรียนของโลกและของมนุษยชาติอีกด้วย<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
บทที่ 1 เสียงโทรศัพท์ยามรุ่งอรุณ<br />
<br />
ตอนที่ 1<br />
<br />
วันที่ 19 กันยายน 2549 เวลาตีห้า ท้องฟ้าในมหานครนิวยอร์กกำลังจะสว่าง ดวงดาวค่อยๆ ลับขอบฟ้า ท้องฟ้าเป็นสีครามและเงียบสงัด มีพยากรณ์อากาศว่า วันนี้มีอุณภูมิโดยเฉลี่ย 23 องศา ระดับความชื้น 78% นับเป็นวันที่มีอากาศแจ่มใสวันหนึ่ง ลมในฤดูในไม้ร่วงพัดปะทะเบาๆ กับใบหน้า ช่วงรุ่งสางเป็นช่วงที่มหานครนิวยอร์กเงียบสงัดที่สุด ลมในช่วงรุ่งสางพัดผ่านใบไม้ไป ทำให้ได้ยินเสียงนกร้องในสวนสาธารณะ หากเป็นเมื่อ 5 ปีก่อนนี้ ยังสามารถขึ้นไปยืนอยู่ตึกที่สูงที่สุดของมหานครนิวยอร์กได้ นั่นคือ ตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ที่ซึ่งสามารถชมทิวทัศน์ของฤดูใบไม้ร่วงในสวนสาธารณะได้ ปัจจุบันนี้ สถานที่ที่นั้นเหลือเพียงแต่หลุมใหญ่ๆ 2 หลุม และป้ายรำลึกที่สลักชื่อผู้เสียชีวิต พร้อมทั้งมีรั้วเหล็กกั้นไว้ เมื่อ 2-3 วันก่อนที่นี่เพิ่งจัดงานรำลึกครบรอบ 5 ปีของเหตุการณ์ 9/11 ประธานาธิบดีบุชและภรรยาได้มาวางช่อดอกไม้ด้วยตนเอง คนจำนวนไม่น้อยจุดเทียนเพื่อรำลึกถึงวิญญาณผู้เสียชีวิต ปัจจุบันนี้บนรั้วเหล็กที่กั้นสิ่งปรักหักพังของตึกเวิลด์เทรดนั้นเต็มไปด้วยดอกไม้และธงชาติสหรัฐฯ จำนวนมาก ตามแผนงานของมหานครนิวยอร์ก หลังจาก 3 เดือน อเมริกาจะก่อสร้าง "ตึกแห่งเสรีภาพ" บนพื้นที่ของตึกเวิลด์เทรดเดิม แต่ทว่า หากไม่เปลี่ยนแปลงความเคยชินที่ใช้ความรุนแรงและอาวุธแก้ไขปัญหา มนุษยชาติก็ไม่อาจมีเสรีภาพตลอดไป ความเจ็บปวดของมนุษย์ก็ไม่มีทางสิ้นสุด<br />
<br />
ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย ซึ่งมีอายุ 57 ปี ณ ขณะนั้นกำลังนอนในห้องเพรสซิเดนท์เชี่ยลสวีทของโรงแรมแกรนด์ไฮแอทนิวยอ์รก ม่านสีทึบกั้นหน้าต่างในห้องทำให้แสงสว่างของอรุณรุ่งไม่สามารถเล็ดลอดเข้ามาในห้องนอนได้ ในห้องเงียบสงัดจนได้ยินเสียงหายใจเบาๆ ของคนที่กำลังหลับ เขานอนไม่หลับพลิกตัวกลับไปกลับมา หัวคิ้วที่ขมวดอยู่เผยให้เห็นร่องรอยของความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามานาน ศีรษะกว้างและใหญ่ รอยย่นปรากฏเป็นริ้วๆ ขอบใต้ตาดำคล้ำ มีถุงใต้ตาอย่างชัดเจน รูปหน้าทรงกลม/เหลี่ยม อาจเป็นเพราะความขาวหมดจดของใบหน้าจึง ทำให้ดูเหมือนอายุยังไม่มากนัก แต่เมื่อดูโดยรวมแล้ว นี่เป็นใบหน้าที่บ่งบอกถึงความเหน็ดเหนื่อยตรากตรำ หลังจากเกิดเรื่อง "รถวางระเบิด" เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่พูดกันสับสนไปหมด ตั้งแต่นั้นมาเขาก็นอนอย่างไม่สบายใจ ทั้งกลางวันและกลางคืน เขาถูกล้อมรอบไปด้วยภัยคุกคามที่อาจรู้ได้ว่าจะมาจากไหน ศัตรูที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดฉับพลันก็ออกมาสร้างความตกใจให้กับเขา หลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว เขาได้กล่าวว่า วันนั้น เป็นวันที่เขารู้สึกเครียดมากที่สุดตั้งแต่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมา และมันยังน่ากลัวกว่าเมื่อเทียบกับเรื่องที่เกิดขึ้นภายใน 24 ชั่วโมงต่อจากนี้<br />
<br />
ตอนเช้าของวันที่ 24 สิงหาคม 2549 ฝ่ายตำรวจของไทยประกาศว่า พบรถยนต์บรรทุกวัตถุระเบิดน้ำหนัก 67 กิโลกรัม บริเวณใต้ทางด่วนแห่งหนึ่งซึ่งมีระยะ 1 กิโลเมตรใกล้กับที่พักของนายกรัฐมนตรีบริเวณเขตปริมณฑล เป็นระเบิดทีเอ็นทีที่มีน้ำหนัก 5 กิโลกรัม และยังพบน้ำมันเบนซินผสมกับปุ๋ยซึ่งบรรจุในถุงจำนวนกว่า 10 ถุง นอกจากนี้ยังมีระเบิดซีโฟร์ 3 ลูก รวมทั้งดินระเบิดที่มีลักษณะเป็นพลาสติกจำนวนหนึ่ง และสายชนวนและท่อนำ ฝ่ายตำรวจกล่าวว่าวัตถุระเบิดเหล่านี้ซุกซ่อนอยู่ในส่วนต่างๆ ของรถ และติดตั้งติดกับรถมาอย่างดี นอกจากนี้ตัวรถยังติดตั้ง remote sensing ด้วย ซึ่งเพียงแค่กลุ่มผู้ก่อการร้ายกดปุ่มควบคุมในระยะไกล พลังของระเบิดก็จะสามารถทำลายสิ่งปลูกสร้างในรัศมีหนึ่งกิโลเมตรให้กลายเป็นผุยผงได้ ไม่ต้องสงสัยเลยแม้แต่นิดว่า ระเบิดนี้มุ่งทำร้ายทักษิณ ตำแหน่งที่รถจอดอยู่ก็เป็นถนนสายที่ขบวนรถของนายกรัฐมนตรีจะต้องผ่านทุกวัน เวลาก็ประจวบเหมาะพอดี 9 โมงซึ่งเป็นเวลาที่นายกรัฐมนตรีมาทำงานที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี โฆษกรัฐบาลออกมากล่าวในงานแถลงข่าวว่า “ในตอนนั้นลูกระเบิดได้เตรียมการไว้อย่างดีและพร้อมที่จะระเบิด สายนำไฟฟ้าถูกเชื่อมต่อกับท่อลำเลียง และยังใช้ถุงทราย 7 ถุงเพื่อบังคับทิศทางระเบิด และรับประกันว่าระเบิดจะต้องมุ่งทิศทางไปยังขบวนรถของนายกรัฐมนตรีแน่นอน”<br />
<br />
ตำรวจได้ควบคุมตัวร้อยโทธวัชชัย กลิ่นชนะซึ่งเป็นผู้ขับรถยนต์คนดังกล่าวได้ที่เกิดเหตุ และได้ขับรถไปใต้ทางด่วนนั้น แต่ว่า ผู้ต้องสงสัยปฏิเสธความผิด นายธวัชชัยยืนยันว่า ตนไม่ทราบแผนการลอบสังหารนายกรัฐมนตรีเลย และไม่รู้ด้วยว่ามีระเบิดติดตั้งในรถคันดังกล่าว สำหรับชื่อของระเบิดซีโฟร์และทีเอ็นที ตนก็แทบจะไม่เคยรู้จัก แค่มีเพื่อนหนึ่งฝากให้เขาขับรถคนนี้ไปที่ที่ใกล้กับบ้านพักของนายกรัฐมนตรี เขาจึง "ทำตามอย่างงงๆ"<br />
<br />
ข้อแก้ตัวนี้เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถเชื่อถือได้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เมื่อ 2-3 เดือนก่อน เห็นรถยนต์สีเทาเงินคันหนึ่งตามขบวนรถนายกรัฐมนตรีอย่างลับๆล่อๆ และสามวันก่อนเกิดเรื่อง รถยนต์คันนี้ก็ขับกลับไปกลับมาและมีท่าทางน่าสงสัยบนถนนใกล้กับบ้านพักของนายกรัฐมนตรี และเช้าตรู่ของวันนั้น เมื่อเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพบเห็นรถคันดังกล่าวกำลังกลับรถไปมา จึงรีบแจ้งตำรวจทันที<br />
<br />
หลังจากที่ทักษิณรอดตายจากภัยนี้แล้ว ทักษิณก็ได้กล่าวที่ทำเนียบรัฐบาลซึ่งรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดว่า ในวันนั้นตนเคราะห์ดีที่สามารถรอดจากประตูนรกนั้นได้ สาเหตุสำคัญก็คือ ได้รับแจ้งจากสำนักข่าวกรองได้ทันเวลา จึงได้ออกจากที่พักก่อนหน้านั้น 1 ชั่วโมง ทักษิณยังบอกอีกว่า เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้รู้ถึงแผนการชั่วร้ายที่จะสังหารนายกรัฐมนตรีหลายครั้งในระยะ 2-3 เดือนนี้ สำหรับการบงการเบื้องหลังเหตุการณ์ลอบสังหารนี้ ทักษิณเชื่อว่าอย่างน้อยมีผู้ที่เกี่ยวข้อง 4 คน โดยเป็นนายทหารระดับสูงทั้งยังอยู่ในตำแหน่งและเกษียณแล้ว แต่ความจริงจะเป็นใครนั้น ยังไม่สะดวกที่จะเปิดเผย<br />
<br />
เพื่อความปลอดภัย ทักษิณได้ยกเลิกกำหนดการต่างๆ ในช่วงบ่ายวันนั้น เช่น การพบปะกับนายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาที่ชายแดนไทย-กัมพูชา กำหนดการเดินทางไปตรวจเยี่ยมภัยน้ำท่วมในภาคเหนือก็ถูกเลื่อนออกไป เมื่อสมาชิกพรรคไทยรักไทยมาให้กำลังใจทักษิณนั้นเขาได้บอกกับสมาชิกพรรคว่า ตอนนี้เขาเองยังเอาตัวไม่รอด เกรงว่า จะไม่สามารถออกสู่เวทีสาธารณะเพื่อรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งที่จะมาถึงได้ เขาเร่งเพิ่มกำลังหน่วยรักษาความปลอดภัยถึง 30 คน และจัดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจำนวนกว่า 10 คนดูแลภรรยาและลูกของตน<br />
<br />
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทักษิณเอาชีวิตรอดมาได้ ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2544 เมื่อเขาได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพียง 25 วัน เขาก็ได้รับรู้รสชาติของการถูกลอบสังหาร ในวันนั้น เครื่องบินโบอิ้ง 747 ลำหนึ่งของการบินไทยซึ่งบรรทุกผู้โดยสารจำนวน 129 คน เดินทางจากกรุงเทพฯ ไปยังจังหวัดเชียงใหม่ ผู้โดยสารบนเครื่องซึ่งรวมทั้งทักษิณที่เพิ่งได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยลูกชาย รวมทั้งข้าราชการจำนวน 20 คนเตรียมพร้อมขึ้นเครื่อง วินาทีที่เครื่องบินเตรียมทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้านั้น ที่นั่งชั้นหนึ่งหมายเลข 11A ที่เขาได้จองไว้เกิดระเบิดขึ้นกะทันหัน ผู้โดยสารที่อยู่บริเวณรอบๆ ที่นั่งนั้นได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก แต่ที่โชคดีก็คือ ที่นั่งนี้ไม่มีใครนั่งอยู่ในตอนนั้น ทักษิณผู้ซึ่งตรงต่อเวลามาโดยตลอดตัดสินใจที่จะรอลูกชายซึ่งก็คือ นายพานทองแท้ ที่มาถึงช้า วันนั้นลูกชายก็ไม่ทราบสาเหตุว่าทำไมถึงมาช้า 25 นาที แต่ในที่สุดก็ได้ช่วยชีวิตพ่อของตนไว้ได้<br />
<br />
ฝ่ายทหารและตำรวจได้พบระเบิดฟอสฟอรัสขาวชนิดหนึ่งในบริเวณที่เกิดเหตุ โดยระเบิดได้ถูกติดตั้งไว้ใต้ที่นั่งของนายกรัฐมนตรีและลูกชาย ทั้งเวลาและสถานที่ชัดเจนเช่นนี้จึงทำให้เกิดความคลางแคลงสงสัยว่า มันเป็นการกระทำของ "หนอนบ่อนไส้" อย่างไรก็ตาม ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ถึง 1 เดือน สำนักข่าวกรองแห่งชาติยังไม่ได้รับแจ้งมาก่อนว่ากลุ่มอำนาจใดต้องการทำร้ายทักษิณ ตำรวจสันนิษฐานว่า ผู้อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารอาจจะเป็นผู้ค้ายาเสพติดในประเทศพม่าและบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ เนื่องจากทักษิณมาเป็นนายกรัฐมนตรีไม่นานก็ได้ประกาศว่า งานสำคัญของรัฐบาลใหม่ในอีก 4 ปีข้างนี้คือ "ปราบปรามการค้ายาเสพติดให้หมดสิ้น" ด้วยเหตุนี้ ทักษิณจึงพบปะกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของหน่วยงานต่างๆ เพื่อเสนอวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการกวาดล้างยาเสพติด<br />
<br />
ท่าทีเช่นนี้ของทักษิณทำให้พวกค้ายาเสพติดเกลียดเขาเข้ากระดูกดำ 2 ปีต่อมา ก็มีข่าวอันน่าสะพรึงกลัวออกมาจากนอกประเทศว่า พวกค้ายาเสพติดได้ตั้งเงินรางวัลจำนวน 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แก่มือปืนที่สามารถฆ่าตัดหัวทักษิณได้ และยังมีรายงานข่าวอย่างเป็นตุเป็นตะว่า ข่าวกรองที่สำคัญนี้ได้ถูกส่ง มาถึงกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) และสำนักข่าวกรอง โดยเจ้าหน้าที่จากสถานทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย ผู้ที่ได้ช่วยชีวิตทักษิณคือชาวอเมริกันจริงหรือ รัฐบาลไทยปิดปากเงียบไม่พูดสักคำ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมพูดแต่เพียงว่า "มืดมีดชาวต่างชาติที่วางแผนมุ่งร้ายลอบสังหารทักษิณยังไม่ได้เข้าประเทศไทย"<br />
<br />
ภาพอันน่าสยดสยองของการเสียเสียชีวิตของพวกค้ายาเสพติดที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ทักษิณได้แสดงว่าตนไม่สะทกสะท้าน เขากล่าวว่าตนจะไม่ประนีประนอม เพราะ "เรามีการเตรียมพร้อมป้องกันไว้แต่แรกแล้ว ดังนั้น ผมเองไม่ห่วงเลยแม้แต่นิด" หนึ่งในมาตรการเตรียมพร้อมป้องกันก็คือ เวลาออกเดินทางจะไม่ใช้รถยนต์ที่หรูหรา แต่จะเปลี่ยนมาใช้รถยนต์กันกระสุน ทำเนียบรัฐบาลได้จัดซื้อรถยนต์ซึ่งภายนอกเหมือนกันทุกอย่างจำนวนหลายคัน เลขทะเบียนรถของรถทุกคันก็เป็นเลขเดียวกัน คนภายนอกก็ไม่สามารถมองเห็นภายในของรถได้ อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยังไม่กล้าวางใจ จึงส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนกว่า 1,000 นาย คอยอารักขาทักษิณเมื่อต้องออกไปประชุมหรือเปิดตัวสู่สาธารณะข้างนอก<br />
<br />
แต่ทว่า ภัยคุกคามเหล่านี้ยังไม่สามารถเทียบได้กับภัยอันตรายที่ได้รับครั้งนี้ สถานการณ์ประเทศไทยในปัจจุบันเหมือนกับหม้อต้มน้ำที่กำลังเดือดปุดๆ บนเตาไฟ ภายในหม้อเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นและความโกรธ คนที่ต้องการกำจัดเขาไม่เพียงแต่พวกค้ายาเสพติดนอกประเทศ แต่ยังมีกลุ่มพลังอำนาจไม่ว่าจะพลังมืดหรือสว่างที่คัดค้านการบริหารประเทศของเขาในช่วงระยะกว่า 5 ปีที่ผ่านมา หากจะบอกว่า ทักษิณกำลังนั่งอยู่บนระเบิดที่จวนจะระเบิดก็คงไม่เกินความเป็นจริงแม้แต่นิด<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<font color="#FF0000">@ คลิกลิ้งค์นี้..</font> <a href="http://northernfoodd.blogspot.com/2017/09/32544.html" target="_blank"><span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: large;">"ย้อนตำนาน..วางระเบิดเครื่องบินทักษิณ3มีนา2544"</span></a><br />
<span style="color: #000000; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: large;">"..วินาทีที่เครื่องบินเตรียมทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้านั้น ที่นั่งชั้นหนึ่งหมายเลข 11A ที่เขาได้จองไว้เกิดระเบิดขึ้นกะทันหัน ผู้โดยสารที่อยู่บริเวณรอบๆที่นั่งนั้นได้รับบาดเจ็บหลายคน แต่ที่โชคดีก็คือที่นั่งนี้ไม่มีใครนั่งอยู่ในตอนนั้น .. ทักษิณผู้ซึ่งตรงต่อเวลามาโดยตลอดตัดสินใจที่จะรอลูกชายซึ่งก็คือนายพานทองแท้ ที่มาถึงช้า วันนั้นลูกชายก็ไม่ทราบสาเหตุว่าทำไมถึงมาช้า 25 นาที แต่ในที่สุดก็ได้ช่วยชีวิตพ่อของตนไว้ได้.."</span><br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
ตอนที่ 2<br />
<br />
"คดีขายหุ้น" เป็นมูลเหตุที่จุดชนวนให้เกิดวิกฤตการบริหารประเทศของทักษิณเมื่อตอนต้นปี วันที่ 23 มกราคม 2549 ลูกชายและลูกสาวของทักษิณ คือ นายพานทองแท้และนางสาวพิณทองธา ได้นำหุ้นร้อยละ 49.6 ซึ่งคิดเป็นมูลค่า 1,870 ล้านดลลาร์สหรัฐ ของบริษัทชินคอร์ป (Shin Corp) ซึ่งเป็นบริษัทโทรคมนาคมที่ใหญ่อันดับหนึ่งของไทย ขายให้กับวิสาหกิจของสิงคโปร์ที่ชื่อเทมาเส็ก (Temasek) ตามกฎหมายของไทยที่ออกมาใหม่ว่าด้วยสัดส่วนการถือครองหุ้นในธุรกิจโทรคมนาคมของเงินทุนต่างชาตินั้น รายได้ซึ่งมาจากการซื้อขายหุ้นที่ดำเนินการในนามของบุคคลธรรมดาจะสามารถเลี่ยงชำระภาษีได้ ดังนั้นการที่ลูกชายและลูกสาวของทักษิณซื้อขายหุ้นของตน ในทางกฎหมายก็ไม่ต้องจ่ายภาษี แต่หากว่าการซื้อขายหุ้นกระทำในนามของบริษัท ก็จำเป็นที่ต้องจ่ายภาษีเป็นจำนวนเงินประมาณ 450 ล้านดอลลาร์สหรัฐ<br />
<br />
หลังจากที่เรื่องนี้ถูกสื่อมวลชนประโคมข่าวออกมาเรื่องก็บานปลายขึ้น ผู้คนต่างกล่าวหาครอบครัวทักษิณว่าสร้างแบบอย่างการไม่ชำระภาษีให้กับประชาชน และหลีกเลี่ยงภาษี "เขาควรจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับประชาชน แต่เขากลับไม่เป็น" ยังมีคนที่สงสัยทักษิณว่า การที่เขาขายธุรกิจโทรคมนาคมซึ่งเป็นเป็นธุรกิจที่มีความสำคัญด้านยุทธศาสตร์ของชาติให้กับบริษัทต่างชาติ ทำให้สิงคโปร์มีอิทธิพลเหนือธุรกิจโทรคมนาคมของไทย ซึ่งถือเป็นการคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ "เขาเลวยิ่งกว่าซัดดัมจริงๆ" "เผด็จการอย่างซัดดัม แม้ว่าจะโหดร้ายทารุณ แต่ยังรู้จักใช้อำนาจบาตรใหญ่นั้นทำสงครามเพื่อรักษาอำนาจอธิปไตยของประเทศตน" แต่ทักษิณกลับ "ขายผลประโยชน์ของชาติเพื่อผลประโยชน์ของครอบครัว"<br />
<br />
ชาวกรุงเทพฯ เริ่มเดินขบวนบนประท้วงบนท้องถนนเพื่อ "โค่นล้มทักษิณ" คนเดินขบวนค่อยๆ เพิ่มขึ้นจากสองพันคน เป็นสองหมื่น และกลายเป็นแสนกว่าคน ในตอนแรกทักษิณไม่ได้ตระหนักถึงความรุนแรงของปัญหานี้ จากเศรษฐีที่ร่ำรวยได้พลิกผันตัวเองเข้าสู่เวทีการเมืองเป็นต้นมา เนื่องจากเขาร่ำรวยมหาศาล และมีผลประโยชน์ทางธุรกิจซึ่งโยงใยสลับซับซ้อนจึงทำให้คนอิจฉาริษยา และฟ้องร้องเขาต่อศาลในหลายคดี ทักษิณได้อธิบายการซื้อขายครั้งนี้ว่า "การกระทำทางธุรกิจทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่โปร่งใส ชอบด้วยกฎหมายและไม่ใช่ปัญหาการขายผลประโยชน์ของประเทศ...พวกลูกๆ ได้ช่วยผมตัดสินใจ เพียงเพราะหวังว่าผมจะสามารถมุ่งทำงานด้านการเมืองได้" สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) ได้ตัดสินการซื้อขายหุ้นครั้งนี้ว่า "ไม่ผิดกฎหมาย" "แม้ว่าในรายงานการซื้อขายหุ้นของนายพานทองแท้ที่นำส่งคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์จะเกิดข้อผิดพลาดอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาร้ายแรง" หลังจากนั้น ศาลรัฐธรรมนูญได้ตีกลับคำขอของสมาชิกวุฒิสภา 28 คนที่ขอให้ดำเนินการตรวจสอบการซื้อขายทางธุรกิจของทักษิณตามกฎหมาย โดยให้เหตุผลว่า "คำยื่นอุทธรณ์คลุมเครือไม่ชัดเจน"<br />
<br />
คำบอกเล่าของทักษิณ<br />
<br />
หุ้นเป็นของลูกๆผมตามกฎหมาย พวกเขาอายุ 20 ปีเต็มแล้ว ซึ่งสามารถเป็นผู้ถือหุ้นได้ แต่ว่าไม่ว่าลูกผมจะขายบริษัทให้ใคร เพียงแค่เงินเข้ากระเป๋าครอบครัวเรา พวกพรรคการเมืองฝ่ายค้านก็ต้องไม่วางใจ และยังมีคนที่ไม่อยากเห็นผมอยู่ในตำแหน่งนี้ต่อไปที่คอยหาโอกาสหาเรื่องผม พวกลูกผมช้าเร็วจะต้องขายบริษัทนี้ เนื่องจากอนาคตของธุรกิจโทรคมนาคมขึ้นอยู่กับรัฐบาล สองคือ ต้องใช้เงินลงทุนไปกับเทคโนโลยีใหม่ๆ มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ค่าใช่จ่ายยังมหาศาลอีกด้วย พวกเราไม่คิดจะทำต่อแล้ว แค่คิดจะขายเท่านั้น ส่วนหุ้นที่เราขายไปนั้นเป็นเพียงหุ้นธรรมดาๆ ผู้ที่ถือหุ้นธรรมดามีวิธีได้เงินเพียง 2 วิธี คือ หนึ่ง รอเงินปันผล สอง คือ ขายหุ้นให้คนอื่น<br />
<br />
การซื้อขายหุ้นครั้งนี้ใสสะอาดอย่างยิ่ง การกระทำของเราทั้งหมดล้วนชอบด้วยกฎหมาย มีการเจรจากับหลายบริษัท ไม่เฉพาะแต่เพียงบริษัทของสิงคโปร์เพียงบริษัทเดียว เราขายหุ้นให้กับสิงคโปร์ แต่ว่าพนักงานและผู้บริหารของบริษัทปัจจุบันก็ยังเป็นคนไทย ด้านสิงคโปร์ได้แต่ส่งฝ่ายการเงินเข้ามาบริหารเท่านั้น และมิใช่การปัญหาการขายผลประโยชน์ของประเทศ<br />
<br />
ทักษิณโล่งอกไปเปราะหนึ่ง แต่ว่าเขาก็พบว่า ประเด็นร้อนที่ผู้คนพากันถกเถียงกลับไม่ใช่เรื่องการขายหุ้นว่า "ผิดกฎหมายหรือไม่" แต่เป็นเรื่อง "มีคุณธรรมหรือไม่" พลตรีจำลอง ศรีเมือง ผู้นำ "พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" ซึ่งเป็นแนวร่วมต่อต้านรัฐบาล ได้กล่าวว่า "แม้ว่าโดยส่วนตัวของทักษิณจะไม่มีที่ที่จะให้ถูกประณามในทางกฎหมายได้ แต่ในด้านคุณธรรมแล้วไม่สามารถรับได้ เราควรปฏิบัติตามคุณธรรม เพราะคุณธรรมสำคัญกว่ากฎหมายและบรรทัดฐาน โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี สมมุติว่าเขาเป็นคนธรรมดาก็แล้วไป แต่เพราะเขาเป็นนายกรัฐมนตรีจึงจำเป็นต้องลาออก"<br />
<br />
ทักษิณปฏิเสธที่จะลาออก เขามีท่าทีแข็งกร้าว "ยังไงก็จะไม่ลาออกเพียงเพราะเป็นผลประโยชน์ส่วนตัวของนักการเมืองส่วนหนึ่งและเป้าหมายทางการเมือง และก็จะไม่ยอมแพ้คนส่วนเดียวที่ไม่ต้องการผม" ทักษิณตอบโต้ผู้ชุมนุมประท้วงว่า "รัฐบาลตามกฎหมายจะถูกทำลายโดยผู้นำกลุ่มผู้ประท้วงจนทำให้ไม่สามารถที่จะอยู่ต่อไปได้ ผมจะไม่ให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น มีแต่คนโง่เท่านั้นที่เชื่อว่าผู้ที่ยินดีเป็นนายกรัฐมนตรีจะกระทำความผิด คนไทยจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะเคารพกฎหมาย" แต่ว่าข่าวลือและถ้อยคำใส่ร้ายที่ว่า นายกรัฐมนตรีเกี่ยวข้องกับการคอร์รัปชั่น เป็นเผด็จการ และใช้อำนาจเอื้อผลประโยชน์ส่วนตัว รวมไปถึงข่าวลือต่างๆที่โจมตีตัวบุคคล ก็แพร่สะพัดไปตามถนนตรอกซอกซอยของกรุงเทพฯ กลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงมาสมทบอย่างไม่ขาดสายก่อให้เกิดความไร้ระเบียบ สร้างความปั่นป่วนให้กับเศรษฐกิจ หุ้นเริ่มตก ค่าเงินบาทเริ่มตก แม้กระทั่งผู้นำธุรกิจที่อยู่วงนอกก็เริ่มบ่นว่า "การชุมนุมบนท้องถนนจะทำให้นักลงทุนหนีกันไปหมด" เมื่อรัฐมนตรีกระทรวงเทคโนโลยีและสารสนเทศและรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม ประกาศลาออกอย่างเปิดเผยเพื่อแสดงรับผิดชอบต่อ "คุณธรรมทางการเมือง" คำพูดที่ว่า "ผู้ชุมนุมประท้วงไม่น่ากลัว" จึงเป็นคำพูดที่ทักษิณต้องเก็บกลับมาคิดใหม่เพื่อเริ่มหาทางแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง<br />
<br />
วันที่ 24 กุมภาพันธ์ ทักษิณก็ประกาศยุบสภาอย่างฉับพลัน และจะให้มีการเลือกตั้งก่อนเดือนเมษายน โฆษกรัฐบาลแถลงว่า "หลังจากที่ประชาชนต่างได้ยินที่ได้เห็นการเดินขบวนประท้วงตามท้องถนน ก็ให้ประชาชนตัดสินใจด้วยตนเองอีกครั้งเพื่อให้เราเห็นว่า ประชาชนเชื่อใครกันแน่ หากประชาชนไม่เลือกพรรคไทยรักไทย ทักษิณบอกว่า เขาจะลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี" ข้อเสนอนี้ถูกพรรคฝ่ายค้านคัดค้านอย่างรุนแรง โดยพรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย พรรคมหาชน สามพรรคร่วมมือกันคัดค้านการเลือกตั้ง พวกเขามองว่า นี่เป็น "กลเล่ห์เพทุบาย" ของทักษิณ เนื่องจากโอกาสที่พรรคไทยรักไทยจะได้รับเลือกมีมาก พรรคไทยรักไทยเป็นพรรคที่ทักษิณก่อตั้งด้วยมือของเขาเอง ในการเลือกตั้งปีที่แล้วพรรคไทยรักไทยได้ที่นั่งในสภามากที่สุดในประวัติศาสตร์ คือ ร้อยละ 76 กลายเป็นพรรคการเมืองพรรคแรกที่เข้ามาบริหารประเทศเพียงพรรคเดียวในประวัติศาสตร์ 73 ปีของการปกครองอันมีสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ดังนั้น เมื่อเข้าสู่สนามการเลือกตั้งครั้งนี้ ก็เท่ากับตนยอมแพ้ หลังการเลือกตั้ง ทักษิณก็จะนั่งในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง<br />
<br />
การเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายน ปรากฏว่า 278 เขตจากทั้งหมด 500 เขต มีเฉพาะผู้สมัครรับเลือกตั้งจากพรรคไทยรักไทยเท่านั้น ไม่มีผู้สมัครจากพรรคอื่น สภาวะการณ์ที่พรรคไทยรักไทยลงเล่นอยู่พรรคเดียว จึงชนะการเลือกตั้ง ฝ่ายค้านก็ออกมาพูดว่า "ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร เราจะคัดค้านอย่างนี้ต่อไป จนกว่าทักษิณจะลาออก" วันที่ 4 เมษายน ทักษิณออกมาประกาศลาออก ซึ่งก่อนหน้านี้ 1 วัน ทักษิณได้ออกมาพูดให้ประชาชนยอมรับการเลือกตั้ง แต่แล้วกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงดั่งนิยาย ภายนอกประเทศคาดเดากันว่า คงจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ผู้ทรงมีคุณธรรมและพระบารมีอันสูงส่ง ทักษิณพูดออกโทรทัศน์ว่า "การที่ผมตัดสินใจลาออกครั้งนี้ เพราะว่าปีนี้เป็นปีที่มีความสำคัญยิ่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเหลือเวลาอีกเพียง 60 กว่าวันที่จะถึงงานพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบรอบ 60 ปี...เราไม่มีเวลาทะเลาะกันแล้ว หากทุกคนยังทะเลาะกันอยู่ ผู้ที่แพ้ก็คือประเทศ..." ทักษิณประกาศว่า เขาจะมอบอำนาจให้กับ พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกรัฐมนตรี ส่วนตัวเองจะขอพัก มีการกล่าวกันว่า คณะรัฐมนตรีหลายคนและผู้บริหารระดับสูงของพรรคที่ติดตามสถานการณ์นี้ ก็ปล่อยโฮออกมาเมื่อตอนที่ทักษิณประกาศลาออก ทักษิณพร้อมด้วยภรรยาและลูกต่างก็กอดคอกันร้องไห้<br />
<br />
สองวันต่อมา รถกระบะคันหนึ่งมาเก็บของใช้ส่วนตัวของทักษิณที่ตึกทำเนียบรัฐบาล หลังจากนั้นก็มีคนเห็นทักษิณกำลังจูงมือลูกสาวเดินช้อปปิ้งที่ห้างสรรพสินค้าเกสรพลาซ่า เขาให้สัมภาษณ์นักข่าวว่า "ผมตกงานแล้ว อย่ามาตามผมอีกเลย ไปขุดคุ้ยข่าวใหม่จากนักการเมืองจะคุ้มค่ากว่า" และยังมีคนเห็นเขานั่งดื่มกาแฟที่โรงแรมแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ มีเด็กสองคนจำเขาได้ จึงหยิบสมุดให้เขาเซ็นชื่อ เขาเขียนว่า "หวังว่าเมื่อพวกหนูโตขึ้นจะกลายเป็นผู้มีความรู้ความสามารถที่สร้างคุณประโยชน์" นอกจากนี้ เขายังนัดกับบุคคลในคณะรัฐมนตรีเพื่อตีกอล์ฟ เมื่อเขาตีกอล์ฟออกไปได้สวย เขาก็บอกว่า "วินาทีนี้เป็นวินาทีที่รู้สึกปลอดโปร่งที่สุดใน 5 ปีที่ผ่านมา"<br />
<br />
ดูไปแล้ว ทักษิณคิดที่จะออกจากเวทีการเมือง แต่หลังจากนั้น 48 วัน เขาก็ขึ้นรถเมอซิเดสเบนซ์ S600 กลับมาที่ทำเนียบรัฐบาล เหตุผลก็คือ ในช่วงที่เขาพักร้อน ศาลรัฐธรรมนูญได้ตัดสินให้ผลการเลือกตั้งเมื่อเดือนเมษายนเป็นโมฆะ เหตุผลก็คือ การเลือกตั้งครั้งนี้เกิดการทุจริต เช่น กล่องใส่บัตรเลือกตั้งวางหันทิศทางที่ผิดกฎ ดังนั้น คำสัญญาของทักษิณที่ว่า เขาจะ "ไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี" ก็มีอันต้องหมดความหมายไป ประกอบกับภาคเหนือเกิดน้ำท่วมใหญ่ งานพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบรอบ 60 ปีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็กำลังเข้ามาถึง เขาจึงไม่สามารถปล่อยให้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีว่างอยู่ เขาจึงจำเป็นต้องกลับมาทำงานต่อไปเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติจนถึงช่วงที่จะมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่หลังการเลือกตั้งในเดือนตุลาคม แต่ทว่า สามวันต่อมา เขาได้รับการเตือนจากนายไพโรจน์ วงศ์วิภานนท์ ซึ่งเป็นนักวิชาการที่มีชื่อเสียงของไทย ว่า "ให้ระวังถูกลอบสังหาร อย่าคิดว่าการลอบสังหารจะไม่เกิดในประเทศไทย"<br />
<br />
คำเตือนนี้ในที่สุดแล้วไม่ใช่แค่พูดการพูดลอยๆ<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
ตอนที่ 3<br />
<br />
ฝ่ายทหารก็ได้รู้ฐานะที่แท้จริงของร้อยโทธวัชชัย กลิ่นชนะ นักโทษผู้ต้องสงสัย เขาสังกัดกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) และเป็นคนขับรถของพลเอกพัลลภ ปิ่นมณี รองผู้อำนวยการ กอ.รมน. จากนั้นพลเอกพัลลภจึงถูกสอบสวน เขาบอกว่า เขาถูกใส่ร้าย คนขับรถของเขาได้ลาออกเมื่อ 3 เดือนก่อน โดยบอกว่าจะไปทำงานที่ภาคใต้ และเขาไม่ทราบข้อเท็จจริงของการกระทำที่บ้าคลั่งเช่นนี้ของลูกน้อง และหากว่าร้อยโทธวัชชัยจะสังหารทักษิณจริง "ทำไมถึงขับรถผ่านหน้าที่พักของทักษิณหลายครั้ง โดยไม่ได้จุดระเบิด" ดังนั้น "ผมเห็นว่านี่เป็นเรื่องที่ทักษิณสร้างขึ้น" โดยมีจุดประสงค์เพื่อกำจัดผม.....หากผมคิดจะฆ่าเขา ผมจะทำให้แนบเนียนกว่านี้.....อย่าลืมว่าผมเคยเป็นผู้นำหน่วยลอบสังหาร หากผมคิดจะสังหารทักษิณจริงๆ เขาอาจจะหนีไม่รอดแน่"<br />
<br />
คำพูดนี้ไม่ได้เป็นเท็จ พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี เป็นบุคคลทางทหารที่แปลกประหลาดคนหนึ่งของไทย ตอนที่เขาเพิ่งจะจบการศึกษาจากโรงเรียนนายทหาร ก็ได้เข้าร่วมในหน่วยจู่โจมลอบสังหาร และมีส่วนในการลอบสังหารนักการเมืองที่ประวัติไม่ดี เมื่อทศวรรษที่ 1980 เขาเคยเข้าร่วมการรัฐประหารที่แท้งก่อนเกิดซึ่งก่อการโดยกลุ่มยังเติร์กจนถูกจับ และหลังจากออกจากคุก เขาก็กลับมามีอำนาจอีกครั้ง และตั้งแต่ปี 2539 เขาก็ได้เข้าเข้าสู่กองทัพบกและอยู่จนเกษียณ พลเอกพัลลภมีอุปนิสัยโหดเหี้ยม เมื่อเดือนเมษายน ปี 2547 ขณะที่เขาดำรงตำแหน่งผู้ดูแลด้าน ยุทธศาสตร์การทหารในภาคใต้ เขาบัญชาการทหารอย่างสุดโต่งในการกวาดล้างกลุ่มติดอาวุธมุสลิมในมัสยึดเกรือเซะอันศักดิ์สิทธิ์ของจังหวัดปัตตานี หลังจากฝนแห่งกระสุนปืนได้ผ่านไป ปรากฏว่ามีชาวมุสลิมเสียชีวิต 32 คน เหตุการณ์นี้ในภายหลังถูกเรียกว่า "เหตุการณ์เศร้าสลดที่มัสยิดเกรือเซะ" เหตุการณ์นี้ยังถูกประณามทั้งในและนอกประเทศ เมื่อต้นปีนี้ พลเอกพัลลภอยู่ข้างพลตรีจำลอง ศรีเมืองอย่างเปิดเผย ในขบวนการ "โค่นล้มทักษิณ" ซึ่งมีอานุภาพเกรียงไกร พลเอกพัลลภกล่าวว่า "เป็นเพื่อนรักและเป็นเพื่อนนักเรียนโรงเรียนทหารมาด้วยกัน ยังไงผมต้องสนับสนุนพลตรีจำลอง (ซึ่งขับไล่ทักษิณ) แน่นอน" เขายังกล่าวอีกว่า "สถานการณ์ของไทยยังไม่นิ่ง และมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการรัฐประหาร"<br />
<br />
ขณะที่พลเอกพัลลภเรียกร้องว่าตนถูกใส่ร้ายอยู่นั้น คนจำนวนมากเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับ "แผนการสังหารนายกรัฐมนตรี" กล่าวกันว่า ตอนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งตรวจค้นบ้านของพลเอกพัลลภ ปรากฏว่าไม่พบสิ่งผิดกฎหมายใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับระเบิดดังกล่าว นายอิทธิพลซึ่งเป็นพี่ชายของผู้ต้องสงสัยพูดด้วยสีหน้าตกตะลึงว่า "นายธวัชชัยเป็นผู้ที่จงรักภักดีต่อนายกทักษิณ เขาไม่มีเจตนาที่จะสังหารทักษิณอย่างแน่นอน" ยังมีผู้สงสัยว่า หากว่า "รถวางระเบิด" เป็นเรื่องนั้นจริงๆ แล้วประชาชนที่อาศัยอยู่ใกล้ๆ ก็อาจจะชีวิตหาไม่ไปทั้งหมด โดยเฉพาะละแวกใกล้ๆ นั้นมีโรงเรียนอยู่ด้วย แต่ว่าในระหว่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ "กู้ระเบิด" ก็ไม่ได้อพยพประชาชนโดยรอบออกไป อย่างไรก็ตาม ก็ได้แจ้งสื่อมวลชนหลักให้เข้ามาทำข่าวในที่เกิดเหตุ<br />
<br />
ฝ่ายค้านก็ยิ่งทำเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องใหญ่ โดยกล่าวว่าทั้งหมดนี้ "แผนการทำลายตนเอง" ที่วางโดยทักษิณ เพื่อมุ่งเบี่ยงเบนความสนใจของผู้คน และปิดบังอำพรางการทุจริตคอร์รัปชั่นในคณะรัฐมนตรี และให้พลเอกพัลลภเป็น "แพะรับบาป" ยังมีคนกล่าวอีกว่าคะแนนนิยมในการเลือกตั้งของพรรคไทยรักไทยลดลง จึงใช้เพทุบายเก่าๆ ดั่งเช่นนายเฉิน สุยเปี่ยน ของไต้หวัน การกระทำที่เรียกร้องความสนใจจากประชาชนใน "คดีลอบยิง" ซึ่งเป็นการหลอกลวงประชาชนเพื่อให้ได้ "คะแนนเห็นใจ" สื่อของไทยบางสื่อก็สงสัยในเหตุการณ์นี้ หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษเดอะเนชั่น ได้วิจารณ์ว่า ทักษิณกล่าวว่า เมื่อ 2-3 เดือนก่อนเกิด "เหตุการณ์ลอบสังหารที่ไม่ประสบความสำเร็จ" ที่มุ่งมายังเขาหลายเหตุการณ์เพียงแต่ไม่ได้ถูกเปิดเผยออกมาเท่านั้น ปัญหานั้นได้มาถึงแล้ว หากเกิดภัยคุกคามถึงแก่ชีวิตเขาโดยที่ประชาชนไม่รู้เรื่อง ทำไมนายกรัฐมนตรีจึงเลือกที่จะให้มีการเลือกตั้งในช่วงนี้ (วันที่ 24 สิงหาคม เป็นวันที่พระราชบัญญัติที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงลงพระปรมาภิไธยมีผลบังคับใช้วันแรก) และเปิดเผยข่าวที่ละเอียดอ่อนทางการเมืองต่อประชาชน? การเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ดั่งเช่นนิยายนี้ เห็นได้ชัดว่าจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อการเมืองระบอบประชาธิปไตยและการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงในวันที่ 15 ตุลาคม<br />
<br />
มีการพูดกันบ่อยครั้งว่า เป้าหมายของเหตุการณ์ลอบสังหารที่ไม่ประสบความสำเร็จนี้ยิ่งขู่ขวัญมากขึ้น แต่ไม่ได้มุ่งเป้าทำให้คนตาย นี่เป็นเพทุบายที่เกิดอย่างต่อเนื่องในการเมืองไทย อำนาจทางการเมืองบางอย่าง ครั้งแล้วครั้งเล่าได้มาด้วยการพลิกแพลงใช้ยุทธวิธีเพื่อให้ชนะใจประชาชน พวกเขาก็จะสวมหน้ากากเป็นผู้ถูกทำร้าย หรือใส่ร้ายป้ายสีฝ่ายตรงข้าม หรือใช้วิธีที่แยบยลเพื่อให้ได้มาซึ่งเป้าหมายทั้งสองประการ ทั้งหมดนี้ทำให้เราเข้าใจแล้วว่า การสอบสวนเรื่องเช่นนี้มักจะสอบสวนเสร็จแล้วก็แล้วกันไป หนังสือพิมพ์ก็เลิกพาดหัวข่าวเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวภายในระยะเวลาอันสั้น การสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยุติลง ประชาชนก็ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เงื่อนงำของปัญหาที่ไม่ได้รับการแก้ไขก็ค่อยๆ เลือนหายไปจากความทรงจำของผู้คน<br />
<br />
วันที่ 25 สิงหาคม หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ได้ลงบทความหัวข้อ "แผนลอบวางระเบิดหรือการกุเรื่อง" โดยอ้างถึง คำพูดของอดีตผู้รับผิดชอบของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ว่า จริงๆ แล้วแผนลอบวางระเบิดทั้งหมดเป็นฝีมือของรัฐบาลทักษิณซึ่งกำลังอยู่ในช่วงวิกฤต ต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของประชาชน ยิ่งกว่านั้น ทักษิณสามารถประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินได้ ยังมีหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งซึ่งขี้นหัวข้อข่าวสะเทือนขวัญว่า "ทักษิณใช้เงิน 20 ล้านจงใจสร้างปาหี่ทางการเมือง" 1 สัปดาห์ต่อมา มหาวิทยาลัยกรุงเทพได้ทำการสำรวจความคิดเห็นประชาชน โดยประชาชนถึงร้อยละ 49.8 ไม่เชื่อว่านี่เป็นแผนลอบวางระเบิดนายกรัฐมนตรี และมีเพียงร้อยละ 20.5 ที่เชื่อว่านี่เป็นแผนลอบสังหาร<br />
<br />
ความน่าเชื่อถือของนายกรัฐมนตรีตกต่ำลงด้วยเหตุนี้ และทำให้ผู้คนรู้สึกเสียใจ หนึ่งปีครึ่งต่อมา ทักษิณยังได้รับการสนับสนุนจากประชาชนให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อ แต่เพียง 2-3 เดือนต่อมา เขาก็ถูกมองว่าเป็นคนหลอกลวง เป็นนักวางแผน และเป็นนักการเมืองที่ต่ำช้า ทักษิณถูกกดดัน มีคนสงสัย และโจมตี โดยที่ประชาชนไม่สนใจว่าเขาจะเป็นจะตายอย่างไร ตามรายงานข่าว ลูกสาวของทักษิณ คือ นางสาวแพทองธาร ซึ่งกำลังเรียนอยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก็ได้รับความเดือดร้อนไปด้วย อาจารย์ซึ่งสอนวิชาการเมืองคนหนึ่งพูดต่อหน้านักศึกษาในห้องเรียนว่า "แพทองธาร เธอยังอยู่ที่นี่ไม่ยอมไปอีกเหรอ? ฉันคิดว่าเธอไสหัวไปแล้วซะอีก! พอพูดถึงพ่อเธอ ฉันก็รู้สึกขยะแขยง" แพทองธารก็โต้กลับไปว่า "ก็แล้วแต่อาจารย์จะพูด คงมีสักวันหนึ่งที่หนูพูดถึงอาจารย์ หนูก็คงจะรู้สึกขยะแขยงเหมือนกัน" เมื่อเรื่องนี้ไปถึงหูทักษิณ เขาก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เขากล่าวว่า คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดของไทย "เอาความแตกต่างทางความคิดทางการเมืองมาโจมตีคนในครอบครัวของนักการเมืองได้อย่างไรกัน!"<br />
<br />
เข้าของวันที่ 28 สิงหาคม เจ้าหน้าที่ตำรวจพบวัตถุต้องสงสัยอีกครั้ง บริเวณที่ใกล้กับที่พักของทักษิณ สืบทราบว่า ชายคนหนึ่งขณะกำลังไปส่งน้ำแข็งให้กับโรงแรมที่อยู่ใกล้ๆ ก็พบวัตถุต้องสงสัยซึ่งมีลักษณะเป็นห่ออยู่ริมถนน จึงรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตำรวจพบว่า ภายในห่อดังกล่าวมีนาฬิกาปลุก 1 เรือน อิฐ 1 ก้อน สายไฟและถ่านเก่าที่ไม่ได้ใช้แล้วจำนวนหนึ่ง รวมถึงกระดาษที่เขียนด้วยลายมือว่าต้องการทำร้ายทักษิณ นี่ก็เป็นพฤติกรรมข่มขวัญอีกครั้งหนึ่ง เจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าวว่า "เป็นการสร้างสถานการณ์ เพื่อต้องการให้บ้านเมืองวุ่นวาย" ต่อมาวันที่ 4 กันยายน ตำรวจก็ออกหมายจับนายทหารจำนวน 4 นาย ในข้อหามีส่วนพัวพันกับแผนการลอบสังหารนายกรัฐนตรี นายทหารทั้ง 4 นายนี้เป็นทหารประจำการ โดยมียศเป็นพลตรี 1 นาย พันเอก 1 นาย พันโท 1 นาย และนายทหาร 1 นาย สามวันต่อมา นายทหารผู้ต้องสงสัย 3 นายถูกจับ แต่ทั้งสามนายก็ให้การปฏิเสธว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนการดังกล่าว<br />
<br />
มีข่าวลือว่า เป็นเวลานานมาแล้วเมื่อทักษิณประสบกับเหตุการณ์ที่ไม่ดี ก็มักจะให้นักโหราศาสตร์ทำนายดวงชะตาให้ ครั้งนี้ก็เหมือนกัน เขาประสบกับเหตุการณ์ร้ายที่เอาชีวิตรอดมาได้ เขาจึงหวาดระแวงและรู้สึกว่ากรุงเทพฯ เป็นที่สถานที่ที่อันตรายอย่างมาก เล่ากันว่า หมอดูได้แนะนำทักษิณให้เปลี่ยนที่อยู่ "เดินทางไปต่างจังหวัดเป็นการชั่วคราว" แม้ว่าทักษิณไม่ได้พิสูจน์ว่าคำพูดนี้เป็นจริง แต่เขาก็รีบย้ายออกจากกรุงเทพฯ ไปต่างจังหวัดอย่างรวดเร็ว ต่อมาวันที่ 9 กันยายน เขาเดินทางโดยเครื่องบินพิเศษ "ไทยคู่ฟ้า" เดินทางเยือนประเทศฟินแลนด์ จากนั้นเดินทางต่อไปยังสหรัฐอเมริกา เพื่อเข้าร่วมการประชุมสหประชาชาติครั้งที่ 61 ซึ่งจัดขึ้นที่ มหานครนิวยอร์ค ในวันที่ 12 กันยายน<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
ตอนที่ 4<br />
<br />
ตอนนี้ทักษิณสามารถนอนหลับอย่างสบายใจในมหานครนิวยอร์กซึ่งเป็นที่ที่ปลอดภัย ผู้นำรัฐบาลและประมุขประเทศต่างๆ กว่า 80 ประเทศมารวมตัวกันที่การประชุมนี้ เจ้าหน้าที่ข่าวกรองของสหรัฐต่างปฏิบัติงานอย่างเต็มที่ มีการวางกำลังรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนาตามโรงแรมที่พักของคณะผู้แทนจากประเทศต่างๆ ไม่มีแม้กระทั่งการเดินขบวนต่อต้านรัฐบาล เขามีจิตใจแจ่มใสและปลอดโปร่ง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ภายในประเทศไทยยังคงวุ่นวาย ใน ระหว่างการเยือนของเขา คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า จะเลื่อน การเลือกตั้งจากเดิมที่กำหนดไว้วันที่ 15 ตุลาคม อาจจะเลื่อนเป็นวันที่ 19 หรือ 26 พฤศจิกายน ก่อนหน้านี้ สมาชิกในคณะกรรมการการเลือกตั้ง 3 คน ถูกศาลอาญาตัดสินว่าความผิดฐานมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตเลือกตั้งเมื่อเดือนเมษายน โดยเอื้อประโยชน์ให้กับผู้สมัครรับเลือกตั้งพรรคไทยรักไทย ซึ่งถือเป็นการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง กรรมการฯ ทั้ง 3 คนถูกปลดออกจากตำแหน่งและถูกจำคุก 4 ปี สภาผู้แทนราษฎรจึงต้องจัดการเลือกตั้งคณะกรรมการการเลือกตั้งอีกครั้ง ด้วยเหตุนี้ การเลือกตั้งที่เดิมกำหนดไว้เดือนตุลาคม จึงต้องเลื่อนออกไป นี่ไม่ใช่ข่าวดี ทักษิณรู้อยู่แก่ใจ ความจริง การจัดการเลือกตั้งเดือนกันยายนจะสามารถจัดได้หรือไม่นั้น ก็ไม่มีใครคาดคะเนได้ ในระยะนี้เขามีความรู้สึกไม่ค่อยดีอยู่ตลอดเวลา สมองอันเหน็ดเหนื่อย แต่ก็มีสติอยู่ทุกวินาที ครุ่นคิดหาทางรับมืออยู่ตลอด ก้าวต่อไปจะทำอย่างไรดี? จะเข้าหรือออก? ออกแล้วจะเป็นยังไง? เข้าแล้วจะเป็นยังไง?<br />
<br />
การที่พรรคไทยรักไทยจะชนะการเลือกตั้งอีกครั้ง ไม่มีเรื่องที่น่าเป็นห่วงเท่าใดนัก เรื่องนี้แม้กระทั่งฝ่ายค้านย่อมรู้ดี เนื่องจาก ไม่ว่าปัญญาชนระดับหัวกะทิในกรุงเทพฯ จะรุมโจมตีแค่ไหน แต่ทักษิณและพรรคไทยรักไทยยังมีฐานเสียงจากชนชั้นรากหญ้าในต่างจังหวัดเป็นจำนวนมหาศาล เรียกได้ว่า "ร้องตะโกนหนึ่งครั้ง มีเสียงตอบรับเป็นร้อย" แม้ว่าการเลือกตั้งในเดือนเมษายนจะเป็นโมฆะ และรัฐบาลทักษิณมีข่าวไม่ดีออกมาไม่เว้นแต่ละวันก็ตาม พรรคไทยรักไทยก็ยังคงชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงถึงร้อยละ 57 ประเด็นก็ย้อนกลับไปเหมือนกับที่ผ่านมาก็คือ เพียงแค่พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้ง ไม่ว่าทักษิณจะขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ย่อมต้องส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ทางการเมืองไม่มากก็น้อยเป็นแน่ ยิ่งกว่านั้น ก่อนหน้านี้ 1 เดือน มีข่าวออกมว่า ทักษิณละจุดยืนเดิมที่จะ "จะไม่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี" และจะนำพรรคไทยรักไทยให้ชนะการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎร และพร้อมดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ข่าวนี้ทำให้ฝ่ายค้านที่ต้องการ "ขุดรากถอนโคน" รัฐบาลทักษิณถึงกับนั่งอย่างไม่เป็นสุข<br />
<br />
ตอนบ่ายของวันที่ 18 กันยายน ในระหว่างที่ทักษิณกำลังกล่าวสุนทรพจน์ที่คณะกรรมการความสัมพันธ์กับต่างประเทศ (Council on Foreign Relations) ของสหรัฐอเมริกาอยู่นั้น มีคนถามคำถามว่า ทำไมคุณถึงไม่ตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง? มันสร้างความวุ่นวายและยุ่งเหยิง เราอยากทราบเหตุผลที่คุณตัดสินใจช้าเช่นนี้?<br />
<br />
ทักษิณตอบว่า<br />
<br />
ผมไม่ได้ตัดสิน เพราะผมเองก็ยังสับสน (ผู้ฟังหัวเราะ) บางครั้งผมรู้สึกว่าผมควรเสียสละ ฝ่ายค้านรู้ว่าพวกเขาไม่มีทางเอาชนะผม เพราะพลังประชาชนเข้มแข็งมาก เรายังคงได้รับการสนับสนุนจากประชาชนอย่างเหนียวแน่น แต่ว่า ยังมีคนที่ไม่มีความสุขที่เห็นรัฐบาลของผม อย่างเช่น นักธุรกิจจำนวนหนึ่งที่เสียผลประโยชน์จากการปฏิรูป ผู้อยู่เบื้องหลังการค้าเสพติดและหวยเถื่อน รวมถึงเจ้าพ่อวงการสื่อมวลชน พวกเขารวมกลุ่มกันเพื่อให้ผมลงจากตำแหน่ง หากว่าผมยอม ก็เท่ากับว่า ผมยอมก้มหัวให้กับคนที่เสียผลประโยชน์แล้วลุกขึ้นมาต่อต้านผม ดังนั้น ตอนนี้ผมได้แต่พูดอย่างชัดเจนว่า ขณะนี้ผมก็ยังเป็นผู้ลงสมัครเลือกตั้งของพรรคไทยรักไทย ยังคงเป็นหัวหน้าพรรคไทยรักไทยต่อไป และจะนำพรรคไทยรักไทยเข้าสู่สนามเลือกตั้งในฐานะผู้นำพรรคการเมือง แต่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ผมกำลังคิดอยู่ เพราะตอนนี้ผมสับสนมาก ผมอาจจะให้คำตอบที่ชัดเจนได้ในวันที่กำหนดวันเลือกตั้ง<br />
<br />
นี่ไม่ใช่คำพูดแบบขอไปทีของนักวางกลยุทธ ตอนนี้ทักษิณยังไม่ได้ตัดสินใจ บางที่อาจจะจริง บางครั้งอำนาจก็เหมือนกับปีศาจเมดูซ่าในเทพนิยายกรีก ไม่ว่าใครก็ตามที่สบตากับดวงตาที่สวยงามคู่นั้นของเมดูซ่า ก็จะกลายเป็นหินทันที เนื่องจากหากเคยชิมรสชาติของการเป็นนักปกครอง หรือผู้บัญชาการ ซึ่งกำหนดชะตาชีวิตของผู้คนเป็นล้านเป็นสิบล้านคนมาก่อน ก็ยากที่จะต้านทานแรงดึงดูดของอำนาจได้ ในหน้าประวัติศาสตร์ของโลก ผู้นำทางการเมืองที่ไม่ได้ถูกบีบให้อยู่ในภาวะจำยอม แต่ยอมละทิ้งอำนาจด้วยความสมัครใจ มีจำนวนน้อยมาก สำหรับทักษิณ เขายืนยันมาโดยตลอดว่าเขาไม่ผิด "ไม่เคยทำเรื่องใดๆ ที่เป็นการทำลายประเทศชาติ" สำหรับ "เรื่องการขายหุ้น" ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์มากนั้น เขาได้กล่าวในสุนทรพจน์นี้ว่า<br />
<br />
พวกเขาโจมตีว่าผมหลีกเลี่ยงภาษี คนจำนวนหนึ่งกล่าวว่า "คุณขายก๋วยเตี๋ยว ยังต้องเสียภาษีเลย ขายบริษัทกลับไม่เสียภาษีเหรอ?" แต่ว่า การขายก๋วยเตี๋ยว สิ่งที่คุณขายก็คือ สินค้าซึ่งจะต้องจ่ายภาษี แต่กฎหมายกำหนดไว้ว่า ทรัพย์สินและกำไรที่ได้จากการขายหุ้นไม่ต้องเสียภาษี สำหรับเรื่องนี้ ผมเคยเสนอให้มีการอภิปรายอย่างเปิดเผยในที่ประชุมรัฐสภา แต่ฝ่ายค้านไม่ตกลง พวกเขาบอกว่าไม่มีประโยชน์ ดังนั้น ผมจึงทำได้แต่เพียงยุบสภา เพื่อให้ประชาชนติดสินว่าผมควรจะอยู่ในตำแหน่งนี้ต่อไปหรือไม่ ในความเป็นจริง การขายหุ้นครั้งนี้ได้สร้างคุณประโยชน์ทางเศรษฐกิจต่อประเทศชาติ เงินเกือบ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไหลเข้าประเทศไทย ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นกว่าเดิม<br />
<br />
ทักษิณยังกล่าวอีกว่า<br />
<br />
กระบวนการเลือกตั้งในระบบประชาธิปไตยที่มีอิสระเสรีและความยุติธรรมไม่ควรถูกปฏิเสธเพียงเพราะมีคนจำนวนหนึ่งไม่ชอบผลการเลือกตั้ง เมื่อประชาชนได้แสดงเสียงโดยผ่านการเลือกตั้ง ความตั้งใจของประชาชนก็ควรได้รับความเคารพ ไม่ใช่ได้รับความเสียหายจากการชุมนุมประท้วงบนท้องถนน<br />
<br />
ประชาธิปไตยที่สุกงอมจะจะต้องพึ่งพาการสร้างสรรค์และการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประชาชน สมาชิกในสังคมทุกหมู่เหล่าสามารถยอมรับและเคารพกฎและเกมส์ของประชาธิปไตย .....วันนี้ปัญหาพื้นฐานที่สังคมเอเชียประสบอยู่ก็คือ พลังอำนาจของการคัดค้านประชาธิปไตยที่ยังคงรวมตัวกัน พวกเขาเรียนรู้ที่จะใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนของประชาธิปไตย ซึ่งความจริงก็คือ ความโอบอ้อมอารีของประชาธิปไตย พวกเขาใช้อำนาจโจมตีระบอบของเรา<br />
<br />
เห็นได้ชัดว่า นี่ทำให้ผู้ที่ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลในกรุงเทพฯ แสดงความไม่พอใจ และทำให้ผลเลือกตั้งเมื่อเดือนเมษายนที่พรรคไทยรักเป็นผู้ชนะต้องเป็นโมฆะ มีคนถามว่า อำนาจที่ทำให้ผลการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาไม่เป็นที่ยอมรับนั้น จะยอมรับการเลือกตั้งครั้งนี้ที่กำลังจะมาถึงได้หรือไม่? สถานการณ์ทางการเมืองของไทยจะมั่นคงขึ้นเมื่อไร?<br />
<br />
ทักษิณตอบว่า<br />
<br />
ฝ่ายค้านไม่มีอำนาจยับยั้งการเลือกตั้งเมื่อเดือนเมษายน สาเหตุที่พวกเขาทำเช่นนี้เพราะว่า กลัวว่าจะพ่ายแพ้การเลือกตั้ง แต่ว่าครั้งนี้ พรรคฝ่ายค้านได้กล่าวว่า พวกเขาจะเข้าร่วมลงเลือกตั้ง หากทุกพรรคลงเลือกตั้ง ก็ไม่มีปัญหา รัฐบาลใหม่ที่ได้จากการเลือกตั้งก็จะเริ่มทำงานก่อนขึ้นปีใหม่ ผมคิดว่า ภายใน 3 เดือน สถานการณ์ของประเทศไทยจะกลับมาเป็นปกติ<br />
<br />
3 เดือน สถานการณ์ทางการเมืองก็จะกลับมาเป็นปกติ การเลือกตั้งจะพิสูจน์ให้เห็นความจริงโดยเร็ววัน! การฟันธงเช่นนี้ผิดพลาดอย่างมหันต์ ทักษิณไม่เพียงตัดสินสถานการณ์ภายในประเทศผิดพลาด แต่ยังไม่รู้ว่าตนกำลังตกอยู่ในภาวะอันตราย เปรียบเหมือนสัตว์ที่เข้าสู่บ่วงแล้ว แต่มันกลับเอ้อระเหยลอยชาย<br />
<br />
เมื่อกล่าวสุนทรพจน์จบ ทักษิณก็กลับเข้าโรงแรมที่พัก มีผู้เห็นว่า การกล่าวสุนทรพจน์ของทักษิณในหัวข้อ "อนาคตประชาธิปไตยของไทย" ที่ที่ประชุมคณะกรรมการความสัมพันธ์กับต่างประเทศ มีจุดประสงค์เพื่อแสวงหาแรงสนับสนุนจากแวดวงการศึกษาและสื่อมวลชน เนื่องจากคณะกรรมการความสัมพันธ์กับต่างประเทศเป็นหนึ่งใน Think Tank ที่มีอิทธิพลต่อรัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ว่าพรรคการเมืองใดเข้ามาควบคุมอำนาจก็ตาม ในคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลที่ผ่านๆ มา รวมทั้งประธานาธิบดีต่างก็มีสมาชิกของคณะกรรมการนี้อยู่ด้วยส่วนหนึ่ง ทำให้คณะกรรมการนี้อยู่เหนือการสับเปลี่ยนหมุนเวียนของพรรคการเมือง และกลายเป็น "องค์กรเหล็ก" ของรัฐบาลสหรัฐฯ การกล่าวสุนทรพจน์ที่จัดขึ้นครั้งนี้ซึ่งมีนาย Maurice R. Greenberg รองประธานกิตติมศักดิ์ของคณะกรรมการเป็นประธานจัดงาน ประสบผลสำเร็จด้วยดี เวลาผ่านไป 1 ชั่วโมง บรรยากาศในที่ ประชุมเต็มไปด้วยความยินดีปรีดา แต่ทักษิณจิตใจยังฟุ้งซ่าน<br />
<br />
เวลา 2 ทุ่ม ทักษิณนั่งอยู่หน้าที่โต๊ะทำงาน เขาเปิดการประชุม teleconference กับคณะรัฐมนตรีที่กรุงเทพฯ ซึ่งการเลือกตั้งกำลังจะมาถึง และบรรยากาศของการเมืองภายใน ประเทศอยู่ในภาวะตึงเครียด มีข่าวออกมาว่า วันที่ 20 กันยายน ฝ่ายค้านจำนวน 1 แสนคนจะรวมตัวกันเดินขบวน "ล้มทักษิณ" เจ้าหน้าที่ตำรวจก็เตรียมพร้อมเหตุการณ์ความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นได้<br />
<br />
เวลาเที่ยงคืน การประชุมสิ้นสุดลง ทักษิณก็นอนหลับพักผ่อน ตามกำหนดการแล้ว เขาจะต้องตื่น 7 โมงเช้า และ 8 โมงเช้า รถก็จะมุ่งหน้าไปยังที่ประชุมสหประชาชาติซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรม ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน เป็นต้นมา การประชุมสหประชาชาติครั้งที่ 61 ก็เริ่มต้นขึ้นด้วยการกล่าวสุนทรพจน์ และอภิปรายตามปกติ วันนั้นประธานาธิบดีบุช และประธานาธิบดีของอิหร่านจะขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ด้วย คนจำนวนไม่น้อยที่รอดูเกมส์ที่น่าสนุกของสองผู้นำซึ่งจะขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในวันเดียวกัน ทักษิณก็มีกำหนดการขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในวันที่ 20 กันยายน ในหัวข้อ "ประธิปไตยของไทย"<br />
<br />
เวลาตีห้าของวันรุ่งขึ้น ทักษิณกำลังอยู่ในภวังค์ ความคุ้นเคยในชีวิตประจำวันของเขาในหลายปีที่ผ่านมาก็คือ การไม่นอนดึก ไม่ว่าจะยุ่งแค่ไหนก็ตาม เขาจะพยายามเข้านอนก่อนเที่ยงคืน อย่างน้อยต้องนอน 5 ถึง 6 ชั่วโมง ตื่นมาตอนเช้า ปกติก็จะต้องออกกำลังกายสักพัก เขาชอบว่ายน้ำ มีเพียงการปฏิบัติเช่นนี้ เขาจึงมีแรงต่อสู้มาอย่างยาวนาน ไม่ถูกแรงกดดันอันหนักหน่วงมาโจมตีได้<br />
<br />
โทรศัพท์มือถือดังขึ้น<br />
<br />
“ตู้ด ๆ ๆ ๆ” เสียงโทรศัพท์ทำให้เขาตื่นขึ้น<br />
<br />
ใครโทรมาแต่เช้า รบกวนการนอนหลับของเขานะ?<br />
<br />
"ฮัลโหล?"<br />
<br />
"ฉันเอง" เสียงที่เขาได้ยิน คือ เสียงที่คุ้นเคยของภรรยา "พวกเขาอาจจะก่อรัฐประหาร"<br />
<br />
พวกเขาเป็นใครกัน?<br />
<br />
คำบอกเล่าของทักษิณ<br />
<br />
หลังจากที่รับโทรศัพท์จากภรรยาแล้ว ผมก็รู้สึกตกใจ ก่อนที่ผมจะไปประชุมที่นิวยอร์ก ก็มีลางสังหรณ์ ผมจึงให้เพื่อนรัฐมนตรีคอยจับตาดูการเคลื่อนไหวของพวกเขา แต่พวกเขาใช้วิธีอื่นหลอกพวกเรา พวกเขาตั้งใจและตระเตรียมการมาเป็นอย่างดี ผมวางใจง่ายไปหน่อย ไม่ใช่ว่าผมมั่นใจเกินไป แต่เป็นเพราะผมคิดว่า คนที่ตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์ไม่น่าทำเรื่องเช่นนี้ นี่มันศตวรรษที่ 21 แล้วนะ ยุคสมัยที่อาศัยอาวุธยึดอำนาจมันหมดไปแล้ว ผมคิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะทำเช่นนี้ นึกไม่ถึงว่าจะกล้าเช่นนี้.<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
คำบรรยายใต้ภาพ..<br />
(1) ภาพหน้า 2 (หลังเกิดการรัฐประหาร รถถังก็ออกมาตรึงอยู่บนถนน)<br />
(21) ภาพหน้า 21 วันที่ 3 เมษายน 2549 ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย กำลังให้ สัมภาษณ์นักข่าว ณ ที่ทำการพรรค เขาปฏิเสธที่จะลาออก เขากล่าวว่า "ผมจะรับข้อเสนอใดๆ ที่ทำให้ประชาชนในชาติปรองดองกัน" เพื่อ หยุดยั้งวิกฤตทางการเมืองที่ดำเนินมาเกือบ 2 เดือน<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
ที่มา: http://oldforum.serithai.net/index.php?topic=15812.0;wap2<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<font color="#FF0000">@ คลิกลิ้งค์นี้..</font> <a href="https://konthaiuk.wordpress.com/thai-democracy/หนังสือหายาก-ทักษิณ-24-ชม-ฉ/" target="_blank"><span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: large;">หนังสือหายาก "24 ชั่วโมงของทักษิณ" (ฉบับแปล) 164 หน้า</span></a><br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<font color="#FF0000">@ คลิกลิ้งค์นี้..</font> <a href="http://northernfoodd.blogspot.com/2017/09/blog-post.html" target="_blank"><span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: large;">รออีกแป๊บนุงนะคะ..</span></a><br />
<br />
* * * * *<br />
somphonghttp://www.blogger.com/profile/07203143908234315462noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6143190172184203950.post-80274577401043829232017-09-17T11:03:00.002+07:002017-11-01T21:21:33.260+07:00ทวงถามเงินบำเหน็จชราภาพที่สำนักงานประกันสังคมจ่ายไม่ครบ<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.picz.in.th/images/2017/09/17/tkk01.jpg" /></center><br />
<span style="color: #3333ff; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;"><strong>ทวงถามเงินบำเหน็จชราภาพ<br />
ที่สำนักงานประกันสังคมจ่ายไม่ครบ</strong></span><br />
<br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: large;">"..ตอนจะเอาใช้กฎหมายบังคับเอาไปทันที พอตอนจ่ายคืนต้องอุทธรณ์อยู่หลายปีกว่าจะได้ครบ .. เงินสองพันกว่าๆแค่รายเดียวมองเผินๆมันน้อยนิดก็จริง ถ้าเป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้านรายละ เงินมันมหาศาลแค่ไหน? คิดซิ..คิดซิ!!.."</span><br />
<br />
"เจ๊ส้มลิ้ม"ได้เกษียณ 2 ครั้งนะคะ<br />
<br />
ระยะเวลาที่"เจ๊ส้มลิ้ม"ทำงานกับ"บูติคแฟคตอรี่" ตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม พ.ศ.2522 ถึง วันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ.2559 รวมทั้งหมด 37 ปีเต็มๆค่ะ<br />
<br />
*เกษียณครั้งแรก วันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2556 เกษียณอายุ 55 ปี ตาม พ.ร.บ.ประกันสังคม ตำแหน่งก่อนเกษียณ"เจ๊ส้มลิ้ม"อยู่ที่"แผนกแพทเทริน"ค่ะ<br />
<br />
"บูติคแฟคตอรี่" มอบของขวัญ "สลากออมสินพิเศษ" มูลค่า 2,000.00 บาท ให้"เจ๊ส้มลิ้ม"ด้วยค่ะ<br />
<br />
และ "ประกันสังคม" *ข้อความ((ในวงเล็บ))ต่อไปนี้ โปรดสังเกตปี พ.ศ.นะคะ..<br />
<br />
((... หลังจาก"เจ๊ส้มลิ้ม"ติดต่อทำเรื่องเกษียณแล้ว วันที่ 18 เมษายน 2556 และวันที่ 5 มิถุนายน 2556 "ประกันสังคม" อนุมัติจ่ายเงินสะสม+ผลประโยชน์ตอบแทนทั้งหมด 136,295.24 บาท ซึ่งมันน้อยกว่าที่"เจ๊ส้มลิ้ม"คำนวณไว้ (เก่งกว่าเจ้าหน้าที่อีกค่ะ..หุหุ)<br />
<br />
"เจ๊ส้มลิ้ม"จึงอุทธรณ์ครั้งแรก เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2556 และได้รับอนุมัติให้จ่ายเงินสะสม+ผลประโยชน์ตอบแทนครบ 148,854.92 บาท เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2558 (ที่ รง ๐๖๒๖/ปย ๑๓๓๗ ลงวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ผู้ลงนาม นางณัฐธิกานต์ เดชอุปการ)<br />
<br />
แต่ "เจ๊ส้มลิ้ม"คำนวณเอง ว่าจะได้รับเงินสะสม+ผลประโยชน์ตอบแทนรวมทั้งหมด 151,320.40 บาท จึงอุทธรณ์ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2558 ว่าทาง"ประกันสังคม"จ่ายเงินไม่ครบยังขาดอีก 2,465.48 บาท<br />
<br />
"เจ๊ส้มลิ้ม"ยื่นอุทธรณ์ทั้ง 2 ครั้งที่สำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 10 เขตมีนบุรี<br />
<br />
น.ส.สุนันทา นาคดี นักวิชาการแรงงานชำนาญการ เป็นผู้รับแบบอุทธรณ์ทั้ง 2 ครั้งค่ะ<br />
<br />
วิธีคำนวณของ"เจ๊ส้มลิ้ม" กรุณาดูคำอุทธรณ์ 1/2 และ 2/2 ที่แนบมาพร้อมกับบทความนี้นะคะ<br />
<br />
แต่จนถึงป่านนี้(วันที่ 13 กันยายน 2560) "เจ๊ส้มลิ้ม"ยังไม่ได้รับอนุมัติให้จ่ายเงินที่ยังค้างจ่ายตามที่อุทธรณ์ครั้งที่ 2 ไว้นะคะ ...))<br />
<br />
หนึ่งเดือนให้หลัง ต่อมา วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ.2556 "บูติคแฟคตอรี่"ก็เรียก"เจ๊ส้มลิ้ม"กลับเข้าทำงานตำแหน่งเดิมอีกครั้ง<br />
<br />
*เกษียณครั้งที่สอง วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ.2559 เกษียณอายุ 58 ปี ตำแหน่งก่อนเกษียณ"เจ๊ส้มลิ้ม"อยู่ที่"แผนกตรวจสอบคุณภาพ" หรือ QC ค่ะ<br />
<br />
เกษียณครั้งนี้ "บูติคแฟคตอรี่" ได้จ่ายเงินชดเชยให้"เจ๊ส้มลิ้ม" 114,000.00 บาท<br />
<br />
และ"ประกันสังคม"จ่ายเงินสะสม+ผลประโยชน์ตอบแทนให้"เจ๊ส้มลิ้ม" 36,138.59 บาท เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2560<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.picz.in.th/images/2017/09/17/tkk02.jpg" /></center><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.picz.in.th/images/2017/09/17/tkk03.jpg" /></center><br />
* * * * *<br />
<br />
ที่ รง ๐๖๒๖/ปย ๑๓๓๗ ลว.22พ.ค.58 นางณัฐธิกานต์ เดชอุปการ<br />
เงินสมทบกรณีชราภาพ 114,757.02 บาท<br />
ผลประโยชน์ตอบแทน 34,097.90 บาท<br />
รวมเป็นเงินบำเหน็จชราภาพ 148,854.92 บาท<br />
<br />
น่าจะเป็น<br />
--- เงินสมทบกรณีชราภาพ 114,757.02 บาท<br />
--- ผลประโยชน์ตอบแทน 36,563.38 บาท<br />
--- รวมเป็นเงินบำเหน็จชราภาพ 151,320.40 บาท<br />
<br />
--- ขาดอีก (151,320.40 - 148,854.92) 2,465.48 บาท<br />
<br />
จ่ายครบแล้วจ้า เช็คธนาคารกรุงไทย ลงวันที่ 1/11/2560 จำนวนเงิน 2,465.48 บาท<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.picz.in.th/images/2017/11/01/IMG_20171101_1150-570.jpg" /></center><br />
* * * * *<br />
<br />
<font color="#FF0000"><span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: large;">@ ลูกจ้างทุกคนโปรดทราบ</span></font> <a href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=2007112652636080&set=a.433956156618412.116381.100000120933242&type=3&theater" target="_blank">(คลิกที่นี่..)</a><br />
"..ประกาศใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2560 ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2560 เป็นต้นไป .. ลูกจ้างเกษียณอายุถือเป็นการเลิกจ้าง นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยตามที่กฎหมายกำหนด.."<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.picz.in.th/images/2017/09/15/sll011.jpg" /></center><br />
<span style="color: #3333ff; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;"><strong>"เกร็ดชีวิตเล็กๆของ"เจ๊ส้มลิ้ม"จ้า!!"</strong></span><br />
<br />
วันนี้อารมณ์ดี มา..จะเล่าเกร็ดชีวิตเล็กๆของ"เจ๊ส้มลิ้ม"ให้อ่านกัน!!<br />
<br />
@ "ชีวิตในวัยเด็ก"<br />
<br />
"เจ๊ส้มลิ้ม"บ้านเกิดอยู่ที่ดอนกระเบื้องตำบลพงสวายจังหวัดราชบุรีโน่น พ.ศ.2501 เป็นปีเกิดค่ะ<br />
<br />
ตอนเด็กๆ"เจ๊ส้มลิ้ม"น่ารักนะคะ ใครเห็นก็ทักใครเห็นก็ชมว่าหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา จนกระทั่งคำว่า"จิ้มลิ้ม"เกือบจะกลายเป็นชื่อของ"เจ๊ส้มลิ้ม"ไปแล้วค่ะ<br />
<br />
ถ้าไม่เผอิญช่วงเวลานั้นมีคุณนาย"ส้มลิ้ม"เศรษฐีนีผู้ใจบุญสุนทานกำลังโด่งดังขจรขจรขจายถึงความมั่งคั่งและความใจบุญสุนทาน คุณยายของ"เจ๊ส้มลิ้ม"ได้ช่องจึงตั้งชื่อตามว่า"ส้มลิ้ม"ไงคะ เพราะอยากให้หลานสาวคนนี้เติบใหญ่เป็นเศรษฐีนีกับเขาบ้าง..อิอิ<br />
<br />
ปัจจุบัน"เจ๊ส้มลิ้ม"เป็นได้แค่ "เศษ"ฐ๊นี เท่านั้นค่ะ 555<br />
<br />
ชีวิตในวัยเด็ก"เจ๊ส้มลิ้ม"ก็เหมือนๆคนบ้านนอกทั่วๆไปล่ะค่ะ ตื่นเช้าก็เข้าครัวหุงข้าวทำกับข้าวกับปลาแล้วก็หอบหนังสือไปโรงเรียน กลับจากโรงเรียนก็เข้าครัวอีกแหละ<br />
<br />
พ่อแม่"เจ๊ส้มลิ้ม"เป็นชาวนาค่ะ ทำนาปลูกข้าวสองคนตายาย ออกบ้านแต่เช้ามืดเย็นย่ำค่ำลงถึงจะกลับถึงบ้าน ตอนนั้น"เจ๊ส้มลิ้ม"ไม่มีสมาธิจะเรียนแล้ว ร่ำๆจะลาออกกลางคันเพราะสงสารพ่อแม่ที่ต้องทำงานหนัก แต่ท่านทั้งสองห้ามไว้ค่ะ<br />
<br />
จนกระทั่งเรียนจบ"เจ๊ส้มลิ้ม"ก็ออกมาช่วยพ่อแม่ทำนาค่ะ หลีกทางให้พี่ชายได้เรียนต่อชั้นมัธยม ด้วยข้ออ้างพี่เป็นผู้ชายจะต้องเรียนให้สูงๆจะได้เป็นหลักครอบครัวของเราค่ะ<br />
<br />
"เจ๊ส้มลิ้ม"ก็อ้างๆไปยังงั้นแหละ แต่ความจริงเป็นเพราะ"เจ๊ส้มลิ้ม"สงสารพ่อแม่ที่ต้องทำงานหนักมากกว่าค่ะ<br />
<br />
เมื่อเติบโตเป็นสาวรุ่นๆ"เจ๊ส้มลิ้ม"มีเพื่อนเยอะค่ะทั้งชายหญิง ก็เพื่อนๆร่วมรุ่นที่เรียนหนังสือโรงเรียนวัดมาด้วยกันไงล่ะคะ เพื่อนบางคนที่พ่อแม่มีอันจะกินก็เข้าไปเรียนต่อชั้นมัธยมในเมืองกัน ก็เกือบจะทุกคนแหละค่ะที่ได้เรียนต่อ ยกเว้น"เจ๊ส้มลิ้ม"คนเดียวที่ก้มๆเงยๆทำนาปลูกข้าวกลางทุ่งกลางนาอยู่งกๆ<br />
<br />
"เจ๊ส้มลิ้ม"ช่วยพ่อแม่ทำนาอยู่หลายปีค่ะ ก็ทุลักทุเลลุ่มๆดอนๆไปตามจังหวะชีวิตแหละค่ะ ไม่ก้าวหน้าไปไหนมีแต่ถอยหลังลงคลองไปเรื่อยๆ<br />
<br />
หันไปมองเพื่อนๆที่ก้าวหน้าไปคนแล้วคนเล่า แล้วก็หันกลับมามองตัวเอง น่าสังเวชเกิ้น.. ตอนนั้น"เจ๊ส้มลิ้ม"รู้สึกเบื่อๆกับชีวิตเช้าก็ทำนาเย็นก็ทำนามืดก็ทำนา ทำนา ทำนา ทำนา อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เบื่อ เบื่อๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ค่ะ<br />
<br />
แล้วก็เหมือนฟ้ามาโปรด ก็ให้เผอิญมีพี่ข้างบ้านไปเรียนจบวิชาตัดเย็บเสื้อมาจากกรุงเทพฯเปิดร้านอยู่หน้าตลาดในตัวเมืองราชบุรี "เจ๊ส้มลิ้ม"จึงตัดสินใจเลิกทำนาไปเรียนตัดเย็บเสื้อผ้ากับพี่เค้าซึ่งพ่อแม่ก็เห็นดีเห็นชอบอนุญาตให้ไปเรียนได้ค่ะ<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
@ "เข้ากรุงเทพฯหางานทำจ้า"<br />
<br />
หลังจากฝึกปรือวิทยายุทธวิชาตัดเย็บเสื้อผ้าจนเก่งพอตัวพอจะบินเดี่ยวได้แล้ว ตอนนั้นพ่อแม่ซื้อจักรเย็บผ้ายี่ห้อซิงเกอร์ให้ 1 คัน "เจ๊ส้มลิ้ม" ก็รับจ้างตัดเย็บเสื้อผ้าให้คนแถวๆบ้าน วันนึงก็ได้หลายตังค์อยู่<br />
<br />
นึกแล้วขำ.. เรียนมาแทบตายต้องมาเย็บชายผ้าขะม้าต่อผ้าถุงปะตูดตัดขาต่อขาทั้งกางเกงขาสั้นขายาว โอ้ย..สารพัดงานที่เขาจ้าง แต่ไม่มีใครสักคนกล้าให้"เจ๊ส้มลิ้ม"วัดตัวตัดเสื้อตัดชุดตัดกระโปรงกับเขาบ้าง ก็งานอย่างนี้"เจ๊ส้มลิ้ม"ไม่ได้แอ้มกับเขาหรอก โน่น..เขาไปตัดกับช่างที่จบมาจากกรุงเทพฯโน่น..<br />
<br />
และแล้ว"เจ๊ส้มลิ้ม"ก็ตัดสินใจเข้าไปเผชิญโชคในกรุงเทพมหานครเมืองหลวงของประเทศไทยตามคำชักชวนของน้า(น้องสาวแม่)ที่ออกเรือนไปอยู่บ้านสามีที่คลองจั่นบางกะปิ<br />
<br />
ก็กินนอนอยู่กับน้าอยู่หลายเดือน จนตอนนั้น"เจ๊ส้มลิ้ม"ตัวกลมอ้วนเป็นหมูตอนเลยล่ะค่ะ ตื่นเช้ามาก็ออกไปซื้อหนังสือพิมพ์ที่ร้านปากซอยซึ่งตอนนั้นเขาขายเล่มละ 2 บาท แล้วก็พลิกๆหาหน้า ที่เขาลงแจ้งความรับสมัครงาน ตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้าย<br />
<br />
งานมีให้เลือกทำแต่ที่ทำงานอยู่ไกลโพ้น บ้านอยู่บางกะปิแต่ที่ทำงานอยู่พระประแดงโน่นใครจะถ่อไปไหว เฉพาะนั่งรถเมล์ก็ครึ่งค่อนวันเข้าไปแล้ว อ้อ..ลืมบอกตอนนั้นค่าโดยสารรถเมล์ตลอดสาย 75 สตางค์เท่านั้นค่ะ<br />
<br />
มีอีกเรื่องลืมบอก "เจ๊ส้มลิ้ม"เคยไปสมัครงานโรงงานทำซิปที่ถนนลาดพร้าวซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบางกะปินัก เดินทางสบายๆ แต่เขาไม่รับค่ะ<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
@ "ไชโย ได้งานทำแล้วนะคะ"<br />
<br />
"นิวซิตี้แฟคตอรี่" ตั้งอยู่ที่ถนนสุรวงศ์บางรัก เขาขยายกิจการต้องการพนักงานหลายตำแหน่ง ซึ่งเขารับ"เจ๊ส้มลิ้ม"ทำงานในตำแหน่ง "พนักงานเย็บผ้า" อัตราค่าจ้าง 900 บาท/เดือน ตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม พ.ศ.2522 เป็นต้นมาค่ะ<br />
<br />
2-3 ปีต่อมา "เจ๊ส้มลิ้ม"ถูกย้ายไปประจำ"บูติคแฟคตอรี่"พระโขนง ใกล้บ้านเข้ามาหน่อยนึง เดินทางสบายๆเพราะนั่งรถเมล์ต่อเดียว<br />
<br />
จากนั้นมา ปี 2 ปีก็ถูกย้ายไปทำงานแผนกอื่นสับเปลี่ยนหมุนเวียนไปทุกแผนกจนจะทั่วทั้งโรงงานแหละค่ะ พูดไปแล้วจะหาว่าโม้ อะไรๆที่เกี่ยวกับ"บูติค"ตั้งแต่ไม้จิ้มฟันสากกระเบือยันเรือรบนี่"เจ๊ส้มลิ้ม"ทำเป็นเหมิด ไม่มีลูกน้องคนไหนกล้าแหกตาก็แล้วกัน<br />
<br />
"เจ๊ส้มลิ้ม"เป็นคนรักเดียวใจเดียวค่ะ ก็อยู่ทำงานที่นี่ตั้งแต่ยังสาวโสดปิ้งๆจนมีสามีและมีลูกชายโทนอีก 1 คน ก็ตั้งแต่สาวๆจนแก่นั่นแหละค่ะ "เจ๊ส้มลิ้ม"ไม่ออกไม่ย้ายไปไหน ก็รักที่นี่รัก"บูติคแฟคตอรี่"นี่คะ..อิอิ<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
@ "เชื่อมั้ยคะ "เจ๊ส้มลิ้ม"โชคดีได้เกษียณถึง 2 ครั้งค่ะ"<br />
<br />
*เกษียณครั้งแรก วันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2556 เกษียณอายุ 55 ปี ตาม พ.ร.บ.ประกันสังคม ตำแหน่งก่อนเกษียณ"เจ๊ส้มลิ้ม"อยู่ที่"แผนกแพทเทริน"ค่ะ<br />
<br />
"บูติคแฟคตอรี่" มอบของขวัญ "สลากออมสินพิเศษ" มูลค่า 2,000.00 บาท ให้"เจ๊ส้มลิ้ม"ด้วยค่ะ<br />
<br />
และ "ประกันสังคม" *ข้อความ((ในวงเล็บ))ต่อไปนี้ โปรดสังเกตปี พ.ศ.นะคะ..<br />
<br />
((... หลังจาก"เจ๊ส้มลิ้ม"ติดต่อทำเรื่องเกษียณแล้ว วันที่ 18 เมษายน 2556 และวันที่ 5 มิถุนายน 2556 "ประกันสังคม" อนุมัติจ่ายเงินสะสม+ผลประโยชน์ตอบแทนทั้งหมด 136,295.24 บาท ซึ่งมันน้อยกว่าที่"เจ๊ส้มลิ้ม"คำนวณไว้ (เก่งกว่าเจ้าหน้าที่อีกค่ะ..หุหุ)<br />
<br />
"เจ๊ส้มลิ้ม"จึงอุทธรณ์ครั้งแรก เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2556 และได้รับอนุมัติให้จ่ายเงินสะสม+ผลประโยชน์ตอบแทนครบ 148,854.92 บาท เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2558 (ที่ รง ๐๖๒๖/ปย ๑๓๓๗ ลงวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ผู้ลงนาม นางณัฐธิกานต์ เดชอุปการ)<br />
<br />
แต่ "เจ๊ส้มลิ้ม"คำนวณเอง ว่าจะได้รับเงินสะสม+ผลประโยชน์ตอบแทนรวมทั้งหมด 151,320.40 บาท จึงอุทธรณ์ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2558 ว่าทาง"ประกันสังคม"จ่ายเงินไม่ครบยังขาดอีก 2,465.48 บาท<br />
<br />
"เจ๊ส้มลิ้ม"ยื่นอุทธรณ์ทั้ง 2 ครั้งที่สำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 10 เขตมีนบุรี<br />
<br />
น.ส.สุนันทา นาคดี นักวิชาการแรงงานชำนาญการ เป็นผู้รับแบบอุทธรณ์ทั้ง 2 ครั้งค่ะ<br />
<br />
วิธีคำนวณของ"เจ๊ส้มลิ้ม" กรุณาดูคำอุทธรณ์ 1/2 และ 2/2 ที่แนบมาพร้อมกับบทความนี้นะคะ<br />
<br />
แต่จนถึงป่านนี้(วันที่ 13 กันยายน 2560) "เจ๊ส้มลิ้ม"ยังไม่ได้รับอนุมัติให้จ่ายเงินที่ยังค้างจ่ายตามที่อุทธรณ์ครั้งที่ 2 ไว้นะคะ ...))<br />
<br />
จ่ายครบแล้วจ้า เช็คธนาคารกรุงไทย ลงวันที่ 1/11/2560 จำนวนเงิน 2,465.48 บาท<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.picz.in.th/images/2017/11/01/IMG_20171101_1150-570.jpg" /></center><br />
และแล้ว..หนึ่งเดือนให้หลัง ต่อมา วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ.2556 "บูติคแฟคตอรี่"ก็เรียก"เจ๊ส้มลิ้ม"กลับเข้าทำงานตำแหน่งเดิมอีกครั้ง<br />
<br />
*เกษียณครั้งที่สอง วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ.2559 เกษียณอายุ 58 ปี ตำแหน่งก่อนเกษียณ"เจ๊ส้มลิ้ม"อยู่ที่"แผนกตรวจสอบคุณภาพ" หรือ QC ค่ะ<br />
<br />
เกษียณครั้งนี้ "บูติคแฟคตอรี่" ได้จ่ายเงินชดเชยให้"เจ๊ส้มลิ้ม" 114,000.00 บาท<br />
<br />
และ"ประกันสังคม"จ่ายเงินสะสม+ผลประโยชน์ตอบแทนให้"เจ๊ส้มลิ้ม" 36,138.59 บาท เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2560<br />
<br />
สรุป..ระยะเวลาที่"เจ๊ส้มลิ้ม"ทำงานกับ"บูติคแฟคตอรี่" ตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม พ.ศ.2522 ถึง วันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ.2559 รวมทั้งหมด 37 ปีเต็มๆค่ะ<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
@ "ยุทธการแก้แค้น"เจ๊ส้มลิ้ม"วัยเรียนไม่ได้เรียน"<br />
<br />
อ่านมาถึงตอนนี้ก็ขอย้อนถอยหลังกลับไปปี พ.ศ.2530 "เจ๊ส้มลิ้ม"มีสามีค่ะ อายุเราห่างกันแค่ 11 ปีเท่านั้นเอง เขาเป็นหนุ่มน้อยมาจากเมืองเหนือจังหวัดลำพูน ส่วน"เจ๊ส้มลิ้ม"มาจากจังหวัดราชบุรี มาเจอะเจอกันที่กรุงเทพฯนี่แหละค่ะ<br />
<br />
ครั้นปี พ.ศ.2532 ลูกชายโทนก็โผล่ออกมาลืมตาดูโลก เชิญคุณๆตามไปอ่านลิ้งค์นี้นะคะ เป็นเรื่องราวของลูกชายโทนคนนี้ค่ะ..<br />
<br />
<font color="#FF0000">@</font> <a href="http://northernfoodd.blogspot.com/2016/08/blog-post.html" target="_blank">คลิกที่นี่ค่ะ..</a><br />
<br />
<font color="#FF0000">@</font> <a href="https://www.facebook.com/media/set/?set=a.111097919042531.20581.100004269694162&type=1&l=73b288bcf" target="_blank">หรือคลิกที่นี่..</a><br />
<br />
ปี พ.ศ.2539 ลูกชายโทนครบเกณฑ์เข้าเรียนชั้นประถม1 โรงเรียน กทม. ซึ่งอยู่ใกล้บ้าน ส่วน"เจ๊ส้มลิ้ม"ก็เข้าเรียน กศน. ก็โรงเรียนเดียวกันนี่แหละค่ะ เพียงแต่ กศน.เรียนเฉพาะวันอาทิตย์เท่านั้น<br />
<br />
หนึ่งเดือนแรก"เจ๊ส้มลิ้ม"สอบเทียบชั้นประถม6 เรียนอีก 1 ปี 6 เดือน สอบเทียบชั้นมัธยม3 และเรียนอีก 1 ปี 6 เดือน สอบเทียบชั้นมัธยม6<br />
<br />
สรุป..เอาเป็นว่าพอลูกชายโทนเรียนชั้นประถม4 "เจ๊ส้มลิ้ม"ก็เรียนจบชั้นมัธยม6แล้วนะคะ เมื่อได้ประกาศนียบัตร เป้าหมายสุดยอดของ"เจ๊ส้มลิ้ม"ก็อยู่ที่ ม.รามฯ นี่แหละค่ะท่านผู้อ่าน!!<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
@ "บทส่งท้าย"<br />
<br />
เป็นไงคะ เกร็ดชีวิตเล็กๆของ"เจ๊ส้มลิ้ม"ตั้งแต่สาวจนถึงแก่ ตั้งแต่ตัวคนเดียวจนกระทั่ง "เจ๊ส้มลิ้ม"1 สามี1 ลูกชายโทน1 ก็สามคนเข้าไปแล้วนะคะท่านผู้อ่าน!!<br />
<br />
อ้อ..ยังมีอีกอัน เรื่อง"ประกันสังคม"นี่ สามีของ"เจ๊ส้มลิ้ม"เป็นคนคำนวณให้เองค่ะ เรื่องเลขผาหน้าไม้นี่เขาเก่ง ตอนเรียน ม.6 สอบเลขได้คะแนนเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ทุกเทอมเลยนะคะ<br />
<br />
ก็ขอจบแต่เพียงเท่านี้ค่ะ หวังว่าแอดมินกลุ่มต่างๆคงไม่ใจจืดใจดำลบออกจากกลุ่มอีกนะคะ 555<br />
<br />
เอาเป็นว่า วันไหน"เจ๊ส้มลิ้ม"อารมณ์ดีก็จะมาเม้าท์ให้อ่านกันอีกค่ะ โชคดีนะคะ ท่านผู้อ่านทุกๆคน..<br />
<br />
"เจ๊ส้มลิ้ม บูติคซิตี้"<br />
13 กันยายน 2560<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: large;">ข้าวห่อไข่ ทีมงาน"ศิริชัยเกียรติ" ส่งเข้าประกวด งานทำบุญประจำปีบริษัทฯ 5ส.ค.2554</span><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.picz.in.th/images/2017/10/22/azkjf11.jpg" /></center><br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: large;">แล้วก็ได้รับถ้วยรางวัลชนะเลิศ</span><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.picz.in.th/images/2017/10/22/azkjf22.jpg" /></center><br />
* * * * *<br />
<br />
<font color="#FF0000">@</font> <a href="https://www.facebook.com/media/set/?set=a.206972309316799.61040.100000120933242&type=1&l=0072ea0624" target="_blank">พาลูกไหว้พระ9วัด 6มี.ค.2554</a><br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
เพลง แม่ค้าหน้าคอม<br />
<center><iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/b2k5HVw6GiU" frameborder="0" allowfullscreen></iframe></center><br />
* * * * *<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.picz.in.th/images/2017/10/22/azkjf33.jpg" /></center><br />
* * * * *<br />
<br />
<center><iframe src="https://www.facebook.com/plugins/post.php?href=https%3A%2F%2Fwww.facebook.com%2Foothanawut%2Fposts%2F2022190494461629&width=580" width="580" height="765" style="border:none;overflow:hidden" scrolling="no" frameborder="0" allowTransparency="true"></iframe></center><br />
"ซื้อผ้าเอง ตัดเย็บเอง แล้วเจ๊ก็ใส่เอง" สวยมั้ยคะท่านผู้ชม!!<br />
<br />
เกษียณแล้วจ้า!! "เจ๊ส้มลิ้ม"อยู่กับบ้านเฉยๆหลานก็ไม่มีให้เลี้ยง เหงาจังเล้ย..<br />
<br />
วันก่อนไปใช้บริการสาวน้อยครึ่งราคานั่งรถ ปอ.8 จากต้นทาง"เคหะร่มเกล้า"ไปเที่ยว"สำเพ็ง"ใกล้ๆปากคลองตลาดสะพานพุทธฯโน่นค่ะ เดินผ่านร้านขายผ้า โอ้ย..เยอะแยะมากมายหลากหลายสีลายหูลายตาไปเหมิด..<br />
<br />
แล้วความคิดดีๆก็แว้บเข้ามาในสมอง เราจะอยู่กับบ้านให้เซ็งเป็ดไปทำไม หุ่นรึก็ยังสเลนเดอร์เป๊ะๆ สรีระรึก็ยังไม่แก่จนเกินไป (มีผัวเด็กได้..อิอิ)<br />
<br />
อย่ากระนั้นเลยไม่รอช้า เลือกซื้อผ้ามาได้หลายชิ้น กะจะทำชุดใส่เองใส่อวดผัวไม่ให้วอกแวกคิดนอกใจ..อิอิ<br />
<br />
แล้วก็เป็นที่มา "ซื้อผ้าเอง ตัดเย็บเอง แล้วเจ๊ก็ใส่เอง" สวยมั้ยคะท่านผู้ชม!! นี่แหละค่ะ..<br />
<br />
บอกก่อนนะคะ ยืม FB สามีโพสต์ค่ะ<br />
<br />
ชุดแรกนี่ เป็นผ้าฝ้ายทอมือ สีเขียวสดใส มาตรฐาน size M 37-30-38.5 ตัวกระโปรงมีซับใน มีผ้าคาดเอวซาตินสีดำขลับไว้รัดเมื่อพุงยืน..อิอิ<br />
<br />
ชุดที่สอง เป็นชุดเดรส มาตรฐาน size M 37-30-38.5 ซับในทั้งชุด ตัดเย็บจากผ้าไหมเนื้อดี สีแดงเลือดนกสดใส<br />
<br />
เอ้า..ไม่รอช้ามาดูรูปถ่ายกัน<br />
<br />
สวยมั้ยคะท่านผู้ชม!!<br />
<br />
"เจ๊ส้มลิ้ม บูติคซิตี้"<br />
12 กันยายน 2560<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<center><iframe src="https://www.facebook.com/plugins/post.php?href=https%3A%2F%2Fwww.facebook.com%2Foothanawut%2Fposts%2F2022866271060718&width=580" width="580" height="735" style="border:none;overflow:hidden" scrolling="no" frameborder="0" allowTransparency="true"></iframe></center><br />
หลังออกพรรษาปีนี้..วันเสาร์ที่ 21 ตุลาคม 2560 ตระกูล"ดุษฎีปัญจพร" ทอดกฐินที่วัดตรีญาติ ต.พงสวาย อ.เมือง ราชบุรี จ้า!!<br />
<br />
ภาพ1/4..ผ้าซิ่นชุดนี้จะใส่ไปทอดกฐินที่วัดตรีญาติ จ้า!!<br />
<br />
ภาพ2/4..ผ้าซิ่น"ชายพกซิ่นจีบหน้านาง"ผืนนี้ เก็บไว้ใส่เองจ้า!!<br />
<br />
ภาพ3/4..ผ้าซิ่น"ชายพกซิ่นจีบหน้านาง"ผืนนี้ เอาไปฝากญาติผู้ใหญ่จ้า!!<br />
<br />
ภาพ4/4..และผ้าซิ่น"ชายพกซิ่นจีบหน้านาง"ผืนนี้ ก็เอาไปฝากญาติผู้ใหญ่จ้า!!<br />
<br />
มาตรฐาน size M 00-30-38.5<br />
<br />
ทั้งหมด 4 ภาพ "ซื้อผ้าเอง ตัดเย็บเอง แล้วเจ๊ก็ใส่เอง" สวยมั้ยคะท่านผู้ชม!!<br />
<br />
บอกก่อนนะคะ ยืม FB สามีโพสต์ค่ะ<br />
<br />
เอ้า..ไม่รอช้ามาดูรูปถ่ายกัน<br />
<br />
"เจ๊ส้มลิ้ม บูติคซิตี้"<br />
13 กันยายน 2560<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.picz.in.th/images/2017/09/15/sll014.jpg" /></center><br />
<span style="color: #3333ff; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;"><strong>แล้วก็เป็นเรื่องจนได้..</strong></span><br />
<br />
".. ที่ผมโพสต์กระทู้อยู่ทุกวันนี้มีทั้งหมด 20 กว่ากลุ่ม ซึ่งทั้งหมดมาลากผมไปเข้ากลุ่มเองโดยที่ผมไม่เคยไปร้องขอหรือสมัครเป็นสมาชิกกลุ่มกับเค้าเลย..<br />
<br />
ไหนๆก็ลากเข้าไปแล้วผมก็เลยตามเลยมาจนทุกวันนี้ไง เมื่อผมโพสต์เรื่องอะไรผมก็จะเผื่อแผ่เอาไปโพสต์กับกลุ่มต่างๆที่ลากผมเข้าไปด้วยมาตลอด<br />
<br />
2-3วันก่อนแม่บ้านซึ่งอ่อนกว่าผม 11 ปี เพิ่งเกษียณมาหมาดๆมาอยู่เฝ้าบ้านเป็นเพื่อนผมอีกคน เธอฮึดขึ้นมายึดเอาล็อคอินเฟสบุ๊คของผมไปโพสต์เรื่องเสื้อผ้าชุดแต่งกายแบบต่างๆที่เธอซื้อผ้าตัดเย็บเองแล้วก็ใส่เองนั่นแหละ<br />
<br />
ผมท้วงว่านี่มันเฟสการเมืองจะเอาเรื่องพวกนี้มาโพสต์เดี๋ยวเพื่อนๆที่ติดตามเฟสผมเขาจะหมั่นไส้เอานา<br />
<br />
แม่บ้านผมเธอสวนกลับ ก็เปลี่ยนบรรยากาศเรื่องเครียดๆการเมืองมาเรื่องการบ้านการทำบุญบ้างจะเป็นจะตายกันเลยรึ?<br />
<br />
ผมจนใจเถียงไม่ออก (หุหุ..โรคเกลียมัว!!) แต่ก็ขอต่อรองขอโพสต์จั่วหัวโพสต์ของเธอไว้บรรทัดเดียว<br />
<br />
"โพสต์นี้จะโดนลบหรือไม่ มาดูกันว่าอ่านหนังสือเกิน 3 บรรทัดมั้ย.."<br />
<br />
กันเผื่อแอดมินบางกลุ่มที่สมาธิสั้นอ่านหนังสือไม่เกิน 3 บรรทัด จะพาลลบกระทู้หรือไม่ก็ลบออกจากกลุ่มไปเลย<br />
<br />
นั่นไง..ผมสังหรณ์ใจไม่ผิดเล้ย พับผ่า!!สิ<br />
<br />
กลุ่มแรกที่ลบผมออกจากกลุ่มคือ "กลุ่มเรารักแดงเกลียดสลิ่ม V.2" / ตามมาด้วย "กลุ่มประชาธิปไตย คนไทยถิ่นกาขาว" / และตามมาอีกคือ "กลุ่ม Ku ขอประชาธิปไตย เมื่อไหร่จะคืน" / รวม 3 กลุ่มด้วยกัน<br />
<br />
และก็ยังไม่รู้ว่ากำลังจะตามมาอีกกี่กลุ่ม? เข้าใจว่าแอดมินของกลุ่มที่เหลือคงจะสมาธิมั่นคงอ่านหนังสือเกิน 3 บรรทัดแน่ๆ เลยรู้เรื่องราวความเป็นมาของโพสต์แม่บ้านผมว่าไม่เกี่ยวกับการขายสินค้าอะไรนั่น ก็เลยยังไม่ได้ลบผมออกกัน<br />
<br />
สำหรับ "กลุ่มหัวใจสีแดง รักประชาธิปไตย" ก่อนหน้า 2-3 วันที่ผ่านมา ผมลบตัวเองออกจากกลุ่มเองแหละครับ<br />
<br />
ทั้ง 4 กลุ่มที่ผมว่ามา ต่อไปอย่าลากผมเข้ากลุ่มอีกนะครับ คราวนี้ผมเขียนด่าเอาจริงๆด้วย .."<br />
<br />
ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร<br />
14 กันยายน 2560<br />
<font color="#FF0000">@ คลิกที่นี่..</font> <a href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=2024967610850584&set=a.433956156618412.116381.100000120933242&type=3&theater" target="_blank">"แล้วก็เป็นเรื่องจนได้.."</a><br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.picz.in.th/images/2017/10/31/zdogs2012.jpg" /></center><br />
* * * * *<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.picz.in.th/images/2017/10/31/zdogs2013.jpg" /></center><br />
* * * * *<br />
<br />
<font color="#FF0000">@ คลิกลิ้งค์นี้..</font> <a href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=2028184243862254&set=a.433956156618412.116381.100000120933242&type=3&theater" target="_blank"><span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: large;">ย้อนตำนาน..วางระเบิดเครื่องบินทักษิณ3มีนา2544</span></a><br />
"..วินาทีที่เครื่องบินเตรียมทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้านั้น ที่นั่งชั้นหนึ่งหมายเลข 11A ที่เขาได้จองไว้เกิดระเบิดขึ้นกะทันหัน ผู้โดยสารที่อยู่บริเวณรอบๆที่นั่งนั้นได้รับบาดเจ็บหลายคน แต่ที่โชคดีก็คือที่นั่งนี้ไม่มีใครนั่งอยู่ในตอนนั้น .. ทักษิณผู้ซึ่งตรงต่อเวลามาโดยตลอดตัดสินใจที่จะรอลูกชายซึ่งก็คือนายพานทองแท้ ที่มาถึงช้า วันนั้นลูกชายก็ไม่ทราบสาเหตุว่าทำไมถึงมาช้า 25 นาที แต่ในที่สุดก็ได้ช่วยชีวิตพ่อของตนไว้ได้.."<br />
<br />
* * * * *<br />
somphonghttp://www.blogger.com/profile/07203143908234315462noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6143190172184203950.post-41810262202239646102017-09-06T22:10:00.001+07:002017-10-03T12:54:57.817+07:00"แด่เสือพรานทหารกล้าร่วมสมรภูมิทุกนาย" By: Chote Vanhakij<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/pv/plogo.jpg" /></center>"ขออนุญาตคุณ Chote Vanhakij ขอนำบทความของท่านมาโพสต์ที่นี่นะครับ" ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร<br />
<br />
<span style="color: #3333ff; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;"><strong>"แด่เสือพรานทหารกล้าร่วมสมรภูมิทุกนาย"</strong></span><br />
<span style="color: #ff9900;">By: Chote Vanhakij</span><br />
<br />
(("แฟกซ์" ครั้งสงครามอินโดจีน คือ ล่ามถ่ายทอดภาษาอังกฤษสู่ภาษาถิ่น ถ่ายทอดคำสั่ง, กระบวนการรบ, การรุก การถอย, และกระบวนการอื่น ๆ ที่จะส่งคำสั่งให้ชัดเจนแก่กองพล, กองพัน, หรือหน่วยย่อย ซึ่งมีความสำคัญยิ่งต่อผลของการรุก รับ ในสนามรบที่อาจเปลี่ยนแปลงทุกนาที ข้าพเจ้า(เจ้าของเฟส) ขอนำข้อเขียนของนักรบนิรนามท่านหนึ่งที่ผ่านสมรภูมิลาวมาแล้วมาถ่ายทอดต่อ...<br />
<br />
และความผิดพลาดใด ๆ ที่เกิดจากกระบวนการ การถ่ายทอดผ่านตัวหนังสือ...ข้าพเจ้าขอน้อมรับแต่ผู้เดียว หามีส่วนเกี่ยวข้องกับท่านผู้เขียนที่ใช้นามปากกาว่า "สปาร์ค ปลั๊ก" แต่อย่างใดไม่ ข้าพเจ้ามีความนิยม ต่อข้อเขียนของท่าน และอยากเผยแพร่ต่อในสื่อมีเดีย จึงขออนุญาตนำมาถ่ายทอดต่อด้วยความเคารพ ต่อชายชาติทหาร และนักรบนิรนามที่ไม่อาจเผยชื่อ ครั้งสงครามอินโดจีนทุกท่าน..........<br />
<br />
#ขอน้อมคารวะแด่ท่านนักรบพลเรือนนามปากกาว่า... "สปาร์ค ปลั๊ก)).<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/3u/ipl01.jpg" /></center><br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">"ความหลังครั้งสงครามอินโดจีน"</span><br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">จาก "เสือเหลือง" มาเป็น "เสือพราน" (1)</span><br />
<br />
บ่ายแก่วันหนึ่ง ที่บ้านพักของแฟ็กซ์ในเมืองปากเซ มีเสียงทุ้ม ๆ ดังมาจากห้องโถงหน้าห้องที่ผมกำลังงีบหลับด้วยความอ่อนเพลียจากการเดินทางออกมาจากสนามรบ<br />
<br />
"อ้าว! เฮ้ย.!! มีใครอยู่บ้างโว้ย?" เป็นเสียงโหวกเหวกค่อนข้างดัง<br />
<br />
เมื่อผมงัวเงียเปิดประตูออกไป ก็เผชิญหน้ากับชายไทยรูปร่างล่ำสันวัยเลยกลางคน แต่งตัวเรียบร้อยสวมเสื้อเชิ๊ตแขนยาวสีขาวไม่พับแขน ไว้ผมยาวทรงรากไทร สวมแว่นสายตาสีชาขนาดใหญ่ ยืนยิ้มเผล่อยู่ข้างโต๊ะอาหารกลางห้อง<br />
<br />
"มันหายหัวไปไหนกันหมด ไม่มีใครอยู่เลยหรือ?" เป็นคำถามยิ้ม ๆ จากชายนิรนาม<br />
<br />
ผมไม่รู้ว่าเป็นใครแต่ก็ยกมือไหว้คารวะไว้ก่อน และเดินเข้าไปนั่งเก้าอี้ตรงข้าม<br />
<br />
"ไม่มีใครอยู่ครับพี่ ออกไปทำงานกันหมด"<br />
<br />
"อ้าว...เห็น "ออฟฟิซ" บอกว่าบ่ายนี้ว่าง แล้วนี่มันหายหัวไปไหนล่ะ อ้อ...แล้วเราชื่ออะไร?"<br />
<br />
("ออฟฟิซ" เป็นชื่อพราง(รหัส)ของเพื่อนแฟ็กซ์คนหนึ่ง ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าทีม).<br />
<br />
"สปาร์ค ปลั๊ก" ผมชื่อ "สปาร์คปลั๊ก" ครับ "ออฟฟิซ" ไปรับผมมาจากแนวมาด้วยกันเมื่อตอนสาย ตอนนี้คงอยู่ "สโตนวอลล์" มั้ง ผมโทรฯ เช็คให้เอาไหม?"<br />
<br />
"เฮ่ย ไม่ต้อง..."สปาร์คปลั๊ก" หรือ?...เออ..เคยได้ยินแต่ชื่อ เพิ่งเจอตัววันนี้เอง ไม่มีอะไร...พอดีวันนี้พี่ว่าง เจอ "ออฟฟิซ" มันเมื่อวาน บอกวันนี้ว่างก็เลยแวะมาสนทนาด้วย"<br />
<br />
ผู้มาเยือน "แฟ็ก B O Q." แนะนำตัวเองว่าชื่อ "พี่เชาว์" ทำงานอยู่ที่ J O C.หน่วยงานฝ่ายบุ๋นของ "สกาย" หรือ CIA.ที่ลาว<br />
<br />
ผมร้องขอเบียร์และแก้วจากน้องก๋าย(เด็กรับใช้ประจำบ้าน)ให้พี่เชาว์ ก่อนขอตัวไปล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นหายง่วง ก่อนจะรีบออกมาร่วมวงไพบูลย์ด้วย เพราะเปรี้ยวปากอยู่เหมือนกัน เนื่องจากไปลุยอยู่สนามรบมาเกือบเดือน เพิ่งกลับออกมาจากแนวหน้าวันนี้ดังกล่าว<br />
<br />
บ่ายวันนั้น ผมและพี่เชาว์ หรือ เรือโท เชาวนะ รักษาศิลปะ อดีตนายทหารเรือผู้มีอันเป็นไปต้องออกจากราชการเพราะพิษสงกบฏ "แมนฮัตตัน" นั่งละเลียดเบียร์อยู่ในบ้านกันพักใหญ่ เมื่อติดลมแล้วพี่เชาว์จึงขับรถพากันออกมาต่อที่ร้านลาว-ไทย<br />
<br />
และที่นั้น หลังพี่เชาว์สอบถามพูดคุยเรื่องราวต่าง ๆ แล้ว ก็ได้เล่าให้ฟังถึงปูมหลังที่พรหมลิขิตหักเหชักพาให้มาร่วมงานกับ "สกาย" ตั้งแต่รุ่น "ไวท์สตาร์" เฝ้าถนนและหาข่าวเรื่อยมา จนถึงยุคทหารเสือพรานรุ่นแรก ๆ ฝึกกันอยู่ที่เขาไม้ปล้อง จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งเป็นบ้านเกิดของพี่เชาว์เอง ต่อมาจึงย้ายมาฝึกที่เมืองกาญจนบุรีและพี่แกก็ได้ย้ายไปอยู่ด้วย เมื่อค่ายเมืองกาญจน์ฯ ถูกยุบ ย้ายศูนย์ฝึกทหารเสือพรานไปอยู่ที่ค่ายน้ำพอง จังหวัดขอนแก่นแล้ว พี่ท่านจึงข้ามมาลาวแทน มาถึงตอนนี้ พี่เชาว์จะอยู่ด้านงานบริหารไม่ได้ออกสนามรบ<br />
<br />
หลังหมดเบียร์สิงห์รสชาติจืดชืดกว่าที่ขายบ้านเราไปสอง สามขวด พี่เชาว์ก็พูดคุยเหมือนรู้จักกันมานานปี<br />
<br />
"สปาร์คปลั๊ก"...น้องรู้ไหม?...ว่าทหารเสือพรานรุ่นแรกที่ฝึกกันที่ปราจีนฯ นี่ใช้นามเรียกขานกันว่า "Yellow Tiger" หรือ "เสือเหลือง" ไม่ใช่ "ทหารเสือพราน" พูดจบ พี่เชาว์ยกแก้วเบียร์ขึ้นจิบอย่างสุขุม<br />
<br />
"ทหารเสือเหลืองหรือ ตลกดีนะพี่ ฟังดูชอบกล ผมว่าทหารเสือพรานจะเข้าท่ากว่านะ"<br />
<br />
"นั่นนะสิ แล้วไอ้ทหารเสือเหลืองนี่ มันไม่ได้ฝึกให้มารบที่ลาวนะ เขาตั้งใจจะให้ไปรบในเขมร แล้วยังไงก็ไม่รู้ ดันย้ายมาลาวซะนี่"<br />
<br />
ชื่อทหารอาสาสมัครหน่วย "เสือเหลือง" สะกิดใจผมตั้งแต่วันนั้น อาจเป็นเพราะตัวผมเองและพรรคพวกสังกัดหน่วยเดียวกันก็เป็นอาสาสมัครมาร่วมรบในสมรภูมิลาว เพียงแต่เรามีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงต่างจากทหารเสือพราน กระนั้นเราก็ไม่ต่างจากนักรบผู้หนึ่ง แต่เป็น "นักรบกางเกงยีนส์" หรือนักรบพลเรือนที่สู้รบเสี่ยงตายเคียงบ่า เคียงไหล่กับทหารอาสาสมัคร "เสือพราน"(ทสพ.)เหมือนกัน<br />
<br />
"เสือเหลือง" ชื่อนี้ดูเหมือนจะตรึงอยู่ในความทรงจำของผมตั้งแต่วันนั้น เมื่อผมถามพี่เชาว์ถึงความเป็นมาอันเป็นจุดกำเนิดของ "เสือเหลือง" ทหารอาสาสมัครหน่วยนี้ พี่ท่านกลับให้คำตอบโดยละเอียดไม่ได้ เหตุนี้ "เสือเหลือง" จึงเป็นเสมือนเสี้ยนเล็ก ๆ ที่ฝังอยู่ในเนื้อ หากไม่ถูกสะกิด ไม่ไปโดนถูกมันก็ไม่รู้สึกเป็นอะไร หากบังเอิญไปสัมผัสถูกเข้าย่อมรู้สึกแปร๊บทันที<br />
<br />
หลายท่านอาจสงสัยว่า เพราะอะไรผมถึงให้ความสนใจกับชื่อนี้เป็นพิเศษ นั่นนะซี...! เพราะอะไรล่ะ?.<br />
<br />
มีเหตุผลส่วนตัว หลายอย่างหลายประการที่ทำให้ผมสนใจชื่อ "เสือเหลือง" ซึ่งข้อสำคัญ มันอาจสืบเนื่องมาจากส่วนลึกของความผูกพันทางประวัติศาสตร์ที่เคยเลือกเรียนเป็นวิชาเอกในสมัยเด็กก็เป็นได้ เมื่อสนใจ,ฝังใจ,ใคร่รู้ เลยกลายเป็นการบ้าน ซึ่งพยายามหาคำเฉลยเรื่อยมา<br />
<br />
กระทั่งมีคำตอบดังต่อไปนี้...<br />
<br />
เมื่อกล่าวถึง "ทหารเสือพราน" (ทสพ.) ก็เป็นที่รู้กันเลา ๆ ว่าก่อนจะมี "เสือพราน" ประกาศศักดาในสมรภูมิ ณ แผ่นดินลาว มีหน่วยรบนาม "เสือเหลือง" เกิดขึ้นก่อน และสำหรับเรื่องของ "เสือเหลือง" ค้างคาใจผมมาตั้งแต่บัดนั้น และต่อมาเมื่อเลิกรบราฆ่าฟันในต่างแดนกลับคืนสู่มาตุภูมิแล้ว ก็พยายามเจาะลึกเพื่อตามล่าหาประวัติและความเป็นมาของ "เสือเหลือง" ต้นตระกูลของ "เสือพราน" เพื่อให้หายข้องใจ(ตามประสาคนใฝ่รู้ จากเอกวิชาประวัติศาสตร์).<br />
<br />
แต่ดูเหมือนจะไม่มีทางเป็นไปได้ ก็ขนาดคนระดับเก๋ามือเก่าอย่างพี่เชาว์ (เรือโทเชาวนะ รักษาศิลปะ) ผู้เคยอยู่กับ "ไวท์สตาร์" อยู่กับ "สกาย" มาตั้งแต่ต้น ยังไม่รู้เรื่อง ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นความลับดำมืด ถามใครก็ไม่มีใครรู้ คนเก่า ๆ ทั้งทหารระดับนายพล และพลเรือนรุ่นซีเนียร์ เริ่มล้มหายตายจากไปเรื่อย ๆ(รวมทั้งพี่เชาว์ของพวกเราด้วย ที่ลาโลกไปหลายปีแล้ว)<br />
<br />
แม้กระทั่ง "#สยุมภู ทศพล" หรือ "จสอ.ประจิม วงศ์สุวรรณ" เอง(นามสกุลคุ้นไหมครับ?) ซึ่งเป็นผู้เปิดศักราชนำเรื่องวีรกรรมนักรบทหารเสือพรานมาเปิดเผยครั้งแรกก็ไม่รู้เรื่องนี้ (#นักเขียนดังระดับที่นักอ่านนิยายบู๊ และนิยายสงครามครั้งสงครามอินโดจีนทุกท่าน รู้จัก ถ้าใครไม่เคยได้ยินชื่อ...แสดงว่า ไม่ใช่หนอนนิยาย หรือนักอ่าน) บางครั้งเมื่อเจออดีตทหารเสือพรานที่เคยอยู่กับกองพัน BC.601และเคยฝึกอยู่เขาไม้ปล้องมาตั้งแต่ยุค "เสือเหลือง" อย่าง ส.อ.ถาวร วรรณโชติ ซึ่งไม่ใช่อาสาสมัครทหารเสือพรานธรรมดาเพราะจบบัญชีมาจากเทคนิคกรุงเทพ ทุ่งมหาเมฆ ก็ยังไม่สามารถให้ความกระจ่างได้ นอกจากเขาจะบอกด้วยอารมณ์ขันว่า....<br />
<br />
"ข้าได้ยินมา...เขาเคยเรียกหน่วยนี้ว่า "กรม.ขสส." หรือ "กรมเขมรสับสน"ว่ะ ตอนแรกที่คัดตัวอาสาสมัครเข้าฝึก เห็นว่ามันมีโครงการจะส่งหน่วยนี้ไปรบในเขมร แต่พอฝึกเสร็จกลับไม่ส่งไปตามที่กำหนดเอาไว้ แต่ให้กลับบ้านไปรอคำสั่งเรียก ต่อมาอีกพักใหญ่ ๆ ถึงได้เรียกตัวมาประจำการ แทนที่จะส่งไปเขมรกลับส่งไปรบในลาวแทน".<br />
<br />
ผู้ถ่ายทอด สายตาล้าแล้วครับ...กำลังมัน พรุ่งนี้มาต่อกันครับ.<br />
<br />
Chote Vanhakij<br />
2 กันยายน 2560 เวลา 20:06 น.<br />
คลิกที่นี่..อ่านคอมเม้นท์ใต้บทความครับ<br />
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1907685942885682&id=100009328851456<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/l8/tlj02.jpg" /></center><br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">"ความหลังครั้งสงครามอินโดจีน"</span><br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">จาก "เสือเหลือง" มาเป็น "เสือพราน" (2)</span><br />
<br />
("ผม" ในความหมายนี้ หมายถึงเจ้าของเรื่อง ("สปาร์ค ปลั๊ก" ไม่ใช่เจ้าของเฟส...ถ้าเจ้าของเฟส "ผม"...จะแจ้งทุกครั้ง).<br />
<br />
อย่างไรก็ตาม งานตามล่าหาความจริงในเรื่องนี้ของผม เพิ่งจะประสบความสำเร็จเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง เมื่อได้พบกับ เคนเนธ คอนบอย (Kenneth Conboy) อีกครั้งหลังจากห่างหายไม่พบกันหลายปี<br />
<br />
(Kenneth เป็นนักเขียนชาวอเมริกัน เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องประวัติศาสตร์ สงครามอินโดจีน เคยทำงานวิจัยอยู่กับ Heritage Foundation, Washington DC. ซึ่งเป็นสถาบันเก่าแก่มีชื่อเสียงทางด้านการทหาร เคนได้อุทิศเวลาร่วม 20 ปี เพื่อค้นคว้าเรื่องราวของสงครามอินโดจีน โดยเฉพาะในประเทศลาว จนเข็นหนังสือเรื่อง "Shadow War" อันโด่งดังออกมา วันนี้หนังสือปกแข็งขนาด A4 หนาห้าร้อยกว่าหน้านี้ ได้ตีพิมพ์มาแล้วกว่า 10 ครั้ง ผมเองได้มีส่วนช่วยเหลือให้ข้อมูลบางส่วนที่ขาดหายไป จนสามารถปิดเล่มหนังสือนี้ได้ เมื่อ 26 ปีก่อน)<br />
<br />
และ "เคนเนธ คอนบอย" คนนี้แหละ คือ ผู้ให้รายละเอียดและข้อมูลที่มาของหน่วย "เสือเหลือง" แก่ผม ซึ่งจะนำมาเปิดเผยให้ทราบดังนี้<br />
<br />
เอาล่ะ...เรามารู้จักความเป็นมาของ "เสือเหลือง" ต้นตระกูลของ "เสือพราน" ตามข้อมูลที่มีอยู่ในมือผมดังต่อไปนี้...<br />
<br />
ย้อนหลังกลับไปยุคสงครามเย็น เมื่อ 45 ปีก่อน (ประมาณปี พ.ศ.2513-2514)...<br />
<br />
สถานการณ์ในประเทศกัมพูชา หรือเขมรเวลานั้น #นายพลลอนนอล นายทหารฝ่ายขวาซึ่งไม่พอใจพฤติกรรมเจ้าสีหนุที่ดูเหมือนจะปล่อยให้ฝ่ายคอมมิวนิสต์ โดยเฉพาะเวียดนามเหนือบุกรุกเข้ามาใช้ดินแดนเขมรเป็นฐานสู้รบต่อกรกับโลกเสรี (มีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่สุด) ลอน นอล จึงทำการปฏิวัติยึดอำนาจการปกครองโค่นล้มเจ้าสีหนุลงจากบัลลังก์ (บางเสียงกล่าวว่างานนี้ สำเร็จได้เพราะมีหน่วยงานลับ CIA ของอเมริกาเจ้าเก่าให้การสนับสนุน)<br />
<br />
เดือนพฤษภาคม 2513....<br />
<br />
ได้มีเครื่องบิน ซี.47 ดาร์โกต้า ทาสีลายพรางตามลำตัว ติดเครื่องหมายกองทัพอากาศลาว ร่อนมาลงที่สนามบินโปเชงตง กรุงพนมเปญ และแท็กซี่เคลื่อนเข้าไปจอดตรงจุดที่มีขบวนรถ และผู้คนรอรับอยู่<br />
<br />
ผู้โดยสารที่ลงจากเครื่องบินลำนี้ ทั้งหมดเป็น VIP จากราชอาณาจักรลาว มีเจ้าบุญอุ้ม ณ จำปาสัก เป็นหัวหน้าคณะ นำทีมส่วนใหญ่มาจากลาวภาคใต้ ประกอบด้วย...<br />
<br />
เจ้าสีสุก ณ จำปาสัก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง<br />
<br />
นายพลผาสุก สำลี แม่ทัพ ทชล. (ทหารแห่งชาติลาว) ภาค 4 พร้อมรอง คำมาย และ สุดใจ ผบ.หน่วยรบกองโจรพิเศษ ทชล.ภาค 4 เช่นกัน<br />
<br />
ทั้งหมดมีนัดหมายสำคัญกับพลเอกลอน นอล ผู้นำเขมรอันเกี่ยวกับการอยู่รอดปลอดภัยของราชอาณาจักรลาว และประเทศเขมรร่วมกัน ซึ่งผู้นำเขมรและคณะรัฐบาลในสมัยนั้นได้จัดเตรียมการต้อนรับคณะบุคคลสำคัญจากราชอาณาจักรลาวผู้มาเยือนอย่างสมเกียรติ และจัดสถานที่การประชุมเจรจาครั้งสำคัญนี้<br />
<br />
เหตุการณ์ครั้งนั้น นายพลสุดใจ ซึ่งต่อมาได้เป็นแม่ทัพภาค 4 เล่าในภายหลังว่า...<br />
<br />
"ท่านนายพลลอน นอลผู้นำเขมรให้การต้อนรับคณะของเราอย่างอบอุ่น จัดดินเนอร์เลี้ยงอย่างมโหฬารที่วังของเจ้าสีหนุ (นายพลลอน นอล ยึดเป็นทำเนียบของรัฐบาลขณะนั้น) และมีพลจัตวา.ลอน นอลน้องชายของท่านลอน นอลร่วมวงอยู่ด้วย การสนทนาทั้งหมดเป็นภาษาฝรั่งเศษ ฝ่ายเราได้เจรจาขอร้องให้ท่านพิจารณาส่งทหารเขมร ไปช่วยรบที่ประเทศลาวตอนใต้ 2-3 กองพัน โดยให้เหตุผลว่าเวียดนามเหนือได้เสริมกำลังในลาวเขตนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ และจะแผ่อิทธิพลลงมาสู่เขมรในที่สุด จึงเป็นการดีสำหรับเขมรเองที่จะไปยับยั้ง และกวาดล้างข้าศึกเหล่านี้ในราชอาณาจักรลาว ก่อนที่ฝ่ายเวียดนามเหนือจะรุกคืบเข้ามาแผ่อิทธิพลในเขมรต่อไป แต่นายพลลอน นอลกล่าวง่าย ๆ ว่า "IIs vont se casser"(เราจะขย้ำมันเอง) ความหมายของคำพูดดังกล่าวของท่านผู้นำเขมร เท่ากับปฏิเสธ บอกปัดข้อเสนอของเราอย่างสิ้นเชิง...โดยท่านยืนยันว่าไม่หวั่นเกรงกองกำลังฝ่ายเวียดนามเหนือ และท่านสามารถรับมือได้อย่างสบาย"<br />
<br />
คณะ VIP ของลาวต่างคอตก พกความผิดหวัง บินกลับบ้านในวันรุ่งขึ้น<br />
<br />
อย่างไรก็ตาม หลังจากอาหารมื้อค่ำหรูหราในวังของเจ้านโรดม สีหนุ ผ่านพ้นไปได้เพียงไม่กี่เดือน เหตุการณ์ในเขมรเริ่มเลวร้ายลงไปเรื่อย ๆ กองทัพฝ่ายนายพลลอน นอล ประสบกับความปราชัยในแทบทุกสมรภูมิที่มีการปะทะระหว่างกองกำลังเขมรรัฐบาล กับกองกำลังเวียดนามเหนือและเขมรแดง...ตลอดมา โดยเฉพาะพื้นที่ในภาคตะวันออกใกล้ชายแดนเวียดนามใต้ ซึ่งเคยเป็นแหล่งซ่องสุมกองกำลังเวียดนามเหนือและเวียดกง ทั้งใช้เป็นที่หลบภัย รวมทั้งใช้เป็นเส้นทางข้ามไป-มาระหว่างเขมร-เวียดนามใต้ได้อย่างเสรี(ในสมัยของกษัตริย์สีหนุ)<br />
<br />
สำหรับเวียดนามเหนือก็มีเหตุ ผลจำเป็นที่จะต้องผนึกกำลังกับเขมรแดง เพื่อโหมกำลังเข้าโจมตีฝ่ายนายพลลอน นอลอย่างหนักเพื่อดำเนินการเผด็จศึกยึดชิงพื้นที่อันเคยเป็นเสมือน "สรวงสวรรค์" ของตัวเองคืนกลับมาให้จงได้<br />
<br />
ในช่วงที่เจ้าสีหนุเรืองอำนาจอยู่นั้น นอกจากพระองค์จะทรงทำตัวเป็นหอกข้างแคร่ของโลกเสรี โดยเฉพาะกับพี่เบิ้มอเมริกันที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอดแล้ว ยังดำเนินนโยบายแบบไม่รู้ไม่ชี้ "เอาหูไปนา เอาตาไปไร่" ปล่อยให้เวียดนามเหนือและเวียดกง ใช้ดินแดนเขมรใกล้ชายแดนเวียดนามใต้อย่างมีอิสระเต็มที่ให้เป็นที่พักพิงส้องสุมกำลังพล สะสมอาวุธยุทโธปกรณ์ และใช้เป็นเส้นทางเคลื่อนไหวของกองกำลังต่าง ๆ<br />
<br />
ที่สำคัญใช้เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางโฮจิมินห์สายหลัก ลำเลียงอาวุธและกำลังพลจากเวียดนามเหนือวกผ่านเข้าลาวลงสู่เขมร แล้ววกเข้าเวียดนามใต้ได้อย่างเสรี รวมทั้งขนถ่ายสินค้าอันเป็นยุทธปัจจัยจากเรือของรัสเซีย, จีน และจากค่ายคอมมิวนิสต์อื่น ๆ ที่แห่กันมาเทียบท่า "สีหนุวิลล์" ท่าเรือทันสมัยซึ่งสร้างขึ้นมาด้วยความช่วยเหลือของรัสเซีย ลำเลียงสินค้าผ่านเขมรส่งไปช่วยเวียดกงสู้รบกับกองกำลังของโลกเสรี ในสมรภูมิเวียดนามใต้อย่างเปิดเผย<br />
<br />
แต่เมื่อนายพลลอน นอล ยึดอำนาจโค่นล้มระบอบสีหนุ และประกาศขับไล่กองกำลังต่างชาติ พร้อมทั้งร้องขอความช่วยเหลือทางด้านทหารและการเงินจากอเมริกา เพื่อปราบปรามกองกำลังเวียดนามเหนือที่รุกล้ำบูรณภาพเหนือดินแดนเขมรมาเป็นเวลาช้านาน จึงทำให้ "สวรรค์บนดิน" ของกองทัพเวียดนามเหนือล่ม จนต้องเร่งรัดรีบกอบกู้กลับคืนมา ก่อนที่การศึกในเวียดนามใต้จะกระทบกระเทือน และมีปัญหาไปมากกว่านี้<br />
<br />
ความปราชัยของกองทัพเขมรต่อกองกำลังเวียดนามเหนือซ้ำแล้ว ซ้ำอีกในดินแดนเขมรนี่เอง ทำให้ท่าทีและความหยิ่งยโสของนายพลลอน นอล ผ่อนคลายลง ต่อมาได้มีการเจรจาหารือกันกับฝ่ายลาว ถึงความร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหาด้วยการปิดเส้นทางโฮจิมินต์ในลาว อันเป็นเส้นทางลำเลียงสายหลักที่เหลืออยู่ เพราะเรือสินค้าค่ายคอมมิวนิสต์ซึ่งเคยได้รับความสะดวกจากบริการของเจ้านโรดมสีหนุที่ท่าเรือ "สีหนุวิลล์" ต้องยุติลงอย่างสิ้นเชิง และจำเป็นต้องหันไปใช้ท่าเรือไฮฟอง ซึ่งไม่ได้รับความสะดวกต่อการลำเลียงยุทธปัจจัย ผ่านเส้นทางโฮจิมินห์ สายเวียดนามเหนือ-ลาว-เขมร ไปสู่เวียดนามใต้<br />
<br />
ดังนั้น เพื่อตัดตอนให้ข้าศึกอ่อนแอ โลกเสรีจึงต้องพิจารณาหาทางปิดกั้นเส้นทางสายนี้ เพื่อหยุดยั้งการส่งกำลังบำรุงของค่ายคอมมิวนิสต์ที่ดำเนินการมาอย่างเข้มแข็งนานปี<br />
<br />
ในเรื่องนี้ทั้ง Washington และ CIA ได้ขยับเข้ามาเล่นเอง เพราะต้องการทดสอบและต้องการเห็นทฤษฎีของนิคสัน ( Nixon's Doctrin) ในการช่วยเหลือประเทศในภูมิภาคนี้ให้สามารถรวมตัวป้องกันตัวเองให้พ้นจากภัยคุกคามของคอมมิวนิสต์อย่างเป็นไปได้จริง<br />
<br />
ยุทธการนี้ใช้ชื่อรหัสว่า "คอปเปอร์"<br />
<br />
หัวหน้า CIA ประจำพื้นที่ปากเซกล่าวไว้ว่า...<br />
<br />
"โครงการนี้จะปิดเส้นทางโฮจิมินห์ที่ทอดจากลาวลงไปสู่เขมร โดยอาศัยกำลังทหารของเขมรเข้าช่วยปฏิบัติการ เพราะเขมรยังมีกำลังพลเหลืออยู่มาก ในขณะที่ลาวเองเหลือกำลังอยู่เพียงน้อยนิดเพราะกรากกรำศึกสู้รบมานานปี ภายในระยะเวลา 5 ปีนี้ เราจะฝึกทหารเขมรซึ่งอาจจะมีอีกมากมายหลายสิบกองพันให้มีความแกร่งกล้า มีสมรรถภาพเข้มแข็งสูงขึ้น"<br />
<br />
ศูนย์ฝึกนี้อยู่ในราชอาณาจักรลาวตอนใต้ ณ พื้นที่..... "นครสิงห์" เรียกว่า PS.18 (พีเอส.18) ได้มีการสร้างแค้มป์ที่พักทหารเพิ่มขึ้น ขยายและปรับปรุงสนามบินใหม่ เพื่อจุดประสงค์ในการฝึกทหารเขมรรองรับภารกิจนี้โดยเฉพาะ<br />
<br />
พีเอส.18 หรือ "นครสิงห์" อยู่ริมแม่น้ำโขงตรงข้าม ไทยด้าน อ.เขมราฐ (อุบลฯ) แต่เดิมเคยเป็นศูนย์ฝึกหน่วย เอส.จี.ยู (Special Guerilla Unit) หน่วยรบกองโจรพิเศษของลาว (ซึ่งต่อมาได้ย้ายไปอยู่ศูนย์ฝึกแห่งใหม่ที่ พี เอส.46 วัดภู อยู่ห่างจากปากเซไปทางใต้ 31 ก.ม.)<br />
<br />
วอชิงตันได้ตั้งความหวังไว้สูงมากดังจะเห็นได้ว่าได้ทุ่มเทงบประมาณให้กับทหารเขมรชุดนี้มากกว่าทหารแห่งชาติลาวเสียอีก โดยมี CIA.พยายามควบคุมดูแลการใช้เงิน (อย่างขี้เหนียว และประหยัดสุด ๆ) เห็นได้ชัดเจนว่าในขณะที่หน่วย เอส.จี.ยู.ของลาวส่วนใหญ่ยังใช้ปืน เอ็ม.2 หรือคาร์บินกันอยู่นั้น ทหารเขมรได้รับ เอ็ม.16 เป็นอาวุธประจำกาย นอกจากอาวุธประจำตัวที่เหนือกว่าแล้ว ทุกหน่วยยังมีปืน ค.60, ค.18 และบาซูก้า (คจตถ. 3.5) ใช้ครบกันทุกหมวดหมู่<br />
<br />
หลังจากทหารเขมรกองพันแรกฝึกเสร็จ ก็เริ่มออกปฏิบัติการจริงในสมรภูมิภาคใต้ของลาวเป็นครั้งแรกทันที แต่กลับ "สอบตก ไม่ผ่าน".<br />
<br />
เนื่องจากการทดสอบที่พิกัด พี เอส.38 กองพันแรกนี้ได้รุกคืบเข้าไปยึดพื้นที่เพื่อตั้งฐานที่มั่น แต่เจ้าถิ่นคือกองกำลังเวียดนามเหนือ ไม่ยอมให้ผู้บุกรุกตั้งหลัก ได้ส่งกองกำลังเข้าบุกโจมตีเพื่อทดสอบในคืนแรกที่กระโจนเข้าสู่สมรภูมินั้นเอง ทำให้กองพันนี้ สูญเสียกำลังพลไป 2 นาย บาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง<br />
<br />
วันรุ่งขึ้นกองพันเขมรที่ลุยเดี่ยวออกมานี้ ยอมถอดใจ ร้องขอไปยังหน่วยเหนือ ขออนุญาตถอนตัวกลับไปตั้งหลักที่ พี เอส.18 ก่อน<br />
<br />
แต่คำตอบที่ได้รับคือ...ให้เสริมกำลัง ส่งกองพันที่ 2 เข้าไปสมทบอีก....<br />
<br />
ขอเสริม (ก็รอดูกันครับ อนาคตเมืองไทยจะมีแบบนี้ไหม?...ตอนนี้ได้แต่รอดู และคาดการณ์จากเผด็จการที่ครองไทยอยู่ขณะนี้...จุดจบจะเป็นยังไง?...<br />
<br />
ภาษิตจีนว่าไว้ "เดินทางกลางคืนเป็นระยะเวลานาน ก็มีโอกาสจะเจอผีเข้าสักวัน")<br />
<br />
Chote Vanhakij<br />
2 กันยายน 2560 เวลา 23:29 น.<br />
คลิกที่นี่..อ่านคอมเม้นท์ใต้บทความครับ<br />
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1907814316206178&id=100009328851456<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/31/4kz03.jpg" /></center><br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">"เสือพรานสยายเขี้ยวเล็บ" (1)</span><br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">"ครั้งแรก ณ สมรภูมิราชอาณาจักรลาว"</span><br />
<br />
("ผม" เจ้าของเฟสขอเสริม (ช่วงยุคของความปั่นป่วนทางการเมือง, ไม่ว่าของประเทศไหน การเอารัดเอาเปรียบ, การกอบโกยโกงกิน, การเอื้อประโยชน์ทุกด้านแก่พวกพ้อง เพื่อให้มีฐานค้ำชูอำนาจ, การจับกุมเข่นฆ่าผู้เห็นต่าง เพื่อปกป้องฐานอำนาจของตัวเอง ฯลฯ นั้น มีทุกที่...แม้แต่ขณะนี้ ในเมืองไทย))<br />
<br />
..................................<br />
<br />
แต่ทันทีที่กองพันที่ 2 เคลื่อนย้ายเข้ามาเสริมทัพ กองกำลังเวียดนามเหนือก็ไม่ยอมรีรอที่จะให้เขมรทั้งสองกองพันตั้งหลักได้ ทุ่มกำลังเข้าโจมตีบุกแหลก ในคืนนั้นเอง ภายในระยะเวลาแค่ 12 ชั่วโมง เขมรทั้งสองกองพันต้องสูญเสียกำลังพลไปอีก 80 นาย<br />
<br />
แน่นอนว่าเขมรทั้งสองกองพัน......ที่อาจหาญออกมารบนอกบ้านครั้งแรกมิได้รอช้า พากันใส่เกียร์ถอยหลังถอนตัวออกจากสมรภูมิ เดินตบเท้าเข้าเมืองปากซองทันที จากที่นั่นหน่วยเหนือส่งเครื่องบินลงมารับกำลังทั้งหมดไปพักเพื่อฟื้นฟูและปรับกำลังที่ พีเอส.18 อีกครั้ง<br />
<br />
อย่างไรก็ตาม ต่อมาเขมรทั้งสามกองพันนี้ต้องสลายตัว กลับคืนสู่ประเทศของตน ทั้งที่กองพันที่สามยังฝึกไม่สำเร็จและยังไม่จบการฝึกดี เลยไม่มีโอกาสได้ทันออกทดสอบในสนามรบเพื่อพิสูจน์ฝีมือ<br />
<br />
ยุทธการ "คอปเปอร์" หรือ "ทองแดง" นี้จึงต้องมีอันพังทลายไปอย่างสิ้นเชิง จบสิ้นบทบาทไปแบบนกกระจอกยังไม่ทันกินน้ำ<br />
<br />
ความพ่ายแพ้ของเขมรครั้งนี้ ส่วนหนึ่งมาจากผู้บังคับบัญชาที่ด้อยประสิทธิภาพ ทั้งตัว ผบ.หน่วย "คอปเปอร์" เอง คือ พ.ท. ลิม สีสาท ไม่ยอมออกไปสู่สนามรบแนวหน้า ส่วนใหญ่จะใช้เวลา "อู้" อยู่ส่วนหลัง จึงไม่สามารถควบคุมหน่วยได้ ที่ร้ายหนักกว่านั้นคือ พ.ต.ยูกิมเฮง รองผบ.หน่วย เป็นเขมรเชื้อสายจีนยังไปถูกจับเพราะอยากรวยทางลัด นำสินค้าซึ่งเป็นเฮโรอีนจากลาวเข้าไปขายในเขมร<br />
<br />
ประเทศเขมรช่วงนั้น "น้ำกำลังขึ้น" เงินดอลล่าร์จากวอชิงตันสะพัดหลั่งไหลเข้ามาช่วยเหลือเกื้อกูลเศรษฐกิจของประเทศ และช่วยอุดหนุนเสริมสร้างกองทัพให้แข็งแกร่งเพื่อต่อสู้กับคอมมิวนิสต์...อย่างมากมาย<br />
<br />
แต่เขมรก็เหมือนหลายชาติในอินโดจีนขณะนั้น ซึ่งมีผู้นำที่รักชาติจนน้ำลายไหล (#ไม่แตกต่างจากเมืองไทยในขณะนี้ปี พ.ศ.2560 "ผม...เจ้าของเฟส")มีการคอรัปชั่นกันอย่างกว้างขวาง<br />
<br />
น้องชายของนายพลลอน นอล คือพลจัตวาลอน นน เอง ก็มีส่วนช่วยซ้ำเติมทำร้ายประเทศชาติของตน ด้วยการกอบโกยโกงกินมโหฬาร มีข่าวพัวพันกับการคอรัปชั่นทุกระดับชั้น ทำให้สถานการณ์ของพี่ชายและประเทศเขมรต้องย่ำแย่เสื่อมทรามลง<br />
<br />
เป็นสาเหตุและเป็นจุดอ่อนทำให้รัฐบาลของลอน นอล ต้องล่มสลาย ต่อมาต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้แตกหนีไปใช้ชีวิตบั้นปลายกลายเป็นเขมรอพยพ อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกาในที่สุด (เสียชีวิตที่แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา)<br />
<br />
เวียดนามเหนือและเขมรแดงจึงเป็นฝ่ายมีชัย ค่ายคอมมิวนิสต์สามารถยึดครองประเทศนี้ได้ และเป็นการยึดแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เจ้าสีหนุเองก็ไม่ยอมอยู่เพื่อคานอำนาจอีกต่อไป<br />
<br />
อย่างไรก็ตาม เรื่องราวของเขมรแดงและเวียดนามไม่ได้จบเพียงเท่านี้ กลายเป็นมหากาพย์ยืดเยื้อยาวนานมากกว่าทศวรรษ เพราะนอกจากความขัดแย้งของแนวความคิดและปรัชญาคอมมิวนิสต์แล้ว เขมรแดงยังได้พลิกกลับลำ เพราะเกรงว่าเวียดนามเหนือจะเขมือบกลืนเขมรจึงต่อต้านทำลายล้างด้วยการเข่นฆ่าชาวเวียดนามในเขมรตายเป็นเบือ<br />
<br />
เล่ากันว่าช่วงนั้น ปลาในแม่น้ำโขง และโตนเลสาบ (ทะเลสาบน้ำจืด ที่เกิดจากแม่น้ำโขงใหญ่ติดอันดับโลก)พากันอ้วนพีมีอาหารเหลือเฟือจากซากศพที่ลอยน้ำมาเป็นจำนวนมาก<br />
<br />
ผู้นำเขมรแดงที่เคียดแค้นฮานอยตอบโต้ไล่ล่าจองล้างจองผลาญ เข่นฆ่าเวียดนามไปมากมายคือ <a href="https://th.m.wikipedia.org/wiki/ตาม็อก" target="_blank">นายพลตา ม็อก</a> (ชื่อจัดตั้ง ไม่ใช่ชื่อจริงโปรดอ่านใต้ภาพ โดย "ผม...เจ้าของเฟส) ผู้อ้างว่าถูกฮานอยหักหลังครั้งดำรงตำแหน่ง ผบ.พื้นที่ด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงพนมเปญ(ในช่วงจูบปากกับเวียดนามเหนือร่วมกันต่อต้านการโค่นล้มจากรัฐบาลลอน นอล)<br />
<br />
ดังนั้นเมื่อฝ่ายนายพลตา ม็อก มีอำนาจจึงเริ่มต้นปฏิบัติการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ด้วยการเข่นฆ่าชาวเวียดนามบริเวณรอบ ๆ ทะเลสาบและทั่วประเทศ<br />
<br />
การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เพื่อนมนุษย์ด้วยกันอย่างเหี้ยมโหด ซึ่งผู้กลายเป็นศพมีทั้งเวียดนาม เขมรกรอม และเขมรอำนาจเก่า จนต่อมากลายเป็นสาเหตุให้เวียดนามเหนือต้องส่งกำลัง 22 กองพลบุกเขมร โดยใช้ยุทธการ "ดอกบัวบาน" รุกมาจากหลายจุด รวมทั้งจากลาวตอนใต้ อ้างว่า "เพื่อปกป้องเผ่าพันธ์พลเมืองของตน"จนกลายเป็นศึกยืดเยื้อกว่าทศวรรษ<br />
<br />
ย้อนกลับมาที่ประเทศไทยช่วงต้นปี พ.ศ.2513 หลังนายพลลอน นอล ยึดอำนาจจากสมเด็จพระสีหนุ(ขณะนี้ไม่มียศถาบรรดาศักดิ์ และกลายเป็นสามัญชนอยู่ในเขมร)ได้สำเร็จ ได้ป่าวประกาศขอความช่วยเหลือไปยังโลกเสรี เพื่อต่อสู้ปราบปรามคอมมิวนิสต์โดยเฉพาะเวียดนามเหนือที่ฝังตัวอยู่ในเขมรมาช้านาน<br />
<br />
ประเทศไทยซึ่งตระหนักถึงภัยอันตรายของคอมมิวนิสต์ขณะนั้น ก็ตกลงจะช่วยเขมรด้วยการส่งกองกำลังอาสาสมัครไปช่วยป้องกันรักษาเมืองต่าง ๆ ของเขมรเพื่อให้อยู่รอดปลอดภัยจากศัตรู<br />
<br />
อาสาสมัครชุดแรกรับจากทหารกองหนุน โดยส่งตัวเข้าฝึกเพิ่มเติมอีกสามเดือนที่เขาไม้ปล้อง จ.ปราจีนบุรี ซึ่งอยู่ไม่ไกลชายแดนเขมรมากนัก โดยรัฐบาลเขมรรับจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้(ซึ่งแน่นอนคงต้องจ่ายมาจากวอชิงตัน)<br />
<br />
แต่สงครามที่ขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวางจนทั่วเขมร บวกกับการใช้จ่ายมีรูรั่วมากมายทำให้เขมร, รัฐบาลนายพลลอน นอล ไม่มีเงินเหลือพอที่จะมาช่วยค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ เมื่อทหารอาสาสมัครของไทยกว่าสามกองพัน(1,500 นาย) ในโครงการซึ่งมีชื่อเรียกัน อย่างไม่เป็นทางการว่า "Yellow Tiger" หรือ "เสือเหลือง" ที่ฝึกเสร็จครบตามกำหนดแล้ว ก็ต้องแหงนคอรอกันต่อไป ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้ออกไปรบเสียที<br />
<br />
นี่คือต้นกำเนิดที่มาของหน่วย "เสือเหลือง" (YELLOE TIGER).<br />
<br />
อ.ส.ถาวร วรรณโชติ (ลาออกจากการเป็นข้าราชการสำนักงบประมาณกระทรวงการคลัง เพื่ออาสาออกไปรบในเขมร) เล่าให้ฟังถึงสาเหตุการตัดสินใจเข้าสู่สมรภูมิในเขมรว่า<br />
<br />
"...เห็นบรรดาเพื่อน ๆ กลับจากเกาหลี กลับจากเวียดนาม ต่างมีเงินเหลือซื้อบ้าน ปลูกบ้านได้กันเป็นแถว ทบทวนดูแล้วไอ้เสมียนต๊อกต๋อยอย่างเรานี่ ชาตินี้คงไม่มีปัญญามีบ้านเป็นของตัวเองแน่ อย่ากระนั้นเลย ลาออกแม่ง..! ไปรบในเขมรดีกว่า เผื่อรอดกลับมาจะได้มีบ้านอยู่กับเขาบ้าง แต่เมื่อฝึกเสร็จแล้วพวกไล่กลับบ้าน ให้ไปรอฟังข่าวที่บ้าน ถ้าออกรบเมื่อไหร่จะเรียกไป ทุกคนก็งง คงเป็นเพราะเขมรสับสนเป็นแน่"<br />
<br />
อดีต อ.ส.ถาวร (ปัจจุบันมีอายุกว่า 75 ปี, ขณะที่ผู้เขียนเขียนนี้ กรกฎาคม พ.ศ.2559) กล่าวตบท้ายว่า...<br />
<br />
"วันที่ 9 กันยายน 2513 จะเป็นเพราะ "เขมรสับสน" หรือเป็นเพราะสถานการณ์เปลี่ยนไปก็ตาม รัฐบาลไทยได้ออกประกาศว่า "จะไม่ส่งทหารไปรบที่เขมรแล้ว" ในการแถลงครั้งนี้ ไม่ได้กล่าวถึงอาสาสมัครทั้งกรม ซึ่งผ่านการฝึกเรียบร้อยแล้ว แต่ได้ส่งกลับภูมิลำเนาเดิมทั้งหมด<br />
<br />
พวกอาสาสมัคร ซึ่งผ่านการฝึกเพื่อไปรบในเขมรต่างก็งงไปตาม ๆ กัน เพราะได้รับคำสั่งให้ไปคอยที่บ้านจนกว่าจะมีการเรียกตัว เมื่อมีประกาศจากทางการจะไม่ส่งกองกำลังทหารไปช่วยรบในเขมรแล้ว พวกอาสาสมัครก็เลยไม่รู้สถานภาพของตัวเองเป็นอะไร<br />
<br />
แต่สถานการณ์ของหลายของประเทศของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ขณะนั้น ไม่ได้แปรผันในเชิงลบเฉพาะในเขมรเท่านั้น ในราชอาณาจักรลาวก็กำลังย่ำแย่เข้าขั้นวิกฤตคับขัน<br />
<br />
เนื่องจากในอดีตที่ฝ่ายลาว ซึ่งเคยหวังจะพึ่งเขมรก็ไม่ได้ดังใจ เพราะกองพันของเขมรที่ส่งมาในลาวกลับแตกพ่ายหายจ้อยไปแบบสายฟ้าแลบ จึงจำเป็นต้องหา "ตัวช่วยใหม่" เพื่อช่วยกอบกู้สถานการณ์ต่อกรกับกองกำลังเวียดนามเหนืออันเกรียงไกรติดอันดับโลก ทั้งเวียดนามเหนือยังผนึกกำลังกับลาวฝ่ายซ้ายเข้าไปอีก<br />
สำหรับการสู้รบในลาวเวลานั้นกองกำลังฝ่ายรัฐบาลลาวกำลังตกเป็นรองชนิดเจียนไป เจียนอยู่ จึงมีการเจรจาระดับสูงจากหลายฝ่ายอย่างเร่งด่วน<br />
<br />
ในที่สุดทางวอชิงตัน ซึ่งกำลังวิตกกังวลกับความปราชัยของฝ่ายโลกเสรี ทั้งในเวียดนาม(เวียดนามใต้) ลาว และเขมร โดยเฉพาะสถานการณ์ในราชอาณาจักรลาว ที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์สามารถยึดพื้นที่ได้ถึงสองในสามของประเทศ คงเหลือเพียงหัวเมืองใหญ่ ๆ เท่านั้นที่ยังเหลืออยู่ในมือของลาวฝ่ายขวา และฝ่ายเป็นกลาง แต่ก็ไม่รู้จะยื้อไว้ได้อีกนานเท่าไร<br />
<br />
อเมริกันจึงได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ เรื่องงบประมาณของเหล่าอาสาสมัครที่ปราจีนบุรีโดยตรง โดยไม่ต้องให้ใครฟาดหัวคิวจนก่อให้เกิดปัญหาเหมือนที่ผ่านมา<br />
<br />
อาสาสมัคร 3 กองพันที่ผ่านการฝึก ณ เขาไม้ปล้อง จ.ปราจีนบุรี ซึ่งตอนแรกก็มีโครงการจะส่งไปช่วยรบในเขมรแต่มีปัญหาเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เข้ามาแทรก ทำให้โครงการนี้ระงับไป บรรดา อ.ส.ที่ผ่านการฝึกทุกนายได้รับคำสั่งให้กลับไปคอย ณ ภูมิลำเนาเดิมก่อน หากมีการเปลี่ยนแปลงจะมีคำสั่งส่งไปเรียกตัว<br />
<br />
เมื่อพี่เบิ้มอเมริกันเข้ามามีบทบาทแสดงเอง กำลังรบอาสาสมัครหน่วยนี้จึงกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง<br />
<br />
Chote Vanhakij<br />
3 กันยายน 2560 เวลา 10:15 น.<br />
คลิกที่นี่..อ่านคอมเม้นท์ใต้บทความครับ<br />
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1908067172847559&id=100009328851456<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/s7/95z04.jpg" /></center><br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">"เสือพรานสยายเขี้ยวเล็บ" (2)</span><br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">"ครั้งแรก ณ สมรภูมิราชอาณาจักรลาว"</span><br />
<br />
ในฟากฝั่งค่ายคอมมิวนิสต์สมัยนั้น รัสเซียและจีนให้การสนับสนุนเวียดนามเหนือเต็มที่ ฮานอยจึงกล้าเปิด "ยุทธการ 139" เพื่อปฏิบัติการสู้รบเต็มรูปแบบในลาว สำหรับ "ยุทธการ 139" นี้ มีที่มาของชื่อจากการกำหนดวันที่ 13 เดือน 9 เป็นวันเริ่มปฏิบัติการตามแผนการ โดยแบ่งเป็น 2 ช่วง...<br />
<br />
ระยะแรก เริ่มจากเดือนตุลาคม-กุมภาพันธ์ พ.ศ.2513, ระยะที่สองเริ่มจากเดือนมีนาคม-พฤษภาคม พ.ศ.2513<br />
<br />
ฝ่ายโลกเสรีก็น่าจะรู้ว่าเวียดนามเหนือเตรียมการรุกครั้งใหญ่ในลาวภายใต้แผนยุทธการ 139 ฝ่ายไทย......(และสหรัฐอเมริกา)จึงประกาศเป็นที่รู้กันว่าจะไม่ส่งอาสาสมัครที่ผ่านการฝึก ณ เขาไม้ปล้อง จ.ปราจีนบุรี ไปช่วยรบในเขมรแล้ว<br />
แต่จะส่งไปช่วยรบในสมรภูมิลาวแทน!!<br />
<br />
ในห้วงเวลานั้น...พล.อ.โว เหวียน เกี๊ยบ เสนาธิการผู้เปรื่องปราชญ์ของกองทัพเวียดนามเหนือ เริ่มต้นศักราชของการบุกครั้งนี้ด้วยกองพล 316 และกองพลที่ 312 พร้อมด้วยการสนับสนุนจากรถถัง และปืนใหญ่ 130 อันทรงอานุภาพ ทำให้นักรบลาวต้องแตกพ่ายแทบทุกสมรภูมิ ทหารชาติลาว และทหารม้งของนายพลวัง ปาว ประสบความปราชัยในการรบอย่างยับเยิน<br />
<br />
ทุ่งไหหินตกอยู่ในเงื้อมมือของเวียดนามเหนืออีกครั้ง<br />
<br />
หลังจากกองพลที่ 316 ซึ่งเป็นดุจหัวหอกบุกทะลวงเข้าสู่ชุมทางหนองเพชร แล้วยึดทุ่งไหหินไว้ในกำมือ แล้วแบ่งกำลังออกเป็นสามส่วนแยกไปตีเมืองสุย เมืองอ่าง และบ้านนา เมื่อจุดยุทธศาสตร์ทั้งสามได้แล้วก็มารวมกำลังกันอีกครั้ง เพื่อเข้าตีขุมกำลังใหญ่นายพลวังปาวที่รักษาซำทอง และล่องแจ้ง เพื่อเผด็จศึกขั้นแตกหัก ก่อนจะเข้ายึดเมืองหลวงเวียงจันทร์<br />
<br />
กำลังพลของเวียดนามเหนือรุกคืบหน้าอย่างเมามันจนมาถึงซำทอง หรือพิกัด แอลเอส-20<br />
<br />
กลางเดือนมีนาคม 2513 ซำทองที่มั่นสำคัญในภาค 2 รองจากล่องแจ้งก็จบเห่ กองกำลังทหารม้งของนายพลวัง ปาว แตกยับเยิน ซำทองตกอยู่ในเงื้อมมือทหารเวียดนามเหนือ, กรม 148 ที่บุกเข้ายึดเมืองนี้ได้ในวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ.2513<br />
<br />
กองทหารเวียดนามเหนือเผาทำลายอาคารบ้านเรือนราษฎรทุกแห่ง แม้แต่โรงพยาบาลก็ไม่ได้รับการยกเว้นสร้างความเสียหายให้แก่ซัมทองอย่างย่อยยับ ราษฎรชาวม้ง, ชาวลาว ซึ่งอยู่อาศัยรอบ ๆ ซำทองต่างหอบลูก จูงหลานอพยพหลบหนีกระเจิดกระเจิง ประสบภาวะเดือดร้อนแสนสาหัส<br />
<br />
สถานการณ์ขณะนั้นทำให้ล่องแจ้งตกอยู่ในอันตรายอย่างยิ่ง และเสี่ยงต่อการสูญเสียล่องแจ้งอันเป็นปราการด่านสุดท้ายของรัฐบาลลาว<br />
<br />
รัฐบาลลาว...เรียกร้องความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนต่อสหรัฐอเมริกา ทำให้ "นายเทพ" หรือ พันเอกวิทูรย์ ยะสวัสดิ์ (ยศขณะนั้น) ผบ.333 ต้องตัดสินใจส่งทหารจากกรมผสม 13 อุดรธานี ทั้งทหารราบและปืนใหญ่ ลำเลียงขึ้นเครื่อง ซ.130 ข้ามโขงเพื่อไปปกป้องช่วยเหลือล่องแจ้ง และสามารถหยุดยั้งการรุกรบของฝ่ายเวียดนามเหนือได้ทันท่วงที<br />
<br />
ต่อมา เมื่อ ทชล.(ทหารแห่งชาติลาว) และกองกำลังทหารม้งภายใต้บังคับบัญชาของนายพลวัง ปาว ตั้งหลักได้ จึงผนึกกำลังจากทุกภาคส่วนเพื่อตั้งรับ และเริ่มเดินหน้ากดดันฝ่ายเวียดนามเหนือให้หยุดชะงักและช่วงชิงพื้นที่กลับคืนมาได้หลายส่วน<br />
<br />
ขณะเดียวกันฝ่ายเวียดนามเหนือก็ประสบกับปัญหาหลายอย่าง เนื่องจากรุก รบเร็วเกินไป และล่วงล้ำเข้ามาในพื้นที่ไกลเกินกว่าจะยึดครองได้อย่างเด็ดขาด อุปสรรคการส่งกำลังบำรุง และยุทโธปกรณ์เกิดตามมา รวมทั้งมีการโจมตีเส้นทางส่งกำลังบำรุงอย่างหนัก ประกอบกับใกล้จะถึงฤดูฝนอันเป็นอุปสรรคสำคัญในการสู้รบทำให้ฮานอยมีคำสั่งให้ยุติการบุกเพียงแค่นี้ก่อน แล้วให้ถอยกลับไปตั้งมั่นที่ทุ่งไหหิน<br />
<br />
หลังจากเวียดนามเหนือถอยทัพและล้มเลิกความตั้งใจที่จะยึดล่องแจ้งให้ได้ สถานการณ์ก็เริ่มคลี่คลายเป็นลำดับ แต่ทหารไทยจากกรมผสมที่ 13 ยังไม่ได้รับคำสั่งให้ถอนกำลังกลับคืนประเทศไทยทั้งหมด โดยให้ตรึงกำลังไว้บางส่วน ณ จุดยุทธศาสตร์สำคัญหลายแห่ง เพื่อปกป้องล่องแจ้ง ต่อไปอีกระยะหนึ่ง<br />
<br />
"ยุทธการ 139 สร้างความประหลาดใจให้กับฝ่ายโลกเสรี เพราะเป็นครั้งแรกที่กองทัพเวียดนามเหนือได้นำยุทธวิธีนี้มาใช้ในราชอาณาจักรลาว นั่นคือการผสมผสานระหว่างกองกำลังฝ่ายต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ทั้งทหารราบ, แซปเปอร์, ดักกง, ทหารช่าง, รถถัง, รถหุ้มเกราะ และอาวุธหนักแบบต่าง ๆ ที่มีประสิทธิภาพในการยิงที่เหนือกว่าและแม่นยำกว่า เช่น ปืนใหญ่ 130 ที่มีระยะยิงไกลกว่า 30 กม.มาใช้เป็นครั้งแรกในสมรภูมิ"<br />
<br />
และเป็นที่น่าสังเกตว่ายุทธวิธีการสู้รบของฝ่ายเวียดนามเหนือปีนี้ไม่ได้ "มาแล้วไป" เมื่อย่างเข้าฤดูฝนเหมือนปีก่อน ๆ แต่ครั้งนี้ฮานอยให้คงกำลังจำนวนมากไว้เพื่อยึดพื้นที่ตามจุดยุทธศาสตร์ต่าง ๆ ในราชอาณาจักรลาวอย่างมั่นคงถาวร ดังนั้นเมื่อสิ้นฤดูฝน พื้นที่ภาค 2 ก็ต้องเตรียมตั้งรับการรุกของฝ่ายข้าศึกคือเวียดนามเหนืออย่างเต็มที่<br />
<br />
รวมทั้งภาคอื่น ๆ ของลาวก็น่าจะเผชิญการคุกคามจากกองทัพเวียดนามเหนืออย่างหนักเช่นกัน เพราะกองกำลังเวียดนามเหนือได้กระจายตั้งฐานทั่วทุกภาค หัวเมืองสำคัญหลายแห่งของลาว อาทิ แขวงอัตตะปือก็อยู่ในเงื้อมมือของเวียดนามเหนือ และขบวนการประเทดลาว<br />
<br />
ฝ่ายโลกเสรีทั้งไทยและสหรัฐอเมริกา ต่างวิตกกังวลกับสถานการณ์ที่ลาวเผชิญอยู่ในเวลานั้น<br />
<br />
เพนตากอน หรือ กระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา จึงสัญญาจะรับภาระสนับสนุนค่าใช้จ่ายของทหารไทยอาสาสมัคร 5,000 นาย หรือประมาณ 10 กองพัน ที่จะข้ามโขงไปช่วยปกป้องลาวให้พ้นจากภัยคุกคามของฝ่ายคอมมิวนิสต์<br />
<br />
แต่รัฐบาลลาว ซึ่งกำลังอยู่ในภาวะวิกฤติ แม้ไม่มีทางหลีกเลี่ยงที่จะปฏิเสธทหารไทยเข้าไปช่วยลาวรบเพื่อยับยั้งการรุกของเวียดนามเหนือ กระนั้นผู้บริหารประเทศหลายคน รวมทั้งนายกรัฐมนตรีเจ้าสุวรรณภูมา ก็ไม่เห็นด้วยที่จะให้ไทยเข้าแทรกแซง<br />
<br />
ทว่าไม่มีทางเลือกอื่น กอปรกับได้เห็นผลงานของกรมผสมที่ 13 ของไทยซึ่งเคยช่วยล่องแจ้งไม่ให้ถูกเวียดนามเหนือยึดครองมาแล้ว ทำให้ลาวจำยอมรับทหารไทยเข้าไปปฏิบัติภารกิจในแผ่นดินลาว กระนั้นรัฐบาลเจ้าสุวรรณภูมาก็ตั้งเงื่อนไขไว้สองข้อ คือ<br />
<br />
1. ทหารไทยต้องประจำการให้อยู่ห่างไกลจากเวียงจันทร์ ให้พ้นสายตาของกองทัพนักข่าว<br />
<br />
2. ทหารไทยต้องอยู่ในสมรภูมิที่มีภัยอันตราย และถูกคุกคามจากศัตรูอย่างแท้จริง<br />
จากความเห็นร่วมระหว่างไทย-สหรัฐอเมริกา-ลาว โดยเฉพาะไทย เล็งเห็นว่าพื้นที่สำคัญที่ควรได้รับการปกป้อง คือ พื้นที่ราบสูงโบโลเว่น (Plateau des Bolovens) เขตอิทธิพลของกองพลที่ 968 ของเวียดนามเหนือ ซึ่งตั้งมั่นอยู่ที่นี่มานาน นอกจากอยู่ไม่ห่างจากปากเซ เมืองสำคัญที่ใหญ่ที่สุดของลาวตอนใต้ ยังอยู่ใกล้ไทยและเขมร<br />
<br />
โดยเฉพาะปากเซ ซึ่งอยู่ห่างจากชายแดนไทยไม่กี่สิบกิโลเมตร หากปากเซต้องมีอันเป็นไปอยู่ในเงื้อมมือของคอมมิวนิสต์ ไม่ใช่ลาวเท่านั้นที่จะเดือดร้อน ทั้งไทย เขมร และเวียดนามใต้ย่อมจะตกอยู่ในภาวะอันตรายอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น<br />
<br />
(ปากเซอยู่ห่างจากชายแดนไทย ช่องเม็ก จ.อุบลราชธานี ประมาณ 50 กม.)<br />
<br />
วันที่ 13 ธันวาคม 2513 เป็นวันประวัติศาสตร์ของกองกำลัง "ทหารเสือพราน"(ทสพ.)ที่ควรจารึกไว้ เมื่ออาสาสมัครทหารเสือพราน 2 กองพันแรก บินตรงจากสนามบินหน้าค่ายจักรพงษ์ปราจีนบุรี ทยอยมาลงตั้งหลักค้างคืนที่ภูหลวง หรือ พีเอส.44 ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของทหารรัฐบาลลาว สังกัดกองทัพภาคที่ 4 บนที่ราบสูงโบโลเว่น<br />
<br />
และกองพันทหารเสือพราน 2 กองพันนี้ คือหน่วยรบหน่วยแรกของอาสาสมัครทหารเสือพรานในสมรภูมิลาว<br />
<br />
โปรดอ่านต่อฉบับหน้า อิ อิ.......<br />
<br />
(อาสาสมัครทหารเสือพราน เปิดฉากขยายเขี้ยวเล็บ ครั้งแรก ณ สมรภูมิราชอาณาจักรลาว).<br />
<br />
Chote Vanhakij<br />
3 กันยายน 2560 เวลา 14:48 น.<br />
คลิกที่นี่..อ่านคอมเม้นท์ใต้บทความครับ<br />
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1908144082839868&id=100009328851456<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/rj/fr505.jpg" /></center><br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">"เสือพรานสยายเขี้ยวเล็บ" (3)</span><br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">"ครั้งแรก ณ สมรภูมิราชอาณาจักรลาว"</span><br />
<br />
สองกองพันดังกล่าวได้รับชื่อโค้ด หรือ ชื่อพรางเป็นภาษาฝรั่งเศส คือ BC.601 และ BC.602(กองพันจู่โจม BC=Battalion Commando) ต่อมาเรียกกันสั้น ๆ ว่า พัน.1 มีนายทหารไฟแรงอดีตเป็นครูฝึกสอนการยิงปืน ค. ให้นักเรียนนายร้อย จปร. ใช้ชื่อพรางว่า "คำคม"... (พ.ต.จรวย นิ่มดิษฐ์)เป็น ผบ.พัน ส่วน บีซี.602 หรือ พัน.2 ได้ "ทองอินทร์" หรือ (พ.ต.ประกาย คารวะ) เป็น ผบ.พัน<br />
<br />
ทั้งสองกองพันมีเหล่า "หมวกแดง" จากหน่วยรบพิเศษป่าหวาย ลพบุรี 25 คน เป็นพี่เลี้ยงคอยประกบช่วยเหลือทั้งสองกองพันตลอดเวลา โดยแบ่งออกเป็นสองทีม ทีมแรกจำนวน 13 นาย ประกบอยู่กับ บีซี.601 และที่เหลืออีก 12 นาย ประจำอยู่กับ บีซี.602<br />
<br />
มีผู้กล่าวว่า สิงห์ "หมวกแดง" ทั้ง 25 นายนี้ ถูกส่งมาตามคำสั่งของจอมพลถนอม กิตติขจร และ จอมพลประภาส จารุเสถียร ผบ.ทบ.ซึ่งห่วงใยว่าเหล่าอาสาสมัครทหารพรานถูกส่งเข้าไปอยู่ในเขตอิทธิพลของกองพล 968 ของเวียดนามเหนือ (วนน.) อย่างโดดเดี่ยว ปราศจากอาวุธหนัก( ปืนใหญ่) และการสนับสนุนใด ๆ อาจจะละลายแบบทหารเขมรที่เจอมาแล้ว จึงจัดชุดป่าหวายมาเป็นพี่เลี้ยง<br />
<br />
ทั้งสองกองพันนี้ ยังมีนายทหารระดับหัวกะทิอีกสองคนในชื่อพรางคือ "อภิชาติ" (พ.ต.สมิทธิ์โชติ เวียนขุนทด) และ "ปัจจา" ทั้งคู่เป็นนายทหารยุทธการ หรือ เสธ.คอยดูแลทั้งสองกองพันอย่างใกล้ชิด<br />
<br />
ส่วนที่ บก.ฉก.สน.(กองบัญชาการเฉพาะกิจ ส่วนหน้า) นั้น มี "ดาบ" หรือ (พ.ท.เฉลิม ประสมทรัพย์) นายทหารรูปหล่อ ร่างสูงใหญ่ ผิวขาว จาก จปร.เป็น ผบ.ทหารทั้งหมดอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ หน."ธารา"<br />
<br />
ในเวลาต่อมา(เลยถือเป็นรูปแบบการจัดกองพัน...เจ้าของเฟส) อาสาสมัครเสือพรานทุกกองพัน ทั้งทหารราบและเหล่าปืนใหญ่ต่างใช้ตัวอักษร BC ตามด้วยตัวเลข 600 เป็นตัวหลัก แต่พันปืนจะใช้ BA(Battalion Artillery) หรือกองพันปืนใหญ่ ทหารเสือพรานที่ข้ามโขงไปรบในลาวทั้งหมด จัดรูปแบบโดยให้หนึ่งกองพัน มีสามกองร้อย บวกหนึ่งหมวดอาวุธหนัก<br />
<br />
นายทหารหรือเจ้าหน้าที่โครงการมี 22 นาย ส่วนใหญ่ประกอบด้วยนายทหารสัญญาบัตร และชั้นประทวนจากกองทัพบก(เซ็นใบลาออกจากราชการแล้ว) เสนารักษ์ประจำหมวดหมู่อีก 33 นาย และเหล่าอาสาสมัครซึ่งส่วนใหญ่มาจากกองหนุนที่ได้ผ่านการฝึกมาจาก......... "Special Forces"..."Green Berets" หรือ "หมวกเขียว" หน่วยรบพิเศษอเมริกันจากค่ายฝึกต่าง ๆ อีก 495 นาย รวมกำลังเต็มอัตรา ทั้งหมด 552 นาย (แต่ไม่เคยเต็ม)<br />
<br />
จาก พีเอส.44 (ภูหลวง) ทหารเสือพรานทั้งสองกองพันได้ขึ้นเครื่องบินปีกหมุน หรือ ฮ.ไปลงที่สนามบินบ้านห้วยทราย จากบันทึกของ ส.อ.ถาวร วรรณโชติ (ยศในสนามรบ)หนึ่งในอาสาสมัครเสือพรานรุ่นแรกที่ผ่านการฝึกจากเขาไม้ปล้อง ได้ให้รายละเอียดช่วงนี้ไว้ว่า.......<br />
<br />
ทั้งสองกองพันไปลงที่บริเวณ บ้านห้วยทราย บนที่ราบสูงโบโลเว่น ห่างจากเมืองปากซองไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 19 กม.ทั้งหมดต้องเผชิญกับอากาศหนาวเย็นที่คาดไม่ถึงเนื่องจากเป็นที่สูง จนต้องขอสนับสนุนเสื้อกันหนาวโดยด่วน<br />
<br />
แต่ฝรั่งซึ่งเป็นซีโอ. หรือตัวแทนของ "สกาย" หรือ ซีไอเอ.ไม่เชื่อว่าหนาวจริง ถึงกับบินมาด้วยตัวเอง หลังจากเจออากาศหนาวสะท้านเข้าเต็ม ๆ ก็วิทยุติดต่อให้นำเสื้อกันหนาวหลากหลายชนิดมากองไว้ที่สนามบิน มีทั้งแจ็กเก็ตเนวี และฟิลด์แจ็กเก็ต ของ ทบ.อเมริกันให้เลือกเอาคนละตัว<br />
<br />
ตกค่ำวันนั้นเอง ขณะทั้งสองกองพันยังไม่ตั้งหลักดี ข้าศึกก็ทำสงครามจิตวิทยาเปิดฉากข่มขวัญและรบกวนทันที โดยทหารเวียดนามเหนือต้อนฝูงวัวหลายสิบตัววิ่งเข้ามาเคลียร์กับระเบิดที่วางไว้ตลอดหน้าแนวเพื่อให้พวกวัวสะดุดพลุแฟร์ และกับระเบิดที่เราวางดักไว้<br />
<br />
ทหารทั้งสองกองพันใช้ปืนเล็กประจำกายยิงไล่ วัวบางตัวล้มลงดิ้น บางตัวเตลิดไปตัวละทิศละทาง เว้นว่างสักพักพวกมันก็ต้อนเข้ามาอีก เล่นเอาเสือพรานทุกนายตื่นตัวตลอดเวลา ไม่ได้หลับได้นอนกันทั้งคืน แต่ก็มีหลายคนเก็บอาการได้ นิ่งเฉยไม่ตื่นเต้น<br />
<br />
เช้าวันรุ่งขึ้นกำลังพลส่วนหนึ่งที่มาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ(พื้นเพคนอีสาน) ถือเอาวิกฤตเป็นโอกาส พากันออกไปยิงวัวบางตัวซึ่งล้มบาดเจ็บทรมานเพราะถูกกับระเบิด แล่เอาเนื้อแบกกลับมา ทำลาบ หลู้ กินกันอย่างเอร็ดอร่อย<br />
<br />
ตอนสายของวันนั้น ผบ.พัน กับคณะได้ยกพวกพากันไปที่หมู่บ้านห้วยทราย ซึ่งยังมีชาวบ้านอาศัยอยู่ นายบ้านให้การว่า เมื่อคืนนี้มีทหารเวียดนามเหนือ ที่ประจำอยู่ในเขตพื้นที่นี้ บอกว่าจะเข้าโจมตีฐานที่ตั้งทหารซึ่งมาประจำการใหม่ แต่ชาวบ้านเห็นพวกเราขนอาวุธยุทโธปกรณ์ลงจากเครื่องบินมากมาย ได้ขอร้องไว้ เพราะกลัวว่าจะโดนลูกหลงถล่มหมู่บ้านไปด้วย<br />
<br />
การออกไปพบปะกับชาวบ้าน ในหมู่บ้านห้วยทราย และได้ข่าวจากนายบ้านดังกล่าว ผบ.พัน ได้รายงานให้หน่วยเหนือรับทราบ หน่วยเหนือซึ่งห่วงใยความปลอดภัยของชุมชนเล็ก ๆ แห่งนั้น จึงมีคำสั่งให้ "คำคม" บอกให้ชาวบ้านอพยพออกจากหมู่บ้านเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง แล้วเดินทางไปอยู่ที่เมืองปากซองทันที<br />
<br />
ซึ่งชาวบ้านก็ยินยอมทำตามคำบอกทุกอย่าง ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาชาวบ้านห้วยทราย และสัมภาระของทุกคนในครอบครัวก็ถูกขนย้ายด้วยการแบกหามบ้าง ใส่ในเกวียนเทียมควายบ้าง รวมทั้งสัตว์เลี้ยงทุกชนิดที่นำติดตัวไปด้วยได้ จากนั้น หญิง ชาย คนเฒ่า คนแก่ และเด็กเล็กก็เคลื่อนขบวนมุ่งหน้าไปยังเมืองปากซอง<br />
<br />
หลังจากหมู่บ้านห้วยทรายกลายเป็นหมู่บ้านร้าง ผบ.พันและนายทหารฝ่ายยุทธการ หรือ เสธ.ทั้งหมด ได้เดินสำรวจภูมิประเทศภายในหมู่บ้านและบริเวณโดยรอบ พิจารณาทำเลภูมิประเทศโดยละเอียด ก่อนตัดสินใจย้ายที่ตั้งฐานมายังหมู่บ้านห้วยทรายซึ่งกลายเป็นหมู่บ้านร้างนั้น<br />
<br />
การตั้งฐานของสองกองพันกองพันทั้งสองวางแนวออกเป็น 2 ฐาน ลักษณะวงรีเหมือนกัน โดยแยกออกจากกัน มีเส้นทางเดินเป็นถนนสายเล็ก ๆ พาดผ่านตรงกลางระหว่างฐานทั้งสองแห่ง ความยาวของฐานของพัน.1. พัน.2.มีความยาวจากทิศเหนือไปใต้ และมีลำธารสายเล็ก ๆ ผ่าน ปลายสุดของฐาน ทั้งสองด้าน<br />
<br />
ไกลออกไปทางด้านทิศเหนือของฐานประมาณ 3 กม.มีหมู่บ้านสิบกว่าหลังคาเรือนตั้งอยู่ และเป็นหมู่บ้านซึ่งอยู่ในเขตอิทธิพลของกองกำลังฝ่ายข้าศึก เลยจากหมู่บ้านออกไปเป็นป่าทึบ มีภูเขาสูงตั้งตระหง่านอยู่ห่างออกไปอีกประมาณ 10 กม. คาดว่าเป็นฐานที่มั่นใหญ่ของข้าศึก<br />
<br />
ตลอดวันนั้นทหารเสือพรานทั้งสองกองพันใช้เวลาทั้งหมดเสริมสร้างฐานที่มั่น ขุดหลุมบุคคล วางกับดัก สร้างแนวป้องกัน ขึงลวดหนามหีบเพลงวางรอบฐาน 3-5 ชั้น เว้นช่องว่างระหว่างชั้นไว้เป็นพื้นที่สังหาร วางกับระเบิดและแฟล์สะดุดตลอดหน้าแนวป้องกันการรุกประชิดจนถึงตัว<br />
<br />
และเพื่อความแน่นอน "คำคม" ผบ.บีซี.601หรือ "ครูจรวย"ที่นักเรียนนายร้อย จปร.รู้จักดี เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องปืน ค.คนหนึ่งที่หาตัวจับยาก เป็นผู้กำกับดูแลวางที่ตั้งปืน ค.ไว้ตามจุดสำคัญรอบฐานของทั้งสองกองพัน และทดสอบการยิงโดยวางพิกัดไว้ให้ครอบคลุมพื้นที่รอบฐานอย่างใกล้ชิดด้วยตัวเอง<br />
<br />
ทหารเสือพรานทั้งสองกองพันทุกหมวดหมู่ ทุกกองร้อยได้รับการซักซ้อมวิธีการปฏิบัติเมื่อข้าศึกเข้าโจมตีอย่างติวเข้ม.<br />
<br />
อดใจรอสักนิด...! พรุ่งนี้มาต่อครับ.<br />
<br />
Chote Vanhakij<br />
4 กันยายน 2560 เวลา 23:59 น.<br />
คลิกที่นี่..อ่านคอมเม้นท์ใต้บทความครับ<br />
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1908882782765998&id=100009328851456<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/zn/vct06.jpg" /></center><br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">"เสือพรานสยายเขี้ยวเล็บ" (4)</span><br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">"ครั้งแรก ณ สมรภูมิราชอาณาจักรลาว"</span><br />
<br />
ที่เน้นหนักและให้ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด คือ ระเบียบวินัยในการใช้เสียง แสงไฟ และกำชับให้สงบนิ่ง ให้คำนึงว่าเราอยู่ในที่มั่นแข็งแรงมั่นคง ถ้าข้าศึกเข้าโจมตีก่อนอย่าร้อนรน อย่าส่งเสียง ห้ามเคลื่อนย้ายต้องประจำอยู่ในที่มั่นของตน<br />
<br />
ที่สำคัญคือวินัยการยิง ห้ามยิงเด็ดขาดจนกว่าจะได้รับคำสั่งให้ยิง<br />
<br />
นอกจากทั้งสองกองพันจะต้องระมัดระวังข้าศึกอย่างเต็มที่ ยังต้องรบกับหมัดหมาและแมลงอย่างหนัก เนื่องจากหลังชาวบ้านย้ายออกไป เหล่าทหารเสือพรานได้ไปรื้อฝาบ้าน กระดานเรือนมาทำบังเกอร์ที่มั่น เจ้าหมัดหมา, เห็บหมา, ตลอดจนแมลงซึ่งติดอยู่ในบ้านจึงหันมาเล่นงานทหารไทยอย่างสนุกมัน ทำให้เสือพรานจำนวนมาก ทั้งสองกองพันเป็นผื่นแดง, แสบ, คันทั้งตัว<br />
<br />
ถึงขั้นต้องรองขอไปยังหน่วยเหนือให้ส่งยาทาและผงโรยป้องกันหมัดหมา มาสนับสนุน นั่นแหละความไม่เป็นปกติสุขจึงค่อยบรรเทาลงได้<br />
<br />
ทหารเสือพรานอยู่อย่างเป็นสุขในฐานที่ตั้งบ้านห้วยทรายได้ไม่กี่วัน ก็เจอกับการต้อนรับของข้าศึกเป็นครั้งแรก คืนนั้นข้าศึกยิงจรวด 122 มาจากทิศตะวันตกเฉียงใต้เป็นระยะ แต่วิถียิงก็ขาดความแม่นยำ ส่วนใหญ่จะตกไประเบิดเลยฐาน หรือตะเข็บฐานทั้งหมด<br />
<br />
กระนั้นก็ยังมีจรวดลูกหนึ่งบังเอิญพุ่งมาลงหลุมบุคคลของ ร.ต.สำเนียง เนตรน้อย ถึงกับขาขาดทั้งสองข้าง<br />
<br />
"ฮิลท็อป" เป็นแฟ็กประจำกรมซึ่งมีอยู่คนเดียว ได้วิทยุให้เครื่องบินไปตรวจสอบหาที่ตั้งตำแหน่งที่มาของจรวดเหล่านั้น ต่อมาได้นำเครื่องบินมาทิ้งระเบิดถล่มจึงเงียบหายไปพักใหญ่ แต่อีกไม่นานก็กลับมาถล่มอีก คราวนี้นอกจากจรวดแล้วยังมี ค.82 ลอบเข้ามาตั้งยิงแล้วเผ่นหนี<br />
<br />
ตั้งแต่วันนั้นกองพัน บีซี.601 และ บีซี.602 ถูกข้าศึกยิงรบกวนทั้งกลางวัน กลางคืนเพียงแต่แนวกระสุนที่ตกไม่สร้างความเสียหายให้ฐานกองพันทั้งสองฐานเนื่องจากข้าศึกไม่สามารถรุกเข้ามาในระยะใกล้ได้ เพราะฝ่ายเราตอบโต้สวนกลับทุกครั้งด้วยอาวุธหนักเหมือนกัน<br />
<br />
โดยเฉพาะ "คำคม" ผบ.พัน (ครูจรวย) ครูฝึกปืน ค.เชี่ยวชาญอาวุธหนักประเภทนี้เป็นพิเศษ เมื่อไหร่ที่ข้าศึกเปิดฉากลอบโจมตี ท่านจะบัญชาการรบด้วยตัวเอง และสั่งปืน ค.ที่วางตำแหน่งไว้หลายจุดยิงสวนกลับ จนหยุดยั้งความฮึกเหิมของฝ่ายตรงข้ามให้สลายไป<br />
<br />
สถานการณ์ลอบเข้ามาโจมตีด้วยอาวุธยาวแล้วฉากหนีของข้าศึก กดดันให้ทหารเสือพรานสังกัด บีซี.601 และ บีซี.602.เกิดความเครียดสูง ถึงเวลากลางคืนก็แทบไม่มีโอกาสหลับนอน เพราะกัมปนาทไม่ขาดระยะของระเบิด ขณะเดียวกันก็เท่ากับเพิ่มความแกร่งให้นักรบอาสาสมัครขึ้นอีก<br />
<br />
กองพัน บีซี.601 และ บีซี.602 ไม่ผิดกับตกอยู่ในสถานการณ์ถูกบังคับให้ซ้อมรบตั้งรับกราย ๆ จนการประสานงานภายในฐานลื่นไหลได้เป็นอย่างดี และเมื่อว่างเว้นจากการถูกโจมตี ทหารพรานทุกนายก็ต้องทำงานเสริมที่มั่น ทุกจุดอย่างหนัก ตลอด 9 วัน<br />
<br />
#ในที่สุดก็ถึงวาระที่ทหารเสือพรานทั้งสองกองพัน เสมือนได้รับการทดสอบความแข็งแกร่งของฐานที่ตั้งเป็นครั้งแรก<br />
<br />
เริ่มแรกตั้งแต่เช้าประมาณเวลา 07.00 น.ข้าศึกได้ยิงถล่มใส่ฐานของสองกองพันด้วยอาวุธหนักนานาชนิด ทำให้อาสาสมัครได้รับบาดเจ็บไป 4 นาย ข้าศึกมาจากกรม 9 กองพลที่ 968 ของกองทัพบกประชาชนเวียดนาม (PAVN = People Army of Vietnam)ซึ่งได้ควบคุมบริเวณนี้มาช้านาน โดยมีฐานทัพตั้งอยู่แถวเมืองสาละวัน<br />
<br />
ตกดึกคืนวันที่ 15 มกราคม 2514 เวลา 23.00 น.<br />
<br />
ข้าศึกได้ถล่มอาวุธหนักประเคนมาให้มากกว่า 300 นัด กระสุนทั้งหมดลงที่มั่นเดิม คือข้างสนามบิน (ชั่วคราว) ห้วยทราย ทิศเหนือของฐาน ฝ่ายข้าศึกคงหมดค่ากระสุนอาวุธหนักไปมากมายหลายล้านบาทแต่สองกองพันยังปลอดภัย<br />
<br />
ต่อมา เช้าวันที่ 18 มกราคม ระหว่างนายทหารกำลังประชุมหารือวางแผนกันอยู่ ที่ บก.พัน ได้มี อ.ส.นอกประจำการจำนวนหนึ่ง 30-40 นาย ทนความกดดันไม่ไหว นำอาวุธประจำกายพร้อมเป้สนามหนีออกจากฐานเดินเท้าไปทางปากซอง<br />
ผบ.บีซี.601 และ ผบ. บีซี.602 มีคำสั่งให้จัดตั้งหน่วยติดตาม เพื่อยับยั้ง อ.ส.ทหารพรานที่ละทิ้งหน้าที่ระหว่างการรบ แฟ็กประจำกรม "ฮิลท็อป" ได้เรียกเครื่องบินมาค้นหาจนพบและนำทางคณะติดตามไปเจรจากับ อส.ทหารพรานเหล่านั้น และไปทันกันใกล้กับสนามบินปากซอง สถานการณ์ขณะนั้นเป็นไปอย่างเคร่งเครียด เพราะถ้า อ.ส.ทหารพรานที่เข้าข่ายหนีทัพไม่ยอมวางอาวุธก็ต้องยิงกัน<br />
<br />
ร้อนถึงหัวหน้า "เทพ" (พ.อ.วิทูรย์ ยะสวัสดิ์).(ยศขณะนั้น)ต้องบินด่วนมายังฐานบ้านห้วยทราย เพื่อแก้ไขสถานการณ์<br />
<br />
หลังจากได้รับรายงานสถานการณ์ จากนายทหารระดับผู้บังคับบัญชาโดยละเอียด จึงเรียกประชุมทหารพราน อาสาสมัครทั้ง 2 กองพัน คือ บีซี.601 และ บีซี.602 ทั้งหมด หัวหน้า "เทพ" กล่าวกับทหารทุกนายว่าการอาสามารบครั้งนี้เป็นการอาสาของตัวทหารเอง ไม่ได้บังคับมาหรือเกณฑ์มา เมื่อมีอาสาสมัครไม่เต็มใจจะปฏิบัติการสู้รบ ทางกองพันก็จะไม่บังคับขืนใจ เพราะภารกิจนี้จะต้องเป็นไปด้วยความสมัครใจ ฉะนั้นขอให้ทุกคนตัดสินใจเอาเอง ถ้าสมัครใจจะอยู่เพื่อสู้ต่อตามเดิมก็ไม่ต้องเคลื่อนไหวใด ๆ หากใครไม่อยากอยู่ก็ให้ก้าวเท้าออกมาจากแถว<br />
<br />
สิ้นคำประกาศของหัวหน้า "เทพ" มี อ.ส.ทหารพรานสละสิทธิ์จำนวนหนึ่ง ซึ่งมีจำนวนมากพอสมควร โดยเฉพาะกองพัน บีซี.602 ที่มี "ทองอินทร์" เป็น ผบ.พัน มักจะมีปัญหาเรื่องการดูแล และความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกำลังพล จนเกิดช่องว่างไม่ประสานกันได้ มี อ.ส.ทหารพรานสละสิทธิ์นับ 100 นาย ส่วน บีซี.601 ซึ่งมี "คำคม" (ครูจรวย)เป็น ผบ.พัน ไม่มีปัญหาเรื่องดังกล่าว จึงมี อ.ส.ขอถอนตัวไม่กี่คน<br />
<br />
เมื่อกำลังทหารขาดจำนวนไปเช่นนี้ ย่อมทำให้หลายเบิร์ม หลายที่มั่นมีทหารประจำจุดไม่ครบ บางจุดเหลืออยู่คนเดียว เพราะ "บัดดี้"(เพื่อนคู่หู)ได้สละสิทธิ์หนีกลับไทยไปแล้ว<br />
<br />
อ.ส.ทหารพรานที่สละสิทธิ์ทั้งหมดถูกนำไปยังสนามบินปากซอง โดยหัวหน้า "เทพ" เรียกเจ้าหน้าที่การเงินมาจาก บก.อุดร มาจ่ายเงินให้ที่สนามบินปากซองแก่ทุกคนที่สละสิทธิ์จนครบถ้วน แถมมี อ.ส.ทหารพรานจากหน่วยติดตามหลายนายเกิดถอดใจ ขอสละสิทธิ์ขึ้นเครื่องบินกลับไทยเอาดื้อ ๆ<br />
<br />
เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ จึงทำให้ทหารทั้ง 2 กองพันที่ฐานห้วยทรายเหลืออยู่ประมาณ 800 กว่านาย (จากจำนวนเต็มอัตรากองพันละ 550 นายรวมทั้งสองกองพัน 1,100 นาย)<br />
<br />
หน."เทพ" ซึ่งช่วงนั้นคงไม่รู้จะทำอย่างไร และไม่สามารถส่งกำลังไปเพิ่มให้ได้ครบเต็มจำนวน ท่านถึงกับเปรยว่า "ช่างมันโว้ย...เหลือเท่านี้ ก็รบเท่านี้"<br />
<br />
เหตุผลการที่มี อ.ส.ทหารพรานสละสิทธิ์ขอกลับเมืองไทยครั้งนั้น พอประเมินได้อย่างคร่าว ๆ ว่าน่าจะมีสาเหตุหลายประการ เช่น เงินเดือนน้อย สภาพความเป็นอยู่ในสนามรบไม่เหมือนเกาหลีและเวียดนาม ซึ่งอาหารการกิน, สภาพความเป็นอยู่ และสวัสดิการดีกว่ามาก ทั้งมีพีเอ็กซ์ (ร้านค้าในค่ายทหาร...เจ้าของเฟส)ให้บริการเต็มที่ ตลอดจนได้รับการสนับสนุนจากปืนใหญ่ตลอดเวลา<br />
<br />
แต่ที่นี่ไม่มีปืนใหญ่ให้การสนับสนุน เป็นสองกองพันเสมือนถูกปล่อยทอดทิ้งให้โดดเดี่ยวอยู่ในดงข้าศึก<br />
<br />
กลางคืนก็ไม่ได้หลับได้นอนทั้งคืน บางคืนได้ยินเหมือนเสียงรถถังทางทิศเหนือของฐาน ต้องออกไปซุ่มรอต่อต้านรถถัง วางกับระเบิดเตรียมถล่มรถถังตามเส้นทางที่คาดว่ารถถังต้องลุยเข้ามาแน่ แต่รถถังก็ไม่ยอมโผล่มาสักที<br />
<br />
คงเป็นกลลวงหรือการทำสงครามจิตวิทยา นอกจากนั้นยังมีเสียงเหมือนการเจาะหินในยามค่ำคืนตลอดทั้งคืน ไม่รู้ข้าศึกมันเจาะภูเขาไว้เก็บอะไร สันนิษฐานกันไปต่าง ๆ นานา เพราะไม่สามารถลาดตระเวนเข้าไปค้นหาที่มาของเสียงได้ เนื่องจากการลาดตระเวนไม่คุ้มต่อการเสี่ยง ด้วยพื้นที่เต็มไปด้วยกับระเบิดของฝ่ายข้าศึกที่วางป้องกันไว้<br />
<br />
หลังจากกำลังพลส่วนหนึ่งสละสิทธิ์เผ่นกลับเมืองไทย ทำให้กำลังที่เหลือของสองกองพันขาดหายไป หลายร้อยนายไม่เต็มตามอัตรา แต่เสือพรานที่เหลือก็เท่ากับพิสูจน์ตัวเองว่าเป็น "ของจริง" ใจเกินร้อยทั้งสิ้น<br />
<br />
แม้จะถูกโจมตีด้วยจรวดทุกวัน วันละ 3 เวลาก็ตามแต่ไม่ได้ทำให้ บีซี.601 และ บีซี.602 เสียขวัญหมดกำลังใจ กระทั่งถึงวาระวันสิ้นปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ทหารทุกนายได้แต่ฉลองกันเงียบ ๆ ภายในฐาน ท่ามกลางความกดดันจากสถานการณ์รอบด้าน<br />
<br />
#ยิ่งไปกว่านั้นความกระหายต้องการรบของทหารหลายกลุ่มในฐานที่มั่น เพิ่มอัตรารุนแรงแทบระงับไม่ได้<br />
<br />
เช่น รท.สมบูรณ์เกียรติ สิทธิเดชะ ผบ.ร้อย 2 บีซี.602. ถึงกับทำพิธีตั้งศาลเพียงตาสักการะพระเจ้าตากสิน วิงวอนขอให้ข้าศึก เข้าตีทางด้านของตัวเองก่อน<br />
แต่อีกกระแสหนึ่งเชื่อว่าความคาดการณ์ของหน่วยการข่าวฝ่ายข้าศึกผิดพลาด(จากการบอกเล่าของทหารเสือพรานบางท่านที่อยู่ในเหตุการณ์)...ยืนยันว่าหน่วยสอดแนมของกรม 9 เวียดนามเหนือเข้าใจว่าทหารสองกองพันนี้เป็นทหารเขมร และน่าจะมีประสิทธิภาพพอ ๆ กับทหารเขมรสองกองพันซึ่งเคยส่งมารบในโครงการ "คอปเปอร์" และถูกทหารเวียดนามเหนือกรมนี้ล่อซะเละจน "แตกด่วน"ภายใน 12 ชั่วโมง.<br />
<br />
ซึ่งได้เขียนมาแล้วเมื่อตอนต้นเรื่อง<br />
<br />
โปรดอ่านต่อฉบับหน้า....<br />
<br />
Chote Vanhakij<br />
5 กันยายน 2560 เวลา 23:22 น.<br />
คลิกที่นี่..อ่านคอมเม้นท์ใต้บทความครับ<br />
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1908882782765998&id=100009328851456<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/16/8y607.jpg" /></center><br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">"เสือพรานสยายเขี้ยวเล็บ" (5)</span><br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">"ครั้งแรก ณ สมรภูมิราชอาณาจักรลาว"</span><br />
<br />
...ทั้งนี้ก็เพราะมีอาสาสมัครทหารพรานส่วนหนึ่งมาจากจังหวัดภาคอีสานใกล้ชายแดนเขมร โดยเฉพาะทหารของพัน.1 ซึ่ง อ.ส.หลายท่านมีภูมิลำเนามาจากจังหวัดสุรินทร์, บุรีรัมย์ และศรีษะเกษ ซึ่งจะใช้ภาษาพูดเป็นภาษาเขมร ส่งเสียงโหวกเหวกอยู่หน้าแนว ได้ยินไปไกล<br />
<br />
หน่วยหาข่าวของเวียดนามเหนือ น่าจะมาฝังตัวสืบหารายละเอียดจากฐานที่ตั้งของ 2 กองพัน จึงเข้าใจว่ากำลังทหารเสือพราน (ทสพ) ของไทย เป็นกองกำลังทหารเขมร หรือเป็นฐานของ ทชล.(ทหารแห่งชาติลาว) ซึ่งกรม 9 ของเวียดนามเหนือเคยสยบมาแล้วทั้งสิ้น<br />
<br />
ด้วยเหตุนี้ฝ่ายข้าศึกจึงประเมินศักยภาพของกำลังเสือพรานผิดพลาดเพราะประมาท และประเมินความแข็งแกร่งของทหารฝ่ายตรงข้ามต่ำกว่าความเป็นจริง ประกอบกับการกดดันของเวียดนามเหนือด้วยอาวุธหนักระยะไกลซึ่งโหมกระหน่ำอย่างต่อเนื่องมาระยะหนึ่ง ทำให้เวียดนามเหนือคาดว่าทหารทั้ง 2 กองพัน คงอ่อนเปลี้ยหมดกำลังใจไปแล้ว ฉะนั้น จึงเห็นสมควรเปิดฉากทลายกำลัง 2 กองพันเสียที<br />
<br />
ในที่สุดวันเวลาที่ทุกคนใจจดใจจ่อเฝ้ารอคอยก็มาถึง<br />
<br />
กลางดึกยามค่ำคืนอันหนาวเหน็บ ของวันที่ 8 มกราคม 2514 เวลาประมาณ ตี 2 ทหารเวียดนามเหนือเจนศึก สังกัดกรม 9 จำนวนมาก เคลื่อนกำลังพลเข้ามาสองทิศทาง คือ ทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ และตะวันตกเฉียงเหนือ<br />
<br />
ดูเหมือนฝ่ายข้าศึกจะมีความฮึกเหิมและมั่นใจเต็มที่ หมายได้ชัยชนะครั้งนี้<br />
"ริงเกอร์" หรือ เทิดศักดิ์ โพธิลักษณ์ อดีตผู้นำการโจมตีทางอากาศ ซึ่งช่วงนั้นยังทำหน้าที่เป็นแค่ผู้ช่วย "ฮิลท็อป" และได้ร่วมอยู่ในเหตุการณ์ยุทธการนองเลือดที่บ้านห้วยทราย ได้เล่าให้ฟังว่า..<br />
<br />
"ฝ่ายเราคาดการณ์เอาไว้แล้วว่า ข้าศึกจะต้องเข้าตีคืนนี้ เพราะจากข่าวกรองและมีสิ่งบอกเหตุหลายอย่างที่แสดงให้รับรู้ ทั้งสองกองพันก็ได้เตรียมพร้อมเต็มอัตรามาหลายคืนแล้ว เพียงแต่สงบนิ่งไม่เคลื่อนไหวให้ผิดสังเกต คืนนั้นเอง หน่วย "แซปเปอร์" ของฝ่ายมัน อาศัยความมืดเลื้อยเข้ามาจนถึงด่านแรก และสามารถปลดกู้กับระเบิดที่วางไว้หน้าแนวได้เกือบหมด และตัดลวดหนามที่มีหลายชั้นเข้ามาอย่างใจเย็น"<br />
<br />
"เราสังเกตเห็นข้าศึกตั้งแต่แรกแล้ว ส่วนใหญ่นุ่งผ้าเตี่ยวผืนเดียว เสื้อก็ไม่ใส่ เห็นตัวขาวโพลนทั้งที่อากาศหนาวจะตาย ดูผิดมนุษย์มนา แต่เราก็ปล่อยให้มันเข้ามาเรื่อย ๆ "ตามแผนปิดประตูตีแมว" ฝ่ายเราทุกคนเข้าประจำตำแหน่งที่ได้ซักซ้อมกันไว้ และเฝ้าดูอย่างเงียบกริบ"<br />
<br />
"แต่ละคนใจเย็น ไม่มีตื่นเต้น และไม่ยิงจนกว่าจะได้รับคำสั่ง เราปล่อยให้ข้าศึกเข้ามาใน "KILLING ZONE" (พื้นที่สังหาร) ปล่อยให้ผ่านแนวรั้วลวดหนามเข้ามาเรื่อย ๆ ฝ่ายข้าศึกคงคิดว่าทหารทั้ง 2 กองพัน คงมุดหัวนอนหลับสนิทแน่ ส่วนเวรยามก็คงซุกอยู่ในผ้าห่ม กรนครอก ๆ เหมือนกัน หารู้ไม่ว่าทหารเสือพรานล้วนเล็งศูนย์ปืนเลือกเป้าของใครของมันเงียบเชียบ"<br />
<br />
"กระทั่งข้าศึกไหลเข้ามาอยู่ในแนวรั้วลวดหนามด้านใน ซึ่งเป็นลวดหนามอีกชั้นก่อนจะมาถึงบังเกอร์ฝ่ายเรา ซึ่งขณะนั้นก็เท่ากับขังพวกมันไว้ให้อยู่ในพื้นที่จำกัด ถูกบีบบังคับจากแนวรั้วลวดหนามทั้งด้านหน้า และด้านหลัง"<br />
<br />
"สักพักพวกมันก็ทยอยกันเข้ามาเต็ม คราวนี้ไม่ใช่พวก "แซปเปอร์" อย่างเดียว แต่เป็นทหารสวมเครื่องแบบมีอาวุธครบมือ เกือบทุกคนมีเป้สะพายหลังมาด้วย แต่ส่วนใหญ่เป็นเป้เปล่า มีแค่ขนมโก๋ ผ้าพันแผล และมอร์ฟีน ตรงนี้มาค้นพบทีหลัง ช่วงนับศพของเช้าวันรุ่งขึ้น พวกมันเอาเป้เปล่ามาเพื่อขนของกลับฐานมัน.....มั่นใจกันถึงขนาดนั้นเลยแหละ มั่นใจว่าฐานเราต้องแตกแน่ ๆ"<br />
<br />
"เมื่อฝ่ายมันเข้ามาเงียบ ๆ ฝ่ายเราก็เฝ้าดูเงียบ ๆ เหมือนกัน ในที่สุดระหว่างแซปเปอร์กำลังเริ่มตัดลวดหนามแนวสุดท้าย เราก็ได้รับสัญญาณให้ยิง"<br />
<br />
"พริบตานั้น มันเหมือนกับนรกแตก พวกเราอยู่ในที่กำบังมิดชิด เปิดฉากยิงถล่มเข้าใส่แบบหูดับตับไหม้ ยิงและยิงเข้าใส่พวกมันที่อยู่ในพื้นที่ลานโล่งระหว่างลวดหนาม ไอ้พวกนั้นเข้าก็ไม่ได้ ถอยออกก็ไม่ได้ เหมือนไล่ยิงฝูงเก้ง ฝูงกระต่ายเห็น ๆ พวกมันล้มกลิ้งระเนระนาด แต่เมื่อตั้งหลักได้ก็พยายามต่อสู้ บางคนหลุดฝ่าแนวลวดหนามออกมาได้"<br />
<br />
"ก็พยายามวิ่งชาร์จเข้ามาหา แต่ก็ต้องพรุนเมื่อเจอเสือพรานสาดลูกปืนเข้าสกัด ข้าศึกคงทั้งตกใจ และแปลกใจ คาดไม่ถึงว่าเราจะตั้งหลักต้อนรับมันได้เหนียวแน่นอย่างนี้ ขณะเดียวกันหมวดอาวุธหนัก ก็ถล่ม ค.ไปด้านหน้าแนว และตามจุดต่าง ๆ ที่วางตำแหน่งไว้อย่างหนาแน่น"<br />
<br />
ถาวร วรรณโชติ อาสาสมัครทหารเสือพราน ประจำ บีซี.601 ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์วันนั้นและทำหน้าที่ควบคุมการยิงปืน ค.60 เล่าว่า....<br />
<br />
"คืนนั้นผมเข้าเวร พอถึงเวลาตี 2 คู่เวรผมบอกหิวข้าว แล้วเดินออกไปหาอะไรกินที่โรงครัว หายไปแป๊ปเดียว ก็วิ่งตาหูแหกกลับมา บอกว่า "พ่อมึงมาแล้วโว้ย" ทีแรกก็ไม่รู้ว่าแซปเปอร์ได้ตัดลวดหนามแหกด่านแรกเข้ามาแล้ว เพราะมันมาเงียบจริง ๆ พอได้รับสัญญาณให้ยิงได้ผมก็คุมลูกน้องระดมยิง ค.ไปทางหน้าแนว ใกล้บ้าง ไกลบ้าง ทำ "โซนสวีป" ยิงกวาดไปบ้าง คาดว่าสร้างความเสียหายให้กับพวกมันพอสมควร แต่ที่แปลกคือไอ้ลูกน้องผมมันโวยวาย อ้างว่ามองเห็นศพของพวกมัน ที่กองสุมระเนระนาดอยู่ระหว่างลวดหนามกระดุก กระดิกได้"<br />
<br />
ซึ่งเรื่องนี้ ถาวร วรรณโชติ ขณะนั้นคงไม่ทราบว่า ทหารเวียดนามเหนือจะไม่ยอมทิ้งศพพรรคพวกของตนไว้ให้ศัตรูเป็นอันขาด แม้บางครั้งจะต้องแลกด้วยการเสียศพเพิ่มก็ตาม นอกจากจะเป็นประเพณีปฏิบัติแล้ว ยังเป็นเรื่องของขวัญและกำลังใจนักรบด้วยกัน ศพข้าศึกที่เห็นว่าเคลื่อนไหวได้ก็คือ ศพที่ถูกพวกเดียวกันพยายามลอบเข้ามาลากกลับออกไป ด้วยการใช้เชือกผูกตะขอเหล็กปลายแหลมสามแฉกขว้างเข้ามาเกี่ยวศพ แล้วดึงลากออกไป<br />
<br />
วิธีนี้บางทีผู้ที่ถูกเกี่ยวออกไปยังไม่เสียชีวิตอาจแค่บาดเจ็บหรือสลบไป แต่ข้าศึกไม่มีตัวเลือกอื่น เพราะดีกว่าทิ้งผู้บาดเจ็บไว้ให้ตกไปอยู่ในเงื้อมมือศัตรู<br />
<br />
ผลการสู้รบในคืนเลือดเดือดคืนนั้น กว่ากระสุนนัดสุดท้ายจะสิ้นเสียงก็เมื่อขอบฟ้าเรื่อเรืองด้วยแสงอรุณ<br />
<br />
วันรุ่งขึ้น เวลาเช้าตรู่ หลังจากเสียงปืนเงียบสงบ ทั้งสองกองพันได้ออกเคลียร์หน้าแนว พบศพของข้าศึกที่ไม่สามารถนำออกไปได้ นอนตายเกลื่อนกลาดทับถมอยู่บนลวดหนาม โดยเฉพาะตามแนวระหว่างรั้วลวดหนาม กรม 9 เวียดนามเหนือ ได้ทิ้งศพทหารเวียดนามเหนือไว้ให้นับได้ถึง 131 ศพ และจับเป็นเชลยศึกทหารประจำการเวียดนามเหนือได้อีกสามคน คือ พลทหารล็อค มิน ฮัง และ พลทหาร ฮอง วัน เคือง แต่อีกคนเสียชีวิตเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว<br />
<br />
นอกจากศพแล้ว ข้าศึกยังได้ทิ้งอาวุธไว้ให้ดูเป็นที่ระลึกต่างหน้าอีกร่วม 500 รายการ<br />
<br />
ส่วนทหารไทย บีซี.602 เสียชีวิตไปหนึ่งคน(เข้าใจว่าโดนกระสุนพวกเดียวกัน) และบาดเจ็บอีกหนึ่งคน เนื่องจากโดนลังกระสุนทับใส่ ขณะเครื่องบินมาทิ้งสัมภาระให้ในช่วงวิกฤติหน้าสิ่ว หน้าขวาน<br />
<br />
"ถาวร วรรณโชติ" อีกนั่นแหละที่ยืนยันถึงสาเหตุทหารเสือพรานผู้นั้นไม่ได้สิ้นชีพเพราะกระสุนศัตรู...<br />
<br />
"สาเหตุที่ตายเพราะ "บัดดี้" ประกบคู่อยู่ด้วยกัน สละสิทธิ์ขอกลับเมืองไทย เลยเหลืออยู่คนเดียวในบังเกอร์ มันยิงจนกระสุนหมด เลยวิ่งออกจากบังเกอร์ตัวเองไปหากระสุนมาเพิ่มเติม ซึ่งผู้บังคับบัญชาสั่งไว้แล้วว่าอย่าได้ออกไปเพ่นพ่านเป็นอันขาด ให้ประจำอยู่ในที่มั่นตัวเอง ที่เสียชีวิตคงโดนปืนพวกเดียวกันแน่ เพราะตอนนั้นกำลังสับสนสุด ๆ ไม่รู้ใครเป็นใคร ถ้ามีบัดดี้ช่วยประกบด้วยกัน และกักตุนกระสุนไว้ให้พอ...คงไม่ตาย"<br />
<br />
เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อวิทยุรายงานวีรกรรมของทหารไทยครั้งนี้ ผู้บังคับบัญชาชั้นสูงที่ บก.333 อุดรฯ สงสัยไม่อยากเชื่อว่าเป็นไปได้ ที่ทหารไทยทั้งสองกองพัน (ไม่เต็มจำนวน) จะสร้างความเสียหายให้กับศัตรูได้มากมายถึงขนาดนี้<br />
<br />
ผบ.ฉก.สน. ที่ยืนฟังรายงานทางวิทยุไปยังบก.333 อุดรฯ หน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความไม่พอใจอยู่ข้าง ๆ ต้องคว้าแฮนด์เซ็ตจากพนักงานวิทยุมายืนยันด้วยตัวเอง...<br />
<br />
"นี่ผมดาบนะ...ผมนับมันด้วยมือของผมเอง"...คำพูดของ พ.ท.เฉลิม ประสมทรัพย์....<br />
<br />
อ่านต่อฉบับหน้าครับ.......<br />
<br />
Chote Vanhakij<br />
7 กันยายน 2560 เวลา 00:10 น.<br />
คลิกที่นี่..อ่านคอมเม้นท์ใต้บทความครับ<br />
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1909991735988436&id=100009328851456<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/cl/udr08.jpg" /></center><br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">"เสือพรานสยายเขี้ยวเล็บ" (6)</span><br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">"ครั้งแรก ณ สมรภูมิราชอาณาจักรลาว"</span><br />
<br />
"นี่ผมดาบ...นะ...!! ผมนับมันด้วยมือของผมเอง"... พ.ท.เฉลิม ประสมทรัพย์ หรือ หัวหน้า "ดาบ" กรอกคำยืนยันใส่ในวิทยุเสียงลั่นเพื่อตอบข้อกังขาของทาง บก.333 อุดรฯ ที่ไม่เชื่อว่าเป็นความจริง<br />
<br />
ถาวร เล่าว่า ตอนเช้าหลังการปะทะ "คำคม" ได้นำกำลังพลออกกวาดล้างข้าศึกหน้าแนวเป็นหน้ากระดานเรียงหนึ่งออกไปในระยะ 1 ก.ม.ไปพบ บก.ของข้าศึกเป็นแอ่งธรรมชาติ มีพบอุปกรณ์สายโทรศัพท์ และสัมภาระต่าง ๆ รวมทั้งหม้อหุงต้มและที่นึ่งข้าวเหนียว และไปพบข้าศึกหลบซ่อนอยู่ใต้ขอนไม้ บาดเจ็บสาหัสมีผ้าพันแผลตามตัวหลายแห่ง มือขวาถือระเบิดมือแบบสากกะเบือ และเมื่อไม่ยอมจำนนจะขว้างระเบิดเข้าใส่จึงถูกยิงตายใต้ขอนไม้นั่นเอง แต่เมื่อเดินไกลออกไปเป็นป่าทึบไม่สามารถออกกวาดล้างได้ แต่มีร่องรอยของข้าศึกจึงพากันกลับเข้าฐาน ต่อมา "ฮิลท็อป" ได้นำเครื่อง เอฟ. เข้าถล่มจุดนี้<br />
<br />
อาวุธที่ยึดมาได้ส่วนใหญ่เป็นอาก้าแบบพับฐาน และไม่พับฐาน พร้อมยึดอุปกรณ์เครื่องรบพร้อมเสบียงกรังมากมาย<br />
<br />
"นายเทพ" ได้บินมาเยี่ยมของตอนสายวันเดียวกัน ประกาศว่าใครยึดปืนพกได้ ให้เอามา...จะให้กระบอกละ 1,000 บาท ปรากฏว่า "วิมล" ซึ่งไม่ได้ออกกวาดล้างแต่ก็ไวทายาด หยิบปืนจากเป้ของข้าศึกมาเก็บไว้หน้าตาเฉย เลยได้รางวัลจาก "นายเทพ" ไป นอกจากปืนพกแล้วจะมีมีดพกขนาดเล็กในซองหนังสีน้ำตาลคล้ำ ซึ่ง "นายเทพ" ได้ไปจากงานนี้เช่นกัน และท่านจะพกเหน็บติดตัวไว้ตลอดเวลาที่ออกสนามเหมือนเครื่องรางของขลังประจำตัว<br />
<br />
#ส่วนศพของทหารเวียดนามเหนือที่ถูกทิ้งค้างหลงเหลืออยู่ทั้งหมด ทหารไทยทั้งสองกองพัน มิได้ละเลยเพิกเฉย ได้ระดมนำทหารทั้งสองกองพันร่วมด้วยช่วยกันทำหน้าที่ระดมขุดหลุมไม่ห่างจากหน้าแนวรบมากนัก และนำร่างไร้วิญญาณของเหล่าทหาร "ผู้กล้า" จากเวียดนามเหนือของกรม 9 แห่งกองพลที่ 968 ทั้ง 131 นายลงหลุม<br />
<br />
ต่อจากนั้นได้ขอน้ำมันมาจากหน่วยเหนือจำนวนมากนำมาเป็นเชื้อเพลิง ทำพิธีการฌาปนกิจศพทั้งหมดในหลุมนั้นเอง และทำการฝังกลบ<br />
<br />
อย่างไรก็ตาม...หลังผ่านไปหลายวันมีกลิ่นศพเหม็นโชยมาตามลมเป็นครั้งคราว กลิ่นมาจากจุดที่ "ฮิลท็อป" ได้เรียกเครื่องบิน เอฟ. มาถล่มในป่าทึบหลังเข้าโจมตีฐานดังกล่าว คาดการณ์ว่าคงเป็นกลิ่นเหม็นจากศพของข้าศึก ซึ่งน่าจะเป็นจุดที่นักรบเวียดนามได้รับบาดเจ็บสาหัส ถูกพาตัวออกจากสมรภูมิสู้รบมารวมกันไว้ที่นี่ และยังไม่ทันเคลื่อนย้ายพาถอยหนีต่อไป จึงถูกโจมตีซ้ำทางอากาศจาก เอฟ. ที่ "ฮิลท็อป" เรียกมาจนกลายเป็นศพ<br />
<br />
สำหรับการสูญเสียของข้าศึกในการสับประยุทธ์ครั้งนี้ นอกจากกองพล 968 เองแล้ว ไม่มีใครทราบจำนวนตัวเลขแท้จริง แต่มีผู้คาดว่าข้าศึกต้องสูญเสียกำลังพลไปไม่ต่ำกว่า 300-400 นาย จนกรม 9 ถึงขั้นละลาย ต้องไปปรับกำลังกันใหม่ และมีข่าวว่าตัว ผบ.ของกรมเอง เสียชีวิตในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ครั้งนี้ด้วย (บางที่ว่า เล่าลือกันว่าทหารไทย สู้รบเข้มแข็ง ไม่ท้อถอย จนถึงขั้นว่า ฆ่าไม่ตาย...และ ผบ.เวียดนามเหนือกรมฯ นี้ อับอายที่กรมฯ ตัวเองละลาย จึงยิงตัวเองเสียชีวิต...เจ้าของเฟสเสริม)<br />
<br />
จากการสอบสวนเชลยศึกที่จับได้ จึงรู้ความจริงว่าข้าศึกได้ขึ้นรถบรรทุกมาแบบชาวลาว แล้วมารวมตัวรับอาวุธที่จุดนัดพบ เข้าใจกันว่าจะมาตีฐาน(ทหาร)ลาว หรือ เขมร ไม่คิดว่าเป็นทหารไทย นึกว่าจะได้กินหมูเชลยศึก และยังให้การต่อไปว่า ข้าศึกได้วางกำลังซุ่มไว้อีกด้านจำนวนหนึ่งหมวด พร้อมรังปืนกล หากทหารเสือพรานแตกพ่ายไปทางนั้นคงไม่มีใครเหลือรอดไปปากซองได้<br />
<br />
เป็นชัยชนะครั้งแรกของทหารไทย ท่ามกลางความยินดีปรีดาจากหลายฝ่าย รวมทั้งนายกรัฐมนตรีของไทยสมัยนั้น จอมพลถนอม กิตติขจร ในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุดได้ส่งหนังสือไปยัง บก.333 เพื่อแสดงความยินดีและชมเชยวีรกรรมครั้งนี้ด้วยเช่นกัน<br />
<br />
อนึ่ง กรม 9 กองพล 968 ของเวียดนามเหนือกรมนี้ เป็นกรมที่มีชื่อเสียง ได้สร้างผลงานดีเด่น สร้างวีรกรรมไว้มากมาย ทั้งที่โบโลเวน, ลาวตอนใต้ และชายแดนลาว-เวียดนามใต้ รวมทั้งเขมรตอนบน เป็นกรมที่มีฝีมือการรบฉกาจฉกรรจ์ไม่เคยแพ้ใคร<br />
<br />
มร.ดังค์เค่น ซีโอ (Case Officer) ผู้ประสานงาน... "สกาย" หรือหน่วยข่าวกรองกลางของสหรัฐฯ กล่าวรำลึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า "เวียดนามเหนือได้บุกเข้ามาถึงหน้าแนว ส่วนใหญ่เป็นพวกแซปเปอร์นุ่งผ้าเตี่ยว ไม่มีอาวุธประจำกาย นอกจากอาวุธมัดข้าวต้ม ถูกปืนเล็ก และ ค. 4.2 นิ้ว ของทหารไทย ทำให้ทหารเวียดนามเหนือล้มตายไปเป็นจำนวนมาก และมีอีกหลายสิบคนถูกกันชิป "สปุ๊กกี้" ยิงตายในบริเวณใกล้เคียงกัน"<br />
<br />
แสดงว่าคืนนั้น นอกจากการสับประยุทธ์ห้ำหั่นกันทางภาคพื้นดินแล้ว "แฟ็ก" ก็สามารถนำเครื่อง "สปุ๊กกี้" มังกรพ่นไฟ หรือ Puff the magic dragon เครื่องดาโกต้า ติดปืนมินิกันหกลำกล้องยิงด้วยไฟฟ้า พ่นกระสุนออกมาได้เป็นพัน ๆ นัดต่อนาที มาปฏิบัติภารกิจอย่างได้ผลดีเยี่ยม<br />
<br />
"ฮิลท็อป" ผู้นำการโจมตีทางอากาศประจำ บก.สน.มีชื่อจริงว่า "อนันต์ ปัญญาทิพย์" ซึ่งถือว่าเป็น "แฟก" คนแรกของโครงการทหารเสือพราน ผู้ทำหน้าที่ชี้เป้าได้อย่างยอดเยี่ยม อนันต์ เป็นศิษย์เก่าธรรมศาสตร์ นอกจากเป็น "นักรบพลเรือน" ซึ่งได้พิสูจน์ฝีมือในสนามรบมาอย่างโชกโชน มีนิสัยยอมหักไม่ยอมงอ หากมีความเห็นว่าสิ่งนั้นไม่ถูกต้อง จะไม่ยอมนิ่งเฉย หรือยอมให้ผ่านเลยไป<br />
<br />
สุดท้ายเมื่อมีปัญหากระทบกระทั่งกับนายทหารระดับ ผบ.กรม แทบจะดวลปืนกัน เพราะ ผบ.กรม เข้าใจผิด แต่ไม่ขอโทษ เป็นสาเหตุให้ "ฮิลท็อป"น้อยใจขอลาออกโดยไม่ฟังเสียงทัดทานขอร้องจากเพื่อน และผู้บังคับบัญชา<br />
<br />
"สเปซ" แฟกผู้อยู่ในเหตุการณ์ เขียนเล่ารายละเอียดไว้ในหนังสือ "วีรกรรมนิรนามทหารเสือพราน" ช่วงนี้ไว้ค่อนข้างละเอียด และตบท้ายคำพูด ซึ่งสะท้อนแสดงออกถึงความน้อยใจของ "นักรบพลเรือน" ว่า...<br />
<br />
"พรุ่งนี้...กูต้องไป กูตัดสินใจแล้ว กูเคยช่วยหน่วยด้วยการนำเครื่องบินมาโจมตีให้หน่วยทั้งกลางวัน กลางคืน ช่วยมานานเต็มที เหนื่อยมาก...รักษาชีวิตพวกเราไว้ได้มากมาย กูทำงานให้ชาติมานานแล้ว จบสิ้นกันที"<br />
<br />
"คิดให้ดีก่อนนะเว้ย น่าจะอยู่ร่วมกันต่อไป ทีมพวกเราจะได้แข็งแกร่งขึ้น"..."สเปซ" กล่าวชักชวนเพื่อน.......แต่ "ฮิลท็อป" ส่ายหน้าปฏิเสธ<br />
<br />
"ขอร้องเถอะ อย่าห้ามเลยเพื่อน จงสู้ต่อไป มันเป็นความทุกข์ทรมาน...เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายสุดโหด...น้อยคนนักที่เป็น "พลเรือน" อย่างเรา จะหาโอกาสเช่นนี้ได้ง่าย ๆ ขอให้เพื่อนอยู่สู้ศึกภายนอกด้วยสติปัญญาและการศึกษา และ "ศึกภายใน"...ด้วยเหตุผล โชคดี ขอให้พระคุ้มครอง...เพื่อน"<br />
<br />
"ฮิลท็อป" ได้ยุติเส้นทางเดินของนักรบพลเรือนในวันรุ่งขึ้นนั้นเอง ท่ามกลางความเสียดายของหลายคนที่ตระหนักดีถึงความห้าวหาญของนักรบพลเรือนผู้กล้าคนแรกของโครงการทหารเสือพราน ผู้ได้พิสูจน์ฝีมือ สร้างผลงาน และวีรกรรมโดดเด่น เล่าขานกันในหมู่นักรบกางเกงยีนส์มาตราบวันนี้<br />
<br />
ถือได้ว่าเป็นผู้บุกเบิกปูหนทางให้พวก "แฟก" นักรบพลเรือนรุ่นต่อมาได้รับการยอมรับจากทหารและเหล่า อส.มีความเชื่อมั่นอยากเดินตามหลัง "แฟก" มากกว่าเสียอีก<br />
<br />
วีรกรรมและคุณงามความดีของ "ฮิลท็อป" นั้น...แน่นอน ถ้าเป็นทหาร เขาต้องได้รับปูนบำเหน็จความดีความชอบ ได้เลื่อนยศ ได้รับเหรียญตราเต็มพิกัด<br />
<br />
แต่วันนี้ อนันต์ ปัญญาทิพย์ ซึ่งมีข่าวว่าเสียชีวิตไปหลายปีแล้วจากอุบัติเหตุที่ไวไอมิ่ง สหรัฐอเมริกา ไม่มีแม้แต่เหรียญฯ พิทักษ์เสรีชน หรือสิทธิ์พึงมีพึงได้ สำหรับ "แฟก" นักรบพลเรือนผู้ผ่านสนามรบมา<br />
<br />
ไปดีเถอะนะเพื่อน...ขอให้พระเจ้าจงเมตตา และคุ้มครองวิญญาณเพื่อนไปสู่สุคติอันเป็นนิรันดร์...เทอญ<br />
<br />
หลังวีรกรรมที่บ้านห้วยทรายจบลง ข่าววีรกรรมของทหารเสือพรานชุดนี้ก็เริ่มดังและเล็ดลอดออกไปถึงสื่อมวลชน ประสานกับการโหมโฆษณาโจมตีจากกระบอกเสียงของค่ายคอมมิวนิสต์ทั้งปักกิ่งและฮานอย ซึ่งต่อมาเมื่อรู้ว่าเป็นทหารไทย จึงกล่าวหาประณามทหารไทยทั้งสองกองพันว่า...เข้าไปแทรกแซงกิจการภายในและรุกรานราชอาณาจักรลาว.<br />
<br />
พรุ่งนี้ตอนสุดท้ายครับ...<br />
<br />
Chote Vanhakij<br />
7 กันยายน 2560 เวลา 23:40 น.<br />
คลิกที่นี่..อ่านคอมเม้นท์ใต้บทความครับ<br />
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1910468372607439&id=100009328851456<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="https://s3-ap-southeast-1.amazonaws.com/picz.in.th/2017/10/03/09.jpg" /></center><br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">"เสือพรานสยายเขี้ยวเล็บ" (7)</span><br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">"ครั้งแรก ณ สมรภูมิราชอาณาจักรลาว"</span><br />
<br />
"ส่งท้ายเรื่อง"<br />
<br />
ทำให้ชัยชนะครั้งนี้เริ่มตั้งเค้าไปสู่ความยุ่งยากสับสนในโลกเสรี ข่าวนี้เป็นผลให้ประชาชนหลายฝ่ายในสหรัฐอเมริกาที่ไม่เห็นด้วยและต่อต้านสงครามอินโดจีน ต่างออกมาเคลื่อนไหว รวมทั้งวุฒิสมาชิกรัฐมินเนโซต้า พรรคเดโมแครต มร.วอลเตอร์ มอนเดล ได้ถือโอกาสนี้หาเสียงด้วยการยื่นหนังสือลงวันที่ 20 มกราคม 2514 ประท้วงนโยบายอินโดจีนของรัฐบาลนิกสัน โดยเฉพาะในส่วนที่ชักนำกองกำลังจากเขมรและไทย เข้าไปยุ่งเกี่ยวล่วงละเมิดอธิปไตย และสัญญาเจนีวา บนพื้นที่โบโลเว่น ราชอาณาจักรลาว<br />
<br />
แต่ก็น่าแปลก.!!! ทั้งนายมอนเดล และแนวร่วมในพรรคเดโมแครต รวมทั้งอีกหลายฝ่ายในสหรัฐอเมริกา กลับมิได้กล่าวถึงกองกำลังทหารเวียดนามเหนือที่เข้าไปแทรกแซงในลาวอย่างเต็มเนื้อเต็มตัว ซึ่งบางครั้งมีจำนวนทหารเวียดนามเหนือมากมายถึง 6 กองพล ที่กำลังสู้รบและเคลื่อนไหวไปมาอยู่ในสมรภูมิต่าง ๆ บนแผ่นดินลาว (ขณะช่วงเวลานั้น)<br />
<br />
ปลายเดือนมกราคม 2514 สถานีวิทยุกระจายเสียง "#เสียงจากปักกิ่ง" ได้ระบุชื่อของกองพันเสือพรานทั้งสองกองพันนี้ชัดเจนถูกต้อง คือ บีซี.601 และ บีซี.602 กรณีนี้...รัฐบาลเวียงจันทร์ได้พยายามโต้ตอบข้อกล่าวหาของค่ายคอมมิวนิสต์ รวมทั้งนายมอนเดลและพวกพ้อง<br />
<br />
ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2514 รัฐบาลลาวได้นำตัวพลทหาร ล็อค มิน ฮัง และพลทหาร ฮอง วัน เคือง เชลยศึกเวียดนามเหนือที่โดนจับได้ครั้งศึกห้วยทราย ออกมาแถลงข่าวแสดงตัวต่อสื่อมวลชนทั้งลาวและต่างชาติที่เวียงจันทร์<br />
<br />
ทหารเวียดนามเหนือทั้งสองนายเป็นหลักฐานที่ยังมีชีวิต สามารถใช้ผูกมัดเชื่อมโยงไปถึงรัฐบาลฮานอย ยืนยันข้อเท็จจริงได้ว่า เวียดนามเหนือได้ส่งกองทัพรุกรานล่วงละเมิดเอกราชและบูรณะภาพเหนือดินแดนและอธิปไตยของราชอาณาจักรลาวเป็นความจริง<br />
<br />
แต่ที่น่าแปลกใจยิ่งกว่าก็คือ ประจักษ์พยานที่ยังมีชีวิตทั้งสองคนนี้ กลับไม่ได้รับความสนใจจากสื่ออเมริกามากนัก รวมทั้งนายวอลเตอร์ มอนเดล ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ไม่ยอมแม้แต่จะกล่าวถึง<br />
<br />
สะท้อนให้เห็นความแตกต่างของสองค่ายที่เผชิญหน้าต่อสู้ทำ "สงครามตัวแทน" กันอยู่...ได้อย่างชัดเจน<br />
<br />
อาจเป็นเพราะฝ่ายโลกเสรี มีการผลัดเปลี่ยนรัฐบาลตลอดเวลา ทำให้นโยบายและภาวะทางการเมือง การต่างประเทศสับสนไร้เอกภาพ และขาดจุดยืนอันเข้มแข็งมั่นคง ในโลกเสรีประชาธิปไตยนั้น มีการแอนตี้เดินขบวนต่อต้านสงครามเป็นไปอย่างกว้างขวาง มีดาราดังอย่าง เจน ฟอนด้า และอีกหลายคนเข้าร่วมขบวนการด้วย ผิดกับค่ายคอมมมิวนิสต์ ซึ่งมีพรรคเดียว ไม่เคยแปรเปลี่ยนนโยบายหรือท่าที มีแต่ความมุ่งมั่นพยายามทำทุกอย่างทั้งในและนอกสมรภูมิ เพื่อพุ่งเป้าไปสู่เป้าหมายแห่งชัยชนะเพียงอย่างเดียว<br />
<br />
จากการกล่าวหาและกดดันของค่ายคอมมิวนิสต์ ทำให้ บก.333 ต้องตัดสินใจนำทหารทั้ง 2 กองพัน กลับประเทศไทย ทั้งที่ยังไม่ครบวาระเข้าพัก (วาระครบรอบพัก 3 เดือน).<br />
<br />
การถอนกำลังของทหารไทย เท่ากับปล่อยให้ "โบโลเว่น" อยู่ในความรับผิดชอบ ของเจ้าของประเทศ คือ กองกำลังทหารแห่งชาติลาว หรือ ทชล. ให้เผชิญภัยคุกคามของกองกำลังเวียดนามเหนือจากฮานอยตามลำพัง<br />
<br />
ถาวร วรรณโชติ อีกนั่นแหละที่เล่าว่า...<br />
<br />
"ข่าวคราวการพักในเดือนกุมภาพันธ์ ของทั้ง 2 กองพันก็มาถึง คืนวันก่อนกลับประเทศไทย อากาศหนาวเหน็บจนต้องก่อไฟผิง แต่ก็ไร้การก่อกวนจากข้าศึก รุ่งเช้าเครื่องบิน ซี.123. ก็ขนทหารลาวลงที่สนามบินห้วยทราย เพื่อผลัดเปลี่ยนกำลังพล เราเห็นสภาพเหล่าทหาร ทชล.แล้ว ไม่น่าจะคณามือกองกำลังฮานอยได้ยั่งยืนยาว เพราะนอกจากจะหอบหิ้วขนอาวุธยุทโธปกรณ์กันมาอย่างเต็มพิกัด รวมทั้งหม้อไหพะรุงพะรังแล้ว ยังอุ้มไก่ จูงหมูมาด้วย (เข้าใจว่าน่าจะเป็นหมูแม้ว สีดำ ตัวไม่ใหญ่มาก น่าจะไม่เกิน 50 กก. เจ้าของเฟส) หมูบางตัวหลุดจากเครื่องต้องวิ่งไล่จับกันล้มลุกคลุกคลานโกลาหลวุ่นวาย".<br />
<br />
กำลังพลของทั้ง 2 กองพันบินออกจากห้วยทรายกลับคืนไทยสู่ฐานบินอุดรฯ ซึ่งที่นั่นมีเจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงไทย รอจ่ายเงินอยู่ที่สนามบิน จ่ายเป็นแคชเชียร์เช็ค และแถมเงินสดติดกระเป๋าให้ฟรีอีก 200 บาท ทางการได้จัดรถบัสไว้หลายคัน ส่งกำลังพลไปสู่ที่หมายปลายทางทั้งกรุงเทพฯ สุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ และปราจีนบุรี<br />
<br />
อย่างไรก็ตามจากวีรกรรมความดี ความชอบของพันหนึ่ง พันสองนี้ทำให้ บก.333 ได้เพิ่มปูนบำเหน็จให้กับเสือพรานทั้งสองกองพัน และกองพันต่อมาที่ข้ามโขงมาล้อเล่นกับความตายในราชอาณาจักรลาว จากเดิมซึ่งมีเงินเดือนตั้งไว้ให้ อส.450 บาท เบี้ยเลี้ยงสนามวันละ 20 บาท และค่าอาหารวันละ 15 บาท ขึ้นเป็นเดือนละ 1,500 บาทสำหรับพลทหาร โดยตัดเบี้ยเลี้ยงวันละ 20 บาทออกไป แต่เบี้ยเลี้ยงหรือค่าอาหารไม่เพิ่ม ยังคงอยู่ที่วันละ 15 บาท หรือเดือนละ 450 บาทเหมือนเดิม ส่วนนายทหารก็ได้เพิ่มขึ้นตามอันดับถ้วนทั่วเช่นกัน<br />
<br />
"หน.เทพ" เอง ก็ได้รับอานิสงส์จากมหกรรมเลือดเดือดครั้งนี้ไปด้วย ได้รับการเลื่อนขั้นเป็น พลตรี กับงานนี้เอง ทำให้ บีซี.601 และ บีซี.602 เป็นกองพันโปรดปรานของนายเทพ จนบางคนขนานนามว่า "เป็นกองพันเทพ" หรือกองพันของเทพไปเลย<br />
<br />
เป็นความจริงดังท้าว(คำนำหน้าของชายชาวลาว)ถาวร วรรณโชติ ว่าไว้ เมื่อกองพล 968 ของเวียดนามเหนือมาตั้งหลักได้อีกที เมื่อต้นเดือน มีนาคม 2514 ด่านแรกที่ต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของเวียดนามเหนือ คือ พีเอส.22 (ซึ่งถูกกดดันหนักมาตั้งแต่เดือนธันวาคม พร้อม บีซี.601 และบีซี.602 แต่มาแตกเอาในคืนวันที่ 8 เดือนนี้) ตามมาด้วย พีเอส.3 และ 4 ต่อมา แอลเอส.165 ทำให้พื้นที่โบโลเว่นด้านขอบตะวันออก และภาคกลางตกอยู่ในเงื้อมมือของฮานอยไปอย่างสิ้นเชิง กองทัพแห่งชาติลาวทั้งหมด แตกไปรวมตัวกระจุกกันอยู่ที่ห้วยโขง ด้านตะวันตกของโบโลเว่น<br />
<br />
ท่ามกลางข่าวร้ายของความพ่ายแพ้ของกองกำลังแห่งชาติลาวภาค 4 ก็ได้รับข่าวดีที่คาดไม่ถึง ว่าจะมีขบวนการปะเทดลาว เข้าสวามิภักดิ์มอบตัวถึง 30 คน โดยมี ร.อ.บัวเลือน เป็นผู้นำออกมา ที่สำคัญ คือได้จับนายทหารยศ ร.อ. กองทัพบกประชาชนเวียดนามเหนือของกองพล 968 มาด้วยอีกคน<br />
<br />
หลังจากการมอบตัวชุดแรก 30 คน ยังมีตามมาอีก 87 คน และในเดือน เมษายน อีก 55 คน<br />
<br />
การสวามิภักดิ์มอบตัวมากเป็นประวัติการณ์ครั้งนี้ เกิดจากความสัมพันธ์ของขบวนการปะเทดลาวตอนใต้ และกองทัพเวียดนามเหนือเกิดความร้าวฉานและเพิ่มความตึงเครียดมากขึ้นทุกที เมื่อเวียดนามเหนือผู้ถือว่าตัวเองเป็นผู้ให้การสนับสนุนแล้ว ยังเป็นกำลังหลักในการปฏิบัติหน้าที่การรบในภูมิภาคนี้ จึงได้พยายามเข้าควบคุมทุกอย่าง รวมทั้งการจัดเก็บภาษี และการรีดภาษีเพิ่มขึ้นอีก 50%<br />
<br />
ต่อมาเหตุการณ์รุนแรงถึงขั้นใกล้แตกหักเมื่อนายพล พรหมมา ดวงมาลา ผู้นำหัวเห็ดคนสำคัญของขบวนการปะเทดลาวภาคใต้ ได้คัดค้านทั้งการขึ้นภาษี และการเข้าโจมตีเมืองอัตตะปือ เพราะวิตก ว่าพี่น้องพลเรือนลาว ชาวเมืองนี้ ทั้งลูกเล็กเด็กแดง และคนชราจะได้รับความเดือดร้อน จะพากันบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก<br />
<br />
จึงทำให้เวียดนามเหนือไม่พอใจมากยิ่งขึ้น และเกิดความร้าวฉานมาตั้งแต่บัดนั้น และเรื่อยมา<br />
<br />
ต่อมาช่วงปลายปี 2513 ก่อนทหารเสือพรานชุดแรก(จากไทย คือ บีซี.601 และ บีซี.602)จะแลนดิ้ง บนพื้นที่โบโลเว่น นายพลพรหมมา ได้เสียชีวิตอย่างลึกลับที่โรงพยาบาลสนามของกองพล 968 ขณะเข้ารักษาบาดแผลถูกสะเก็ดระเบิดที่หัวไหล่จากการรบที่จำปาสัก ข่าวได้แพร่สะพัดไปทั่วว่า หมอเวียดนามเหนือได้วางยาขจัดฆ่าท่านนายพลพรหมมา เป็นสาเหตุทำให้เกิดความหวาดระแวง และกลายเป็นการแปรพักตร์ครั้งยิ่งใหญ่<br />
<br />
การแปรพักตร์เข้ามอบตัวครั้งนี้ ช่วยทำให้ฝูงบินของกองทัพอากาศลาวและอเมริกามี "งานเข้า" สามารถนำเครื่องบินมาทิ้งระเบิดทำลายฐานที่มั่นของกองพล 968 ได้ถึง 43 เที่ยว สร้างความเสียหายให้กับเวียดนามเหนืออย่างมโหฬาร แต่ต่อมาเวียดนามเหนือได้เอาคืน สามารถแก้แค้นเช็คบิลขจัดพวกที่แปรพักตร์ได้เกือบหมด รวมทั้งตัว ร.อ.บัวเลือนเองด้วย ซึ่งต่อมาได้ถูกฮานอยไล่ล่า ต้องถูกล้อมจนมุม และถูกกำจัดไปได้ในที่สุด<br />
<br />
เหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้ขบวนการปะเทดลาวภาคใต้ถูกลดบทบาทจนแทบไม่เหลือความสำคัญใด ๆ และต่อมาหน่วยต่าง ๆ ของลาวแดงภาคใต้ที่ติดอาวุธถูกยกเลิก หรือยุบทิ้งไป<br />
<br />
เมื่อปราศจากผู้คานอำนาจ ไร้ผู้นำ จากขบวนการปะเทดลาวเข้มแข็ง ผู้นำกองพล 968 ก็สามารถควบคุมภูมิภาคนี้ได้เต็มภาคภูมิ<br />
<br />
อนึ่ง นายพลพรหมมา ดวงมาลา ผู้นำลาวคนสำคัญของลาวตอนใต้ เป็นขุนศึกคนกล้า ผู้มีเลือดแห่งความรักชาติเข้มข้น เคยมีบทบาทสูงในการสู้รบกับฝรั่งเศสเพื่อกอบกู้เอกราชของชาติ(ลาว)อย่างกล้าหาญตลอดมา จนเป็นที่รักใคร่นับถือของพี่น้องลาว โดยเฉพาะลาวตอนใต้ซึ่งเป็นบ้านเกิดของนายพล หัวหน้าขบวนการปะเทดลาว.<br />
<br />
"ข้าพเจ้าคงขอจบ ด้วยการคารวะแด่นักรบผู้กล้า ทั้งฝ่ายเรา และฝ่ายเขาที่ต่างรบเพื่ออุดมการณ์ของตน"<br />
<br />
"ข้าพเจ้าขอคารวะ แด่ "สปาร์ค ปลั๊ก" ที่นำข้อเขียนบางส่วนของท่านมาลง และนักรบไทยที่ออกนามมาแล้วทั้งหมด"<br />
<br />
"ท้าย...แม้นมีข้อผิดพลาดที่เกิดจากการถ่ายทอดประการใด...ข้าพเจ้าขอน้อมรับแต่ผู้เดียว"<br />
<br />
Chote Vanhakij<br />
12 กันยายน 2560 เวลา 23:35 น.<br />
คลิกที่นี่..อ่านคอมเม้นท์ใต้บทความครับ<br />
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1912992215688388&id=100009328851456<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
จบแล้วครับ<br />
<br />
* * * * *<br />
somphonghttp://www.blogger.com/profile/07203143908234315462noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6143190172184203950.post-14920614769044916472017-08-29T22:23:00.002+07:002017-11-01T21:21:05.574+07:00"ก่อนชีวิตจะจางหาย ภายใต้ฟ้ากว้าง" (4) By: Chote Vanhakij<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.picz.in.th/images/2017/09/16/Logo.jpg" /></center>"ขออนุญาตคุณ Chote Vanhakij ขอนำบทความของท่านมาโพสต์ที่นี่นะครับ" ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร<br />
<br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">UpDate..</span><br />
<center><span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">ตอนที่ 30 "กะระณียะเมตตสูตร" ถึง ตอนปัจจุบัน</span></center><br />
<span style="color: #3333ff; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;"><strong>"ก่อนชีวิตจะจางหาย ภายใต้ฟ้ากว้าง"</strong></span><br />
<span style="color: #ff9900;">By: Chote Vanhakij</span><br />
<br />
<font color="#FF0000">@ คลิกที่นี่..</font> <a href="http://northernfoodd.blogspot.com/2017/06/blog-post.html" target="_blank">ตอนที่ 1 "ถวิลหาอดีต..." ถึง ตอนที่ 11 "ล่าเก้ง"</a><br />
<font color="#FF0000">@ คลิกที่นี่..</font> <a href="http://northernfoodd.blogspot.com/2017/07/2-by-chote-vanhakij.html" target="_blank">ตอนที่ 12 "ผีโพง" "ผีเป้า" ถึง ตอนที่ 20 "คาถากันผีน้ำ"</a><br />
<font color="#FF0000">@ คลิกที่นี่..</font> <a href="http://northernfoodd.blogspot.com/2017/07/3-by-chote-vanhakij.html" target="_blank">ตอนที่ 21 "ประสาพราน" ถึง ตอนที่ 30 "กะระณียะเมตตสูตร"</a><br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="h" /></center><br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">ตอนที่ 31 "เรื่องประหลาด" "ป"</span><br />
<br />
"ป"<br />
<br />
<font color="#FF0000">@ คลิกที่นี่..</font> <a href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=2028184243862254&set=a.433956156618412.116381.100000120933242&type=3&theater" target="_blank">ย้อนตำนาน..วางระเบิดเครื่องบินทักษิณ3มีนา2544</a><br />
"..วินาทีที่เครื่องบินเตรียมทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้านั้น ที่นั่งชั้นหนึ่งหมายเลข 11A ที่เขาได้จองไว้เกิดระเบิดขึ้นกะทันหัน ผู้โดยสารที่อยู่บริเวณรอบๆที่นั่งนั้นได้รับบาดเจ็บหลายคน แต่ที่โชคดีก็คือที่นั่งนี้ไม่มีใครนั่งอยู่ในตอนนั้น .. ทักษิณผู้ซึ่งตรงต่อเวลามาโดยตลอดตัดสินใจที่จะรอลูกชายซึ่งก็คือนายพานทองแท้ ที่มาถึงช้า วันนั้นลูกชายก็ไม่ทราบสาเหตุว่าทำไมถึงมาช้า 25 นาที แต่ในที่สุดก็ได้ช่วยชีวิตพ่อของตนไว้ได้.."<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<span style="color: #3333ff; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;"><strong>"แควนๆคุณ"Chote Vanhakij" รออีกแป๊บนุงนะคะ.."</strong></span><br />
<br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: large;">พระคาถาชินบัญชร - นาที 10:00 พระคาถากรณียเมตตสูตร</span><br />
<center><iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_VS95rpmtes" frameborder="0" allowfullscreen></iframe></center><br />
<center><embed type="application/x-shockwave-flash" width="580" height="450" src="http://www.youtube.com/v/_VS95rpmtes?fs=1&start=606"></embed></center><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.picz.in.th/images/2017/09/17/tkk01.jpg" /></center><br />
<span style="color: #3333ff; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;"><strong>ทวงถามเงินบำเหน็จชราภาพ<br />
ที่สำนักงานประกันสังคมจ่ายไม่ครบ</strong></span><br />
<br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: large;">"..ตอนจะเอาใช้กฎหมายบังคับเอาไปทันที พอตอนจ่ายคืนต้องอุทธรณ์อยู่หลายปีกว่าจะได้ครบ .. เงินสองพันกว่าๆแค่รายเดียวมองเผินๆมันน้อยนิดก็จริง ถ้าเป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้านรายละ เงินมันมหาศาลแค่ไหน? คิดซิ..คิดซิ!!.."</span><br />
<br />
"เจ๊ส้มลิ้ม"ได้เกษียณ 2 ครั้งนะคะ<br />
<br />
ระยะเวลาที่"เจ๊ส้มลิ้ม"ทำงานกับ"บูติคแฟคตอรี่" ตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม พ.ศ.2522 ถึง วันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ.2559 รวมทั้งหมด 37 ปีเต็มๆค่ะ<br />
<br />
*เกษียณครั้งแรก วันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2556 เกษียณอายุ 55 ปี ตาม พ.ร.บ.ประกันสังคม ตำแหน่งก่อนเกษียณ"เจ๊ส้มลิ้ม"อยู่ที่"แผนกแพทเทริน"ค่ะ<br />
<br />
"บูติคแฟคตอรี่" มอบของขวัญ "สลากออมสินพิเศษ" มูลค่า 2,000.00 บาท ให้"เจ๊ส้มลิ้ม"ด้วยค่ะ<br />
<br />
และ "ประกันสังคม" *ข้อความ((ในวงเล็บ))ต่อไปนี้ โปรดสังเกตปี พ.ศ.นะคะ..<br />
<br />
((... หลังจาก"เจ๊ส้มลิ้ม"ติดต่อทำเรื่องเกษียณแล้ว วันที่ 18 เมษายน 2556 และวันที่ 5 มิถุนายน 2556 "ประกันสังคม" อนุมัติจ่ายเงินสะสม+ผลประโยชน์ตอบแทนทั้งหมด 136,295.24 บาท ซึ่งมันน้อยกว่าที่"เจ๊ส้มลิ้ม"คำนวณไว้ (เก่งกว่าเจ้าหน้าที่อีกค่ะ..หุหุ)<br />
<br />
"เจ๊ส้มลิ้ม"จึงอุทธรณ์ครั้งแรก เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2556 และได้รับอนุมัติให้จ่ายเงินสะสม+ผลประโยชน์ตอบแทนครบ 148,854.92 บาท เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2558 (ที่ รง ๐๖๒๖/ปย ๑๓๓๗ ลงวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ผู้ลงนาม นางณัฐธิกานต์ เดชอุปการ)<br />
<br />
แต่ "เจ๊ส้มลิ้ม"คำนวณเอง ว่าจะได้รับเงินสะสม+ผลประโยชน์ตอบแทนรวมทั้งหมด 151,320.40 บาท จึงอุทธรณ์ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2558 ว่าทาง"ประกันสังคม"จ่ายเงินไม่ครบยังขาดอีก 2,465.48 บาท<br />
<br />
"เจ๊ส้มลิ้ม"ยื่นอุทธรณ์ทั้ง 2 ครั้งที่สำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 10 เขตมีนบุรี<br />
<br />
น.ส.สุนันทา นาคดี นักวิชาการแรงงานชำนาญการ เป็นผู้รับแบบอุทธรณ์ทั้ง 2 ครั้งค่ะ<br />
<br />
วิธีคำนวณของ"เจ๊ส้มลิ้ม" กรุณาดูคำอุทธรณ์ 1/2 และ 2/2 ที่แนบมาพร้อมกับบทความนี้นะคะ<br />
<br />
แต่จนถึงป่านนี้(วันที่ 13 กันยายน 2560) "เจ๊ส้มลิ้ม"ยังไม่ได้รับอนุมัติให้จ่ายเงินที่ยังค้างจ่ายตามที่อุทธรณ์ครั้งที่ 2 ไว้นะคะ ...))<br />
<br />
หนึ่งเดือนให้หลัง ต่อมา วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ.2556 "บูติคแฟคตอรี่"ก็เรียก"เจ๊ส้มลิ้ม"กลับเข้าทำงานตำแหน่งเดิมอีกครั้ง<br />
<br />
*เกษียณครั้งที่สอง วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ.2559 เกษียณอายุ 58 ปี ตำแหน่งก่อนเกษียณ"เจ๊ส้มลิ้ม"อยู่ที่"แผนกตรวจสอบคุณภาพ" หรือ QC ค่ะ<br />
<br />
เกษียณครั้งนี้ "บูติคแฟคตอรี่" ได้จ่ายเงินชดเชยให้"เจ๊ส้มลิ้ม" 114,000.00 บาท<br />
<br />
และ"ประกันสังคม"จ่ายเงินสะสม+ผลประโยชน์ตอบแทนให้"เจ๊ส้มลิ้ม" 36,138.59 บาท เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2560<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.picz.in.th/images/2017/09/17/tkk02.jpg" /></center><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.picz.in.th/images/2017/09/17/tkk03.jpg" /></center><br />
* * * * *<br />
<br />
ที่ รง ๐๖๒๖/ปย ๑๓๓๗ ลว.22พ.ค.58 นางณัฐธิกานต์ เดชอุปการ<br />
เงินสมทบกรณีชราภาพ 114,757.02 บาท<br />
ผลประโยชน์ตอบแทน 34,097.90 บาท<br />
รวมเป็นเงินบำเหน็จชราภาพ 148,854.92 บาท<br />
<br />
น่าจะเป็น<br />
--- เงินสมทบกรณีชราภาพ 114,757.02 บาท<br />
--- ผลประโยชน์ตอบแทน 36,563.38 บาท<br />
--- รวมเป็นเงินบำเหน็จชราภาพ 151,320.40 บาท<br />
<br />
--- ขาดอีก (151,320.40 - 148,854.92) 2,465.48 บาท<br />
<br />
จ่ายครบแล้วจ้า เช็คธนาคารกรุงไทย ลงวันที่ 1/11/2560 จำนวนเงิน 2,465.48 บาท<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.picz.in.th/images/2017/11/01/IMG_20171101_1150-570.jpg" /></center><br />
* * * * *<br />
<br />
<font color="#FF0000"><span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: large;">@ ลูกจ้างทุกคนโปรดทราบ</span></font> <a href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=2007112652636080&set=a.433956156618412.116381.100000120933242&type=3&theater" target="_blank">(คลิกที่นี่..)</a><br />
"..ประกาศใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2560 ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2560 เป็นต้นไป .. ลูกจ้างเกษียณอายุถือเป็นการเลิกจ้าง นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยตามที่กฎหมายกำหนด.."<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.picz.in.th/images/2017/09/15/sll011.jpg" /></center><br />
<span style="color: #3333ff; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;"><strong>"เกร็ดชีวิตเล็กๆของ"เจ๊ส้มลิ้ม"จ้า!!"</strong></span><br />
<br />
วันนี้อารมณ์ดี มา..จะเล่าเกร็ดชีวิตเล็กๆของ"เจ๊ส้มลิ้ม"ให้อ่านกัน!!<br />
<br />
@ "ชีวิตในวัยเด็ก"<br />
<br />
"เจ๊ส้มลิ้ม"บ้านเกิดอยู่ที่ดอนกระเบื้องตำบลพงสวายจังหวัดราชบุรีโน่น พ.ศ.2501 เป็นปีเกิดค่ะ<br />
<br />
ตอนเด็กๆ"เจ๊ส้มลิ้ม"น่ารักนะคะ ใครเห็นก็ทักใครเห็นก็ชมว่าหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา จนกระทั่งคำว่า"จิ้มลิ้ม"เกือบจะกลายเป็นชื่อของ"เจ๊ส้มลิ้ม"ไปแล้วค่ะ<br />
<br />
ถ้าไม่เผอิญช่วงเวลานั้นมีคุณนาย"ส้มลิ้ม"เศรษฐีนีผู้ใจบุญสุนทานกำลังโด่งดังขจรขจรขจายถึงความมั่งคั่งและความใจบุญสุนทาน คุณยายของ"เจ๊ส้มลิ้ม"ได้ช่องจึงตั้งชื่อตามว่า"ส้มลิ้ม"ไงคะ เพราะอยากให้หลานสาวคนนี้เติบใหญ่เป็นเศรษฐีนีกับเขาบ้าง..อิอิ<br />
<br />
ปัจจุบัน"เจ๊ส้มลิ้ม"เป็นได้แค่ "เศษ"ฐ๊นี เท่านั้นค่ะ 555<br />
<br />
ชีวิตในวัยเด็ก"เจ๊ส้มลิ้ม"ก็เหมือนๆคนบ้านนอกทั่วๆไปล่ะค่ะ ตื่นเช้าก็เข้าครัวหุงข้าวทำกับข้าวกับปลาแล้วก็หอบหนังสือไปโรงเรียน กลับจากโรงเรียนก็เข้าครัวอีกแหละ<br />
<br />
พ่อแม่"เจ๊ส้มลิ้ม"เป็นชาวนาค่ะ ทำนาปลูกข้าวสองคนตายาย ออกบ้านแต่เช้ามืดเย็นย่ำค่ำลงถึงจะกลับถึงบ้าน ตอนนั้น"เจ๊ส้มลิ้ม"ไม่มีสมาธิจะเรียนแล้ว ร่ำๆจะลาออกกลางคันเพราะสงสารพ่อแม่ที่ต้องทำงานหนัก แต่ท่านทั้งสองห้ามไว้ค่ะ<br />
<br />
จนกระทั่งเรียนจบ"เจ๊ส้มลิ้ม"ก็ออกมาช่วยพ่อแม่ทำนาค่ะ หลีกทางให้พี่ชายได้เรียนต่อชั้นมัธยม ด้วยข้ออ้างพี่เป็นผู้ชายจะต้องเรียนให้สูงๆจะได้เป็นหลักครอบครัวของเราค่ะ<br />
<br />
"เจ๊ส้มลิ้ม"ก็อ้างๆไปยังงั้นแหละ แต่ความจริงเป็นเพราะ"เจ๊ส้มลิ้ม"สงสารพ่อแม่ที่ต้องทำงานหนักมากกว่าค่ะ<br />
<br />
เมื่อเติบโตเป็นสาวรุ่นๆ"เจ๊ส้มลิ้ม"มีเพื่อนเยอะค่ะทั้งชายหญิง ก็เพื่อนๆร่วมรุ่นที่เรียนหนังสือโรงเรียนวัดมาด้วยกันไงล่ะคะ เพื่อนบางคนที่พ่อแม่มีอันจะกินก็เข้าไปเรียนต่อชั้นมัธยมในเมืองกัน ก็เกือบจะทุกคนแหละค่ะที่ได้เรียนต่อ ยกเว้น"เจ๊ส้มลิ้ม"คนเดียวที่ก้มๆเงยๆทำนาปลูกข้าวกลางทุ่งกลางนาอยู่งกๆ<br />
<br />
"เจ๊ส้มลิ้ม"ช่วยพ่อแม่ทำนาอยู่หลายปีค่ะ ก็ทุลักทุเลลุ่มๆดอนๆไปตามจังหวะชีวิตแหละค่ะ ไม่ก้าวหน้าไปไหนมีแต่ถอยหลังลงคลองไปเรื่อยๆ<br />
<br />
หันไปมองเพื่อนๆที่ก้าวหน้าไปคนแล้วคนเล่า แล้วก็หันกลับมามองตัวเอง น่าสังเวชเกิ้น.. ตอนนั้น"เจ๊ส้มลิ้ม"รู้สึกเบื่อๆกับชีวิตเช้าก็ทำนาเย็นก็ทำนามืดก็ทำนา ทำนา ทำนา ทำนา อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เบื่อ เบื่อๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ค่ะ<br />
<br />
แล้วก็เหมือนฟ้ามาโปรด ก็ให้เผอิญมีพี่ข้างบ้านไปเรียนจบวิชาตัดเย็บเสื้อมาจากกรุงเทพฯเปิดร้านอยู่หน้าตลาดในตัวเมืองราชบุรี "เจ๊ส้มลิ้ม"จึงตัดสินใจเลิกทำนาไปเรียนตัดเย็บเสื้อผ้ากับพี่เค้าซึ่งพ่อแม่ก็เห็นดีเห็นชอบอนุญาตให้ไปเรียนได้ค่ะ<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
@ "เข้ากรุงเทพฯหางานทำจ้า"<br />
<br />
หลังจากฝึกปรือวิทยายุทธวิชาตัดเย็บเสื้อผ้าจนเก่งพอตัวพอจะบินเดี่ยวได้แล้ว ตอนนั้นพ่อแม่ซื้อจักรเย็บผ้ายี่ห้อซิงเกอร์ให้ 1 คัน "เจ๊ส้มลิ้ม" ก็รับจ้างตัดเย็บเสื้อผ้าให้คนแถวๆบ้าน วันนึงก็ได้หลายตังค์อยู่<br />
<br />
นึกแล้วขำ.. เรียนมาแทบตายต้องมาเย็บชายผ้าขะม้าต่อผ้าถุงปะตูดตัดขาต่อขาทั้งกางเกงขาสั้นขายาว โอ้ย..สารพัดงานที่เขาจ้าง แต่ไม่มีใครสักคนกล้าให้"เจ๊ส้มลิ้ม"วัดตัวตัดเสื้อตัดชุดตัดกระโปรงกับเขาบ้าง ก็งานอย่างนี้"เจ๊ส้มลิ้ม"ไม่ได้แอ้มกับเขาหรอก โน่น..เขาไปตัดกับช่างที่จบมาจากกรุงเทพฯโน่น..<br />
<br />
และแล้ว"เจ๊ส้มลิ้ม"ก็ตัดสินใจเข้าไปเผชิญโชคในกรุงเทพมหานครเมืองหลวงของประเทศไทยตามคำชักชวนของน้า(น้องสาวแม่)ที่ออกเรือนไปอยู่บ้านสามีที่คลองจั่นบางกะปิ<br />
<br />
ก็กินนอนอยู่กับน้าอยู่หลายเดือน จนตอนนั้น"เจ๊ส้มลิ้ม"ตัวกลมอ้วนเป็นหมูตอนเลยล่ะค่ะ ตื่นเช้ามาก็ออกไปซื้อหนังสือพิมพ์ที่ร้านปากซอยซึ่งตอนนั้นเขาขายเล่มละ 2 บาท แล้วก็พลิกๆหาหน้า ที่เขาลงแจ้งความรับสมัครงาน ตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้าย<br />
<br />
งานมีให้เลือกทำแต่ที่ทำงานอยู่ไกลโพ้น บ้านอยู่บางกะปิแต่ที่ทำงานอยู่พระประแดงโน่นใครจะถ่อไปไหว เฉพาะนั่งรถเมล์ก็ครึ่งค่อนวันเข้าไปแล้ว อ้อ..ลืมบอกตอนนั้นค่าโดยสารรถเมล์ตลอดสาย 75 สตางค์เท่านั้นค่ะ<br />
<br />
มีอีกเรื่องลืมบอก "เจ๊ส้มลิ้ม"เคยไปสมัครงานโรงงานทำซิปที่ถนนลาดพร้าวซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบางกะปินัก เดินทางสบายๆ แต่เขาไม่รับค่ะ<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
@ "ไชโย ได้งานทำแล้วนะคะ"<br />
<br />
"นิวซิตี้แฟคตอรี่" ตั้งอยู่ที่ถนนสุรวงศ์บางรัก เขาขยายกิจการต้องการพนักงานหลายตำแหน่ง ซึ่งเขารับ"เจ๊ส้มลิ้ม"ทำงานในตำแหน่ง "พนักงานเย็บผ้า" อัตราค่าจ้าง 900 บาท/เดือน ตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม พ.ศ.2522 เป็นต้นมาค่ะ<br />
<br />
2-3 ปีต่อมา "เจ๊ส้มลิ้ม"ถูกย้ายไปประจำ"บูติคแฟคตอรี่"พระโขนง ใกล้บ้านเข้ามาหน่อยนึง เดินทางสบายๆเพราะนั่งรถเมล์ต่อเดียว<br />
<br />
จากนั้นมา ปี 2 ปีก็ถูกย้ายไปทำงานแผนกอื่นสับเปลี่ยนหมุนเวียนไปทุกแผนกจนจะทั่วทั้งโรงงานแหละค่ะ พูดไปแล้วจะหาว่าโม้ อะไรๆที่เกี่ยวกับ"บูติค"ตั้งแต่ไม้จิ้มฟันสากกระเบือยันเรือรบนี่"เจ๊ส้มลิ้ม"ทำเป็นเหมิด ไม่มีลูกน้องคนไหนกล้าแหกตาก็แล้วกัน<br />
<br />
"เจ๊ส้มลิ้ม"เป็นคนรักเดียวใจเดียวค่ะ ก็อยู่ทำงานที่นี่ตั้งแต่ยังสาวโสดปิ้งๆจนมีสามีและมีลูกชายโทนอีก 1 คน ก็ตั้งแต่สาวๆจนแก่นั่นแหละค่ะ "เจ๊ส้มลิ้ม"ไม่ออกไม่ย้ายไปไหน ก็รักที่นี่รัก"บูติคแฟคตอรี่"นี่คะ..อิอิ<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
@ "เชื่อมั้ยคะ "เจ๊ส้มลิ้ม"โชคดีได้เกษียณถึง 2 ครั้งค่ะ"<br />
<br />
*เกษียณครั้งแรก วันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2556 เกษียณอายุ 55 ปี ตาม พ.ร.บ.ประกันสังคม ตำแหน่งก่อนเกษียณ"เจ๊ส้มลิ้ม"อยู่ที่"แผนกแพทเทริน"ค่ะ<br />
<br />
"บูติคแฟคตอรี่" มอบของขวัญ "สลากออมสินพิเศษ" มูลค่า 2,000.00 บาท ให้"เจ๊ส้มลิ้ม"ด้วยค่ะ<br />
<br />
และ "ประกันสังคม" *ข้อความ((ในวงเล็บ))ต่อไปนี้ โปรดสังเกตปี พ.ศ.นะคะ..<br />
<br />
((... หลังจาก"เจ๊ส้มลิ้ม"ติดต่อทำเรื่องเกษียณแล้ว วันที่ 18 เมษายน 2556 และวันที่ 5 มิถุนายน 2556 "ประกันสังคม" อนุมัติจ่ายเงินสะสม+ผลประโยชน์ตอบแทนทั้งหมด 136,295.24 บาท ซึ่งมันน้อยกว่าที่"เจ๊ส้มลิ้ม"คำนวณไว้ (เก่งกว่าเจ้าหน้าที่อีกค่ะ..หุหุ)<br />
<br />
"เจ๊ส้มลิ้ม"จึงอุทธรณ์ครั้งแรก เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2556 และได้รับอนุมัติให้จ่ายเงินสะสม+ผลประโยชน์ตอบแทนครบ 148,854.92 บาท เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2558 (ที่ รง ๐๖๒๖/ปย ๑๓๓๗ ลงวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ผู้ลงนาม นางณัฐธิกานต์ เดชอุปการ)<br />
<br />
แต่ "เจ๊ส้มลิ้ม"คำนวณเอง ว่าจะได้รับเงินสะสม+ผลประโยชน์ตอบแทนรวมทั้งหมด 151,320.40 บาท จึงอุทธรณ์ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2558 ว่าทาง"ประกันสังคม"จ่ายเงินไม่ครบยังขาดอีก 2,465.48 บาท<br />
<br />
"เจ๊ส้มลิ้ม"ยื่นอุทธรณ์ทั้ง 2 ครั้งที่สำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 10 เขตมีนบุรี<br />
<br />
น.ส.สุนันทา นาคดี นักวิชาการแรงงานชำนาญการ เป็นผู้รับแบบอุทธรณ์ทั้ง 2 ครั้งค่ะ<br />
<br />
วิธีคำนวณของ"เจ๊ส้มลิ้ม" กรุณาดูคำอุทธรณ์ 1/2 และ 2/2 ที่แนบมาพร้อมกับบทความนี้นะคะ<br />
<br />
แต่จนถึงป่านนี้(วันที่ 13 กันยายน 2560) "เจ๊ส้มลิ้ม"ยังไม่ได้รับอนุมัติให้จ่ายเงินที่ยังค้างจ่ายตามที่อุทธรณ์ครั้งที่ 2 ไว้นะคะ ...))<br />
<br />
จ่ายครบแล้วจ้า เช็คธนาคารกรุงไทย ลงวันที่ 1/11/2560 จำนวนเงิน 2,465.48 บาท<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.picz.in.th/images/2017/11/01/IMG_20171101_1150-570.jpg" /></center><br />
และแล้ว..หนึ่งเดือนให้หลัง ต่อมา วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ.2556 "บูติคแฟคตอรี่"ก็เรียก"เจ๊ส้มลิ้ม"กลับเข้าทำงานตำแหน่งเดิมอีกครั้ง<br />
<br />
*เกษียณครั้งที่สอง วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ.2559 เกษียณอายุ 58 ปี ตำแหน่งก่อนเกษียณ"เจ๊ส้มลิ้ม"อยู่ที่"แผนกตรวจสอบคุณภาพ" หรือ QC ค่ะ<br />
<br />
เกษียณครั้งนี้ "บูติคแฟคตอรี่" ได้จ่ายเงินชดเชยให้"เจ๊ส้มลิ้ม" 114,000.00 บาท<br />
<br />
และ"ประกันสังคม"จ่ายเงินสะสม+ผลประโยชน์ตอบแทนให้"เจ๊ส้มลิ้ม" 36,138.59 บาท เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2560<br />
<br />
สรุป..ระยะเวลาที่"เจ๊ส้มลิ้ม"ทำงานกับ"บูติคแฟคตอรี่" ตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม พ.ศ.2522 ถึง วันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ.2559 รวมทั้งหมด 37 ปีเต็มๆค่ะ<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
@ "ยุทธการแก้แค้น"เจ๊ส้มลิ้ม"วัยเรียนไม่ได้เรียน"<br />
<br />
อ่านมาถึงตอนนี้ก็ขอย้อนถอยหลังกลับไปปี พ.ศ.2530 "เจ๊ส้มลิ้ม"มีสามีค่ะ อายุเราห่างกันแค่ 11 ปีเท่านั้นเอง เขาเป็นหนุ่มน้อยมาจากเมืองเหนือจังหวัดลำพูน ส่วน"เจ๊ส้มลิ้ม"มาจากจังหวัดราชบุรี มาเจอะเจอกันที่กรุงเทพฯนี่แหละค่ะ<br />
<br />
ครั้นปี พ.ศ.2532 ลูกชายโทนก็โผล่ออกมาลืมตาดูโลก เชิญคุณๆตามไปอ่านลิ้งค์นี้นะคะ เป็นเรื่องราวของลูกชายโทนคนนี้ค่ะ..<br />
<br />
<font color="#FF0000">@</font> <a href="http://northernfoodd.blogspot.com/2016/08/blog-post.html" target="_blank">คลิกที่นี่ค่ะ..</a><br />
<br />
<font color="#FF0000">@</font> <a href="https://www.facebook.com/media/set/?set=a.111097919042531.20581.100004269694162&type=1&l=73b288bcf" target="_blank">หรือคลิกที่นี่..</a><br />
<br />
ปี พ.ศ.2539 ลูกชายโทนครบเกณฑ์เข้าเรียนชั้นประถม1 โรงเรียน กทม. ซึ่งอยู่ใกล้บ้าน ส่วน"เจ๊ส้มลิ้ม"ก็เข้าเรียน กศน. ก็โรงเรียนเดียวกันนี่แหละค่ะ เพียงแต่ กศน.เรียนเฉพาะวันอาทิตย์เท่านั้น<br />
<br />
หนึ่งเดือนแรก"เจ๊ส้มลิ้ม"สอบเทียบชั้นประถม6 เรียนอีก 1 ปี 6 เดือน สอบเทียบชั้นมัธยม3 และเรียนอีก 1 ปี 6 เดือน สอบเทียบชั้นมัธยม6<br />
<br />
สรุป..เอาเป็นว่าพอลูกชายโทนเรียนชั้นประถม4 "เจ๊ส้มลิ้ม"ก็เรียนจบชั้นมัธยม6แล้วนะคะ เมื่อได้ประกาศนียบัตร เป้าหมายสุดยอดของ"เจ๊ส้มลิ้ม"ก็อยู่ที่ ม.รามฯ นี่แหละค่ะท่านผู้อ่าน!!<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
@ "บทส่งท้าย"<br />
<br />
เป็นไงคะ เกร็ดชีวิตเล็กๆของ"เจ๊ส้มลิ้ม"ตั้งแต่สาวจนถึงแก่ ตั้งแต่ตัวคนเดียวจนกระทั่ง "เจ๊ส้มลิ้ม"1 สามี1 ลูกชายโทน1 ก็สามคนเข้าไปแล้วนะคะท่านผู้อ่าน!!<br />
<br />
อ้อ..ยังมีอีกอัน เรื่อง"ประกันสังคม"นี่ สามีของ"เจ๊ส้มลิ้ม"เป็นคนคำนวณให้เองค่ะ เรื่องเลขผาหน้าไม้นี่เขาเก่ง ตอนเรียน ม.6 สอบเลขได้คะแนนเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ทุกเทอมเลยนะคะ<br />
<br />
ก็ขอจบแต่เพียงเท่านี้ค่ะ หวังว่าแอดมินกลุ่มต่างๆคงไม่ใจจืดใจดำลบออกจากกลุ่มอีกนะคะ 555<br />
<br />
เอาเป็นว่า วันไหน"เจ๊ส้มลิ้ม"อารมณ์ดีก็จะมาเม้าท์ให้อ่านกันอีกค่ะ โชคดีนะคะ ท่านผู้อ่านทุกๆคน..<br />
<br />
"เจ๊ส้มลิ้ม บูติคซิตี้"<br />
13 กันยายน 2560<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: large;">ข้าวห่อไข่ ทีมงาน"ศิริชัยเกียรติ" ส่งเข้าประกวด งานทำบุญประจำปีบริษัทฯ 5ส.ค.2554</span><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.picz.in.th/images/2017/10/22/azkjf11.jpg" /></center><br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: large;">แล้วก็ได้รับถ้วยรางวัลชนะเลิศ</span><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.picz.in.th/images/2017/10/22/azkjf22.jpg" /></center><br />
* * * * *<br />
<br />
<font color="#FF0000">@</font> <a href="https://www.facebook.com/media/set/?set=a.206972309316799.61040.100000120933242&type=1&l=0072ea0624" target="_blank">พาลูกไหว้พระ9วัด 6มี.ค.2554</a><br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
เพลง แม่ค้าหน้าคอม<br />
<center><iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/b2k5HVw6GiU" frameborder="0" allowfullscreen></iframe></center><br />
* * * * *<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.picz.in.th/images/2017/10/22/azkjf33.jpg" /></center><br />
* * * * *<br />
<br />
<center><iframe src="https://www.facebook.com/plugins/post.php?href=https%3A%2F%2Fwww.facebook.com%2Foothanawut%2Fposts%2F2022190494461629&width=580" width="580" height="765" style="border:none;overflow:hidden" scrolling="no" frameborder="0" allowTransparency="true"></iframe></center><br />
"ซื้อผ้าเอง ตัดเย็บเอง แล้วเจ๊ก็ใส่เอง" สวยมั้ยคะท่านผู้ชม!!<br />
<br />
เกษียณแล้วจ้า!! "เจ๊ส้มลิ้ม"อยู่กับบ้านเฉยๆหลานก็ไม่มีให้เลี้ยง เหงาจังเล้ย..<br />
<br />
วันก่อนไปใช้บริการสาวน้อยครึ่งราคานั่งรถ ปอ.8 จากต้นทาง"เคหะร่มเกล้า"ไปเที่ยว"สำเพ็ง"ใกล้ๆปากคลองตลาดสะพานพุทธฯโน่นค่ะ เดินผ่านร้านขายผ้า โอ้ย..เยอะแยะมากมายหลากหลายสีลายหูลายตาไปเหมิด..<br />
<br />
แล้วความคิดดีๆก็แว้บเข้ามาในสมอง เราจะอยู่กับบ้านให้เซ็งเป็ดไปทำไม หุ่นรึก็ยังสเลนเดอร์เป๊ะๆ สรีระรึก็ยังไม่แก่จนเกินไป (มีผัวเด็กได้..อิอิ)<br />
<br />
อย่ากระนั้นเลยไม่รอช้า เลือกซื้อผ้ามาได้หลายชิ้น กะจะทำชุดใส่เองใส่อวดผัวไม่ให้วอกแวกคิดนอกใจ..อิอิ<br />
<br />
แล้วก็เป็นที่มา "ซื้อผ้าเอง ตัดเย็บเอง แล้วเจ๊ก็ใส่เอง" สวยมั้ยคะท่านผู้ชม!! นี่แหละค่ะ..<br />
<br />
บอกก่อนนะคะ ยืม FB สามีโพสต์ค่ะ<br />
<br />
ชุดแรกนี่ เป็นผ้าฝ้ายทอมือ สีเขียวสดใส มาตรฐาน size M 37-30-38.5 ตัวกระโปรงมีซับใน มีผ้าคาดเอวซาตินสีดำขลับไว้รัดเมื่อพุงยืน..อิอิ<br />
<br />
ชุดที่สอง เป็นชุดเดรส มาตรฐาน size M 37-30-38.5 ซับในทั้งชุด ตัดเย็บจากผ้าไหมเนื้อดี สีแดงเลือดนกสดใส<br />
<br />
เอ้า..ไม่รอช้ามาดูรูปถ่ายกัน<br />
<br />
สวยมั้ยคะท่านผู้ชม!!<br />
<br />
"เจ๊ส้มลิ้ม บูติคซิตี้"<br />
12 กันยายน 2560<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<center><iframe src="https://www.facebook.com/plugins/post.php?href=https%3A%2F%2Fwww.facebook.com%2Foothanawut%2Fposts%2F2022866271060718&width=580" width="580" height="735" style="border:none;overflow:hidden" scrolling="no" frameborder="0" allowTransparency="true"></iframe></center><br />
หลังออกพรรษาปีนี้..วันเสาร์ที่ 21 ตุลาคม 2560 ตระกูล"ดุษฎีปัญจพร" ทอดกฐินที่วัดตรีญาติ ต.พงสวาย อ.เมือง ราชบุรี จ้า!!<br />
<br />
ภาพ1/4..ผ้าซิ่นชุดนี้จะใส่ไปทอดกฐินที่วัดตรีญาติ จ้า!!<br />
<br />
ภาพ2/4..ผ้าซิ่น"ชายพกซิ่นจีบหน้านาง"ผืนนี้ เก็บไว้ใส่เองจ้า!!<br />
<br />
ภาพ3/4..ผ้าซิ่น"ชายพกซิ่นจีบหน้านาง"ผืนนี้ เอาไปฝากญาติผู้ใหญ่จ้า!!<br />
<br />
ภาพ4/4..และผ้าซิ่น"ชายพกซิ่นจีบหน้านาง"ผืนนี้ ก็เอาไปฝากญาติผู้ใหญ่จ้า!!<br />
<br />
มาตรฐาน size M 00-30-38.5<br />
<br />
ทั้งหมด 4 ภาพ "ซื้อผ้าเอง ตัดเย็บเอง แล้วเจ๊ก็ใส่เอง" สวยมั้ยคะท่านผู้ชม!!<br />
<br />
บอกก่อนนะคะ ยืม FB สามีโพสต์ค่ะ<br />
<br />
เอ้า..ไม่รอช้ามาดูรูปถ่ายกัน<br />
<br />
"เจ๊ส้มลิ้ม บูติคซิตี้"<br />
13 กันยายน 2560<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.picz.in.th/images/2017/09/15/sll014.jpg" /></center><br />
<span style="color: #3333ff; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;"><strong>แล้วก็เป็นเรื่องจนได้..</strong></span><br />
<br />
".. ที่ผมโพสต์กระทู้อยู่ทุกวันนี้มีทั้งหมด 20 กว่ากลุ่ม ซึ่งทั้งหมดมาลากผมไปเข้ากลุ่มเองโดยที่ผมไม่เคยไปร้องขอหรือสมัครเป็นสมาชิกกลุ่มกับเค้าเลย..<br />
<br />
ไหนๆก็ลากเข้าไปแล้วผมก็เลยตามเลยมาจนทุกวันนี้ไง เมื่อผมโพสต์เรื่องอะไรผมก็จะเผื่อแผ่เอาไปโพสต์กับกลุ่มต่างๆที่ลากผมเข้าไปด้วยมาตลอด<br />
<br />
2-3วันก่อนแม่บ้านซึ่งอ่อนกว่าผม 11 ปี เพิ่งเกษียณมาหมาดๆมาอยู่เฝ้าบ้านเป็นเพื่อนผมอีกคน เธอฮึดขึ้นมายึดเอาล็อคอินเฟสบุ๊คของผมไปโพสต์เรื่องเสื้อผ้าชุดแต่งกายแบบต่างๆที่เธอซื้อผ้าตัดเย็บเองแล้วก็ใส่เองนั่นแหละ<br />
<br />
ผมท้วงว่านี่มันเฟสการเมืองจะเอาเรื่องพวกนี้มาโพสต์เดี๋ยวเพื่อนๆที่ติดตามเฟสผมเขาจะหมั่นไส้เอานา<br />
<br />
แม่บ้านผมเธอสวนกลับ ก็เปลี่ยนบรรยากาศเรื่องเครียดๆการเมืองมาเรื่องการบ้านการทำบุญบ้างจะเป็นจะตายกันเลยรึ?<br />
<br />
ผมจนใจเถียงไม่ออก (หุหุ..โรคเกลียมัว!!) แต่ก็ขอต่อรองขอโพสต์จั่วหัวโพสต์ของเธอไว้บรรทัดเดียว<br />
<br />
"โพสต์นี้จะโดนลบหรือไม่ มาดูกันว่าอ่านหนังสือเกิน 3 บรรทัดมั้ย.."<br />
<br />
กันเผื่อแอดมินบางกลุ่มที่สมาธิสั้นอ่านหนังสือไม่เกิน 3 บรรทัด จะพาลลบกระทู้หรือไม่ก็ลบออกจากกลุ่มไปเลย<br />
<br />
นั่นไง..ผมสังหรณ์ใจไม่ผิดเล้ย พับผ่า!!สิ<br />
<br />
กลุ่มแรกที่ลบผมออกจากกลุ่มคือ "กลุ่มเรารักแดงเกลียดสลิ่ม V.2" / ตามมาด้วย "กลุ่มประชาธิปไตย คนไทยถิ่นกาขาว" / และตามมาอีกคือ "กลุ่ม Ku ขอประชาธิปไตย เมื่อไหร่จะคืน" / รวม 3 กลุ่มด้วยกัน<br />
<br />
และก็ยังไม่รู้ว่ากำลังจะตามมาอีกกี่กลุ่ม? เข้าใจว่าแอดมินของกลุ่มที่เหลือคงจะสมาธิมั่นคงอ่านหนังสือเกิน 3 บรรทัดแน่ๆ เลยรู้เรื่องราวความเป็นมาของโพสต์แม่บ้านผมว่าไม่เกี่ยวกับการขายสินค้าอะไรนั่น ก็เลยยังไม่ได้ลบผมออกกัน<br />
<br />
สำหรับ "กลุ่มหัวใจสีแดง รักประชาธิปไตย" ก่อนหน้า 2-3 วันที่ผ่านมา ผมลบตัวเองออกจากกลุ่มเองแหละครับ<br />
<br />
ทั้ง 4 กลุ่มที่ผมว่ามา ต่อไปอย่าลากผมเข้ากลุ่มอีกนะครับ คราวนี้ผมเขียนด่าเอาจริงๆด้วย .."<br />
<br />
ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร<br />
14 กันยายน 2560<br />
<font color="#FF0000">@ คลิกที่นี่..</font> <a href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=2024967610850584&set=a.433956156618412.116381.100000120933242&type=3&theater" target="_blank">"แล้วก็เป็นเรื่องจนได้.."</a><br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.picz.in.th/images/2017/10/31/zdogs2012.jpg" /></center><br />
* * * * *<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.picz.in.th/images/2017/10/31/zdogs2013.jpg" /></center><br />
* * * * *<br />
somphonghttp://www.blogger.com/profile/07203143908234315462noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6143190172184203950.post-87444045774494623512017-07-30T23:45:00.001+07:002017-08-29T22:48:49.565+07:00"ก่อนชีวิตจะจางหาย ภายใต้ฟ้ากว้าง" (3) By: Chote Vanhakij<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/pv/plogo.jpg" /></center>"ขออนุญาตคุณ Chote Vanhakij ขอนำบทความของท่านมาโพสต์ที่นี่นะครับ" ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร<br />
<br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">UpDate..</span><br />
<center><span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">ตอนที่ 21 "ประสาพราน" ถึง ตอนที่ 30 "กะระณียะเมตตสูตร"</span></center><br />
<span style="color: #3333ff; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;"><strong>"ก่อนชีวิตจะจางหาย ภายใต้ฟ้ากว้าง"</strong></span><br />
<span style="color: #ff9900;">By: Chote Vanhakij</span><br />
<br />
<font color="#FF0000">@ คลิกที่นี่..</font> <a href="http://northernfoodd.blogspot.com/2017/06/blog-post.html" target="_blank">ตอนที่ 1 "ถวิลหาอดีต..." ถึง ตอนที่ 11 "ล่าเก้ง"</a><br />
<font color="#FF0000">@ คลิกที่นี่..</font> <a href="http://northernfoodd.blogspot.com/2017/07/2-by-chote-vanhakij.html" target="_blank">ตอนที่ 12 "ผีโพง" "ผีเป้า" ถึง ตอนที่ 20 "คาถากันผีน้ำ"</a><br />
<font color="#FF0000">@ คลิกที่นี่..</font> <a href="http://northernfoodd.blogspot.com/2017/08/4-by-chote-vanhakij.html" target="_blank">ตอนที่ 31 "ป" ถึง ตอนปัจจุบัน</a><br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/rh/5no21.jpg" /></center><br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">ตอนที่ 21 "เรื่องประหลาด" "ประสาพราน"</span><br />
<br />
"ประสาพราน"<br />
<br />
พอดีมีเรื่องไม่สบายใจเกี่ยวกับความผูกพันในเพื่อนเฟสเลยขอเอาเรื่องเบา ๆ มาคั่นสักวันครับ จะหยุดเขียนก็จะว่างไปมีกฎข้อห้ามของพรานล่าสัตว์มาให้อ่าน.<br />
<br />
กฎข้อห้ามของพรานล่าสัตว์ที่มีมาแต่โบราณ เรื่องพวกนี้แม้ในสมัยปัจจุบัน ป่าแทบจะไม่เหลือแล้ว แต่ถ้าได้อ่านแล้ว ก็ควรจะจดจำรำลึกไว้ครับ...อย่าถึงกับละเลย.<br />
<br />
เช่น........................<br />
<br />
1. ไม่ยิงสัตว์ที่กำลังท้อง หรือมีลูกอ่อน ๆ จะรู้ว่าสัตว์นั้นมีท้อง หรือมีลูกอ่อน ต้องหัดสังเกตเองครับ เช่นเห็นนกที่ปากคาบแมลง, หนอน หรือไส้เดือนไว้ตลอดไม่ยอมกลืนกิน ก็คิดได้เลยครับ มันกำลังหาอาหารไปป้อนลูกอ่อนของมัน<br />
<br />
2. ยิงสัตว์ถ้ามีโอกาสต้องยิงให้ตาย...เพราะถ้าปล่อยไปจะเป็นอันตรายกับพราน หรือชาวบ้านป่าคนอื่น.<br />
<br />
3. ไม่พูดจาหยาบคาย ขณะอยู่ในป่าหรือออกล่าสัตว์.<br />
<br />
4. นั่งห้างกลางคืน ปวดขี้ปวดเยี่ยวก็ห้ามลงจากห้าง(พรานโบราณตัดกระบอกไม้ไผ่ขึ้นไปบนห้างไว้ฉี่) มีคนมาเรียกหรือตามกลับบ้านก็ห้ามลง จนกว่าจะรุ่งเช้า (พรานโบราณ มักบอกว่าเป็นเสือสมิง, ผีป่า, ผีโป่ง ถ้าเป็นเสือสมิงจำแลงมา ให้โยนไม้ขีดไฟ หรือไฟแช็ค ให้จุด ซึ่งเสือไม่มีมือ จะจุดไฟไม่ได้ ถ้าจุดไฟให้ดูได้ ค่อยลงจากห้าง แต่ถ้าไม่ใช่ พรานโบราณบอกยิงหัวได้เลย)<br />
<br />
แต่พูดแล้วก็ยาวครับ...ต่อให้เป็นชาวป่า เมียพราน หรือพรานเดินป่าคนอื่น ไปตามหาพรานที่นั่งห้างกลางป่า ก็ผิดปกติอยู่<br />
<br />
5. ไม่ยิงสัตว์มั่ว ประเภทคะนองปืน เจอตัวอะไรก็ยิงดะไป.<br />
<br />
6. ไม่เผาป่าเพื่อให้หญ้าอ่อนเกิดใหม่ และมารอยิงเก้ง กวาง หรือกระต่าย ที่จะมากินหญ้าระบัด หรือออกมาเล่นลานหญ้า.<br />
<br />
7. ห้ามทำปืนผูก เพราะเป็นอันตรายกับชาวป่า หรือพรานคนอื่น ๆ อย่างนี้ก็ตายกันมาเยอะแล้วครับ.<br />
<br />
8. ไม่มั่นใจว่าเป้านั้น เป็นคนหรือสัตว์อย่ายิง อย่างนี้พรานชาวกรุงที่ส่องสัตว์ หรือแม้แต่พรานชาวบ้านด้วยกัน ก็ยิงกันตายมาเยอะแล้ว เพราะบางทีอาจเป็นชาวบ้าน หรือพรานด้วยกันมานั่งถ่ายทุกข์หัวผลุบ ๆ โผล่ ๆ มองไม่ดีกลายเป็นสัตว์ไป โป้งเข้าให้...จอดเลย...!<br />
<br />
9. ไม่ทิ้งขยะหรือของเหลือใช้ไว้ในป่า จำเป็นก็ต้องกลบฝัง เพราะสัตว์ป่ากระสากลิ่นเร็ว...อาจเตลิดหนี<br />
<br />
หรือห้ามถ่มน้ำลายในป่าเปะปะไปทั่ว เหตุผลคงเพราะกลัวสัตว์กระสากลิ่น.<br />
<br />
10. ถ้าจะล่าสัตว์ มีการขอ หรือบนจากเจ้าป่าก็ควรจะเซ่นไหว้ทุกครั้ง ด้วยข้าว หมาก พลู บุหรี่ หรือบางคนถึงขนาดเตรียมเหล้าขาวไปจากบ้านก็มี เพื่อใช้บนเจ้าป่า และอยากยิง อยากได้อะไรก็บอกกล่าวท่านไป ขอแล้วต้องยิงสัตว์ที่ขอเท่านั้น ห้ามยิงสัตว์อื่น เช่น ขอกวาง แต่ไปยิงกระทิงแบบนี้ก็ไม่ได้ เพราะจะผิดอาถรรพ์ป่า จนพรานเองจะอยู่ไม่ได้ บางทีเกิดพายุใหญ่ในป่า ฝนตกหนัก จนพรานป่วยไข้ตาย หรือยิงสัตว์ไม่ตาย ต้องตามซ้ำ จนตัวเองโดนเสือกัดตาย เพราะไปทำผิดกฎป่า<br />
<br />
11. ห้ามทำห้างบนต้นไทร หรือบนต้นไม้ที่มีรากโผล่ขึ้นมาบนดิน(เชื่อกันว่ามีผีเจ้าที่ หรืออย่างอื่นสิงอยู่...แต่ผมมองว่าต้นไทรมันรก น่าจะมีงูใหญ่อาศัยอยู่แล้วเป็นอันตรายกับพรานมากกว่า พรานโบราณถึงห้าม)<br />
<br />
12. ห้ามทำลูกห้างเกินจำนวน ไม่แน่ว่าเท่าไหร่? แต่คิดว่าไม่เกินสิบ เพราะต้องไปตัดไม้มาจากที่ไกล ๆ คงลำบากกับพรานที่ทำห้างมากกว่า.<br />
<br />
อ้าว...! ทำไมต้องไปตัดจากที่ไกล ๆ ที่จะนั่งห้างละครับ?.<br />
<br />
ก็อย่างที่บอกครับ สัตว์ป่ากระสากลิ่นเร็ว ต่อให้นั่งเฝ้าโป่ง ไปตัดไม้รอบโป่งมาทำลูกห้าง พรานก็นั่งไปเถอะครับ สามวันก็ไม่มีสัตว์เข้ามาให้ยิง<br />
<br />
13. ห้ามนั่งหลับบนห้าง เพราะเขาเล่าว่าพรานเก่า ๆ โดนงูเหลือม งูหลามเอาไปกินเยอะแล้ว เช้าแล้ว เพื่อนพรานมาตะโกนเรียกก็ไม่เห็น ปีนขึ้นไปบนห้าง ก็เห็นแค่ปืนแก๊ป และเครื่องใช้ส่วนตัวเหลืออยู่<br />
<br />
(ข้อนี้ ส่วนตัวผมคิดว่าเกินไป เพราะงูใหญ่พวกนี้ กินสัตว์ใดแล้ว มักจะนอนอยู่ในที่ใกล้ ๆ ไปไหนไกลไม่ได้ ถ้ามีอะไรมาแตะต้องตัว มันจะรีบสำรอกเหยื่อออกทันที พอหายเหนื่อย แล้วจะเลื้อยหนี).<br />
<br />
มีเรื่องเล่าแทรกว่า พรานเก่าแก่ชาวกะเหรี่ยงบางคนจะใช้เชือกกล้วยมาทำเข็มขัดผูกเอว และทำสร้อยคอเวลาเข้าป่านั่งห้าง (เชื่อว่างูเหลือม-งูหลามแพ้เชือกกล้วย ผู้เล่า เล่าว่า งูรัดพรานตายแล้ว แต่กลืนเข้าไปได้แค่ครึ่งตัว เพราะติดเชือกกล้วยที่ทำเป็นเข็มขัดที่เอว เลยขยอกน้ำย่อยออกมาย่อย จนเมื่อมีคนไปพบศพ ก็เหม็นคละคลุ้งไปทั้งป่า).<br />
<br />
14. กลางคืน ห้ามทำบังไพรตรงโป่ง ให้นั่งห้างอย่างเดียว จะปลอดภัย เพราะมักจะมีผีโป่งเป็นลูกไฟ ลอยไป ลอยมาให้เห็นเสมอ และมักจะกรีดร้องเสียงแหลมเล็กเหมือนเด็กและผู้หญิง (เข้าใจว่า คงจะไม่ปลอดภัยจากเสือมากกว่า เพราะตรงโป่งมีสัตว์เยอะ เสือคงจะเข้ามาด้อมบ่อย เผลอ ๆ พรานกำลังจ้องแต่สัตว์ข้างหน้า เสือโคร่งก็เล่นพรานซะเอง).<br />
<br />
15. ห้ามตั้งแคมป์ใกล้แหล่งน้ำ ถ้าในป่านั้น มีแหล่งน้ำแหล่งเดียว เขาว่ากลัวช้างป่ามาทำลายแคมป์.<br />
<br />
16. #กินน้ำจากป่าต้องต้มทุกครั้ง อันนี้สำคัญครับ ต้องทำทุกครั้งถ้ามีโอกาส เพราะมีเชื้อไข้ป่า และตายกันมานักต่อนัก.<br />
<br />
17. วันพระไม่ออกล่า คงเพราะคิดว่า ไม่น่าจะได้สัตว์<br />
<br />
18. ไม่ฆ่างูจงอาง เพราะกลัวคู่ของมันจะมาทำร้าย.<br />
<br />
19. ไม่นำลูกของสัตว์ป่ามาขาย...ไม่ยิงหรือทำร้ายสัตว์มีลูกอ่อน ตามที่กล่าวแล้ว.<br />
<br />
20. ส่วนข้อสุดท้าย บอกไว้สำหรับคนปัจจุบัน ห้ามมีเพศสัมพันธ์ในป่า.<br />
<br />
#เรื่องเล่าแทรก...หลายปีมาแล้วครับ ขณะนั้นหลังปีใหม่มีโอกาสไปหาปลากับญาติข้างเมีย ลูกชาย และเพื่อนของลูกที่ อ.สรรพยา จ.ชัยนาท ค่อนมาทางทุ่งทะเลทราย อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี ห้า หกคน มีด่าง(อวนล้อม...ภาษาถิ่น แหครบคน)...พอดีไปถึงโน่น มีกลุ่มคนหาปลาซึ่งเป็นคนงานจากทางอีสาน มารับจ้างตัดอ้อย ว่างจากตัดอ้อย ก็มาหาปลา ไม่ได้นัดแนะแต่ก็รู้จักกัน เลยรวมเป็นกลุ่มใหญ่ กั้นด่างหัวคลอง ท้ายคลอง เตรียมหาปลา.<br />
<br />
ตอนที่รื้อหญ้า ก็แปลก ๆ ว่าลุงเขย แกไม่รื้อหญ้าที่หัวคลอง แต่ขึ้นจากหัวคลองมารื้อหญ้าที่ใกล้ ๆ ผม(แกจับงูขายมาก่อน)รื้อหญ้าเสร็จ ก็ลงทอดแหกันสักพัก.<br />
<br />
ก็ได้ยินเสียงล้งเล้ง ๆ ทางหัวคลอง ว่าเจอปลาชะโดใหญ่ เรียกแหมาหลายปาก ช่วยกันทอดแหซ้อนกันหลาย ๆชั้น กันปลาแหกออก<br />
<br />
ปล้ำกันอยู่ 10 นาทีได้ ปลาก็ยังแหกออกได้ทุกครั้ง ผมเองก็แปลกใจ เลยบอกพวกคนงานหยุดทอดแห รอปลาผลุบน้ำ แล้วผมจะทอดแหเอง.<br />
<br />
สักพักก็โผล่ละครับ หัวเท่ากำปั้น...งูเหลือมครับ...!!!<br />
<br />
แต่ต้องจับงูขึ้นจากน้ำ เพราะไม่อย่างนั้น จะไม่มีใครลงน้ำหาปลาอีกเพราะขยาด.<br />
ผมก็บอกพวกคนงานตัดอ้อยว่า เดี่ยวจัดการให้...ขอแหปากใหญ่ ๆ สิบสองศอก จากแรงงานตัดอ้อย กะว่าไม่พลาด ก็โยนตูม ครอบงูเหลือมตรงกลางพอดี.<br />
<br />
พอแหจมเสร็จแล้ว ก็ค่อย ๆ เดินลงน้ำ ค่อยตะล่อมรวบตีนแห ไล่ต้อนงู ไปอยู่ตรงกลางแห ขอแรง แรงงานตัดอ้อยคนเฒ่าที่ไม่ค่อยกลัวงูให้ดึงจอมแหพ้นน้ำ ไม่ให้โดนตัวงู กลัวงูมุดออกจากแห พอรวบตีนแหได้เสร็จ ผมก็ยกขึ้นฝั่งพร้อมกับคนเฒ่า.<br />
<br />
ก็ตัวเบ้อเริ่มละครับ ที่อยู่ในแห ที่เหลือพอเห็นก็แตกตื่นไม่กล้าเข้าใกล้...ผมก็ค่อย ๆ เปิดแหล้วงเข้าข้างใน กำที่ลำคองู(ที่กล้า เพราะรู้ว่างูเหนื่อยมากแล้วจากการโดนทอดแห)ได้ ก็บอกให้ลูกชายเอาถุงปุ๋ยมาหา.<br />
<br />
ยกขึ้นใส่ถุงปุ๋ย บอกเลิกหาปลา ก็พากันวิ่งรถยนต์ย้อนลงมาทาง อ.อินทร์บุรี ถามหาร้านรับซื้องู เจอหลายร้าน แต่ไม่ซื้อ จนมาถึงร้านหนึ่ง เขายอมรับซื้อ แต่ซื้อแค่กิโลกรัมละ 50 บาท(งูตัวนี้ชั่งแล้ว 16 กิโลกรัม) ใหญ่ เล็กแค่ไหนก็ลองคิดดูนะครับ ลำตัวขนาด 4 นิ้วครึ่ง.<br />
<br />
มีโอกาสผ่านทางอินทร์บุรี จะไป อ.ตากฟ้า แยกซ้ายเข้าทางสะพานข้ามถนน ตามสะพานลงอีกฝั่ง วิ่งรถเข้าไปตามถนน จะมีร้านอาหารแปลก ๆ ประเภทผัดเผ็ดงูเห่า ผัดเผ็ดคางคก หนูนา ฯลฯ ให้ชิมครับ.<br />
<br />
ขอพักเรื่องเดินป่าเมืองเพชรฯ สักตอน ฝากภาพ มาให้ชมก่อนครับ.<br />
<br />
ตอนหน้าจะมาต่อ....!<br />
<br />
Chote Vanhakij<br />
30 กรกฎาคม 2560 เวลา 22:28 น.<br />
คลิกที่นี่..อ่านคอมเม้นท์ใต้บทความครับ<br />
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1889979217989688&id=100009328851456<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/so/bno22.jpg" /></center><br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">ตอนที่ 22 "เรื่องประหลาด" "ขันธะปริตตะสูตร"</span><br />
<br />
"ขันธะปริตตะสูตร"<br />
<br />
การนับถือ หรือเชื่อว่าคาถา(คำที่สื่อถึงอำนาจใดอำนาจหนึ่ง,คำศักดิ์สิทธิ์)จะให้ผลได้นั้น ต้องมีการย้อมใจให้อยู่ในอารมณ์นั้น ๆ ด้วย(ภาษาในทางธรรมชั้นสูง ๆ อาจเรียกว่าปฏิภาคนิมิต)จะยังไม่อธิบายนะครับ.<br />
<br />
จะแถไปเรื่องไสยศาสตร์ก่อน และเมื่อจะแถก็เอาเรื่องแบบนี้เลย เดี๋ยวจะหาว่าไม่รู้จริง...!!!<br />
<br />
ลองคิดกันเล่น ๆ ว่า เวลาทำเสน่ห์ให้ผัวรัก ผัวหลง หรือเมียน้อย อยากทำเสน่ห์ให้อาเสี่ยหลง ทำไมเวลาลงนะหน้าท้อง(สะกดไม่ผิดครับ) ปิดทองหัวนม ฯลฯ อาจารย์ที่ทำพิธีต้องให้มีการถอดเสื้อ ถอดผ้า ทำพิธีเหมือนกับจะร่วมเพศ ต้องคลึง ต้องเค้น ต้องนวดให้เกิดอารมณ์เพศ.<br />
<br />
มันมีอุปเท่ห์อยู่ในนั้นครับ...ก็คือการย้อมใจให้อยู่ในอารมณ์นั้น ๆ เพื่อให้เกิดความขลัง และแรงดึงดูดสามารถเกาะเกี่ยวเอาอารมณ์คนอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้ตัวเองและมีอารมณ์เดียวกับตัวเองให้หลงและติดอยู่ในอารมณ์นั้น ๆได้ และอยากเข้าถึงอารมณ์นั้น ๆ เสมอ(ที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่าหลงนั่นแหละ)โดยมีตัวคาถา หรือวิทยามนต์ที่อาจารย์เสกเป่าเข้าไปในขณะนั้น เป็นตัวบังคับให้คนให้หลงติดในอารมณ์คนที่ทำเสน่ห์นั้น ๆ เข้าไปด้วย.<br />
<br />
มันยังไง ???.<br />
<br />
ยังงี้ครับ...เมื่ออาจารย์และคนที่ทำพิธี พร้อมแล้ว จะให้ลูกศิษย์ถอดเสื้อผ้า นอนหงาย อาจารย์ที่ทำพิธี จะใช้วัตถุอาถรรพ์ตามตำรับของใคร ของมัน คลึงเคล้นที่จุดจะลงอาถรรพ์ หรือใช้มือก็ตามแต่ จนลูกศิษย์เริ่มเคลิ้ม อยู่ในอารมณ์กระสันปั่นป่วน มีอารมณ์ทางเพศ (อาจารย์ที่ทำพิธีจะมีอารมณ์ตามไม่ได้นะครับ...ขอบอก) อาจารย์ที่ทำพิธี ก็จะเริ่มลงนะ หรืออาคม วิทยามนต์ตามตำราไสยศาสตร์ที่เรียนมา คลึงเค้น จนแผ่นทองจมหายไปในจุดที่จะฝังอาถรรพ์ หรือวัตถุอาถรรพ์นั้นเคล้นไปตลอดจนจบวิทยามนต์ ถ้าอาจารย์ไม่ตบะแตกเสียก่อน...ก็เป็นอันเสร็จพิธีตามตำรับ.<br />
<br />
(แต่ถ้าอาจารย์มีอารมณ์เพศเสียเอง ตบะแตกโดยเผลอไปมีเพศสัมพันธ์กับลูกศิษย์ ตอนที่ลูกศิษย์เคลิบเคลิ้ม มีอารมณ์เพศ อย่างนี้พิธีเสียนะครับ...พิธีแตกแล้ว ไม่ขลังแล้ว).<br />
<br />
อ้าว...! แล้วมันขลังยังไง? ตอนไหน?...<br />
<br />
ตอนนี้ครับ...................!!!<br />
<br />
ตอนที่ลูกศิษย์กำลังเคลิบเคลิ้มปั่นป่วนด้วยอารมณ์เพศ ตอนนั้นแหละที่เขาเรียกย้อมใจด้วยอารมณ์นั้น เป็นเอกัคคตารมณ์ (มีอารมณ์เดียวที่กำลังคุคลั่ง) แต่ไม่สามารถกำกับวิทยามนต์ลงไปด้วยตัวเองให้เพิ่มความขลังลงไปได้ ต้องให้อาจารย์ช่วย และถ้าอาจารย์กำกับวิทยามนต์ลงไปถูกจังหวะ ถูกเวลาตรงกันแล้ว เมื่อจบวิทยามนต์ เมื่ออารมณ์คนเข้าพิธีสงบมีสติคืนมาแล้วเป็นอันจบพิธี(โดยที่อาจารย์ไม่ตบะแตกเสียเอง โดยต้องมาร่วมเพศจริง ๆ กับคนทำพิธี)ทางไสยศาสตร์นับว่าเข้มขลังยิ่งนัก.<br />
<br />
เมื่อจบพิธีแล้ว อาจารย์จะเสกเป่าเพิ่มเติม บอกข้อกำกับเพิ่มหรืออะไรก็แล้วแต่ แล้วแต่ตำราของใคร ของมัน.<br />
<br />
มันออกฤทธิ์ตอนไหน?.<br />
<br />
ตอนนี้ครับ เมื่อเธอผู้นั้น มีโอกาสมีเพศสัมพันธ์กับใครที่เธอต้องการให้หลงเมื่อเข้าถึงอารมณ์เพศที่เธอมีตอนทำพิธีไสยศาสตร์ แรงเอกัคคตารมณ์ที่เธอเคยมี และแรงกำกับจากวิทยามนต์จะออกฤทธิ์ หน่วงเอาอารมณ์คนที่มีเพศสัมพันธ์กับเธออยู่ด้วย ให้คลุ้มคลั่ง ลุกโชนผิดปกติ<br />
<br />
แม้ผ่านไปแล้ว ก็จะถวิลหาอารมณ์นั้นไม่วายเว้นชนิดที่เรียกว่าเช้า ค่ำ ย่ำเย็น ก็ถวิลหาแต่อารมณ์นั้น แบบที่คนโบราณท่านว่าโดนของจนหน้าดำนั่นแหละ...!<br />
<br />
อธิบายมาน่าจะพอเข้าใจนะครับ ว่าการหน่วงอารมณ์ หรือการย้อมใจ ย้อมอารมณ์ให้เป็นเอกัคคตารมณ์เพื่อให้คำศักดิ์สิทธิ์, วิทยามนต์, คาถาอาคม, หรืออะไรก็แล้วแต่ออกฤทธิ์นั้นมันเป็นอาการแบบนี้.<br />
<br />
แม้จะเป็นไสยศาสตร์ชั้นต่ำ ก็ต้องการแรงสมาธิ<br />
<br />
ทีนี้...สมาธิที่ค่อนข้างห่างกิเลสไป และชั้นสูง ๆ มันเป็นยังไง?<br />
<br />
จะเอาเรื่องกสิณไฟ มาอธิบายเป็นลำดับให้อ่านครับ...การจะเรียนกสิณไฟ ต้องมีนิมิต(หรือรูปเปรียบ หรือตัวอย่างของไฟ)มาเป็นแบบก่อน.<br />
<br />
นิมิต คือ เครื่องหมายสำหรับให้จิตกำหนดในการเจริญกรรมฐาน, ภาพที่เห็นในใจอันเป็นตัวแทนของสิ่งที่ใช้เป็นอารมณ์กรรมฐาน.<br />
<br />
1. บริกรรมนิมิต (นิมิตแห่งบริกรรม,นิมิตตระเตรียมหรือแรกเริ่ม ได้แก่สิ่งใดก็ตามที่กำหนดเป็นอารมณ์ในการเจริญสมถะกรรมฐาน เช่น กสิณไฟ ก็ต้องมีกองไฟหรือดวงไฟที่เตรียมไว้เป็นอารมณ์(preliminary sign)) ได้ในสมถะกรรมฐานทั้ง 40 วิธี.<br />
<br />
2. อุคคหนิมิต (นิมิตที่ใจเรียน, หรือนิมิตติดตา ได้แก่ บริกรรมนิมิตนั่นแหละแต่เราจำหรือเพ่งจนติดตา ติดใจ จนเห็นแม่นในมโนสำนึก หลับตาบริกรรมก็มองเห็นภาพไฟในนิมิตใจอยู่ตลอด (learning sign; abstract sign; visualized image))ได้ในสมถะกรรมฐานทั้ง 40 วิธี<br />
<br />
3. ปฏิภาคนิมิต (นิมิตเสมือน, นิมิตเทียบเคียง ได้แก่นิมิตที่เป็นภาพเหมือนของอุคคหนิมิตนั้น แต่เป็นสิ่งที่เกิดจากสัญญา เป็นเพียงอาการปรากฏแก่ผู้ได้สมาธิ จึงบริสุทธิ์จนปราศจากสีเป็นต้น และไม่มีมลทินใด ๆ ทั้งสามารถนึกขยายหรือย่อส่วนได้ตามความปรารถนา----sign; conceptualized image)) นิมิตนี้ได้ในเฉพาะกรรมฐาน 22 คือ กสิณ 10, อสุภะ 10, กายคตาสติ 1, และอานาปานสติ 1.<br />
<br />
เมื่อฝึกจนเกิดเป็นปฏิภาคนิมิตขึ้น จิตย่อมตั้งมั่นเป็นอุปจารสมาธิ จึงชื่อว่าปฏิภาคนิมิตเกิดพร้อมอุปจารสมาธิ เมื่อเสพ(ทำบ่อย ๆ)ในปฏิภาคนิมิตนั้นสม่ำเสมอด้วยอุปจารสมาธิ ก็จะสำเร็จเป็นอัปนาสมาธิต่อไป<br />
<br />
ปฏิภาคนิมิต จึงชื่อว่าเป็นอารมณ์หรือบาทฐานแห่งอุปจารภาวนา(อุปจารสมาธิ) และอัปปนาภาวนา(อัปปนาสมาธิ)...<br />
<br />
นึกถึงตอนที่ผมสวด "อาฏานาฏิยะปริตตะสูตร" ในป่าวันแรกที่บอกว่า แผ่เมตตาแล้วขยายจิตออกเป็นวงกลมได้ไหม?.<br />
<br />
คือตรงนี้แหละครับ...สร้างอุคคหนิมิตจากภาพรอบตัว สาธยายปริตตะสูตรแล้ว ขยายจิตออกเพื่อเป็นการสร้างเกราะ(รั้ว) ทางจิตไว้ให้ตัวเองแล้วก็จำวัตร.<br />
<br />
เช่นหลวงพี่สองท่านที่มาจาก จ.มหาสารคาม ท่านทำ รูปแรก เสกไม้ ขีดดินรอบที่นอน...!<br />
<br />
อีกรูป หยิบก้อนดินมาเสก แล้วโยนเป็นอาณาเขตกั้นข่ายอาคมไว้ทั้ง 4 ทิศ.<br />
<br />
ส่วนจะมีอะไรเกิดขึ้น และขันธะปริตตะสูตมีเนื้อความว่าอย่าง รอต่อวันหน้าครับ.....<br />
<br />
Chote Vanhakij<br />
7 สิงหาคม 2560 เวลา 23:49 น.<br />
คลิกที่นี่..อ่านคอมเม้นท์ใต้บทความครับ<br />
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1894007774253499&id=100009328851456<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/87/wno23.jpg" /></center><br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">ตอนที่ 23 "เรื่องประหลาด" "ขันธะปริตตะสูตร" (ต่อ)</span><br />
<br />
"ขันธะปริตตะสูตร" (ต่อ)<br />
<br />
จะเอาเรื่องกสิณไฟ มาอธิบายเป็นลำดับให้อ่านครับ..การจะเรียนกสิณไฟ ต้องมีนิมิต(หรือรูปเปรียบ หรือตัวอย่างของไฟ)มาเป็นแบบก่อน...ในสมัยโบราณฤๅษี, ดาบส, นักพรต, นักสิทธิ์, วิทยาธร ที่บำเพ็ญตบะ หรือเล่นกสิณไฟ จะจุดไฟไว้ในอาศรมเพื่อเป็นเครื่องเจริญกสิณ ไม่ดับตลอดเวลาจนกว่าจะละบริกรรมนิมิต ถือเอาปฏิภาคนิมิตเจริญจิตอย่างเดียว.<br />
<br />
นิมิต คือ เครื่องหมายสำหรับให้จิตกำหนดในการเจริญกรรมฐาน, ภาพที่เห็นในใจอันเป็นตัวแทนของสิ่งที่ใช้เป็นอารมณ์กรรมฐาน.<br />
<br />
1. บริกรรมนิมิต (นิมิตแห่งบริกรรม,นิมิตตระเตรียมหรือแรกเริ่ม ได้แก่สิ่งใดก็ตามที่กำหนดเป็นอารมณ์ในการเจริญสมถะกรรมฐาน เช่น กสิณไฟ ก็ต้องมีกองไฟหรือดวงไฟที่เตรียมไว้เป็นอารมณ์(preliminary sign)) ได้ในสมถะกรรมฐานทั้ง 40 วิธี.<br />
<br />
2. อุคคหนิมิต (นิมิตที่ใจเรียน, หรือนิมิตติดตา ได้แก่ บริกรรมนิมิตนั่นแหละแต่เราจำหรือเพ่งจนติดตา ติดใจ จนเห็นแม่นในมโนสำนึก หลับตาบริกรรมก็มองเห็นภาพไฟในนิมิตใจอยู่ตลอด (learning sign; abstract sign; visualized image))ได้ในสมถะกรรมฐานทั้ง 40 วิธี<br />
<br />
3. ปฏิภาคนิมิต (นิมิตเสมือน, นิมิตเทียบเคียง ได้แก่นิมิตที่เป็นภาพเหมือนของอุคคหนิมิตนั้น แต่เป็นสิ่งที่เกิดจากสัญญา เป็นเพียงอาการปรากฏแก่ผู้ได้สมาธิ จึงบริสุทธิ์จนปราศจากสีเป็นต้น และไม่มีมลทินใด ๆ ทั้งสามารถนึกขยายหรือย่อส่วนได้ตามความปรารถนา----sign; conceptualized image)) นิมิตนี้ได้ในเฉพาะกรรมฐาน 22 คือ กสิณ 10, อสุภะ 10, กายคตาสติ 1, และอานาปานสติ 1.<br />
<br />
เมื่อฝึกจนเกิดเป็นปฏิภาคนิมิตขึ้น จิตย่อมตั้งมั่นเป็นอุปจารสมาธิ จึงชื่อว่าปฏิภาคนิมิตเกิดพร้อมอุปจารสมาธิ เมื่อเสพ(ทำบ่อย ๆ)ในปฏิภาคนิมิตนั้นสม่ำเสมอด้วยอุปจารสมาธิ ก็จะสำเร็จเป็นอัปนาสมาธิต่อไป<br />
<br />
ปฏิภาคนิมิต จึงชื่อว่าเป็นอารมณ์หรือบาทฐานแห่งอุปจารภาวนา(อุปจารสมาธิ) และอัปปนาภาวนา(อัปปนาสมาธิ)...<br />
<br />
เมื่ออิสี(ฤๅษี) บำเพ็ญกสิณไฟไปจนถึงปฏิภาคนิมิตแล้ว อาจสร้างไฟให้เกิดในใจของตัวเอง และไฟให้เกิดในใจของบุคคลอื่น แต่ไฟนี้ก็ยังเป็นไฟที่ถือว่าไฟปลอม คือไฟที่เกิดขึ้นในจิต ไม่ใช่ไฟที่เผาไหม้สิ่งใดได้จริง.<br />
<br />
ทีนี้ ไฟที่เผาไหม้สิ่งใดได้จริงที่เกิดจากอำนาจกสิณไฟ มีไหม?.<br />
<br />
มีครับ.....<br />
<br />
จะเล่าเรื่องในเมืองไทยก่อน เอาพอรู้นะครับ ไม่ระบุตัวตน หรือชื่อ อันจะทำให้ผู้อ่านบทความผมงมงาย ติดตัวบุคคล หรือเชื่อโดยไม่แยกแยะ ไม่วิเคราะห์ด้วยปัญญา ซึ่งไม่ใช่จุดมุ่งหมายของบทความหรือข้อเขียนที่ตั้งใจไว้เดิม ว่าเขียนเพื่อบันทึกเรื่องราว และความคิด ความเชื่อของคนยุคหนึ่งเท่านั้น...แม้จะจริง...!!!<br />
<br />
แต่ผู้อ่านก็ต้องวิเคราะห์ พิจารณาด้วยปัญญาที่มีเสมอ<br />
<br />
ซึ่งเท่าที่เคยอ่านพบอัตตโนชีวะประวัติของพระป่าหลายท่าน มีหลวงปู่ หลวงพ่อที่บำเพ็ญเพียรทางจิต สามารถบันดาลให้ฝนตกเฉพาะที่หรือเป็นวงกว้างได้ แต่ท่านมักจะบอกว่าขอจากเทวดาที่ทำฝน(มีท้าววิรุฬหกเป็นใหญ่) แต่ผมมองอีกทีว่าท่านอาจจะสำเร็จอาโปกสิณ(กสิณน้ำ)ซึ่งกสิณนี้ เมื่อฝึกสำเร็จ อาจบันดาลให้น้ำท่วม น้ำหลาก หรือชำแรกตัวลงไปในดิน(เพราะทำดินให้อ่อนเหมือนน้ำ) หรือบันดาลให้ฝนตก ฝนหยุดได้.<br />
<br />
ซึ่งจะกินพื้นที่กว้าง แคบ ขนาดไหน คงแล้วแต่พลังอำนาจจิตและกสิณ ที่ท่านสามารถทำให้เกิดได้......<br />
<br />
แต่ไม่ปรากฏได้ยินว่ามีพระเกจิอาจารย์ท่านใด ๆ จะสำเร็จกสิณไฟ หรือเล่นทางนี้เลย ที่เคยได้ยินตำนานเก่า ๆ ก็มีหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา บ้านหมี่ ลพบุรี, และปัจจุบันเข้ามาหน่อยก็มีหลวงพ่อโอภาสี แห่งอาศรมสวนส้ม บางมด บางขุนเทียน(ผู้สนใจเสาะหาเองเถิด)ที่พอเข้าเค้าว่าท่านสำเร็จเตโชกสิน(กสิณไฟ).<br />
<br />
มีเรื่องเล่าว่า เกจิอาจารย์ท่านหนึ่ง แสดงวิชาแปลงร่างให้เสด็จในกรม กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ดู โดยให้ทหารมหาดเล็กเอาเชือกผูกเอวให้แน่น ลงไปยืนในสระน้ำที่วัด พอท่านรดน้ำมนต์ ทหารมหาดเล็กก็กลายร่างเป็นจระเข้ขนาดใหญ่ ดิ้นน้ำตูมตาม จนทดลองให้มหาดเล็กที่ตามเสด็จถึงสามคน ดึงเชือกไว้ ก็แทบดึงไม่อยู่ แต่หลวงปู่ที่ตัวผอม ๆ คนเดียวกับดึงเชือกอยู่.<br />
<br />
เมื่อเห็นสมควร ท่านรดน้ำมนต์อีกที ทหารมหาดเล็กคนนั้นก็คืนร่าง เป็นคนเหมือนเดิม.<br />
<br />
ประเด็นอื่นจะไม่พูดถึงนะครับ แต่จะพูดถึงประเด็นที่หลวงปู่รูปนี้แสดงไป น่าจะเป็นปฐวีกสิณ(กสิณดิน) คือสามารถเปลี่ยนวัตถุธาตุให้เป็นไปตามปรารถนา.<br />
<br />
เมื่อครั้งอังกฤษเข้าครอบครองอินเดียใหม่ ๆ มีคนอังกฤษอยากทดสอบโยคีของอินเดีย ว่ามีอำนาจทางจิตอย่างที่ร่ำลือกันหรือไม่ โดยได้เชิญโยคีอินเดียที่มีชื่อเสียงทางด้านอำนาจจิตมาแสดงฤทธิ์ให้ดู โดยขอให้เสกอาหารที่ตนต้องการมาให้ตนกิน ดื่ม ซึ่งเมื่อโยคีทราบแล้ว เข้าสมาธิสักครู่.<br />
<br />
บัดดลก็บังเกิดโต๊ะ เก้าอี้ พร้อมอาหารและเหล้าไวน์ให้คนอังกฤษที่ต้องการทดสอบนั้น ได้ดื่ม กิน จนอิ่ม...และเมื่ออิ่มแล้ว ก็บอกให้โยคีอินเดียทำให้หายไปเสีย ซึ่งก็เหมือนตอนเสกมาครับ...สิ้นคำก็หายวับ...!<br />
<br />
ซึ่งคนอังกฤษตามเรื่องเล่าที่ต้องการทดสอบ บอกว่าดื่มจริง กินจริง โต๊ะ เก้าอี้ และอาหารมีจริง.<br />
<br />
ตามการวิเคราะห์ของผม(เพื่อให้คนอ่านคิดตาม.....)<br />
<br />
อย่างแรก สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นแค่อำนาจสะกดจิตของโยคี ที่มีพลังจิตเข้มข้นจนสามารถสะกดคนที่ตื่นอยู่ มีสติสมบูรณ์ ให้เชื่อว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมาจริง จับต้องได้ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่มีอยู่จริง ๆ เป็นเพียงจิตของคนอังกฤษโดนครอบงำให้เชื่อตามนั้น เท่านั้น ( หลวงปู่ดูลย์ อตุโล, กล่าวว่า สิ่งที่เห็นนั้น เห็นจริง แต่สิ่งที่ถูกเห็นไม่จริง).<br />
<br />
อย่างที่สอง โยคีท่านนี้ สำเร็จปฐวีกสิน(กสิณดิน)จนสามารถสร้างวัตถุธาตุจากอากาศที่ว่างเปล่ามาให้คนอังกฤษกินได้.<br />
<br />
ที่เอามาเขียน เพราะเรื่องการย้อมอารมณ์ของคนที่มาทำเสน่ห์ให้ตกอยู่ในภวังค์รักและใคร่จนได้ที่แล้ว..... อาจารย์ที่ทำพิธีก็กำกับอาคมลงไปนั้น มันชัดเจนจนมีคนถามหลังไมค์ว่า...อาจารย์ทำจริง ๆ เหรอ...!<br />
<br />
ปล่อยไว้ให้คิดครับ.....????????<br />
<br />
เขียนมาสองวัน ยังไม่ได้ลงเนื้อคาถาของ "ขันธปริตตะสูตร" เลย.<br />
<br />
ขอยกยอดไปพรุ่งนี้อีกทีครับ...ขออาบน้ำ และทำสมาธิก่อนครับ.<br />
<br />
Chote Vanhakij<br />
8 สิงหาคม 2560 เวลา 22:25 น.<br />
คลิกที่นี่..อ่านคอมเม้นท์ใต้บทความครับ<br />
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1894504304203846&id=100009328851456<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/ll/nno24.jpg" /></center><br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">ตอนที่ 24 "เรื่องประหลาด" "ขันธะปริตตะสูตร" (ต่อ)</span><br />
<br />
"ขันธะปริตตะสูตร" (ต่อ)<br />
<br />
ไปป่าเมืองเพชรฯ คราวนั้น มีพระที่ร่วมคณะกันเป็นมหาเปรียญเสีย 4 รูป(รวมผมด้วย) สามเณรที่ไปด้วย ก็เป็นเปรียญ (มี อ.จันทร์ กับหลวงพี่คนเมืองเพชรฯ เท่านั้นที่ไม่ได้เป็นเปรียญ) ลูกศิษย์ที่ไปในคณะ ก็เป็นเด็กที่ติดตามเพื่อนสหธรรมิกมาเรียน เป็นเด็กจาก จ.หนองคาย ก็คุ้นเคยกับป่า และไม่รู้สึกแปลกแยกกับป่า...พูดง่าย ๆ คือไม่ตื่นป่าเหมือนเด็กเมือง และไม่กลัวป่าจนไร้เหตุผล<br />
<br />
การเดินทางร่วมกันเป็นเวลานาน ๆ และผจญภัยคล้ายแบบนี้ ทุกคนถ้ามีนิสัยดั้งเดิมเป็นอย่างไรจะแสดงออกมาหมด ขี้เกียจ, ตาขาว กลัวไปหมดทุกสิ่ง, ชอบเอาเปรียบหมู่คณะ, เห็นแก่ตัว ฯลฯ...แสดงออกมาหมดครับ ทดสอบดูได้ทุกครั้งที่ต้องออกทริปหฤโหดแบบนี้กับใคร หรือคณะใดได้ทุกท่าน แล้วท่านจะเห็นนิสัยแท้จริงของแต่ละคน<br />
<br />
แต่ไม่หรอกครับ เล่าให้ทราบกันเฉย ๆ เพราะที่ไปทั้งหมดนั้น ล้วนแต่นิสัยใจคอคล้ายกัน ไม่มีแปลกแยก แตกต่างกันมากน้อย เวลานอนบนหาดทรายตอนกลางคืน เมื่อถึงที่จะพัก ก็จะนอนลักษณะคล้าย ๆ วงกลมให้ลูกศิษย์นอนอยู่ในสุด ส่วนท่านที่เหลือก็เลือกที่เหมาะตามสะดวก เพราะป่าก็คือป่า ภยันตรายรอบด้าน ทั้งจากสัตว์ใหญ่อย่างเสือแล้ว ยังมีสัตว์มีพิษสารพัดชนิดที่มองไม่เห็น ซึ่งอาจเป็นคู่เวรที่พร้อมจะทำให้ชีวิตของพระแต่ละรูปล้มหายตายจากไปได้ง่าย ๆ จึงต่างต้องระวังตัวอย่างที่สุด<br />
<br />
เพราะเวลานอน คือนอนแบบไม่มีอะไรเป็นเครื่องป้องกันตัวเลย ไม่มีเต้นท์, ไม่มีมุ้งกลด, ไม่มีหมอน, ไม่มีรั้ว, ไม่มีเครื่องป้องกันใด ๆ ทั้งสิ้น, มีแต่เวทมนต์ คาถา หรือวิชาที่พระแต่ละรูปเรียนมาเท่านั้น ที่จะเป็นเครื่องป้องกันตัว(ถ้ามองจากสายตาคนธรรมดา ก็บอกว่ามันจะป้องกันอะไรได้)...<br />
<br />
ถ้าจะให้บอกแบบจินตนาการคือ ลองมองภาพ พระ 6 รูป นอนล้อมสามเณร และลูกศิษย์ บนลานหญ้ากว้าง ๆ สิครับ แบบนั้นเลย...!<br />
<br />
ทีนี้...เมื่อเวลาจะนอน แต่ละรูปก็จะเอาวิชาที่ตัวเองมี ออกมากางเป็นข่ายอาคมล้อมรอบบริเวณที่นอน(ซึ่งถ้าผู้มีฤทธิ์มองเห็น คงเห็นข่ายอาคมซ้อนกันหลายชั้น) เพราะแต่ละรูป ก็วางข่ายอาคมไว้ทุกรูป ซึ่งแม้แต่ผมก็ทำอย่างที่เคยบอกไว้ตั้งแต่บทแรก ๆ แล้ว เพื่อกันภยันตรายจากภูต และอทิสมานกายต่าง ๆ ที่เป็นคู่เวรที่อาจเข้ามาให้ร้ายในขณะนั้น...<br />
<br />
ซึ่งบรรดาปริตตะสูตรที่นำมา ก็ล้วนเป็นปริตตะสูตรที่ใช้เจริญพุทธมนต์ในงานมงคลพิธีของชาวพุทธอยู่แล้ว ถ้าใช้เจ็ดสูตร จะเรียกเจ็ดตำนาน สิบสองสูตรจะเรียก สิบสองตำนาน(จะเล่าแยกต่างหาก ถ้าไม่เบื่ออ่าน หรือคนเขียนเบื่อเสียก่อน)...<br />
<br />
คืนแรกที่นอน ผมสรรเสริญไตรรัตน์คุณแล้ว เจริญ "อาฏานาฏิยะปริตตะสูตร" ขอความคุ้มครองเป็นอันดีจงเกิดมีมาแต่ท้าวมหาราชทั้งสี่...แผ่เมตตา เข้าสมาธิหน่อยหนึ่ง ขยายจิตออกเป็นวงกลมแล้วนอน.<br />
<br />
คืนที่สอง นอนช้าหน่อย เลยเห็นเพื่อนพระอีกสองรูปวางข่ายอาคมตามที่เล่าแล้วในบทก่อน ก่อนจะนอนหรือจำวัตร...<br />
<br />
คืนที่สอง...ผมนอกจากทำตามคืนแรกแล้ว เพิ่ม "ขันธะปริตตะสูตร" เจริญพระปริตตมนต์บทนี้โดยเฉพาะ เพื่อแผ่เมตตาแก่ท้าววิรูปักข์ และบริวาร โดยเฉพาะเพิ่มเติมอีก เป็นการเจาะจงซึ่งท้าววิรูปักข์เป็นภุมมัฏฐเทวดา(เทวดาประจำพื้น)ร่วมกับท้าวกุเวร(ท้าวเวสสุวรรณ).<br />
<br />
ซึ่งต่างจากท้าวธตรัฐ ทิศบูรพา, และท้าววิรุฬหก ทิศทักษิณ ซึ่งเป็นอากาศเทวดา.<br />
<br />
(#ดูพระคาถาและคำแปล ด้านล่างนะครับ...นำมาลงไว้แล้ว.)<br />
<br />
คืนนั้น...ไม่มีอะไรผิดปกติครับ...ตอนดึก ๆ ตื่นมาชุนฟืนเข้ากองไฟ ก็ไม่เห็นค้างคาวโฉบกินยุง ไม่มีเสียงประหลาดจากป่า ไม่มีเสียงแปลก ๆ จากพงไพรรอบข้าง<br />
<br />
ไม่มีเสียงนกฮูก นกแสก ป่าทั้งป่านิ่งสงบ...<br />
<br />
และแม้แต่เงาไม้ไหว(อันจะทำให้คนขวัญอ่อน มองเห็นเป็นภูตพรายกวักมือเรียก)ก็ไม่เห็นมี<br />
<br />
จนใกล้รุ่งเช้า...น่าจะตีสี่...?????<br />
<br />
(พระคาถามีดังนี้)...<br />
<br />
วิรูปักเขหิ เม เมตตัง<br />
ข้าพเจ้ามีเมตตาจิต กับงูตระกูลวิรูปักขะทั้งหลาย<br />
<br />
เมตตัง เอราปะเถหิ เม<br />
ข้าพเจ้ามีเมตตาจิต กับงูตระกูลเอราปถะทั้งหลาย<br />
<br />
ฉัพยาปุตเตหิ เม เมตตัง<br />
ข้าพเจ้ามีเมตตาจิต กับงูตระกูลฉัพยาปุตตะทั้งหลาย<br />
<br />
เมตตัง กัณหาโคตะมะเกหิ จะ<br />
และข้าพเจ้ามีเมตตาจิต กับงูตระกูลกัณหาโคตมกะทั้งหลาย<br />
<br />
อะปาทะเกหิ เม เมตตัง<br />
ข้าพเจ้ามีเมตตาจิต กับสัตว์ไม่มีเท้าทั้งหลาย<br />
<br />
เมตตัง ทิปาทะเกหิ เม<br />
ข้าพเจ้ามีเมตตาจิต กับสัตว์สองเท้าทั้งหลาย<br />
<br />
จะตุปปะเทหิ เม เมตตัง<br />
ข้าพเจ้ามีเมตตาจิต กับสัตว์สี่เท้าทั้งหลาย<br />
<br />
เมตตัง พะหุปปะเทหิ เม<br />
ข้าพเจ้ามีเมตตาจิต กับสัตว์มีเท้ามากทั้งหลาย<br />
<br />
มามัง อะปาทะโก หิงสิ<br />
ขอสัตว์ไม่มีเท้า อย่าได้เบียดเบียนข้าพเจ้าเลย<br />
<br />
มามัง หิงสิ ทิปาทะโก<br />
สัตว์สองเท้า ก็อย่าเบียดเบียนข้าพเจ้าเลย<br />
<br />
มามัง จะตุปปะโท หิงสิ<br />
ขอสัตว์สี่เท้า อย่าได้เบียดเบียนข้าพเจ้าเลย<br />
<br />
มามัง หิงสิ พะหุปปะโท<br />
สัตว์มีเท้ามาก ก็อย่าเบียดเบียนข้าพเจ้าเลย<br />
<br />
สัพเพ สัตตา สัพเพ ปาณา<br />
ขอสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ผู้มีลมปราณ<br />
<br />
สัพเพ ภูตา จะ เกวะลา<br />
และเหล่าภูตสัตว์ทั้งปวง ผู้หาลมปราณมิได้<br />
<br />
สัพเพ ภัทรานิ ปัสสันตุ<br />
จงประสบแต่ความเจริญ ด้วยกันทั้งหมดเถิด<br />
<br />
มา กิญจิ ปาปะมาคะมา<br />
อย่าได้รับโทษอันชั่วช้าใด ๆ เลย<br />
<br />
อัปปะมาโณ พุทโธ<br />
พระพุทธเจ้า ทรงมีพระคุณสุดที่จะประมาณ<br />
<br />
อัปปะมาโณ ธัมโม<br />
พระธรรม มีพระคุณอันหาประมาณมิได้<br />
<br />
อัปปะมาโณ สังโฆ<br />
พระสงฆ์ ทรงพระคุณสุดที่จะกำหนด<br />
<br />
ปะมาณะวันตานิ สิริงสะปานิ<br />
สัตว์เลื้อยคลานทั้งหลาย อันมีประมาณคือ<br />
<br />
อะหิวิจฉิกา สะตะปะที<br />
งู แมงป่อง ตะขาบ<br />
<br />
อุณณานาภี สะระภู มูสิกา<br />
แมงมุม ตุ๊กแก และหนู<br />
<br />
กะตา เม รักขา กะตา เม ปะริตตา ปะฏิกกะมันตุ ภูตานิ<br />
ขอสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น จงหลบหลีกไปเสียเถิด เพราะการรักษาป้องกัน อันข้าพเจ้าได้ทำไว้แล้ว<br />
<br />
โส หัง นะโม ภะคะวะโต<br />
เพราะข้าพเจ้านั้น กระทำความนอบน้อม แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่<br />
<br />
นะโม สัตตันนัง สัมมาสัมพุทธานัง<br />
กระทำความนอบน้อม แด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้ง ๗ พระองค์อยู่.<br />
<br />
..................................<br />
<br />
จบพระปริตบทนี้ เท่านี้ครับ...สวดท่อง ทำจิตให้มีเมตตา ในบรรดาสัตว์เหล่านี้เถิด.<br />
<br />
ท่านจะปลอดภัย จากสัตว์มีเขี้ยวทั้งปวง...<br />
<br />
Chote Vanhakij<br />
9 สิงหาคม 2560 เวลา 22:01 น.<br />
คลิกที่นี่..อ่านคอมเม้นท์ใต้บทความครับ<br />
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1894973424156934&id=100009328851456<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/gd/8no25.jpg" /></center><br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">ตอนที่ 25 "เรื่องประหลาด" "กะระณียะเมตตสูตร"</span><br />
<br />
"กะระณียะเมตตสูตร"<br />
<br />
ผมค้างไว้แต่ตอนที่แล้วว่า...จนกระทั่งตีสี่กว่า ๆ......????? คืนนั้น พระทุกรูปที่ไปเมืองเพชรฯ คราวนั้น ต่างหลับสนิทด้วยล่องแพกันมาวันแรก ต่างเหนื่อยอ่อน ถ้าเป็นระยะทางคงไม่ต่ำกว่า 10 กิโลเมตร...เหนื่อยอ่อนเพราะอะไรครับ?.<br />
<br />
ช่วงแรกลำน้ำแคบ ๆ ล่องแพค่อนข้างลำบาก ชนหน้าชนหลัง ด้วยยังไม่คุ้น, แพล่ม รูปอื่นต้องมาช่วยกันเก็บข้าวของกันโกลาหล, น้ำเชี่ยว แพขวางแก่งต้องช่วยกันมางัดแพออกจากแก่ง สารพัดเหตุการณ์ สนุก...!!! ดีที่ไม่มีรูปไหนได้รับอันตรายอะไร ผ่านพ้นมาตลอด.<br />
<br />
แล้วตีสี่มีอะไรครับ?.<br />
<br />
น้ำป่าครับ...เพื่อนพระที่มาจากจังหวัดหนองคาย ท่านตื่นมาพอดี น้ำท่วมมาครึ่งหาด เกือบจะถึงที่นอนอยู่แล้วเลยไปปลุก อ.จันทร์ รูปอื่น ๆ ก็เลยตื่นกันหมด.<br />
<br />
อันดับแรก ช่วยกันลากแพเกยหาดให้สูงขึ้นมาอีก ทุกแพ ตอกหลักริมฝั่ง หาเชือกมาผูกแพให้แน่น.<br />
<br />
อันดับสอง ช่วยกันย้ายกองไฟให้สูงขึ้นไปบนฝั่งทั้งสองกอง ซึ่งลูกศิษย์กับสามเณรก็ได้รับคำสั่งให้ทำอยู่ก่อนแล้ว แต่ท่อนไม้ใหญ่ลากสองคนไม่ไหว ต้องรอมาช่วยกันทั้งหมด<br />
<br />
อันดับสาม สำรวจข้าวของว่าไม่มีอะไรเหลือในที่พักแล้ว นำไปมัดรวมกันไว้บนฝั่ง ข้าวสารและเสบียง ถูกแก้ออกจากแพ ขนขึ้นไว้บนฝั่งทั้งหมด<br />
<br />
ก็มานั่งคุยกัน อ.จันทร์ท่านพูดว่าฝนน่าจะตกตรงน้ำตกทอทิพย์ที่เราพักเมื่อวาน ช่วงบ่ายหรือหัวค่ำ น้ำเลยหลากมาถึงเรา(ซึ่งในขณะที่ล่องแพกันอยู่ไม่เห็นตก แต่เมฆฝนที่ครึ้มก็ไม่มีใครสงสัยว่าฝนตกต้นน้ำ).<br />
<br />
ซึ่งก็ยังไม่มีอะไรมากมายครับ แค่น้ำในลำห้วยเอ่อขึ้นมาและสีน้ำขุ่นมาหน่อย ตอนนี้ ไม่มีรูปใดหลับต่อแล้ว ใกล้สว่าง...เห็นว่าน้ำมีแค่นั้น ก็ต่างรูปต่างไปอาบน้ำ ล้างหน้า ให้ลูกศิษย์หุงหาอาหาร เตรียมล่องแพกันต่อ<br />
<br />
สนุกดี...มหาฯ หนุ่มหลายรูปว่างั้น...!<br />
<br />
เป็นอันว่ายกได้ วางได้(สำนวนธรรมะ) คือไม่ตกอกตกใจรุนแรง พร้อมเผชิญหน้าสุข ทุกข์ตามสภาวะเป็นจริงของมันอย่างคนผู้พร้อมเผชิญโลก.<br />
<br />
(#สามัญชนอย่างเรา แม้ไม่มีเวลาพิจารณาข้อธรรม ข้ออรรถ แห่งธรรมะในศาสนาใด ๆ เพราะมุ่งแต่ต้องทำมาหากิน เลี้ยงชีพตัวเอง แต่ถ้าได้รู้อะไรที่มันประเทืองปัญญาน่าคิด ก็จะเป็นผู้รู้ก่อนตาย จะได้เข้าใจความเป็นจริง ยอมรับความจริงและปลงตกเสีย แม้ทำไม่ได้ทุกเรื่อง...ก็ต้องพยายามทำใจ<br />
<br />
เพื่อที่เราจะได้ใช้เวลาอันน้อยนิดที่มีอยู่ในโลกนี้ เข้าหาภาวะที่มีความสุขตามอัตตภาพและเลี่ยงทุกข์บางอย่างเสีย และปล่อยบางสิ่ง บางอย่างให้จบสิ้นลงตามครรลองของมัน ควรใช้ความฉลาด และความเข้าใจของตนจัดการชีวิตที่มีอันน้อยนิดนี้ เพื่อที่จะอยู่อย่างเข้าใจโลกและมีความสุข ให้คุ้มค่าที่สุด)<br />
<br />
...................................<br />
<br />
#ก่อนจะไปเรื่อง "กะระณียเมตตะสูตร" ซึ่งเป็นบทเจริญพุทธมนต์บทที่ 6 ในการเจริญพุทธมนต์ของชาวพุทธในงานมงคลพิธีต่าง ๆ (สิบสองตำนาน)ซึ่งบทที่ 7 คือ "ขันธะปริตตะสูตร"ก็ได้เขียนไปแล้ว และบทที่ 11 หรือตำนานที่ 11 คือ "อาฏานาฏิยะปริตตะสูตร" ก็เขียนมาแต่วันแรกแล้ว.<br />
<br />
จะนำเรื่องของท้าวเวสสุวรรณมาเขียนต่อให้สมบูรณ์ในเรื่องจ้าวแห่งยักษ์<br />
<br />
ในสุตตันตะปิฎก ทีฆะนิกาย ปาฏิกะวรรค มีการอธิบายถึงการบำเพ็ญบารมี ในชาติก่อนของท้าวกุเวร (ท้าวเวสสุวรณ)ไว้ ซึ่งเราชาวพุทธส่วนมากรู้จักกันดีว่า ท้าวกุเวร เป็นยักขะเทวดา ราชาแห่งหมู่ยักษ์ และภูตผี เป็นที่เคารพยำเกรงของเหล่าอมนุษย์ เนื่องด้วยอาวุธของท้าวกุเวรเป็นอาวุธวิเศษ มีอานุภาพรุนแรง เมื่อขว้างออกไปก็อาจฆ่ายักษ์ได้เป็นพัน แล้วลอยกลับมาในมือเจ้าของดังเดิมได้ หรืออาจทำลายโลกได้พริบตาถ้าอยากจะทำ<br />
<br />
เราชาวพุทธ(และฮินดู)จึงเชื่อกันว่าถ้ามีภาพเขียนหรือรูปปั้นในรูปของยักษ์ตัวเขียว หน้าดุ ยืนถือกระบองอยู่ติดบ้าน ก็จะป้องกันอันตรายจากอมนุษย์ได้ส่วนหนึ่ง คตินี้ เห็นได้จากรูปยักษ์ยืนถือกระบองที่วัดพระแก้วฯ วัดโพธ์ ท่าเตียน, วัดอรุณราชวราราม(วัดแจ้ง) ฯลฯ<br />
<br />
นอกจากนี้ยังเป็นเทวดาผู้ร่ำรวย มีทรัพย์สมบัติมหาศาล เรียกได้ว่าเป็นระดับมหาเศรษฐีของเหล่าทวยเทพ จนในไตรภูมิพระร่วง พระมหากษัตริย์ผู้รจนาคัมภีร์ ได้ทรงบรรยายว่า "เครื่องประดับตัวและบริวารทั้งหลาย เทียรย่อมทองเนื้อสุก ฝูงยักษ์ทั้งหลายนั้น บ้างถือค้อน ถือสากและจามจุรี เทียรย่อมทองคำ บ่มิรู้ขิร้อยล้าน" คือร่ำรวยระดับทำอาวุธทองคำ เครื่องประดับทองหลายร้อยล้าน โดยที่ตัวเองยังมีอีกเหลือเฟือ<br />
<br />
คติของมนุษย์ที่เชื่อมั่นเรื่องพวกนี้ จึงเชื่อว่าถ้าบูชารูปของเขาในรูปนั่งพุงพลุ้ย แล้วจะมีโชคลาภ.<br />
<br />
แต่รูปกายของท้าวกุเวรยังอาจปรากฏในภาพลักษณ์อื่น ๆ ได้อีก เช่น เทพบุตรนั่งแท่นถือกระบอง ยกมือเหมือนจะห้ามปรามอันเป็นสัญญลักษณ์ของอัยการในไทย ก็อย่าแปลกใจครับ เทวดาท่านมีฤทธิ์มากมาย อยากเนรมิตรูปลักษณ์แบบไหนก็ตามใจ จึงปรากฏได้หลายรูปแบบ<br />
<br />
แต่กว่าท้าวเธอจะมาเป็นแบบนี้ เป็นได้อย่างไร? ตั้งแต่เมื่อไหร่? ยังไง? ก็ต้องเขียนให้อ่านกันครับ แล้วท่านจะรู้ว่ากว่าจะมาเป็นผู้ที่รวยและมีอิทธิพลระดับต้น ๆ ของเหล่าเทวดาบนเขาพระสุเมรุ(ตามคติพุทธ) และเขาสัตตบริภัณฑ์นั้น ไม่ได้เป็นกันง่าย ๆ<br />
<br />
ในพระสุตตันตะปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค พระอรรถกถาจารย์อธิบายไว้ว่ากาลที่เป็นช่วงว่างของพุทธศาสนา คือ ในช่วงนั้น สมัยนั้น ไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติและตรัสสอนคำสอนไว้ ท้าวกุเวรเกิดในตระกูลพราหมณ์ มีไร่อ้อยเป็นทรัพย์สมบัติ กุเวรพราหมณ์มีความคิดริเริ่มอะไรใหม่ ๆ ซึ่งก็เป็นวิสัยทัศน์ของคนจะร่ำรวยเขาแหละครับ พอตัดอ้อยมา ก็คิดจะแปรรูปต่อยอดผลิตภัณฑ์ จึงสร้างหีบยนต์สำหรับคั้นน้ำอ้อยขึ้น เปลี่ยนจากต้นอ้อยธรรมดาให้เป็นน้ำอ้อยแสนหวานอร่อย ก่อนเอามาขาย และน้ำอ้อยของกุเวรพราหมณ์นี่...ท่านว่าขายดิบ ขายดีมาก<br />
<br />
ด้วยความคิดสร้างสรรค์ ความขยัน และการเก็บออม พอเวลาผ่านไป จากชาวไร่อ้อยธรรมดา กุเวรพราหมณ์ก็พัฒนาตัวเองขึ้นมาเป็นเศรษฐีเจ้าของกิจการ มีเงินไปขยายกิจการ จากหีบยนต์บีบอ้อยหีบเดียว ก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ สุดท้ายกลายเป็นเจ้าของเครื่องยนต์หีบอ้อยถึงเจ็ดหีบ(ภาษาปัจจุบัน ก็คงเสี่ยกุเวรละครับ).<br />
<br />
พอรวยแล้ว กุเวรพราหมณ์ก็คิดว่าจะเอาเงินของตัวเองมาแบ่งปันแก่สังคมบ้าง ได้เอาเงินที่เหลือกินเหลือใช้ไปสร้างที่พักให้คนเดินทาง และใครที่มาพักหรือเดินทางผ่านไปมา กุเวรพราหมณ์ก็แจกน้ำอ้อยให้กินกันฟรี ๆ ไม่รับค่าตอบแทน และทำแบบนี้มาตลอดจนกระทั่งสิ้นชีวิต ด้วยบุญกุศลจากการสร้างที่พักสาธารณะ และแจกน้ำอ้อยให้คนอื่นกินฟรี ส่งให้กุเวรพราหมณ์มาเกิดเป็นยักขะ(ผู้ควรบูชา)เทวดา คือพระกุเวร ภายหลังมีนามว่า ท้าวเวสสุวรรณ จากการได้เป็นเจ้าเมืองเทวดา ชื่อเมือง วิสาณะ และได้บรรลุเป็นพระอริยะบุคคล ชั้นโสดาบัน<br />
<br />
(คติทางศาสนาฮินดูเกี่ยวกับเรื่องพระกุเวร หรือท้าวเวสสุวรรณก็มีอยู่ แต่จะไม่นำมาเขียนเล่าไว้ บอกเพียงชื่อในศาสนานั้นแค่ว่า ชื่อพระไพรศรพณ์)<br />
<br />
แต่เราชาวพุทธ รู้จักกันมากในชื่อท้าวเวสสุวรรณ หรือท้าวกุเวร หรือมีชื่ออื่น ๆ เช่น รัตนครรภ์ (ท้องแก้ว)เนื่องจากมีพุงพลุ้ย...หรือธเนศวร (เจ้าแห่งทรัพย์)<br />
<br />
ในคติพุทธ ในตำนาน "อาฏานาฏิยะสูตร" ที่เคยใช้เจริญมนต์ก่อนนอนเมื่อคืนแรกที่เล่าไว้ในการนอนป่าเมืองเพชรฯ...พระอรรถกถาจารย์ท่านเล่าว่าเมื่อมีพุทธศาสนาเกิดขึ้น ท้าวกุเวรกับท้าวมหาราชอีกสามพระองค์ พบว่ามีอมนุษย์ในสังกัดจำนวนหนึ่งที่ไม่อยู่ในศีล ในธรรม รบกวนเหล่าสมณะและคนดีทั้งหลาย ท้าวกุเวรจึงได้เชิญประชุมท้าวโลกบาลที่เหลือเพื่อหาข้อสรุปที่เมืองเทวดาชื่อ "อาฏานาฏิยะนคร" และได้ข้อสรุปออกมาเป็นมนต์ชื่อ "อาฏานาฏิยะปริตร" หรือที่ไทยเรียกว่า "ภาณยักษ์" โดยตั้งกฏไว้ว่าอมนุษย์ใด ได้ยินมนต์นี้แล้วไม่เชื่อฟัง ยังแสดงพฤติกรรมไม่ดี จะถูกท้าวจตุโลกบาลลงโทษ...แล้วนำมนต์นี้มาถวายแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อให้พระภิกษุได้ใช้เจริญ(สวด)คุ้มกันภัยจากอมนุษย์กันต่อไป<br />
<br />
จึงเห็นคติพุทธมหายาน ท้าวกุเวรจึงเป็นหนึ่งในธรรมบาลช่วยปกป้องรักษาพุทธศาสนา<br />
<br />
ตามตำนานที่ว่ามานั้นแหละครับ ท้าวกุเวรเป็นยักษ์ที่ดี มีครั้งหนึ่งที่ปรากฏในธรรมมิกสูตร ว่าท้าวกุเวรจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อสนทนาธรรม แต่ระหว่างทางพบหญิงสาวคนหนึ่งชื่อ "นันทมารดา" เป็นอนาคามีบุคคล(เป็นพระอริยบุคคลชั้นที่สาม สูงกว่าโสดาบันบุคคล ซึ่งเป็นชั้นแรก และสกทาคามีบุคคล ซึ่งเป็นชั้นที่สอง...ชั้นที่สุดคือ อรหันตบุคคล สิ้นกิเลสทั้งปวงแล้ว) เธอกำลังมีปัญหาเกี่ยวกับการเก็บข้าว เข้ายุ้งฉาง ท้าวกุเวรจึงสั่งให้บริวารทั้งหลายช่วยกันลำเลียงข้าวเข้ายุ้งฉางจนเต็มทุกยุ้งฉาง นับแต่นั้นมายุ้งฉางของ "นันทมารดา" ไม่เคยขาดแคลนข้าวอีกเลย จากนั้นท้าวกุเวร จึงพาบริวารไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า และเมื่อพระพุทธองค์ทักว่ามาผิดเวลา ท้าวกุเวรก็ทูลถวายรายละเอียดให้ทรงทราบโดยละเอียด<br />
<br />
#แต่ในความเชื่อของพราหมณ์-ฮินดู ชีวิตหลังเป็นยักษ์ของท้าวกุเวรไม่ได้เรียบง่ายราวโรยไว้ด้วยกลีบกุหลาบ เกิดมาแล้วโตเลย มีบ้าน มีเมืองครองเลยเหมือนคติพุทธ เนื่องจากเขาไม่ได้เกิดแบบ โอปปาติกะ ใน รามายณะเล่าว่าเขาเป็นบุตรของ วิศระวัสมุนี ในมหาภารตะว่าเป็นบุตรของ ปุลัสตยะมุนี (รามเกียรติ์ไทยมาเลือนเสียงเป็น ลัสเตียน และเรียกกุเวรว่า กุเปรัน)<br />
<br />
ในรามายณะบอกว่า บิดาของท้าวกุเวรตั้งใจให้เขาครองกรุงลงกาแต่แรก แต่ท้าวกุเวรไม่ได้ต้องการแค่นั้น ด้วยความที่เป็นคนดี เขาคิดอยากดูแลปกป้องทั้งจักรวาล จึงออกไปบำเพ็ญตบะฝึกฝนวิชานับพันปี จนกระทั่งพระพรหม(ในคัมภีร์ปุราณะ บางแห่งว่า เป็นพระศิวะ)ได้ปรากฏกายขึ้น และประทานพรให้ท้าวกุเวรได้เป็นหนึ่งในผู้พิทักษ์จักรวาลสมใจปรารถนา พร้อมทั้งมอบสิทธิ์ในทรัพย์สมบัติมหาศาล บุษบกวิเศษ และอำนาจปกครองเหนือเหล่ายักษ์ วิทยาธร กินนร ปีศาจ และ "คุยหกะ"(ภูตเฝ้าขุมทรัพย์ทั้งปวง)<br />
<br />
ก่อนจบวันนี้ ฝากไว้อีกตอนครับ...การเลือกที่พักในการเดินป่า มีข้อควรที่จะพิจารณาเป็นอันดับแรกคือ ความปลอดภัย และอันดับต่อมาคือ ความสะดวกสบาย...จะฝากไว้พอประมาณครับ<br />
<br />
1. ไม่ควรสร้างที่พักใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีกิ่งไม้ผุ หรือมีผลขนาดใหญ่<br />
<br />
2. ไม่ควรกางเต็นท์ใกล้ลำห้วยที่น้ำแห้งขอด เพราะน้ำป่าอาจหลากมาทันทีทันใด จนหลบหนีไม่ทัน<br />
<br />
3. อย่าสร้างที่พักขวางทางด่านสัตว์ หรือแหล่งน้ำ<br />
<br />
4. ควรอยู่สูงบนเนินที่โล่ง ทำให้ลมเย็น ไม่มีแมลงและยุงมารบกวน<br />
<br />
5. ที่พักไม่ควรไกลแหล่งน้ำ หรือไกลลำห้วยมากเกินไป<br />
<br />
6. ทำเลในการตั้งแคมป์ควรเป็นพื้นที่ราบเรียบ ไม่ลาดชันเกินไป.<br />
<br />
ฉันเช้าแล้ว จะล่องแพ เดินทางวันที่สองแล้วครับ.<br />
<br />
(อ้อ...! นึกได้ หน้าฝนช่วงนี้ แนะนำนักท่องเที่ยวขาลุย ล่องแก่งลำน้ำเข็ก พิษณุโลกครับ...สนุกสุด ๆ)<br />
<br />
Chote Vanhakij<br />
12 สิงหาคม 2560 เวลา 21:06 น.<br />
คลิกที่นี่..อ่านคอมเม้นท์ใต้บทความครับ<br />
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1895913187396291&id=100009328851456<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/ts/lofno.jpg" /></center><br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">ตอนที่ 26 "เรื่องประหลาด" "กะระณียะเมตตสูตร" (ต่อ)</span><br />
<br />
"กะระณียะเมตตสูตร" (ต่อ)<br />
<br />
เรื่องนอนป่า นอนดง ในเรื่องที่ไปล่องแพ เมืองเพชรฯ เพราะ อ.จันทร์ท่านต้องไปลาญาติที่บ้านเดิมในป่าลึกเลยชวนพวกผมไปเป็นเพื่อนนั้น ได้เขียนมาหลายตอนว่าใช้ปริตตะมนต์เจริญพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ และบทอื่น ๆ ตามที่เขียนมาหลายบท และเรื่องคาถา อาคมเวทมนต์อื่น ๆ เพื่อเป็นเครื่องคุ้มกันภัยเวลานอนป่า เล่นน้ำ และเขียนแบบให้วิเคราะห์ตาม ไม่เอางมงายหรือปักใจเชื่อ และกระบวนการทำจิต ย้อมจิตก่อนโอมอ่านวิทยามนต์ ก็แนะนำแล้วกันการงมงาย.<br />
<br />
และก่อนที่จะเขียนถึงตำนานหรือที่มาของสูตรนี้ ก็ขอเอาเรื่องที่เกี่ยวข้องกันมาเขียนแนะนำก่อน บางทีท่านแนะนำว่าการนอนป่า อย่าฝากตัวกับเจ้าป่า เจ้าเขา ท่านว่าไม่ค่อยปลอดภัย จะสาเหตุอะไร ตอนนี้ ผมยังไม่ชัดเจน เจอแล้วจะนำมาฝากครับ.<br />
<br />
ท่านว่า นอนป่าถ้านอนพื้นดิน ให้ไหว้สา แล้วฝากตัวกับพระแม่ธรณีดีกว่า ท่านว่าจะปลอดภัยจากอันตรายหลายด้าน ท่านว่าอย่างนั้น.<br />
<br />
แต่กรณีนี้กลับแปลก...!!! แปลกอย่างไร? ต้องขอนำข้อเขียนของ อ.มาลา คำจันทร์มาถ่ายทอดต่ออีกตอนครับก่อนจะเขียนในเนื้อเรื่องทางศาสนาให้อ่านกันสนุก ๆ ตามกันเข้ามาอ่านครับ.<br />
<br />
มีเรื่องเล่าขานส่งผ่านกันมาทาง อ.เชียงของ เชียงคำ เมืองปง เข้ามาทางพะเยา แม่ใจ ผ่านเมืองพานขึ้นไปทางแม่สรวย เวียงป่าเป้า แล้วจะทะลุไปทางใดอีกไม่รู้? เรื่องราวมีอยู่ว่า เมื่อราวปี พ.ศ.๒๕๐๙ สงครามแย่งชิงประชาชนระหว่างรัฐบาลกับพรรคคอมมูนิสต์แห่งประเทศไทยยังเข้มข้นอยู่ ยังมีตำรวจตระเวณชายแดนชั้นผู้น้อยคนหนึ่ง ถูกหัวหน้าใช้ให้มารายงานที่อำเภอ เป็นงานด่วนร้อน ประเภทคอขาดบาดตายที่จะรอเวลาไม่ได้<br />
<br />
ตชด.ชั้นผู้น้อยนายนั้นก็เร่งรีบเดินทาง เพื่อจะตัดข้ามป่าใหญ่ให้ได้ก่อนมืดค่ำ แต่ทำยังไงไม่รู้ เขาคงประสบอุบัติเหตุสักอย่างทำให้การเดินทางล่าช้า เลยตัดข้ามป่าใหญ่ไม่ทันก่อนจะมืดจึงวิตกกังวล และหวาดกลัวไปสารพัด กลัวเสือ กลัวผีสางกลางดง กลัวเจอกับผู้ก่อการร้าย จึงยกมือขึ้นจบ (พนมมือเหนือหัว) บอกกล่าวต่อเจ้าที่ เจ้าแดนว่าตนเป็นข้า(ราชการ)ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาในหน้าที่ มาดี ไม่ได้มาเกะกะระราน หรือสร้างความทุกข์ความเดือดร้อนให้ใคร บัดนี้คับขันจวนตัว ขอให้เจ้าที่ เจ้าแดน ช่วยปกปักรักษาด้วยเถิด.<br />
<br />
มืดมาก เงียบสงัดปราศจากสรรรพเสียงทั้งหลาย สักครู่หนึ่งก็มองเห็นแสงไฟอยู่ไกล ๆ แต่แรกก็คิดว่าตาฝาด พอแฝงตัวเข้าใกล้ก็เห็นว่าเป็นกระท่อมชาวดง จึงขอพักอาศัย ชายชาวดงใจดี บอกว่าขึ้นมานอนบนกระท่อมด้วยกันเถิด แต่ ตชด.นายนั้นบอกว่าไม่เป็นไร ขอนอนที่ใต้ถุนแล้วกัน<br />
<br />
คืนนั้นเขาหลับไปเพราะเพลียจัด ใกล้สว่างก็สะดุ้งตกใจแต่กลับขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวอะไรไม่ได้เลย เมื่อมองออกไป ก็เห็นผู้คนมืด ๆ ดำ ๆ กลุ้มรุมล้อมรอบกระท่อม แต่แรกคิดว่าเป็นผู้ก่อการร้าย แต่เมื่อมองดูอีกทีก็คิดว่าไม่ใช่ เพราะมีทั้งชาย หญิง มีทั้งคนแก่และเด็ก คนพวกนั้นถกเถียงกันอยู่กับเจ้าของบ้าน<br />
<br />
คนลึกลับ "หมูป่าตัวอ้วน เข้ามาถึงเรือนสู จงแบ่งให้พวกข้าได้กินเดี๋ยวนี้"<br />
<br />
ลุงเจ้าของบ้าน "ไม่ได้หรอก เขามาพึ่งพาอาศัยข้า เขาบอกกล่าวขอความช่วยเหลือจากข้า ข้าจะให้สูกินเขาไม่ได้"<br />
<br />
"สูจะหวงไว้กินคนเดียวหรือ?"<br />
<br />
"เขาเป็นข้าพระเจ้าอยู่หัว ข้าไม่กินเขา พวกสูเองก็อย่าหมายว่าจะได้กิน จงเร่งกลับไปเสีย"<br />
<br />
ตชด.หนุ่มคนนั้นเล่าว่า เหมือนฝันร้าย แต่รู้สึกตัวตลอด รู้ทุกอย่างเพียงแต่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวอะไรไม่ได้เลย ต่อมาก็มีเสียงตึงตังโครมครามเหมือนไม้หลักหักโค่น เหมือนโขลงช้างแล่นผ่านดงไม้ แล้วเขากลับไม่รู้สึกอะไรอีก หลับเหมือนดับหายไปเลย กระทั่งรุ่งเช้าแดดออก เขาคลานออกมาจากใต้ถุนกระท่อมหลังนั้น ปรากฏว่ามันไม่ใช่กระท่อมชาวดงอย่างที่มองเห็นเมื่อคืน แต่เป็นหอเจ้าที่ ที่ชาวป่า ชาวดอยเขาสร้างไว้บูชา แต่ร้างไปนานแล้ว.<br />
<br />
ฝากเรื่องนี้ไว้ให้คิดเท่านี้ครับ........<br />
<br />
ส่วนเรื่องทางพุทธศาสนา มีเรื่องประกอบที่จะนำมาเล่าประกอบคือ เรื่องที่เจ้าของบ้านขับไล่พระภูมิ(ภุมมัฏฐะเทวดา) ออกจากบ้านได้นั้น มี...แต่มิได้ปรากฏแต่สมัยพุทธกาลเท่านั้น แต่ในยุคกรุงธนบุรี เป็นราชธานี ก็มีพระบรมราชโองการประกาศต่อเทพารักษ์ให้ทำหน้าที่กำจัด ภูต ผี ปีศาจ เมื่อครั้งเกิดอาเพศโรคระบาดในเมืองเช่นกัน ถึงขนาดคาดโทษไว้ว่าหากไม่ดูแลประชาราษฎร์แล้ว จะขับไล่ออกไปจากเมืองหลวงเลยทีเดียว จะจริง จะเท็จ มีสาระ หรือไร้สาระอย่างใดก็ช่างเถิด<br />
<br />
เรื่องเก่าผ่านไปแล้ว....<br />
<br />
แต่เชื่อว่าเหล่าราษฎรคงมีกำลังใจต่อสู้ชีวิตขึ้นมาอีกเยอะทีเดียว ซึ่งเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่าความเชื่อในเรื่องเทพารักษ์(ภุมมัฏฐะเทวดา)นั้น ต่างพึ่งพาอาศัยร่วมด้วยช่วยมนุษย์ คงเพราะเป็นเทวดาที่อยู่ใกล้ภูมิชิดกับมนุษย์มากที่สุด.<br />
<br />
พระภูมิ หรือ (ภุมมะเทวดา, ภุมมัฏฐะเทวดา)เป็นหนึ่งในเทวดาชั้น จาตุมมหาราชิกา ซึ่งเป็นสวรรค์ชั้นต้น หนึ่งในสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้นตามคติพุทธ อันมีมิติทับซ้อนใกล้ชิดกับภูมิมนุษย์ จึงถือได้ว่าเป็นเทวดาที่มีความสนิทกับมนุษย์ที่สุด ซึ่งเทวดาเหล่านี้ก็อยู่ประจำในสถานที่ต่าง ๆ และกลายเป็นผู้ปกป้องสถานที่เหล่านั้นโดยปริยาย ท่านเลยเรียกว่า เทพารักษ์.<br />
<br />
ในสวรรค์ชั้นจาตุมมหาราชิกานี้ มีความหลากหลายของเทวดาหลายกลุ่ม จะแยกให้เห็นง่าย ๆ ตามสถานที่ก่อนครับ.<br />
<br />
1. ภุมมัฏฐะเทวดา เทวดาภาคพื้น พวกนี้จะรวมเอาทั้ง รุกขะเทวดา เทวดาประจำต้นไม้ หรือสถานที่ต่าง ๆ เช่น บรรพตเทวดา เทวดาประจำภูเขาหรือเจ้าป่า เช่นเรื่องที่เล่ามาตอนแรกข้างบน เป็นต้น มี...<br />
<br />
1.1 ท้าววิรูปักษ์ ผู้เป็นเจ้าแห่งเหล่างู นาค และสัตว์มีพิษอื่น ๆ ประจำทิศทักษิณ<br />
<br />
1.2 ท้าวกุเวร หรือท้าวเวสสุวรรณ ผู้เป็นเจ้าแห่งเหล่ายักษ์ รากษส ภูติ ปีศาจอื่น ๆ ประจำทิศอุดร.<br />
<br />
2. ส่วนอากาสัฏฐะเทวดาก็สองพวกครับ ดูแลส่วนบนสูงขึ้นไปในอากาศ<br />
<br />
2.1 ท้าวธตรัฐ ผู้เป็นเจ้าแห่งคนธรรพ์ วิทยาธร และเหล่าเทวดาที่อยู่ในวิมานอากาศ ประจำอยู่ทิศบูรพา<br />
<br />
2.2 ท้าววิรุฬหก ผู้เป็นเจ้าแห่งอสูร อยู่ประจำทิศทักษิณ.<br />
<br />
ในครั้งพุทธกาล พระภูมิที่สถิต ณ ซุ้มประตูบ้านอนาถะปิณฑิกะเศรษฐี ได้ปรากฏกายเตือนท่านเศรษฐี เนื่องจากท่านเศรษฐีนั้นทำบุญ ทำทาน บำรุงพระศาสนาอย่างเกินกำลัง จนกระทั่งทรัพย์ในคลังลดน้อยลงอย่างมาก การเตือนด้วยความหวังดีนั้นทำให้ท่านเศรษฐีไม่พอใจ จนถึงกับขับไล่พระภูมินั้นให้ออกจากบ้านตนไป.<br />
<br />
พระภูมิ ท่านเดือดร้อน ด้วยหาที่สิงสถิตไม่ได้จนต้องไปหาเทวดาประจำเมืองสาวัตถี...เรื่อยไปจนท้าวมหาราชทั้งสี่ ท้าวสักกะ...จนท้าวสักกะแนะนำให้ไปทำกรรมดีแล้วขอไถ่โทษ เมื่อเศรษฐีอภัยโทษให้แล้วยังได้นำพระภูมิที่ซุ้มประตู(ทวารบาล) ไปกราบขอขมาต่อพระพุทธเจ้าด้วย เพราะคำทัดทาน ตักเตือนของพระภูมิที่ให้หยุดการทำทานของเศรษฐีนั้น ย่อมรวมถึงการไม่ใส่บาตร และทำบุญเลี้ยงภัตตาหารแก่พระศาสดาและพระอรหันตสาวกด้วย เมื่อพระภูมิได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าแล้ว ได้บรรลุธรรม สำเร็จเป็น โสดาบันบุคคล<br />
<br />
ดังนั้น อย่าได้เผลอใจ เผลอจิตดูถูกคิดว่าเหล่าพระภูมิเจ้าที่นั้นเป็นเทวดาระดับล่าง ๆ เชียว เพราะพระอรรถกถาจารย์และเกจิอาจารย์หลายท่าน กล่าวไว้หลายที่ว่า ภุมมัฏฐะเทวดา และอากาสัฏฐะเทวดาชั้นจาตุมมหาราชิกานั้น บางตน เป็นพระอริยะบุคคลมาแต่พุทธกาลก่อนโน้น และเป็นอริยะบุคคลในสมัยพระบรมศาสดาของเราก็เยอะแยะ<br />
<br />
ฝากไว้พอเรียกน้ำย่อยนะครับ......<br />
<br />
ว่าการนอนแปลกที่ นอนป่า นอนดง หรือแม้แต่นอนในโรงแรมห้าดาว ล้วนมีเจ้าที่เขาสิงสถิตอยู่ทั้งนั้น...ผมมักจะขำ ๆ เวลาบริษัทจัดทัวร์ให้ไปเที่ยว ถ้าเป็นห้องคู่(ไม่ใช่ผัวเมีย) แล้วเห็นไม่กล้านอนกัน ไปนอนอัดกันอยู่ที่อีกห้องเพราะความกลัว (ไม่ได้บอกว่าตัวเองเก่งหรอกครับ...แต่ทุกปี เพื่อนร่วมห้องก็หนีไปนอนห้องอื่นเสมอ...นอนคนเดียวตลอด อยากเจอประสบการณ์เรื่องลึกลับเสมอ...แต่ก็ยังไม่เคย)...เห็นมีแต่บางที เจอผีสาวมาเป็นตัว เป็นตนบุกห้องอยู่บ่อย ๆ จนต้องลากออกไปส่งที่อยู่เขาเสมอ<br />
<br />
ไว้พรุ่งนี้มาต่อครับ.<br />
<br />
Chote Vanhakij<br />
14 สิงหาคม 2560 เวลา 21:11 น.<br />
คลิกที่นี่..อ่านคอมเม้นท์ใต้บทความครับ<br />
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1897614847226125&id=100009328851456<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/bd/2no27.jpg" /></center><br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">ตอนที่ 27 "เรื่องประหลาด" "กะระณียะเมตตสูตร" (ต่อ)</span><br />
<br />
"กะระณียะเมตตสูตร" (ต่อ)<br />
<br />
กำลังอยู่ในเรื่องนอนป่าที่เขื่อนแก่งกระจานเมืองเพชรฯ อยู่นะครับ แต่เรื่องเล่า ยิ่งเล่าก็ยิ่งยาว เพราะเรื่องเกี่ยวเนื่องนั้น มีเยอะ...แต่ก็จะเอามาให้อ่านแบบค่อนข้างจุใจละครับ...ตอนนี้จะเข้าเรื่องนอนป่าแล้วทำไมต้องเจริญปริตตะมนต์บทนี้ เรื่องที่มาในบาลีตามตำราทางพุทธนั้น เอาไว้ก่อนครับ มาปูเรื่อง ด้วยเรื่องพื้นบ้านถึงเจ้าที่ เจ้าทางหรือเทพารักษ์ที่ได้แยกแยะให้อ่านกันแล้วในบทก่อน ก่อนครับ.<br />
<br />
สำหรับคนนอนป่า หรือคนชอบทางป่า ชอบผจญภัยหลีกเลี่ยงยากครับจากความเชื่อพื้นบ้านเหล่านี้...และหลายที่ก็มักจะถือเหมือนกัน ในเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ในป่า ตามมาอ่านกัน...!<br />
<br />
มีเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ ๒๕๐๔ ที่ดอยผาแดง อ.งาว จ.ลำปาง.<br />
<br />
มีเรื่องเล่าว่า มีชาวต่างบ้าน ต่างเมือง ต่างความเชื่อ ต่างวัฒนธรรมกลุ่มหนึ่งเข้าป่าล่าสัตว์ พวกเขาประพฤติปฏิบัติอะไรต่อมิอะไรหลายอย่าง ที่สร้างความอึดอัดไม่สบายใจให้แก่พรานนำทางชาวพื้นเมือง แต่คนพื้นเมืองพูดไม่ออกเพราะเขาจ้างมา อยู่มาวันหนึ่ง คนกลุ่มนี้ก็ละเมิดกฎหรือข้อห้าม หรือกติกาเกี่ยวกับป่าอย่างฉกาจฉกรรจ์ คือหนุ่มที่เป็นหัวหน้ากลุ่มกับแฟนสาวของเขาร่วมเพศกันในป่า(ผิดผี หรือผิดป่า).<br />
<br />
พรานพื้นเมืองไม่อาจห้ามปรามหรือแก้ไขอะไรได้ทัน เขาได้แต่จุดธูปบอกกล่าวเจ้าที่ เจ้าแดน ขอขมาไหว้สาตามลัทธิความเชื่อถือ.<br />
<br />
แต่เจ้าที่ เจ้าแดนคงพิโรธโกรธเคืองสุดขีดจนไม่อาจอภัยให้ได้ ตกดึกคืนนั้นจึงเกิดฝนใหญ่ลมหลวง ไม้หลักหักโค่น ฝนฟ้ากระหน่ำอื้ออึงจนไฟฟืนดับไปหมด ลมกระชากเอากระโจมผ้าใบไปทั้งผืน หนาวสั่นเปียกปอนกันไปหมด ฟ้าผ่าเปรี้ยง ๆ ฟ้าร้องครืนครั่น คนที่รอดมาเล่าภายหลังว่า คนทั้งกลุ่มมองเห็นตาแก่ผมเผ้า หนวดเคราขาวโพลน ขี่หลังเสือโคร่งตัวใหญ่สูงเท่าม้า เห็นช้างโขลงใหญ่คราคร่ำเต็มป่า ตาแก่หน้าตาโกรธเกรี้ยวดุดันคนนั้นเอาไม้เท้าชี้มาที่พวกตน ช้างแต่ละตัว ตัวเท่าภูดอยก็ย่ำเข้ามา ต่างคนต่างเผ่น ต่างคนต่างแตกหนีกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทาง<br />
<br />
รุ่งเช้าทุกอย่างกลับดูสงบสงัดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ไม้หลักหักโค่นต่าง ๆ ไม่มี เสือสางช้างร้ายที่แวดหน้าล้อมหลังไม่มี แต่กระโจมผ้าใบปลิวไปค้างบนคบไม้ยางสูงใหญ่นั้นจริง สูงขนาดพรานชาวบ้านต้องตอกทอยขึ้นไปเอาลงมาให้ หลังได้สติกันแล้ว ต่างคนต่างออกตามหากัน กู่ร้องป้องปาก ยิงปืนขึ้นฟ้า เรียกหาหมู่ชุม รวมตัวกันได้แต่ไม่ครบ ขาดไปแต่หนุ่มหัวหน้ากับแฟนสาว............ต้องกลับเข้าหมู่บ้านไปขอพ่อหลวง(กำนัน)ให้ระดมคนค้นหา ค้นอยู่สองวันไปพบหนุ่มหัวหน้ากลายเป็นศพขึ้นอืด ส่วนหญิงสาวไปติดอยู่ในถ้ำลึก ในสภาพสติแตกจำอะไรไม่ได้เสียแล้ว พูดได้แต่ว่า "กลัวแล้ว ๆ"<br />
<br />
ชาวบ้านสรุปว่านี่คือ อำนาจเจ้าที่เจ้าแดน แต่แปลกที่ว่าไม่ใช่เจ้าป่า เจ้าเขา.<br />
<br />
โบราณท่านว่าแบบนี้เรียกว่า "ขึด" ทางอีสานว่า "เข็ด" หรือ "เข็ดขวง".<br />
<br />
ขึด, เข็ด, เข็ดขวง...คือสภาพไม่ปกติสุข คือหายนะหรืออุบาทว์วินาศ อันเกิดจากการกระทำที่ไม่ถูกต้องของคน หากเกิดขึ้นในป่า มักจะเรียกขึดป่า การกระทำที่จะกระทำให้เกิดขึดป่า มีหลายอย่าง เช่น เอาหม้อจ้วงน้ำจากห้วย, กอบน้ำจากห้วยใส่ปาก, ฉี่รดจอมปลวก, ฉี่รดโคนไม้ใหญ่, ฉี่ลงน้ำ, ผิดผี(ชาย หญิงสมสู่กันในป่า) รวมไปถึงอาการรุ่มร่ามไม่สำรวมต่าง ๆ<br />
<br />
ส่วนสภาพที่เกิดขึ้น เมื่อขึดป่า ก็มี ฝนใหญ่ลมหลวง ไม้ไพรใหญ่โค่น ฟ้ามืดฟ้ามัว เสือคาบคนไปกิน ได้ยินเสียงผีปกกะโหล้งร้องตั๊กแต้ ตั๊กแต้ แวดหน้าล้อมหลัง.<br />
<br />
แม้ปัจจุบันนี้ ชาวล้านนา หรือชาวป่าทั่วไป ก็ยังเชื่อถือเข้าป่าเก็บเห็ดหรือหาฟืน ก่อนจะกินข้าว จะเอาคำข้าววางไว้บนดินพร้อมบอกกล่าวไหว้สาผีเจ้าที่เสียก่อน จะไม่กินก่อนผี หากมีใครเผลอไปกินก่อนผี ก็มักจะไม่สบายใจกังวลหวั่นไหวไปว่าจะเกิดขึด.<br />
<br />
แล้วทำไม? ผู้นอนป่า นอกจากระวังสัตว์ร้ายอย่างอื่นแล้ว แล้วทำไมต้องมาระวังสิ่งเหล่านี้ด้วย.<br />
<br />
ก็ติดตามกันครับ...ไม่แน่ว่าชาวเมืองสักวันหนึ่งอาจต้องไปนอนป่า นอนรีสอร์ท หรือที่พักกลางป่าแล้วถ้าเคยอ่านเรื่องของผม ก็อาจระลึกถึงก็ได้.<br />
<br />
วันนี้...ขอพักแค่นี้ครับ เวลามีน้อย...<br />
<br />
Chote Vanhakij<br />
16 สิงหาคม 2560 เวลา 23:33 น.<br />
คลิกที่นี่..อ่านคอมเม้นท์ใต้บทความครับ<br />
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1898760847111525&id=100009328851456<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/yc/eno28.jpg" /></center><br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">ตอนที่ 28 "เรื่องประหลาด" "กะระณียะเมตตสูตร" (ต่อ)</span><br />
<br />
"กะระณียะเมตตสูตร" (ต่อ)<br />
<br />
ยังล่องแพไม่ถึงวันที่สามเลยครับ อ่านกันต่อเพื่อน ๆ มีงานเยอะเลยหาเวลาว่างยาก....<br />
<br />
ก่อนจะเข้าเรื่องใหญ่ที่เกริ่นเอาไว้ ก็จะนำคติที่มีอยู่ในเรื่องเทพารักษ์ และเทวดาในชั้นจาตุมมหาราชิกามาเขียนให้อ่านก่อนครับ.<br />
<br />
ในการขยายความและแยกแยะถึงเทวดาในชั้นนี้ ก็เขียนมามากมายพอสมควร และคิดว่าชัดเจน จนน่าจะไม่สับสนในเรื่องของเทวดาที่มีภพภูมิอันมีมิติซ้อนอยู่ในภพภูมิใกล้ชิดกับมนุษย์ จนมนุษย์อาจจะร้องขอให้ช่วยเหลือในสิ่งที่ไม่เกินกรรม ไม่ฝืนกรรม และให้ผลในทางดีได้ พร้อมกับให้โทษ หรือบันดาลให้อยู่ไม่สุขสบาย เจ็บไข้ ได้ป่วย มากน้อยแล้วแต่แรงกรรมจะช่วยผสม.<br />
<br />
และก็คงไม่พ้นที่จะนำเอาเรื่องคติพื้นบ้านไทย ๆ ที่มีต่อเทพารักษ์เหล่านี้เข้ามาเขียนขยายความให้อ่านกัน ก่อนที่จะเข้าเรื่องโบราณอันมีมาแต่ครั้งพุทธกาลก่อนโน้น ซึ่งบางทีการเขียนเนื้อ ๆ หรือเข้าเรื่องเลย ไม่มีการเกริ่นนำ ก็อาจยากทำความเข้าใจ หรือทำให้เข้าใจไขว้เขวไปได้<br />
<br />
หอปู่ ตา หรือศาลเทพารักษ์ประจำหมู่บ้านในทางภาคอีสาน และเหนือ คือ ศาลของเทวดาเจ้าที่ ศาลใหญ่ประจำหมู่บ้านที่อาจเป็นการบูชาถึงบรรพบุรุษผู้สิ้นชีพไปแล้ว หรือ เทพารักษ์(เทวดาชั้นจาตุมมหาราชิกา)ที่เชิญมาจากภูเขา, ต้นน้ำ(ขุนห้วย), ป่าใหญ่ ฯลฯ ที่คนโบราณอาจนับถือว่าเข็ดขวง, ขึด...(ซึ่งก็เขียนถึงในบทก่อนไปแล้ว) เพื่อให้มาปกปักรักษา คุ้มครองหมู่บ้านให้ร่มเย็นเป็นสุข และเกือบทุกหมู่บ้านแม้จะนับถือพุทธศาสนา แต่ก็ไม่ทิ้งการนับถือผีเชื้อ หรือเทพารักษ์แบบนี้ เพราะรู้ว่าเป็นเทวดาในภพภูมิใกล้เคียงกับมนุษย์ และพุทธศาสนาก็ไม่เคยปฏิเสธ หรือไม่ยอมรับว่า เทวดาแบบนี้จะไม่มี(แต่จะย้ำว่า แม้เทวดาอาจบันดาลอะไรให้จริง) แต่ไม่ช่วยให้พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ หากแต่มนุษย์แต่ละคนต้องปีนป่ายหาทางพ้นทุกข์ด้วยตัวเองเท่านั้น เพราะเทวดาทั้งปวงก็ยังไม่ใช่ผู้สิ้นทุกข์ หากแต่กุศลกรรมส่งผลจึงเกิดในภพภูมิที่ดีในบางช่วง บางภพ เมื่อหมดกุศลกรรม ก็อาจลงมาเสวยทุกข์พอ ๆ กับมนุษย์เช่นเดียวกัน<br />
<br />
อ่านเรื่องที่นำมาจากข้อเขียนของ อ.มาลา คำจันทร์ ก่อนครับ...จะได้รู้จักกับคติโบราณที่น่าคิด<br />
<br />
คนโบราณดั้งเดิม ถือผีป่า(เทพารักษ์ผู้เฝ้าป่า)ผู้รักษาต้นน้ำลำธาร...คนล้านนา และอีสานให้ความเคารพยำเกรงต่อผีป่าและผีขุนน้ำแบบนี้มาก(แม้จะจืดจางไปมากแล้วในปัจจุบัน) หากป่าตอนใดเป็นต้นกำเนิดของสายน้ำ(ทางอีสานก็จะมีป่าดอนปู่ ตา หรือป่าชุมชนที่นับถือคตินี้ และช่วยกันอนุรักษ์) ป่านั้น ๆ จะได้รับการพิทักษ์หวงแหนยิ่งกว่าป่าอื่น ๆ คนจะไม่เข้าไปตัดไม้หรือล่าสัตว์เด็ดขาด ถึงเวลาอันควร เช่น ก่อนหน้าลงนาเล็กน้อย คนก็จะไปไหว้ผีขุนน้ำ ณ ต้นกำเนิดของแม่น้ำสายนั้น ๆ.<br />
<br />
(เช่นที่เล่าแล้วในเรื่องขันธะปริตตะสูตร ในเรื่องของคนทางเมืองแก่นท้าว สปป.ลาว ที่จะเซ่นสรวง ด้วยการบนผีงูเงือกในศาลเทพารักษ์ให้ออกไปรับสัตว์สองเท้า เมื่อถึงฤดูกาลก่อนการเพาะปลูก เป็นเครื่องเซ่น จนคนที่อยู่รอบลำน้ำสายนั้นไม่กล้าลงทำกิจกรรมในช่วงเวลาที่กล่าว).<br />
<br />
ทางล้านนา ผีขุนน้ำ(ขอให้เข้าใจว่าคือ เทพารักษ์ แต่ขอใช้คำเดิม ๆ ที่เข้าใจง่าย มาสื่อ)ไม่ปรากฏรูปร่างตัวตนว่าเป็นอย่างไร เป็น "กลุ่มผี" ที่เฝ้าต้นน้ำลำธาร ไม่ใช่ผีโดดเดี่ยวเดียวดาย แต่หมายเอาผีหลายตนที่อาจสิงสู่อยู่แถวต้นน้ำนั้น ๆ แต่เดิมอาจเป็นผีโป่ง ผีป่า หรือผีดุร้ายนานามาก่อนก็ได้ ต่อมาเห็นว่าดุร้าย หรือเฮี้ยนจัด ชาวบ้านเลยสร้างศาลอัญเชิญให้อยู่อาศัยแถวต้นน้ำนั้นเอง เมื่อสร้างที่สถิตให้แล้ว ก็บอกกล่าวร้องขอให้ทำหน้าที่พิทักษ์รักษาต้นน้ำลำธาร...ผีร้ายเลยกลายเป็นดีนับแต่ที่เชิญขึ้นศาล.<br />
<br />
ผีขุนน้ำ มักได้ชื่อตามลำน้ำสายนั้น ๆ เช่น ผีขุนลาว ได้ชื่อจากแม่น้ำลาว ผีขุนออนได้ชื่อจากแม่น้ำออน เป็นต้น ถึงกาลใกล้ฤดูทำนา ชาวบ้านจะทำพิธีเลี้ยงผีขุนน้ำ เพื่อเป็นการขอบคุณที่ดูแลรักษาขุนน้ำ ทำให้มีน้ำใช้ในการเกษตรกรรม พิธีดังกล่าวจะจัดขึ้นที่ศาลของผีขุนน้ำในเดือน ๘ หรือเดือน ๙ ทางเหนือ (ประมาณเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน).<br />
<br />
การเลี้ยงผีขุนน้ำนั้น ศาสตราจารย์มณี พยอมยงค์ พ่อครูหลวงอีกท่านด้านล้านนาคดี เขียนไว้ในประเพณีสิบสองเดือนล้านนาไทย ว่าเครื่องสำรับบูชา ประกอบด้วยเทียน ๔ เล่ม ดอกไม้ ๔ กรวย หมาก ๔ ขด ช่อขาว(ธงขาว) ๘ ผืน มะพร้าว ๒ ทะลาย กล้วย ๒ หวี อ้อย ๒ เล่ม หม้อใหม่ ๑ ใบ แกงส้มแกงหวาน หัวหมู ไก่ต้ม สุราและโภชนาหาร ๗ อย่าง รวมทั้งเมี่ยงและบุหรี่เป็นต้น ส่วนวิธีการเลี้ยงผีและเซ่นสังเวยผีนั้น ท่านเขียนไว้ว่า เมื่อจัดแต่งเครื่องสังเวยพร้อมแล้วจะทำชะลอม ๓ ลูก สำหรับใส่เครื่องบูชาทั้งหลาย หาบไป ๒ ใบ คอนไป ๑ ใบ แล้วจัดทำศาลขึ้นหลังหนึ่งที่ต้นน้ำนั้น ๆ ประกอบด้วยหลักช้างและหลักม้าปักอยู่ใกล้ ๆ ศาล แล้วนำเอาเครื่องสังเวยขึ้นวางบนศาล ทำพิธีกล่าวอัญเชิญเทพารักษ์ ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และผีสางต่าง ๆ ซึ่งประจำรักษาอยู่ ณ ต้นน้ำลำธารสายนั้นให้มารับเครื่องสังเวยต่าง ๆ แล้วจะอ้อนวอนขอให้ผีขุนน้ำอำนวยให้มีน้ำอุดมสมบูรณ์ ฟ้าฝนตกต้องตามฤดูกาล จากนั้นจะรออยู่พอสมควรแก่เวลา ก็จะนำเอาเครื่องเซ่นสังเวยเหล่านั้น มาเลี้ยงดูสู่กันกิน<br />
<br />
ผู้เขียน(อ.มาลา คำจันทร์) เคยอ่านพบเรื่องราวเกี่ยวกับผีขุนน้ำเรื่องหนึ่ง เห็นว่าน่าสนใจ ขออนุญาต #คุณสังคีต จันทนะโพธิ ซึ่งเขียนเกี่ยวกับการเลี้ยงผีขุนน้ำออน ไว้ในหนังสือชื่อ "เปิดกรุล้านนาร่วมสมัย" ท่านเขียนไว้ว่า...<br />
<br />
"ลำน้ำออนไหลผ่านอำเภอสันกำแพง ยาวประมาณ ๗๕ ก.ม. ชาวบ้านที่ใช้น้ำจากลำน้ำนี้ จะเลี้ยงผีขุนน้ำในวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๙ ทางเหนือ ของทุกปี จะใช้วัวดำ หมูดำ และไก่ดำ ฆ่าเลี้ยง เนื้อวัวทำแกงอ่อม หมูทำลาบ ไก่ทำไก่ย่าง จะสลับสับเปลี่ยนไม่ได้<br />
<br />
เมื่อ พ.ศ.๒๔๖๐ ถึงเวรตำบลทรายมูลไปเลี้ยงผีขุนน้ำ พญาอาษาราษฎร์บำรุง กำนันตำบลทรายมูลสลับสับเปลี่ยนเนื้อ ไม่ทำตามที่เคยทำกันมาแต่ก่อน ใครห้ามก็ไม่ฟัง การทำอย่างนี้ ทำให้ผีขุนน้ำไม่พอใจ บันดาลให้เกิดฝนตกฟ้าร้องอย่างหนัก น้ำเอ่อนอง พญาอาษาราษฎร์บำรุง จะข้ามน้ำ(กลับบ้าน)ให้ได้ ใครห้ามก็ไม่ฟัง น้ำซัดทั้งคนและม้าจมหายไป รุ่งเช้าจึงมีคนไปพบศพติดอยู่ที่ฝายล้อง(ร่องน้ำที่มีน้ำในหน้าฝน ๔ เดือน นอกฤดูน้ำแห้ง)วัวแดง"<br />
<br />
เรื่องนี้คงพอสะท้อนถึงความคิด ความเชื่อและการกระทำของคนล้านนา(ในอดีต)ที่เกี่ยวกับผีขุนน้ำได้พอสมควร ผม(มาลา คำจันทร์)เองไม่มีประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับผีขุนน้ำ แต่สมัยเมื่อผมยังเป็นเด็กบ้านดอยอยู่นั้น หลังบ้านผมคือดอยจอมแว่ เป็นเทือกดอยเล็ก ๆ แต่ก็ยังมีน้ำห้วยไหลอยู่ มีปลากั้งให้เห็น(#คนพื้นเมืองสมัยนั้นไม่กินปลากั้งเพราะเชื่อว่ามันคือจิ้งเหลนที่ลงไปอยู่ในน้ำแล้วกลายร่างเป็นปลากั้ง ใครกินแล้วจะเป็นขี้ทูด ปลากั้งจึงมีเยอะ) เนื้อดินของดอย ยังมีเห็ดขอน เห็ดดินให้เก็บกิน มีผักแพระ ผักป่าพออาศัยเก็บใส่หม้อแกงได้ ที่หล่ายดอยหรืออีกฟากของดอยจอมแว่ มีบ่อน้ำทิพย์ ซึ่งพออนุมานได้ว่าเป็นขุนห้วย เพราะเป็นต้นกำเนิดของน้ำห้วย น้ำบ่อทิพย์ที่ว่ามานี้เป็นตาน้ำผุดจากใต้ดิน ไหลออกจากปากบ่อ เลาะล่องไปตามหลืบดอย คนเชื่อกันว่าบ่อน้ำทิพย์รักษาโรคบางชนิดได้ ที่บ่อน้ำทิพย์นี้เชื่อกันว่า มีผีรักษา พวกเราแม้เป็นลูกเล็กเด็กดอยที่ซุกซนสดใสไปตามประสา แต่ก็ไม่กล้าจะทำทะลึ่งทะเล้นเป็นลูกวอกลูกลิง แถว ๆ บ่อน้ำทิพย์ หากจำเป็นต้องฉี่ยังยกมือไหว้ขอขมาเวลาจะฉี่ก็ต้องหันหน้าไปทางอื่นไม่หันไปทางบ่อน้ำทิพย์<br />
<br />
การเลี้ยงผีขุนน้ำนั้น ปัจจุบันก็ยังปฏิบัติกันอยู่ ความเคารพยำเกรงต่อผี และความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ของพิธีกรรมอาจลดหย่อนลง แก่นสารเนื้อในอาจหดหายไปตามกระแสความเชื่ออื่น ๆ ที่รุกล้ำเข้ามา แต่รูปแบบพิธีกรรมยังคงมีอยู่ เราคงไม่อาจบูรณะฟื้นฟูตัวความเชื่อเกี่ยวกับผีขุนน้ำให้มีผลในเชิงปฏิบัติในการรักษาป่าต้นน้ำลำธารไว้ได้ดังเดิม<br />
<br />
เราคงไม่สามารถจะใช้ผีขุนน้ำให้เป็นเครื่องมือในการอนุรักษ์ป่าต้นน้ำได้ดังเดิมอีกแล้ว ผีขุนน้ำถูกเราฆ่าตายเสียแล้ว แต่เรากลับไม่มีปัญญาสร้างเครื่องมือในการดูแลรักษาป่าที่ทรงประสิทธิภาพอย่างที่คนโบราณท่านสร้างไว้.<br />
<br />
การที่ผม(เจ้าของเฟส) เล่าเรื่องการไปเป็นเพื่อนอาจารย์ท่านหนึ่งเดินทางกลับบ้านในป่าลึกเพื่อร่ำลาญาติก่อนเดินทางไปต่างประเทศ...แล้วแทรกเรื่องอื่นเพื่อเป็นการบอกเล่าความคิด อธิบายสิ่งต่าง ๆ ให้อ่านกันนั้น...ก็เพื่อจะบอกแนวคิดแบบนี้ครับ.<br />
<br />
"การเข้าใจสิ่งต่าง ๆ โดยมีคนอธิบายให้เข้าใจชัดเจนนั้น...เหมือนปราชญ์จีนโบราณท่านพูด...การอ่านหนังสือดี ๆ หรือบทความดี ๆ สักเล่มหนึ่ง เรื่องหนึ่ง....เทียบได้กับการที่เราเดินทางหมื่นลี้ เพื่อหาประสบการณ์เอง".<br />
<br />
วันที่สามที่เดินทางทางแพ ก็ยังสนุกสนานเหมือนเดิมครับ...กะว่ารุ่งขึ้นของวันที่สี่ บ่าย ๆ คงถึงผาน้ำหยด ร่องน้ำแคบ และลำน้ำเพชรฯ ช่วงนี้จะไหลขึ้นไปทางทิศเหนือ (ปกติไหลมาแต่ทางทิศตะวันตก สู่ตะวันออก)ก่อนไหลลงทะเลด้านอ่าวไทย...<br />
<br />
วันหน้า มาตามเรื่องกันต่อครับ.....<br />
<br />
<font color="#FF0000">@ คลิกที่นี่..</font> <a href="https://www.youtube.com/watch?v=_VS95rpmtes&t=10m06s" target="_blank"><span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: large;">พระคาถากรณียเมตตสูตร</span></a><br />
<br />
Chote Vanhakij<br />
20 สิงหาคม 2560 เวลา 22:39 น.<br />
คลิกที่นี่..อ่านคอมเม้นท์ใต้บทความครับ<br />
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1900846693569607&id=100009328851456<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: large;">พระคาถาชินบัญชร - นาที 10:00 พระคาถากรณียเมตตสูตร</span><br />
<center><embed type="application/x-shockwave-flash" width="580" height="450" src="http://www.youtube.com/v/_VS95rpmtes?fs=1&start=606"></embed></center>* * * * *<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/gl/5no29.jpg" /></center><br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">ตอนที่ 29 "เรื่องประหลาด" "กะระณียะเมตตสูตร" (ต่อ)</span><br />
<br />
"กะระณียะเมตตสูตร" (ต่อ)<br />
<br />
การที่พระภิกษุ ตั้งแต่ครั้งพุทธกาล เมื่อเรียนสมถะกรรมฐานแต่สำนักอาจารย์ใดแล้ว เลือกสถานที่ที่สงบเพื่อฝึกจิตตัวเองให้เข้าสู่สมาธินั้น เป็นเรื่องธรรมดา เช่น พระป่าสายอีสาน สมัยหลวงปู่ ครูบาอาจารย์ในสมัยก่อน ๆ ในเมืองไทย...แต่ใช่ว่าจะมีแต่สมัยนี้ก็หาไม่ มีมานานแล้ว.<br />
<br />
แต่ป่าหรือสถานที่ที่ทำความเพียรนั้น อาจมีเจ้าที่ เทพารักษ์ อยู่อาศัยมาก่อน พอมีพระเข้าไปบำเพ็ญเพียรก็อาจเดือดร้อนด้วยอำนาจตบะ ของพระภิกษุจนทำให้อยู่ลำบากต้องออกมาขับไล่โดยการแสดงร่างไปต่าง ๆ นา ๆ ให้กลัว เช่นตำนานของกระณียะเมตตะสูตรนี้...จนทำให้พระที่ยังไม่บรรลุคุณธรรมชั้นใด ๆ เกิดอาการขนพองสยองเกล้า จนต้องทิ้งสถานที่นั้น มาทูลถามพระพุทธองค์ และพระพุทธองค์ทรงสอนบทแผ่เมตตาให้ เพื่อเจริญสติแผ่เมตตาแก่เทวดา จะได้ไม่มารบกวน เบียดเบียนพระให้หวาดกลัวอีก.<br />
<br />
ในตำนานที่ว่า หลังจากพระท่านกลับไปสถานที่นั้นอีกก็ใช้ปริตตะมนต์บทนี้แผ่เมตตาให้เทวดา จนเทวดารักใคร่ไม่ได้เบียดเบียนให้ลำบาก และพระภิกษุท่านก็ปฏิบัติธรรมจนบรรลุตามสภาวะแห่งจิตของท่าน.<br />
<br />
จนเป็นตำนานแห่งพระคาถาที่พระใช้เป็นบทเจริญพุทธมนต์ตราบเท่าทุกวันนี้<br />
<br />
เทพารักษ์นั้น กล่าวมาหลายตอนครับ และบางทีก็อาจจะเขียนอีกตอน สองตอน ก่อนจะเข้าสู่ตัวพระคาถาและคำแปลที่เคยใช้เจริญมนต์เมื่อครั้งนอนป่าที่เมืองเพชรฯ แต่จะนำเอาเรื่องที่น่าเกี่ยวข้องกันมาให้อ่านก่อนครับ ว่าเทพารักษ์นั้น แม้ผู้มิใช่สามัญชนก็ได้ทรงเคยประสบพบเห็นมาแล้ว เช่นเรื่องนี้.<br />
<br />
เรื่องเกี่ยวกับเทพารักษ์ หรือเทวดาในชั้นจาตุมมหาราชิกานี้ มีอีกหลายกระแส แม้แต่กับพระมหากษัตริย์ก็ทรงได้เคยทรงประสบพบเห็นมาด้วยพระองค์เองก็มี<br />
<br />
เช่นที่ผมจะนำเรื่องผีในพระราชพงศาวดาร ซึ่งเป็นข้อเขียนของท่าน ส.พลายน้อย มาเขียนขยายต่อให้อ่านกันตามนี้<br />
<br />
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่ครั้งยังดำรงพระยศเป็นพระบรมโอรสาธิราช ได้ประสบกับภูติ ผี, วิญญาณ, ปีศาจนี้ (บางแห่งว่าข้าราชการเป็นผู้ฝัน แล้วนำเรื่องมาทูลถวาย และบางแห่งเล่าขานกันว่าที่ลพบุรีบ้าง ที่ดงพญาเย็นบ้าง) แต่ผมจะยึดตามข้อเขียนของคุณ ส.พลายน้อยเป็นหลักว่า...เดิมเมื่อปี ร.ศ.๑๒๕ (พ.ศ.๒๔๔๙ ) ขณะดำรงพระยศเป็นมกุฎราชกุมารนั้น พระองค์ได้ทรงประสบหลายครั้ง ที่นับว่าสำคัญเรื่องหนึ่งคือ ท้าวหิรัณยฮู หรือท้าวหิรันยพนาสูร มาขอเฝ้า เป็นราชองครักษ์ ตามจดหมายเหตุที่บันทึกไว้ดังต่อไปนี้.<br />
<br />
เมื่อครั้งเสด็จมณฑลพายัพ เมื่อจะออกเดินทางจากอุตรดิตถ์ไปในทางป่า เวลานั้น ผู้ที่ตามเสด็จพระราชดำเนินพากันมีความหวาดหวั่น เพราะเกรงกลัวความไข้และภยันตรายต่าง ๆ ซึ่งจะพึงมีมาได้ในกลางทางป่า จึงได้ทรงพระกรุณาดำรัสชี้แจงว่า "ธรรมดาเจ้าใหญ่นายโต จะเสด็จแห่งใด ๆ ก็ดี คงจะมีทั้งเทวดาและปีศาจ ฤาอสูร อันเป็นสัมมาทิฏฐิคอยติดตามป้องกันภยันตรายทั้งปวง มิให้มากล้ำกรายพระองค์และบริพารผู้โดยเสด็จได้ ถึงในการเสด็จครั้งนี้ก็มีเหมือนกันอย่าให้ผู้หนึ่งผู้ใดมีความวิตกไปเลย"<br />
<br />
ต่อนั้นไปมีผู้ที่ตามเสด็จผู้หนึ่งกล่าวว่าฝันเห็นชายผู้หนึ่งรูปร่างลำสันใหญ่โต ได้บอกกับผู้ที่ฝันนั้นว่า ตนชื่อหิรันย์เป็นอสูรชาวป่า เป็นผู้ตั้งอยู่ในสัมมาปฏิบัติ ในครั้งนี้จะมาตามเสด็จพระราชดำเนินไปในกระบวน เพื่อคอยดูแลระวังมิให้ภยันตรายทั้งปวงอันจะพึงบังเกิดมีขึ้นได้ในระยะทางกลางป่านั้น มากล้ำกรายพระองค์ฤาราชบริพารได้<br />
<br />
ครั้นทรงทราบความเช่นนั้นจึงมีพระราชดำรัสสั่งให้จุดธูปเทียน และเครื่องโภชนาหารไปเซ่นที่ในป่าริมพลับพลา และเวลาเสวยค่ำทุก ๆ วัน ก็ได้ทรงพระกรุณาให้แบ่งพระกระยาหารจากเครื่องไปตั้งเซ่นเสมอ.<br />
<br />
ภายหลังจากคราวที่เสด็จพระราชดำเนินประพาสมณฑลพายัพนั้น แม้จะเสด็จพระราชดำเนินไปแห่งใด ก่อนที่จะเสด็จจากกรุงเทพฯ ข้าราชบริพารก็ได้พร้อมใจกันน้อมเชิญหิรันยอสูรให้ตามเสด็จด้วย และโดยมากเมื่อเสด็จพระราชดำเนินไปโดยสวัสดิภาพแล้วก็พากันกล่าวว่าเพราะหิรันยอสูรตามเสด็จไปด้วย บางคราวบางสมัยเมื่อเสด็จไปประทับอยู่ในหัวเมือง ถึงกับมีผู้ได้อ้างว่าแลเห็นรูปคนร่างกายใหญ่ล่ำสัน ยืนฤานั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใกล้ ๆ ที่ประทับ แลอ้างว่าได้แลเห็นพร้อม ๆ กันหลายๆ คนก็มี.<br />
<br />
การที่มีผู้นิยมเชื่อถือในหิรันย์เช่นนี้ มิใช่แต่เฉพาะในหมู่ผู้ที่เป็นราชบริพารที่ตามเสด็จไปในกระบวนเท่านั้น แต่ข้าราชการฝ่ายเทศาภิบาลก็พลอยนิยมเชื่อถือไปด้วย การที่มีผู้นิยมเชื่อถือเช่นนี้จะมีมูลหรือไม่อย่างไรก็ดี จึงทรงพระราชดำริว่า "ธรรมดาคนโดยมากยังละเว้นความประสงค์ที่จะหาเทวดาฤามนุษย์เป็นที่พึ่งคุ้มกันภยันตรายต่าง ๆ นั้นมิได้ขาดทีเดียว เมื่อมีที่นิยมยึดเหนี่ยวอยู่เช่นหิรันยอสูรนี้เป็นต้น ก็มักจะทำให้เป็นที่อุ่นใจในการที่จะเดินทางไปในถิ่นทุรกันดาร ถ้าแม้ใจดีอยู่แล้วก็มักจะไม่ใคร่เป็นอันตราย" เมื่อทรงพระราชดำริดังนี้ จึงได้ทรงตกลง คงเซ่นหิรันยอสูรต่อมา คือให้แบ่งพระกระยาหารเสวยจากเครื่องเซ่นที่เคยทำมาแล้ว ครั้งเสด็จประพาสมณฑลพายัพนั้นเป็นธรรมเนียมต่อมา.<br />
<br />
ครั้นปี ร.ศ.๑๒๙ ได้เสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติแล้ว (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว)ทรงคำนึงถึงหิรันยอสูรซึ่งนิยมกันว่าได้เคยตามเสด็จพระราชดำเนินมาหลายแห่ง หลายหน การเสด็จพระราชดำเนินในแห่งใด ๆ ก็ได้เป็นไปโดยสวัสดิภาพและเป็นที่อุ่นใจแห่งข้าราชบริพารทั่วไป จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ช่างหล่อรูปหิรันยอสูรด้วยทองสัมฤทธิ์แล้วเสร็จบริบูรณ์ในเดือนเมษายน ร.ศ.๑๓๐.<br />
<br />
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานจัดเครื่องสังเวยเซ่นสรวง ตามสมควรแล้ว ขอเชิญหิรันยอสูรเข้าสิงสถิตในรูปสัมฤทธิ์ และทรงขนานนามพระราชทานใหม่ว่า ท้าวหิรันยพนาสูร มีชฎาเทริดอย่างไทยโบราณและไม้เท้าเป็นเครื่องประดับยศสืบไป.<br />
<br />
เรื่องการหล่อรูปท้าวหิรันยพนาสูรเพื่อประดิษฐานที่พระราชวังพญาไทย(ซึ่งเป็นโรงพยาบาลพระมงกุฎในปัจจุบัน)ผู้เขียน(ส.พลายน้อย)เคยอ่านในหนังสือเล่มหนึ่งตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนในหนังสือเล่มนั้นเรียกว่าท้าวหิรันยฮูได้เล่าว่าเมื่อตอนที่ฝรั่งนำรูปหล่อขึ้นตั้งบนแท่นนั้นได้ใช้เชือกล่ามผูกคอท้าวหิรันยพนาสูรชักรอกขึ้นไป<br />
<br />
ขณะที่กำลังดำเนินการอยู่นั้นปรากฏว่านายช่างฝรั่งมีอาการหายใจไม่ออก มือไขว่คว้าไปมาทำให้คนตกใจกันมาก มีผู้เฉลียวใจคิดว่าอาจเป็นเพราะท้าวหิรันยพนาสูรไม่พอใจในการกระทำเช่นนั้นก็ได้ จึงได้จุดธูปกล่าวขอขมาลาโทษเหตุร้ายก็สงบไป<br />
<br />
เสียดายที่หนังสือเล่มนั้นหายเสีย ไม่เช่นนั้นก็จะทราบรายละเอียดอื่น ๆ อีกมาก<br />
<br />
เรื่องต่าง ๆ ดังได้กล่าวมานี้ จะเห็นว่าเรื่องของวิญญาณ หรือเจตภูต, อทิสมานกาย ตลอดจนอำนาจลี้ลับอะไรต่าง ๆ เป็นเรื่องที่ไม่อาจจะพิสูจน์ให้เห็นได้ นอกจากจะบังเกิดขึ้นแก่คนใดคนหนึ่งหรือมีผู้ประสบด้วยตนเองเท่านั้นจึงจะตอบได้ว่า จริง หรือไม่จริง<br />
<br />
อย่างไรก็ตามเป็นการไม่บังควรที่จะลบหลู่สิ่งเคาระของคนเป็นอันมาก<br />
<br />
รูปท้าวหิรันยพนาสูรดังกล่าวนี้ สูงราว ๑๐ นิ้วปัจจุบันประดิษฐานอยู่ ณ พระที่นั่งกรัณยสภาในพระบรมมหาราชวัง ยังมีการตั้งเครื่องสังเวยทุกวันก่อนเวลา ๑๑.๐๐ น. และตามคำบอกเล่าของพระมหาเทพกษัตรสมุห (เนื่อง สาคริก) กล่าวว่าพระยาอนุศาสนจิตรกร (จันทร จิตรกร) เป็นผู้เขียนรูปร่างท้าวหิรันยพนาสูรตามพระราชดำรัส (มีอีกกระแสหนึ่งว่า ทรงพระสุบินเห็นรูปร่างของอสูรนั้น) และได้ปั้นแบบตามร่างภาพนั้น<br />
<br />
พระมหาเทพกษัตรสมุห ได้เล่าต่อไปว่าเคยมีรูปหล่อท้าวหิรันยพนาสูรประดิษฐานอยู่ที่หน้ารถพระที่นั่ง แต่จะเป็นรูปเดียวกันกับที่กล่าวถึงนี้หรือเปล่า?...ไม่ทราบได้.<br />
<br />
อนึ่ง เมื่อทรงสร้างวังพญาไทยแล้วโปรดให้หล่อรูปท้าวหิรันยพนาสูรขึ้นใหม่ เมื่อ พ.ศ.๒๔๖๕ ด้วยทรงต้องการให้ท้าวหิรันยพนาสูรเป็นเทพารักษ์ประจำวังพญาไท<br />
<br />
และตอนต่อไป จะนำเรื่องของเทพารักษ์ที่อยู่ใจกลางเมืองมาเล่าต่อ ก่อนจะจบบทความตอนนี้ จะได้สมบูรณ์ครบถ้วนกระบวนความ โดยเอาข้อความเหล่านี้มาแสดงให้ทราบถึงสี่แยกมหาเทพ ใจกลางย่านธุรกิจในกรุงเทพฯ มาพูดถึง...ตามนี้.......<br />
<br />
อาถรรพ์แรกคือ พื้นที่ตรงนี้เป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ซึ่งสามัญชนคนธรรมดาจะมาทำการค้าอาศัยอยู่ไม่ได้ เพราะแรงสาปแช่งที่มีต่อพื้นที่ตรงนี้ นอกเสียจากจะให้ทางญาติมาทำพิธีถอนคำสาป.<br />
<br />
อาถรรพ์ที่สอง สมัยสงครามโลกมีการทิ้งระเบิดแถว ๆ วังเพชรบูรณ์และโดยรอบ ทำให้มีคนล้มตายกันเยอะ ส่วนหนึ่งเขาจะเอาศพมากองไว้แถบ ๆ ย่านนี้ ทำให้มีวิญญาณคนตาย ยังวนเวียนไม่ยอมไปไหน เพราะตายโหง ธุรกิจร้านค้าแถบ ๆ นี้ ทุก ๆ ปี หากไม่ทำพิธีอุทิศส่วนกุศลให้คนตาย หรือทำพิธีทางจีน ยากที่ธุรกิจจะประสบผลสำเร็จ<br />
<br />
อาถรรพ์ที่สาม การย้ายศาลพระตรีมูรติไปไว้ที่ฝั่ง zen ซึ่งแต่เดิมอยู่ตรงหัวมุมถนนพระราม 1 ซึ่งตั้งมานาน เมื่อมีการย้าย จึงทำให้เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ห้างสมัยที่เสื้อแดงมาชุมนุมที่ตรงนี้ เพราะการเกิดแรงปะทะ ที่ไม่ดีตรงสี่แยก ที่คนโบราณท่านได้สร้างไว้แก้อาถรรพ์ ถ้าไม่ย้ายศาลไป ห้างคงไม่เกิดไฟไหม้<br />
<br />
อาถรรพ์ที่สี่เมื่อย้ายพระตรีมูรติไปไหว้ที่ฝั่ง zen ประกอบกับการสร้างรถไฟฟ้า ทำให้เกิดแรงปะทะ กระแสในแนวราบ วิ่งไปมาของรถไฟฟ้าทั้งสองสาย มาปะทะกันตรงสี่แยกราชประสงค์ ซึ่งห้าง CTW ก็โดนเต็ม ๆ นานเข้าแรงปะทะเมื่อถึงจุดระเบิด เพราะไม่มีอะไรมาแก้ได้ จึงเกิดไฟไหม้ขึ้นอยู่บ่อย ๆ<br />
<br />
เดาออกไหมครับ?<br />
<br />
ที่ไหน?<br />
<br />
Chote Vanhakij<br />
21 สิงหาคม 2560 เวลา 23:18 น.<br />
คลิกที่นี่..อ่านคอมเม้นท์ใต้บทความครับ<br />
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1901350756852534&id=100009328851456<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/np/cno30.jpg" /></center><br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">ตอนที่ 30 "เรื่องประหลาด" "กะระณียะเมตตสูตร" (ต่อ)</span><br />
<br />
"กะระณียะเมตตสูตร" (ต่อ)<br />
<br />
การพูดถึงพระภูมิเจ้าที่ เทพารักษ์ชั้นจาตุมมหาราชิกาที่ผ่านมาก็คิดว่าพอสมควรแก่เรื่องที่เขียนแล้ว แต่จะนำเอาเรื่อง เทพารักษ์ชั้นผู้ใหญ่ที่เสด็จมาสถิตยังพระรูปปั้นกลางเมืองหลวงมาเล่าต่อละกัน...จะได้ชัดเจนขึ้น.<br />
<br />
(ไม่เอางมงายหรอกนะครับ)...แต่จะเอาข้อเขียนที่เขียนโดยนักเขียนดังท่านหนึ่ง มาเขียนต่อให้อ่านกันพอเบา ๆ ถึงเทพที่ดูแลสถานที่ในแต่ละแห่งบ้าง ในป่า นอกป่าบ้าง พอให้ได้รู้สำหรับคนไม่รู้ จะได้เปิดโลกทัศน์ให้กว้างขึ้น.<br />
<br />
ดังจะเอาเรื่องศาลท้าวมหาพรหมนี่แหละ มาเขียนให้อ่าน...ศาลพระพรหมนั้นก่อนจะตั้งมีอาจารย์ที่เชี่ยวชาญด้านสมถะกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน เป็นผู้แนะนำให้ตั้ง ก่อนจะตั้งก็มีเรื่องเล่าตามนี้ครับ<br />
<br />
ที่โรงแรมเอราวัณนั้นมีศาลท่านท้าวมหาพรหมที่รู้จักกันดีโดยคนที่แนะนำให้ตั้งคือ พลเรือตรีหลวงสุวิชานแพทย์ ร.น.(ราชนาวี...ในราชการกองทัพเรือ)เป็นผู้ติดต่อและอัญเชิญ<br />
<br />
เมื่อทางรัฐบาลสมัยนั้น มีความเห็นว่าโรงแรมเอราวัณเก่านั้น ที่เป็นที่เชิดหน้า ชูตาของเมืองไทยสมัย ๒๐ กว่าปีมาแล้วนี้...เล็กเกินไป ไม่สามารถรองรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศได้เพียงพอ จึงสั่งการรื้อถอนเพื่อสร้างเป็นโรงแรมใหม่ ประชาชนคนไทยส่วนมากที่เคยไปสักการะท่านท้าวมหาพรหมที่มุมโรงแรมเอราวัณ สี่แยกราชประสงค์ ต่างพากันใจหายใจคว่ำ เกรงว่าทางราชการจะรื้อศาลที่ท่านท้าวมหาพรหมสถิตอยู่<br />
<br />
แต่ทุกวันนี้ ศาลทุกอย่างยังเหมือนเดิมเพราะไม่มีใครกล้าไปแตะต้อง แม้โรงแรมเอราวัณจะถูกทุบทิ้งไปแล้วก็ตามทั้งนี้ด้วยผู้ใหญ่ในรัฐบาลท่านทราบดีถึงประวัติความเป็นมาของศาลท่านท้าวมหาพรหม ซึ่งน้อยคนนักที่จะรู้ ผม(เจ้าของเฟส)จึงขอนำมาขยายต่อ เพื่อเป็นการยืนยันว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นมีจริง(แต่อย่างมงายจนถึงกับไม่ช่วยเหลือตัวเอง) วิญญาณของเทพเบื้องบนมีจริง ผู้ปฏิบัติธรรมชั้นสูงเท่านั้นจึงจะสามารถติดต่อได้<br />
<br />
ซึ่งท่านผู้นั้นในอดีตคือ ท่านอาจารย์ พลเรือตรีหลวงสุวิชานแพทย์ ร.น. อดีตนายแพทย์ใหญ่กรมแพทย์ทหารเรือผู้เพียรปฏิบัติสมถะกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน จนล่วงรู้ถึงขั้นที่เรียกว่า มีอภิญญา ๖ เช่น หูทิพย์ ตาทิพย์ และมีอำนาจจิตอันเป็นที่ยอมรับนับถือจากประชาชนทั่วไป ตลอดจนนักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ตราบจนท่านถึงแก่อนิจกรรม<br />
<br />
มีเรื่องเล่าว่า เมื่อสมัยเริ่มก่อสร้างโรงแรมเอราวัณใหม่ ๆ นั้น มีอุปสรรคมากมายอย่างไม่คาดฝัน อาทิ การสั่งซื้อสิ่งของอุปกรณ์มาแล้วใช้ไม่ได้ เพราะผิดขนาดและผิดความต้องการของฝ่ายช่างเสมอ ทั้งคนงานก็ทำผิดวัตถุประสงค์ ต้องแก้ไขทำใหม่เป็นเหตุให้เสียเวลาอยู่เป็นนิจ<br />
<br />
ข้อสำคัญที่สุดคือ ไม่ว่าช่างปูน ช่างเหล็กมักจะประสบอุบัติเหตุถึงแก่เลือดตกยางออกอันเป็นเหตุให้คนงานเสียขวัญไปตาม ๆ กัน จึงทำให้ผลงานล่าช้ายิ่งขึ้นจนถึงจะทำให้การก่อสร้างโรงแรมเอราวัณหยุดชะงักได้<br />
<br />
เมื่อเรื่องทราบถึง พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจ และประธานกรรมการบริหารโรงแรมเอราวัณสมัยนั้น ว่าการก่อสร้างดูท่าจะไม่แล้วเสร็จตามกำหนด ท่านจึงได้เรียกประชุมคณะกรรมการบริการ เพื่อปรึกษาหารือถึงวิธีแก้ไขความล่าช้าในการก่อสร้างโรงแรม ซึ่งได้มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งได้แนะนำให้ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ติดต่อขอความช่วยเหลือจากท่านอาจารย์ พล.ร.ต.หลวงสุวิชานแพทย์เป็นการด่วน ด้วยท่านอาจารย์คุณหลวงสุวิชานแพทย์เป็นผู้ที่สามารถหยั่งรู้เหตุการณ์ที่มิชอบด้วยประการทั้งปวง และมีความสามารถในทางมหัศจรรย์ที่คนธรรมดาสามัญไม่มีทางจะรู้เท่าทันท่านได้.<br />
<br />
พล.ต.อ.เผ่า ได้ยินเช่นนั้น ประกอบกับเคยได้ยินกิตติศัพท์ของคุณหลวงสุวิชานแพทย์ มาก่อนแล้ว จึงรับคำแนะนำของผู้ใหญ่ท่านนั้น และได้มอบหมายให้ พล.ต.ต.ม.ล.จเร สุทัศน์ ณ อยุธยา ผู้ควบคุมการก่อสร้างโรงแรมเอราวัณ ไปติดต่อหารือคุณหลวงสุวิชานแพทย์ เพื่อขอให้ท่านกรุณาตรวจดูว่า อุปสรรคทั้งหลายในการก่อสร้างโรงแรมเอราวัณนี้มีมูลเหตุมาจากสิ่งใด และมีวิธีแก้ไขให้หมดสิ้นไปได้อย่างไร เพื่อให้การก่อสร้างเสร็จตามกำหนด<br />
<br />
เมื่อ พล.ต.ต ม.ล. จเร สุทัศน์ฯ ได้ไปพบท่านคุณหลวงสุวิชานฯแล้ว ได้เรียนให้ท่านทราบเรื่องราวโดยละเอียด ท่านคุณหลวงสุวิชานฯ นั่งสมาธิตรวจดูเหตุการณ์ต่าง ๆ จึงได้พบว่าสาเหตุใหญ่ที่ทำให้เกิดอุปสรรคนานาประการในการก่อสร้างครั้งนี้ มาจากการตั้งชื่อโรงแรมแห่งนี้ว่า "เอราวัณ" นั่นเอง เพราะคำว่า "เอราวัณ" นี้เป็นนามของช้างทรงของพระอินทร์.<br />
<br />
(ส่วนสาเหตุอื่น มีว่าเช่นเจ้าของสถานที่เดิมท่านสาปแช่งไว้ ขอไม่กล่าวถึงด้วยจะกระทบถึงหลายส่วน).<br />
<br />
ท่านจึงได้แนะนำ จะต้องแก้ไขด้วยการบอกกล่าวขออำนาจต่อท่านท้าวมหาพรหมผู้เป็นใหญ่แห่งสรวงสวรรค์ ขอบารมีพระองค์ท่านจงดลบันดาลให้สิ่งที่ร้ายทั้งหลายกลับกลายเป็นดี การก่อสร้างโรงแรมนี้จึงจะลุล่วงได้ทันตามกำหนด และเมื่อก่อสร้างโรงแรมเรียบร้อยแล้ว จะต้องตั้งศาลท่านท้าวมหาพรหมผู้เป็นใหญ่แห่งสรวงสวรรค์ถวายแด่พระองค์ท่านทันที....<br />
<br />
และการสร้างถวายท่านท้าวมหาพรหมนั้น พระองค์ท่านโปรดตรงมุมของโรงแรม ด้านสี่แยกราชประสงค์<br />
<br />
สำหรับศาลของท่านท้าวมหาพรหมนี้ คุณเจือระวี ชมเสวี, ม.ล.ปุ่น มาลากุล เจ้าหน้าที่กรมศิลปากรเป็นผู้ออกแบบ ส่วนพระรูปหล่อจำลองนั้น คุณจิตร พิมพ์โกวิท ช่างโทในสมัยนั้นที่ประจำกองแผนกหัตถศิลป์ กรมศิลปากรเป็นช่างปั้น ตามแบบแผนของกรมศิลปากร โดยการค้นคว้าของพระยาอนุมานราชธน เมื่อสร้างศาลท่านท้าวมหาพรหมเสร็จแล้ว จึงได้ประกอบพิธีอัญเชิญขึ้นประทับเมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๔๙๙ โดยท่าน พล.ร.ต.หลวงสุวิชานฯ ร.น.ได้มอบหมายให้คุณประยูร วงศ์ผดุง เป็นผู้ทำพิธีด้วยการติดต่อทางจิต ผ่านคุณหลวงสุวิชานฯ ซึ่งเป็นผู้ชี้แนะทั้งสิ้น.<br />
<br />
เรื่องราวมหัศจรรย์เกี่ยวกับองค์ท่านท้าวมหาพรหม โรงแรมเอราวัณนี้เมื่อครั้ง พล.ร.ต.หลวงสุวิชานฯยังมีชีวิตอยู่ท่านเคยเล่าถึงองค์เทพที่สถิตอยู่ในรูปปั้นท่านท้าวมหาพรหมว่า แท้ที่จริงคือทิพย์วิญญาณพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์พระองค์หนึ่งในรัชกาลที่ 4 ของกรุงรัตนโกสินทร์นั่นเอง.<br />
<br />
จากการตรวจด้วยตาใน(ทิพยจักษุ)และการติดต่อทิพย์วิญญาณทางสมาธิจิต คุณหลวงสุวิชานได้เล่าถึงพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า หลังจากที่พระองค์ท่านเสด็จสวรรคตแล้วได้ไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นพรหมทรงมีตำแหน่งหน้าที่เป็นรองท่านท้าวมหาพรหมและได้รับพระนามใหม่ว่า..."ท่านท้าวเกศโร" ซึ่งเมื่อพล.ร.ต.หลวงสุวิชานฯได้ทำพิธีประดิษฐานพระรูปปั้น ขององค์ท่านท้าวมหาพรหม ได้อัญเชิญพระวิญญาณให้มาสถิตอยู่ที่พระรูปปั้นด้วย เพื่อให้ช่วยปัดเป่าความทุกข์ยากและความเดือดร้อนของประชาชนที่มาสักการะ ซึ่งตามปกติผู้รู้ท่านว่า จะเสด็จมาประทับที่พระรูปปั้นทุกวัน ยกเว้นวันพระ.<br />
<br />
("พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวพระองค์เป็นกษัตริย์จริงหรือไม่ ถ้าถือเอาตามหลักพฤตินัย ต้องถือว่าใช่เพราะพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งมีศักดิ์เป็นพระเชษฐาของพระปิ่นเกล้า เมื่อครั้งจะรับตำแหน่งเป็นกษัตริย์นั้นได้ระบุว่าให้ยกพระปิ่นเกล้าเป็นกษัตริย์เสมอกันด้วย.<br />
<br />
ตามคำกราบบังคมทูลว่า "ขออัญเชิญพระบาทสมเด็จพระอนุชาธิบดีเจ้าฟ้ามงกุฎฯ และสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ เถลิงถวัลย์ราชสมบัติ".<br />
<br />
ซึ่งคำข้างต้นเป็นคำกราบบังคมทูลเชิญเป็นกษัตริย์ซึ่งเห็นได้ว่ามีการระบุถึง ๒ พระองค์ คือเจ้าฟ้ามงกุฎฯ(พระจอมเกล้า) และเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์(พระปิ่นเกล้า). ดังนั้นตำแหน่งของพระปิ่นเกล้าจึงเป็นกษัตริย์ตามนิตินัย(โดยทางกฎหมาย)).<br />
<br />
เขียนเรื่องล่องแพของตัวเอง แต่เขียนเกี่ยวกับเรื่องอื่นซะยาว...จนนอกเรื่องไปเยอะ.<br />
<br />
ก็เอาพอย่อ ๆ ครับ...ขอจบห้วน ๆ วันหลังค่อยมาต่อกัน.<br />
<br />
Chote Vanhakij<br />
25 สิงหาคม 2560 เวลา 20:10 น.<br />
คลิกที่นี่..อ่านคอมเม้นท์ใต้บทความครับ<br />
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1903412673313009&id=100009328851456<br />
<br />
* * * * *<br />
somphonghttp://www.blogger.com/profile/07203143908234315462noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6143190172184203950.post-32289765062729698552017-07-14T19:32:00.001+07:002017-08-29T22:48:18.183+07:00"ก่อนชีวิตจะจางหาย ภายใต้ฟ้ากว้าง" (2) By: Chote Vanhakij<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/pv/plogo.jpg" /></center>"ขออนุญาตคุณ Chote Vanhakij ขอนำบทความของท่านมาโพสต์ที่นี่นะครับ" ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร<br />
<br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">UpDate..</span><br />
<center><span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">ตอนที่ 12 "ผีโพง" "ผีเป้า" ถึง ตอนที่ 20 "คาถากันผีน้ำ"</span></center><br />
<span style="color: #3333ff; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;"><strong>"ก่อนชีวิตจะจางหาย ภายใต้ฟ้ากว้าง"</strong></span><br />
<span style="color: #ff9900;">By: Chote Vanhakij</span><br />
<br />
<font color="#FF0000">@ คลิกที่นี่..</font> <a href="http://northernfoodd.blogspot.com/2017/06/blog-post.html" target="_blank">ตอนที่ 1 "ถวิลหาอดีต..." ถึง ตอนที่ 11 "ล่าเก้ง"</a><br />
<font color="#FF0000">@ คลิกที่นี่..</font> <a href="http://northernfoodd.blogspot.com/2017/07/3-by-chote-vanhakij.html" target="_blank">ตอนที่ 21 "ประสาพราน" ถึง ตอนที่ 30 "กะระณียะเมตตสูตร"</a><br />
<font color="#FF0000">@ คลิกที่นี่..</font> <a href="http://northernfoodd.blogspot.com/2017/08/4-by-chote-vanhakij.html" target="_blank">ตอนที่ 31 "ป" ถึง ตอนปัจจุบัน</a><br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/q9/yno12.jpg" /></center><br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">ตอนที่ 12 "ผีโพง" "ผีเป้า"</span><br />
<br />
ที่จะนำเรื่องผีพวกนี้มาเล่า ก็ต้องท้าวความกันก่อนนะครับ ว่าผมเองแค่..."ถวิลถึงอดีต" ครั้งที่ยังมีป่า มีดง มีเพียงแสงตะเกียง คบไต้ ให้แสงสว่างยามกลางคืน เอามาเขียนทิ้งไว้เป็นบันทึกถึงอดีต ไม่มีจุดประสงค์ให้เชื่องมงาย ให้หวาดกลัว หรือหลอกหลอนกันให้กลัวแต่ประการใด เพราะเรื่องผีนั้น อยู่คู่กับสังคมไทยมาช้านาน.<br />
<br />
(และอย่าว่าแต่สังคมไทยเลย สังคมไหน ๆ ศาสนาใด ๆ ในโลก ก็ล้วนมีเรื่องผี เรื่องมารเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งนั้น...และความเชื่อก็แน่นแฟ้นพอ ๆ กัน และจะบอกว่างมงาย ก็งมงายพอ ๆ กัน เหมือนเป็นความเชื่อที่ล้างออกไปจากใจมนุษย์ไม่ได้ แม้จะมีวิทยาการสูงส่ง แสงสว่างของไฟฟ้า สว่างไสว มลังเมลือง...ผีก็เหมือนมีอยู่เสมอ...คู่กับผู้คน<br />
<br />
แม้อยู่ใจกลางมหานครใหญ่อย่างกรุงเทพฯ ก็ใยมิใช่จะไม่มีผี เพียงแต่ความเชื่อเรื่องผีอาจลดน้อยลง หรือ หาเหตุ ผล มาคัดค้านได้มากขึ้นเพราะความเจริญขึ้นของวิทยาการ และความคิดด้านวิทยาศาสตร์.<br />
<br />
ผีมีอยู่ได้ก็เพราะมีคน (คนมีสำนึกเรื่องผี).<br />
<br />
ไม่มีคน ก็ไม่มีผี<br />
<br />
ไม่มีแสงสว่าง ก็ไม่มีเงา.)<br />
<br />
หน้าร้อน ที่บ้านเกิดเดิมของผม...(สมัยก่อนปี พ.ศ.2520 ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ ใช้แสงตะเกียงน้ำมันก๊าด หรือโซล่า)...คนอยู่ในวัยฉกรรจ์ หรือวัยทำงาน กินข้าวเย็นกันแล้ว ก็มักไม่ลงเรือนไปเที่ยวไหน ถ้าไม่นั่งคุยกับลูก เมีย ก็มักหางานอดิเรกมาทำ เช่น เหลาคันเบ็ดไว้ไปปักเบ็ด หรือออกหาปลา, สานข้อง, สานแห, สานกระบุง ตะกร้า ฯลฯ แล้วแต่ความชำนาญ.<br />
<br />
ส่วนแม่บ้าน ก็มักนั่งปั่นฝ้ายให้เป็นเส้นด้าย เพื่อไว้ใช้ทอผ้า นั่งปะ นั่งชุนเสื้อผ้า(เพราะเสื้อผ้าสำเร็จรูปยังหาได้ยากมากในสมัยนั้น) ไม่ค่อยอยู่ว่างโดยใช้แสงตะเกียงนั่นแหละ เป็นแสงไฟทำงาน....ส่วนครอบครัวใหญ่ ที่มีตา ยาย หรือลุง ป้า พร้อมลูก หลาน อยู่กันหลายคน ก็มักออกมานั่งรับลม ที่ชานบ้าน.<br />
<br />
หรือบางคนก็ออกมานั่งกรองแฝก (ถักหญ้าคาให้เป็นตับ ไว้มุงหลังคาบ้าน) นั่งเล่น นั่งคุย เรื่องโน้นบ้าง เรื่องนี้บ้าง ที่ลานดินหน้าบ้าน หน้ากองไฟ พร้อมญาติผู้ใหญ่ที่มีบ้านติด ๆ กัน ยังไม่ขึ้นนอน...<br />
<br />
บางทีก็นั่งเผา นั่งจี่ หัวเผือก หัวมันให้ลูก หลาน ที่ค่อนข้างโต และกำลังเล่นกัน อยู่รอบ ๆ นั่นแหละ ไว้กิน เวลาเล่นเหนื่อย.<br />
<br />
ถ้าหน้าร้อนข้างขึ้นเดือนหงาย พอหรุบหรู่ ๆ เด็ก ๆ อย่างพวกผมยิ่งสนุก เล่นซ่อนหา เล่นผีหลอก ตามประสาไป...ด้วยไม่มีอะไรเป็นเครื่องบันเทิงเหมือนสมัยนี้ และถ้าวันไหนมีพ่อเฒ่า พ่อจารย์ ที่เคยผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ มาเยอะ ไม่ใช่เฒ่าดอก เฒ่าดาย(คือพูดอะไรไม่เก่ง เล่าเรื่องอะไรก็ไม่สนุก)...มาเล่าเรื่องโน้น นี่ นั่น สู่กันฟัง...!<br />
<br />
เด็กพอรู้เดียงสาอย่างพวกผม จะล้อมวงเข้ามาฟังเลย ไม่เล่นซ่อนหากันแล้ว...<br />
<br />
สนุกครับ...!!<br />
<br />
ค่ำคืนเดือนมืด นั่งล้อมกองไฟ มีเสียงนกฮูกกูกร้องเอาขวัญ เสียงบ่างหวีดร้อง...เรื่องผี เรื่องน่ากลัวอื่นใด มันจึงประทับไว้ในความทรงจำครั้งเด็ก ๆ แม้จะผ่านมาหลายปี ลืมเลือนไปบ้าง ก็ยังเหลือในความทรงจำมากโข โดยจำมาแต่คนเฒ่าที่เล่าให้ฟังไว้แต่ครั้งกระโน้น...ครั้งที่ป่าดง พงพี ยังอุดมสมบูรณ์ด้วยส่ำสัตว์สารพัด, อาถรรพ์ป่ารุนแรง, ความลึกลับดำมืด ที่ไม่มีใครไขปริศนาออก, ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยความรู้คนยุคโน้น...มาให้อ่านกัน.<br />
<br />
บ้านเกิดเดิม เป็นพื้นที่รอยต่อของสองอารยธรรม คือ อารยธรรมของชาวเหนือของไทยตอนล่าง และอารยธรรมของชาวอีสานตอนบน...จึงมีความรู้จักทั้งสองฝั่งฟากแห่งอารยธรรมซึ่งมีความแตกต่างกันหลายอย่าง เอามาเทียบเคียง.<br />
<br />
อย่าง "ผีโพง" ที่เป็นชื่อเรื่อง ทางอีสาน น่าจะเป็น "ผีเป้า" ผีที่ชอบกินของดิบ ของคาว ของสกปรกมากกว่า.<br />
<br />
และน่าจะต่างจากผีปอบอยู่มาก ๆ เพราะดูเหมือนผีปอบจะมีฤทธิ์ร้ายกาจกว่า คือ เมื่อเข้าสิงร่างคนที่คนใด ถ้าไม่ครอบงำวิญญาณเดิมไว้ หรือไล่วิญญาณเดิมออกจากร่างแล้วเข้าครอบงำร่าง กินตับไตไส้พุงจนหมด ร่างเดิมตายไป ก็ไปหาร่างใหม่เข้าสิง กินตับไตไส้พุงต่อไป<br />
<br />
เอาเรื่องแรกของผีโพง จากอินเทอร์เน็ตไปอ่านก่อนนะครับ ก่อนจะร่ายยาวเรื่อง"ผีโพง" จนเป็นมหากาพย์ ไปสักสี่ ห้าตอนให้อ่านกันแก้เหงา.<br />
<br />
1. พ่ออุ๊ยหนานต๋า จตุนาม อายุ 79 ปี บ้านเลขที่ 24 หมู่ที่ 1. ต.เชียงแรง กิ่ง อ.ภูซาง จ.พะเยา.<br />
<br />
ให้สัมภาษณ์ นายจิรยุทธ รวมสุข.<br />
<br />
ผีโพง อยู่ในคราบร่างของคนธรรมดา แต่เพราะความผิดปกติอย่างใดไม่ทราบ จึงมีภาวะอีกอย่างหนึ่งเป็นผีโพง (คือ ชอบกินของดิบ กินเลือด กินเนื้อ).<br />
<br />
มีพระรูปหนึ่ง มีบ้านเดิมครั้งก่อนบวชอยู่ฟากทุ่งนา หลังจากกลับไปเยี่ยมบ้าน พลบค่ำ ก็เดินกลับวัดอีกฟากทุ่งโดยเดินลัดเลาะมาตามคันนา เจอผีโพงกลางทาง ผีโพงก็ถามพระว่า "ไปไหนมา".<br />
<br />
พระไม่กล้าตอบว่า "ไปบ้านมา" เพราะกลัวผีโพงฆ่า ก็เลยพูดอ้อม ๆ ว่า "ไปหาของแบบเดียวกันนั่นแหละ"<br />
<br />
ผีโพงนึกว่าพวกเดียวกัน ก็ถามต่อว่า "ที่ฝังไว้เมื่อวานหรือ?" และบอกให้พระอยู่รอ.<br />
<br />
หลังจากนั้นผีโพง ก็ลงไปขุดศพ(คน) ได้ขาศพมาหนึ่งขา แล้วนำมาทิ้งไว้ตรงหน้าพระ(แสดงว่ามีน้ำใจแบ่งปันเพราะนึกว่าพระเป็นผีโพงเช่นเดียวกับตน)หันรีหันขวาง แล้วบอกว่ายังขาดเครื่องใน เดี๋ยวจะกลับไปเอามาให้.<br />
<br />
พระนั้นก็ตกใจ อารามกลัวยกขาศพขึ้นได้ก็แบกใส่บ่า วิ่งเตลิดข้ามทุ่งไปจนถึงวัด พอถึงวัดนึกขึ้นได้ว่าเป็นขาคน(ศพ) ก็เลยขว้างออกไปนอกวัด แต่ขว้างไม่พ้นกำแพงวัด ไปติดอยู่ที่กำแพง ก็ยิ่งตกใจ วิ่งเข้าโบสถ์ตัวสั่นงันงก.<br />
<br />
หลังจากนั้น ไม่นานพระก็มรณภาพ เพราะความกลัวมาก ๆ ที่ทางเหนือเรียกว่าขวัญหาย.<br />
<br />
เรื่องแรก เป็นอย่างไรครับ?...<br />
<br />
Chote Vanhakij<br />
15 กรกฎาคม 2560 เวลา 10:50 น.<br />
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1880233832297560&id=100009328851456<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/ak/bno13.jpg" /></center><br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">ตอนที่ 13 "ผีโพง 2"</span><br />
<br />
อธิบายกันชัดเจนไปแล้วนะครับ ระหว่าง ผีเป้า กับ ผีโพง แต่โดยปกติในความคิดผมนั้น ผีเป้า น่าจะเป็นผีผู้ชาย และผีโพง น่าจะเป็นผีผู้หญิง เท่าที่สรุปด้วยความคิดเห็นส่วนตัวนะ.<br />
<br />
ยังไม่ต้องบรรยายมากครับ มาอ่านผีโพง เรื่องที่สองต่อกันเลย...!<br />
<br />
2. นางอวน ศิริชมภู อายุ 68 ปีเลขที่ 2 หมู่ที่ 11 บ้านป่าอ้อดอนชัย ต.ป่าอ้อดอนชัย อ.เมือง จ.เชียงราย ให้สัมภาษณ์ นายชัชวาล ปัญญาไชย.<br />
<br />
(ทั้งนี้ ติดตามได้ในเว็บไซต์ Thai-Floksy.com<br />
<br />
ของมหาวิทยาลัยนเรศวร วิทยาเขตสารสนเทศ จังหวัดพะเยา มีข้อมูลเรื่องผีโพง ที่น่าสนใจหลายเรื่อง ตามที่ผมนำมาลงให้อ่าน โดยไม่ได้ขออนุญาต ก็ขออนุญาตผ่านบทความนี้ ด้วยความเคารพครับ).<br />
<br />
ผีโพง เวลาออกหากิน จะเอาเด็กเล็กขี่หลังไปด้วย เวลาไปหายายที่บ้าน ยายจะบอกกับเด็กว่า...เวลามาให้บอกยายด้วย เวลามา ก็จะเรียกยาย ว่ามาแล้วเน้อ มาตามพื้นบ้าน มาหากินขี้เลน ขี้โคลนใต้ถุนบ้านยาย ยายก็บอกว่าถ้ามาอีกให้เรียกยายทุกครั้ง<br />
<br />
เด็กมันก็จะเรียกทุกครั้ง ยายมาแล้วเน้อ ออกหากินอย่างนี้ประจำ พอผีโพงหากินกลับไปบ้าน...ทีนี้เขาพลิกบันไดบ้านกลับ ผีโพงจำไม่ได้ มันก็มองดูบ้านใช่ บันไดไม่ใช่ วนไป วนมา บ้านใช่ บันไดไม่ใช่จนสว่าง...และทำเป็นแกล้ง กวาดพื้นแกรกกราก เพื่อกลบเกลื่อนความเป็นผีโพง<br />
<br />
ส่วนผีโพงดำ เป็นผีผู้หญิง เวลาออกหากินกลางคืน จะเที่ยวหาแต่ผู้ชาย(เหมือนร่านราคะ) เวลาเจอผู้ชาย มันจะชอบจับอวัยวะเพศชายเสมอ และขอบหากินกลางคืน.<br />
<br />
3. นายสิงห์คำ ตันรักษา อายุ 66 ปี บ้านเลขที่ 34 หมู่ที่ 11 บ้านป่าอ้อดอนชัย เหมือนคนข้างบน ให้สัมภาษณ์แก่คนคนเดียวกัน เล่าว่า.....<br />
<br />
ผีโพงนั้น...แกว่า สมัยก่อน มักจะมีหัวควายแห้ง หรือหัวควายที่เขาเลาะเนื้อออกแล้ว ทิ้งไว้ตามยุ้งข้าว ผีโพงชาย ถ้าไปหาแอ่วสาว มักจะแวะไปแคะหัวควายเหล่านี้กิน พวกหนุ่ม ๆ ที่ไม่เป็นโพง ก็ไปเที่ยวสาวตามปกติ พวกที่เป็นผีโพงก็ไปหากิน ถ้าไม่ได้กินหัวควาย ไปเจอกบ เขียด จับได้ก็ดูดกินเมือกคาวทางปากของกบ เขียด ทิ้งไว้ตามคันนา<br />
<br />
ถ้าเราไปทุ่งนาตอนเช้า จะเจอกบ เขียดนอนตาย ซึ่งบางทีกบ เขียด ก็ไม่ได้ตายเอง โดนผีโพงดูดกินไส้ พุง กินกลิ่นคาว หมดแล้วก็ทิ้งไว้...เราไปทุ่งนาตอนเช้า เอากบ เขียดไปย่างกิน ก็ไม่มีพิษอะไร<br />
<br />
นี่ก็เรียกว่า ผีโพง.....! ถ้าเราไปหากบ เขียด สมัยนั้นไม่มีไฟฉาย มันจะเห็นผีโพง ออกเป็นแสงสว่างแดงให้เห็น ถ้ามันเห็นมันจะไล่ คนเราก็วิ่งหนี ที่มีคาถาอาคมก็สู้กันไป แต่ถ้าจำหน้ากันได้ว่าเป็นเพื่อนบ้าน ก็กลับมากลับบันไดบ้านเขาเสีย ให้ผีโพงขึ้นบ้านไม่ได้...คนเขาจะได้รู้ว่าเป็น ผีโพง.<br />
<br />
.....................................<br />
<br />
หลังจากนี้ ก็ขออนุญาต นำเอาข้อเขียน ของ อ.มาลา คำจันทร์ นักเขียนรางวัลซีไรต์ พ.ศ.2534...ซึ่งถือเป็นภูมิปัญญาล้านนาคนหนึ่ง มาขยายต่อ เกี่ยวกับผีโพง เป็นบางเรื่อง บางตอน ซึ่งเท่าที่ทราบท่านศึกษาเกี่ยวกับจารึกภาษาโบราณของท้องถิ่นทางนี้มานาน และด้านนี้โดยเฉพาะ.<br />
<br />
ถ้าเอ่ยถึงนาย "เจริญ มาลาโรจน์" น้อยคนที่จะรู้จัก แต่ถ้าบอกตามชื่อที่เขียนว่า มาลา คำจันทร์ คงมีคนรู้จักมากมาย...ผมแนะนำหนังสือท่านเล่มหนึ่งครับ.<br />
<br />
"หุบเขากินคน" วรรณกรรมเยาวชน น่าอ่าน อ่านแล้วจินตนาการได้กว้างไกลครับ.<br />
<br />
.....................................<br />
<br />
สารานุกรมวัฒนธรรมไทยภาคเหนือ เล่าว่า ผีโพง คือ ผีชนิดหนึ่ง ที่สิงอยู่กับคนเพศหญิง (มีหลายท้องที่ว่า สิงอยู่กับคนเพศชาย เช่น ทางอีสาน) กล่าวกันว่าการเป็นผีโพงนั้น มีสาเหตุหลายประการ เช่น สืบมาจากตระกูลของตนเอง...เป็นมาจากเสาเรือน...รับของจากผีโพงมาแล้ว กลายเป็นผีโพงในภายหลัง...เป็นเพราะเกิดแต่กรรมวิบากของตน...เป็นต้น.<br />
<br />
#ผีโพงที่เป็นโดยสืบมาจากตระกูลนั้น จะสืบมาจากปู่ ย่า ตา ยาย โดยสืบทอดช่วงละหนึ่งคน โดยแยกเป็นสองสาขา เช่น แม่ที่เป็นผีโพง มีลูก 6 คน ลูก 5 คนจะเป็นคนปกติ จะเป็นผีโพงเพียงคนเดียว และจะสืบต่อไปเรื่อย ถึงหลาน เหลน โหลน กล่าวกันว่าถ้าผู้ติดเชื้อเป็นหญิง จะกลายเป็นผีโพง และหากผู้ติดเชื้อเป็นชายก็จะกลายเป็นผีสือ(ทางอีสานน่าจะเป็นผีกระหัง) คนที่จะเป็นผีโพง หรือผีสือนั้น อายุประมาณ 20 ปีถึงจะเป็น และคนที่เป็นผีนี้ จะเป็นคนขวัญอ่อน ไม่ชอบกินจุก กินจิก เฉื่อยชา ตระหนี่ ชอบเก็บตัว สะอาด ตาโต ใบหน้ามีสีแดงเรื่อ โดยเฉพาะจมูกจะแดงและแดงเรื่อแผ่กระจายเต็มใบหน้า ซึ่งใบหน้าแดงดังกล่าวผีโพงจะแดงกว่าผีกระสือ.<br />
<br />
(ขอแทรกความเห็นส่วนตัวไว้หน่อยครับ ลักษณะของอาการเก็บกด หรือเก็บตัวแบบนี้มีกันทุกชาติ ในลักษณะแบบนี้ทางตะวันตกจะเข้าลักษณะของผีดูดเลือดของฝรั่ง คือ กลางวันออกมาโดนแดดไม่ได้ โดนแดดแล้วผิวไหม้ เป็นแผลพุพอง แพ้แสงแดดอย่างรุนแรง มีอาการทางจิต คือ กลางวันเหงาหงอย แต่กลางคืนร่าเริง ซึ่งถ้ามีโอกาสเขียนถึงอีก จะเขียนมาให้อ่าน).<br />
<br />
#ผีโพงที่เป็นมาจากเสาเรือน นั่นเพราะเสาเรือนทำมาจากไม้อาถรรพ์(ซึ่งน่าจะทุกภาค ที่มีความเชื่อเกี่ยวกับไม้แบบนี้) คือ.....<br />
<br />
1. เสาไม้ตะเคียน<br />
<br />
2. ไม้สองนาง คือไม้ต้นเดียวกัน แต่แยกเป็นสองลำตั้งแต่ผิวดิน มีขนาดเท่ากัน คนทำบ้านเห็นว่าง่าย ได้ไม้สองต้นโดยไม่ต้องเสาะหายาก ก็ตัดมาทำ และไม้ที่ว่านี้ มีน้ำมันเยิ้ม<br />
<br />
3. เสาที่ใจกลางไม้มีโพรง.<br />
<br />
4. เสาที่ทำจากไม้ที่อยู่บนจอมปลวก<br />
<br />
5. เสาที่ได้จากไม้งำเงา(มีแสงสะท้อนของตัวเองในน้ำอยู่ตลอด เหมือนไม้สองนาง เพียงแต่ไม่มีต้นคู่) คือ ขึ้นอยู่ใกล้น้ำ (คติทางบ้านผม ไม้ชนิดนี้ มีนางไม้รักษา และถ้าล้มจมลงในน้ำวังไหน คนที่ไม่มีวิชาทางน้ำ หรือคาถาอาคมดีจะไม่กล้าลงหาปลา หรือลงเล่นน้ำ...เพราะเชื่อว่า นางไม้นี้จะกลายเป็น รากษส...ผีเสื้อน้ำ คอยจับเอาคนชะตาขาดไปเป็นเหยื่อ โดยทำให้จมน้ำตาย)<br />
<br />
(แทรก...มติส่วนตัว ข้อ 1,2 ไม่วิจารณ์ครับ...ส่วนข้อ 3,4 น่าจะมีเชื้อโรคบางอย่างติดมากับไม้ ทำให้เกิดโรคกับคนในบ้าน จนมีอาการผิดปกติ ส่วนข้อ 5 น่าจะเป็นแค่ความเชื่อ).<br />
<br />
โบราณเชื่อว่า เสาทั้งห้าประเภทนี้มีผีสิงอยู่ และอาจเข้าสิงสมาชิกในเรือนที่ขวัญอ่อนแล้วกลายเป็นผีโพงไป<br />
<br />
#เป็นเพราะรับของมาจากผีโพง คตินี้มีความเชื่อในเรื่องเช่นเดียวกันกับผีปอบ และผีฟ้า...เช่น กรณีที่มีคนไปพบผีโพง แล้วผีโพงขอร้องไม่ให้บอกแก่คนอื่น และได้มอบของมีค่าให้เพื่อเป็นค่าปิดปาก(ซึ่งจะกลายเป็นดิน หรือก้อนขี้ควายในเวลาต่อมา...น่าจะด้วยอำนาจการสะกดจิต(ภาษาทางบ้านเกิด เรียกว่าเลือมตา,เลียมตา...แต่ไม่ใช่บังตา)) แต่ผู้รับของรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับผีโพงไม่ได้ และผีโพงตนเดิมที่มีคนรู้แล้วจะมีอายุอยู่ได้ไม่เกิน 1 ปีก็จะตาย และคนที่รับของและไปพบผีโพงนั้นจะกลายเป็นผีโพงสืบต่อแทน<br />
<br />
#เป็นเพราะวิบากกรรม คือ เกิดจากคนที่เคยทำบุญตักบาตรด้วยของสด ดิบ ที่เป็นเนื้อสัตว์ดิบ หรือของคาว บูด เน่า(ตรงนี้ มีคติเกี่ยวกับพุทธศาสนา เพราะผิดวินัยของพระที่จะรับ คนเฒ่า คนแก่ เลยสอนเป็นคติสอนใจมากกว่า ว่าอย่าทำบุญ หรือกลั่นแกล้งพระ) หากเกิดในชาติต่อไปก็จะเป็นผีโพง หรือผีสือ ตามที่ตัวเองมีเพศ<br />
<br />
เล่ารายละเอียดมาพอสมควร ก็ขอสรุป ไว้ว่า ผีโพงชอบกินของคาว เช่น คาวเลือด คาวปลา แต่ที่ชอบมากที่สุดคือคาวจากเขียด หรือกบ(แปลกที่ว่า ไม่เคยเห็นว่าเคยกินคางคก คงเพราะเป็นพิษหรืออย่างไรไม่ทราบ)...เล่ากันว่าใครเป็นผีโพง...ในตอนกลางวันให้สังเกตดูที่จมูก ซึ่งจมูกของคนที่เป็นผีโพงถ้าดูไกล ๆ จะเป็นสีแดง และถ้าดูใกล้ ๆ จะมีเส้นเลือดสีแดงไหลผ่าน เป็นสีสดใสจนมองเห็นได้ชัดเจน.<br />
<br />
จะมาต่อครับ...อดใจอีกนิด.....!<br />
<br />
Chote Vanhakij<br />
16 กรกฎาคม 2560 เวลา 17:20 น.<br />
คลิกที่นี่..อ่านคอมเม้นท์ใต้บทความครับ<br />
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1881156255538651&id=100009328851456<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/3w/9no14.jpg" /></center><br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">ตอนที่ 14 "ผีโพง 3"</span><br />
<br />
ในสมัยที่เรื่องลึกลับในป่าดงพงไพรยังเข้มขลัง ความเชื่อยังแน่นแฟ้น ความหวาดกลัวยังฝังลึกในมโนสำนึกนั้น...เรื่องแบบนี้ ไม่ใช่ว่าจะไม่มีหรือจะเป็นไปไม่ได้.<br />
<br />
แม้ผมเอง จะนำมาเขียนให้อ่านแบบเข้าใจง่าย ๆ พร้อมแทรกความคิดเห็นส่วนตัวแทรกไว้ เพื่อให้มองเห็นความจริงอีกด้าน สอดแทรกสุนทรียคติ, ธรรมะ, และเหตุ ผลอื่น ๆ ที่พอจะใส่เข้าไปในเนื้อเรื่องได้ โดยให้กลมกลืนไปกับเนื้อเรื่อง...แต่บางอย่างก็ยังยากที่จะอธิบาย...ด้วยคนอ่านในชั้นหลัง ก็มีความรู้สึกต่างยุค ต่างสมัย ไม่กลมกลืนไปกับเรื่องที่เล่า เพราะห่างไกลทางด้านความรู้สึก<br />
<br />
แต่ก็ไม่รู้สึกแปลกหรือจะต้องเสียใจอะไร ด้วยตั้งใจว่าเขียนเล่าทิ้งไว้บอกถึงยุคสมัยหนึ่ง ให้คนในยุคสมัยต่อ ๆ ไปได้อ่าน ได้รับรู้ความรู้สึก ทัศนคติ และความเข้าใจในยุคนั้น ๆ<br />
<br />
แม่ผมเอง...! บ้านเดิมอยู่ต่างอำเภอ ฐานะทางบ้านตอนนั้น ดีกว่าฐานะทางข้างฝ่ายพ่อ ติดตามพ่อมาอยู่ที่อำเภอนี้ เพราะสมัยนั้น พ่อติดตามคณะค้าขายควาย ไปค้าขาย และเทียวไปค้า ไปขายบ่อย ๆ จนเกิดความคุ้นเคย และชินสายตากับคนถิ่นนั้น...แม่(ท่านเล่าให้ฟังเอง ตั้งแต่ผมจำความความได้) บอกว่าพ่อเป็นหนุ่มรูปหล่อ แต่นิสัยดี คือ ไม่ก้าวร้าว นักเลง และเป็นคนไม่ชอบเอาเปรียบคนอื่น ซึ่งต่างจากคนในคาราวานค้าควายคนอื่น ที่จะต้องห้าวหาญ นิสัยกล้าได้กล้าเสีย นักเลง และอะไรก็ได้...ที่เป็นเรื่องของลูกผู้ชาย ด้วยต้องต้อนฝูงควายไปขายต่างถิ่น แม้จะใกล้อำเภอกัน.<br />
<br />
ก็ต้องคอยป้องกัน เสือ(เสือจริง ๆ) และเสือคน(โจร)ที่คอยจะจ้องมาปล้น วัว ควาย เอาไปกิน หรือแย่งเอาไปค้าขายเอง...เพราะฉะนั้น พ่อ...ในความรู้สึกของแม่ จึงต้องตา ต้องใจ จนถึงกับทอดสะพานใจให้(หม่าย...ภาษาถิ่น)...จนพ่อเองรู้สึกได้ และให้ญาติผู้ใหญ่มาสู่ขอตามธรรมเนียม ก่อนจะย้ายตามพ่อมาทำมาหากินยังอีกอำเภอตามพ่อ.<br />
<br />
ผมเอามาเขียนถึงทำไม?.<br />
<br />
เอามาเขียนถึงเพราะวัฒนธรรม ที่แตกต่างของสองอำเภอนั่นแหละ...! ที่จะเอามาเขียนถึง.<br />
<br />
แม่เป็นคนถือผีเชื้อตามบรรพบุรุษ และแม้แต่ย้ายบ้านมาแล้ว ก็ยังนับถือผีเชื้อเพื่อเป็นเครื่องปกปักรักษาตัวเอง ด้วยต้องย้ายมาอยู่ต่างถิ่นตามพ่อ และเอาผีเชื้อที่ว่านี้ไปฝากไว้กับศาลปู่ตา(ศาลเทพารักษ์ใหญ่ ของหมู่บ้าน ศาลใต้) และนับถือสืบมาจนทุกวันนี้...แม้จะนับถือพุทธศาสนา และเข้าวัดทำบุญ ทุกวันพระ วันโกน และวันที่มีงานต่าง ๆ ของทางวัดอยู่เสมอก็ตาม<br />
<br />
ส่วนปู่ เคยบวชเป็นพระภิกษุหลายพรรษา ท่องเที่ยวไปหลายที่สมัยป่าดงยงคงมืดทึบดุจป่าแต่บรรพกาล...ก่อนสึกออกมามีครอบครัว (เคยถูกเกณฑ์เป็นทหารช่วยรบ ครั้งสงครามปราบฮ่อ ไปรบถึงเชียงตุง)และย้ายมาตั้งรกรากที่บ้านนี้ และพ่อก็สืบทอดความนับถือพระพุทธศาสนาและคาถาอาคมผ่านมาทางปู่ แม้จะไม่เคยบวชเลย แต่เพราะต้องเดินทางในดง และใช้ชีวิตในสมัยนั้นตามความเชื่อ....ก็ต้องเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ไว้ป้องกันตัว.<br />
<br />
มาเข้าเรื่องกันครับ.......สาเหตุอีกสาเหตุหนึ่งที่จะทำให้คนเป็นผีโพง ที่ อ.มาลา คำจันทร์ ท่านไม่ได้นำมาเขียนถึงในบทที่แล้วไงครับ......<br />
<br />
...................................<br />
<br />
อักขระมนต์ คือ รหัสยะอักขระ(กุญแจ) ที่จะไขเข้าสู่พลังงานรอบข้าง(จะเป็นพลังอะไรก็แล้วแต่...!)ที่บุคคลคนนั้น ได้โอมอ่าน หรือสวดท่องออกจากปากแล้ว สามารถอธิษฐานนำเอาพลังงานที่อยู่รอบข้างมาสร้างสภาวะใด สภาวะหนึ่งให้เป็นไปตามปรารถนา มากน้อย ตามแต่อักขระมนต์ และผู้นั้นจะเข้าถึงสภาวะนั้น ในขณะนั้น จะโน้มนำให้เป็นไปได้<br />
<br />
บางคนสามารถเปลี่ยนธาตุสี่ให้เป็นไปตามปรารถนา(คือแปลงร่างได้)...บางคนถึงขนาดเปลี่ยนแปลงมิติที่อยู่รอบข้างให้เป็นมิติอื่น (คือ หายตัวได้ เหาะได้ ดำดินได้)...ซึ่งเกินที่มนุษย์ธรรมดาจะทำให้เป็นไปได้...แต่คนที่มีพลังจิตสูง (คือ ถึงแม้ไม่มีมนต์ใช้อำนาจสมาธิล้วน ๆ (พลังจิต)ก็อาจบันดาลได้ตามปรารถนา)...แต่บางคนอาจต้องอ่านมนต์ ท่องคาถาเพื่อเปิดประตูมิตินำเอาพลังงานอื่นมาเสริม.<br />
<br />
เดิม เมื่อยังไม่มีคนค้นพบ ก็ไม่มีอะไร แต่ถ้ามีคนค้นพบ ด้วยความกดดันบีบคั้น ด้วยการแสวงหา หรือด้วยการบำเพ็ญสมาธิขั้นสูงแล้วพบเข้า...<br />
<br />
เช่น พรานป่าโดนสัตว์ป่าทำร้าย ขณะที่จะสลบ เกิดนึกถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แล้วรอดมาได้ สิ่งนั้นก็จะเป็นมนต์ แต่เป็นมนต์ข้างต่ำ<br />
<br />
นักบวชที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ บำเพ็ญสมาธิ แล้วพบรหัสยะอักขระเข้า อักขระนั้นก็จะเป็นอักขระมนต์ (ไสยดำ มนต์ดำ).<br />
<br />
หรือนักบวช ผู้มีจิตปราศจากกิเลส สรรเสริญคุณของศาสดาของตนอยู่ มีจิตสงบ เข้าถึงพลังงานใด อักขระนั้น ก็จะเป็นอักขระมนต์(ไสยขาว มนต์ขาว).<br />
<br />
ทำไม?....<br />
<br />
นี่แหละครับ...ที่จะบอก เมื่อบุคคลผู้เข้าถึงภาวะแบบนี้(ในศาสนาพราหมณ์ หรือ รหัสยะลัทธิทั้งหลาย)...สิ้นชีพไป ท่านทั้งหลายก็จะเป็นอาจารย์ต้นมนต์(ปรมาจารย์) ที่จะคอยส่งพลังงานให้ลูกศิษย์ ที่นำเอามนต์ไปใช้ ให้เกิดความขลัง หรือศักดิ์สิทธิ์ คนที่เป็นศิษย์จึงต้องเซ่นสรวง บูชาแด่บุรพาจารย์ จะด้วยเนื้อ เลือด หรือข้าวตอก ขนม ข้าวต้ม ดอกไม้.....<br />
<br />
หรือด้วยของที่คิดว่าเหมาะแก่ผู้มีศีลสะอาด เช่น ของหอม ธูป เทียน ดอกไม้ก็แล้วแต่ที่บุรพาจารย์สั่งไว้.<br />
<br />
ยังไง?.....<br />
<br />
คนที่จะเรียนไสยศาสตร์ จะรู้กันโดยทั่วไปว่า จะมีข้อห้ามกำกับไว้เสมอ เมื่อเวลาเรียนมนต์กับอาจารย์ (ไสยดำ ไม่ใช่ไสยขาว) และห้ามเป็นคำขาด ห้ามล่วงละเมิดตลอดชีวิต (เช่น ห้ามด่าพ่อ แม่คนอื่น, ห้ามเป็นชู้ผิดลูก ผิดเมียคนอื่น ฯลฯ) ถ้าล่วงละเมิด นอกจากจะทำให้มนต์สิ้นความศักดิ์สิทธิ์แล้ว ยังจะทำให้มนต์นั้น เข้าตัว กลับมาทำร้ายตัวเอง อย่างดีก็คลุ้มคลั่ง เสียสติ หลง ๆ ลืม ๆ.<br />
<br />
#อย่างกลาง กลายเป็น "ผีโพง" ครึ่งคน ครึ่งผี มีภาวะที่กลืนไม่เข้า คลายไม่ออก เช่นที่เขียนถึง.<br />
<br />
อย่างร้าย โดนต้นมนต์เข้าสิงจนกลายเป็น "ผีปอบ" ซึ่งทางอีสาน ถือว่าร้ายแรงที่สุด.<br />
<br />
#และนี่คือที่มาของ "ผีโพง" ทางอีสาน.<br />
<br />
...............................<br />
<br />
คนโบราณ มักจะมีคาถา อาคม มีมนต์ป้องกันตัวทุกคน เพราะต้องเดินทางผ่านป่าดง ด้วยการเดินเท้า...มีมาก มีน้อย แล้วแต่ความจำเป็นและวิริยะอุตสาหะ ถ้าใครรู้ตัวว่ารักษาไม่ได้ ก็ไปคืนมนต์กับอาจารย์ ก็จบไป ไม่มีอะไร....<br />
<br />
แต่รักษาไม่ได้ ละเมิดข้อห้าม ก็กลายเป็น "ผีโพง" ไป<br />
<br />
และ ผีโพงนี้ มีฤทธิ์สะกดจิตตามที่เขียนมาแล้ว.<br />
<br />
ฟังเรื่องเล่านะครับ.......<br />
<br />
ผีโพง จะออกหากินตอนกลางคืน โดยมากจะเป็นคืนข้างแรม ที่เรียกกันว่าเดือนมืด เวลาที่ออกหากินคือหลังเที่ยงคืนไปแล้ว เมื่อแน่ใจว่าทุกคน ทุกบ้านเข้านอนกันหมดแล้ว โดยเว้นระยะ 7 วัน 15 วัน (บางคนเฒ่าเล่าว่า ไม่มีระยะเวลาแน่นอน)...หญิงที่เป็นผีโพงนั้น เมื่อถึงเวลาแล้วก็จะทนอยู่ไม่ได้ต้องออกไปหากิน<br />
<br />
แม้สาวผีโพงที่นั่งคุยกับคนรักอยู่ เมื่อถึงเวลาและคนรักเผลอ ก็จะเอาคนโท หรือหมอน เป็นต้น มาตั้งแล้วเอาผ้าคลุมสะกดจิตให้เห็นเป็นตนเอง แล้วก็ออกไปหากิน<br />
<br />
ผีโพงที่นอนอยู่กับสามี ก็จะเอาเสื่อ เอาหมอนมาพรางแทนตน แล้วออกไปหากินเสมอ เมื่อจะให้มีแสงที่จมูก ผีโพงจะเอาจมูกถูกับหัวบันได 3 ครั้ง ถูกับลูกบันได 3 ครั้ง และถูกับเสาบันได 3 ครั้ง (บ้างก็ว่าถูกับเสาเรือน)...พอมีแสงแล้ว ก็จะออกไปหากินตามทุ่งนา ฤดูที่ออกหากินบ่อย คือ ฤดูฝน โดยเฉพาะคืนที่ฝนตกปรอย ๆ.<br />
<br />
หนุ่มห้าวคนหนึ่ง กลางดึกไปหาปลา เห็นแสงไฟวูบวาบ ก็รู้ว่าเป็นผีโพง...เดินเข้าไปดู...เห็นว่าเป็นผีสาว จึงขู่ว่าต้องยอมให้ตัวเองร่วมเพศด้วย หากไม่ยอม จะเอาเรื่องที่สาวนั้นเป็นผีโพง ไปบอกแก่คนอื่น.<br />
<br />
ผีโพงสาว ก็ต้องยอมตาม...<br />
<br />
เมื่อหนุ่มห้าว ทำตามใจตัวเองเสร็จ ก็กลับบ้าน ไปอาบน้ำนอนด้วยความสุขใจ.<br />
<br />
พอรุ่งขึ้น ก็อยากไปดูที่เกิดเหตุเพื่อย้ำความอิ่มเอมใจ พบว่าริมคันนาที่ตนเองร่วมเพศกับผีโพงสาว มีร่องรอยเตียนราบ...และรูปูข้างคันนาเนียนเรียบและเป็นมันผิดปกติ....<br />
<br />
???????????????????<br />
<br />
โดนผีโพงสาว สะกดจิตให้ฟัดกับรูปูที่ข้างคันนาเสียแล้ว.........<br />
<br />
Chote Vanhakij<br />
17 กรกฎาคม 2560 เวลา 21:18 น.<br />
คลิกที่นี่..อ่านคอมเม้นท์ใต้บทความครับ<br />
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1881936498793960&id=100009328851456<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/dr/wno15.jpg" /></center><br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">ตอนที่ 15 "ผีโพง 4"</span><br />
<br />
คนที่ชอบเรื่องป่า ก็อดใจรอหน่อยนะครับ ข้อมูลเรื่องเล่าที่จดจำมาจากคนเฒ่าครั้งกระโน้นมันเยอะแยะ พอเขียนเรื่องนี้ ก็นึกถึงเรื่องโน้น ความทรงจำผุดออกมาได้เรื่อย ๆ เหมือนกับได้ทบทวนความจำ ที่มันแทบจะฝังกับอดีตไปแล้ว เพราะว่าจากถิ่นนั้นมาเสียนาน 20 ปี...ถึงได้กลับไปถิ่นเกิด.<br />
<br />
การเป็นเด็กอยู่บ้านป่า ที่มีภูเขาสูงล้อมรอบทุกด้าน มีทางออกจากหมู่บ้าน แค่สอง สามทาง ซึ่งก็เป็นเพียงทางดินลูกรังที่เอารถแทรกเตอร์ไถหน้าดินให้เตียน แล้วก็ใช้สัญจรไปมานั้น...มันแทบจะเรียกไม่ได้ว่าถนน เพราะถ้าเส้นทางนั้นไม่มีการไถเบิก หรือซ่อมทำแค่ปีเดียว กอไผ่หรือไม้ใหญ่ก็งอกกิ่งก้านสานกัน จนถ้ามองจากทางอากาศจะไม่รู้เลยว่าข้างล่างเป็นถนน ถ้าไม่สังเกตุจากพื้นที่ที่มองเห็นเส้นทางเป็นช่วง ๆ<br />
<br />
ช่วงที่ผมเกิดจนจำความอะไรได้แล้ว ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เห็นเทคโนโลยียุคปัจจุบัน หรือเรื่องอะไรที่มันล้ำหน้าหรอกนะครับ...ก็มีให้เห็นอยู่.<br />
<br />
คือตั้งแต่ปี พ.ศ.2498 มีสงครามทางประเทศลาว เรื่องความแตกต่างทางลัทธิการปกครองระหว่างลัทธิสังคมนิยม(คอมมิวนิสต์)...และประชาธิปไตย เกิดรบกันมานานแล้ว โดยฝั่งประชาธิปไตยได้รับการสนับสนุนจากชาติมหาอำนาจ...และมีทหารนิรนามจากไทย เข้าไปช่วยรบกับทางฝั่งโน้นหลายกองพัน...ก็ขอไม่เล่ารายละเอียดนะครับ ถ้าเกี่ยวพันด้านเรื่องเล่าจริง ๆ ถึงจะนำเอามาเล่า.<br />
<br />
ที่นำเอามาเล่าเพราะอะไร?.<br />
<br />
เพราะแม้จะเป็นเด็กบ้านนอกคอกนา แต่บนฟ้าก็ยังเคยเห็นเครื่องบินไอพ่นบินลัดฟ้าจากทางตะวันตกเฉียงใต้ จนเห็นสายหมอกเมฆข้างบน โดนไอพ่นแหวกเป็นเส้นตรงสีขาว พร้องเสียงคำรามกระหึ่มบนฟ้าบ่อย ๆ เพื่อบินไปทิ้งระเบิดในลาวตอนเหนือ เฮลิคอปเตอร์เอย...! เครื่องบินโจมตี ทิ้งระเบิดอย่าง โอวี-10 เอย...! ก็พอจะคุ้นตา และรู้จักประมาณนั้น.<br />
<br />
แต่ก็อยู่บนฟ้าละครับ และพื้นที่ที่เขารบกัน ก็อยู่ห่างไกลออกไปหลายร้อยกิโลเมตร จนไม่มีผลกระทบกับดินแดนแถบนี้...และนั่นแหละครับ แม้จะรู้และเห็นเครื่องบิน บินบนฟ้า แต่ข้างล่างทางภาคพื้นดิน ก็ยังเป็นป่าดง เขาสูง ไม้ใหญ่ สัตว์ป่าเยอะแยะ.<br />
<br />
เกิดเป็นลูกชาวบ้าน ชาวนา เฮ็ดไห่ เฮ็ดนา สมัยที่ยังเดินทางไม่ได้ไกล ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีเครื่องปรุงแต่งความสุขอะไร ความต้องการอะไร ก็ดูเหมือนไม่ยุ่งยากมากมายเหมือนเด็กสมัยนี้ โตหน่อย...! เด็กผู้ชาย มีหนังสะติ๊กห้อยคออันหนึ่ง ลูกหินในกระเป๋ากางเกง ห้า หกลูก ก็เที่ยวเล่นรอบหมู่บ้านได้ยันค่ำ...!<br />
<br />
ไล่ยิงนก ไล่ยิงหนู ตามเรื่องไป.<br />
<br />
เล่นซ่อนหา ปั้นดิน ปั้นหม้อ เก็บผัก.<br />
<br />
เดินรวมกลุ่มเก็บหมากหวด เก็บพุทราป่า ที่พอหาได้.<br />
<br />
ฝนตกก็เล่นน้ำกลางสายฝน.<br />
<br />
หน้าฝน หน้าแล้ง ก็มีที่เล่นกัน ทุ่งนา ฟ้ากว้าง สันเขาลิบ ๆ หนองน้ำขี้โคลน เก็บปลาประมาณนั้น....<br />
<br />
ผู้คนเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ น้ำใจงดงาม...!<br />
<br />
เฮ้อ........คิดถึงอดีตที่ไม่อาจหวนกลับ.<br />
<br />
.........................................<br />
<br />
เข้าเรื่องผีโพงดีกว่า...........<br />
<br />
สารานุกรมวัฒนธรรมไทยทางภาคเหนือ เล่าถึงผีโพงอีกชนิดหนึ่งว่า...มีผีโพงอีกอย่าง ค่อนข้างจะน่ากลัว และดุร้าย ไม่เป็นมิตร และไม่อยู่เป็นครึ่งคน ครึ่งผีอย่างผีโพงธรรมดาว่า..."ผีโพงดง".<br />
<br />
และว่า เป็นผีโพงอีกชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่ตามชายดง หรือชายป่า ทั้งนี้ปรากฏชื่อผีโพงดงหลายครั้งในวรรณกรรมโดยเฉพาะในบทพรรณนา ในพิธีเรียกขวัญ(ซึ่งทางเหนือและอีสานเชื่อว่า ขวัญคือวิญญาณของตัวคนผู้นั้น) เช่น เชิญว่า ขอเชิญขวัญให้กลับมาอยู่กับเนื้อ กับตัว อย่าไปหลงระเริงเล่นอยู่ในป่าเป็นเพื่อนกับผีโพงดง เป็นต้น.<br />
<br />
ผีโพงดงอาศัยอยู่ และหากินตามชายดงหรือชายป่า ดวงไฟที่ลุกจากจมูกของผีนี้ มีสีเหมือนดวงไฟจากคบไต้ บางครั้งจะมีสะเก็ดไฟร่วงพราว จากสะเก็ดไฟดวงใหญ่ และบางครั้งดวงไฟจะแยกออกเป็นสองดวง ลอยฉวัดเฉวียนแล้วกลับมารวมกันใหม่ ลักษณะเช่นนี้ ทำให้ผู้ผ่านบริเวณนั้น เห็นเข้าแล้วหวาดกลัว โดยเฉพาะแม่ค้าโบราณที่หาบของไปขายเวลาเช้ามืด.<br />
<br />
เคยมีเรื่องเล่าว่า มีผู้พยายามต่อสู้กับผีโพงดง โดยถอดเสื้อของตนออก แล้วเสกคาถาใส่เสื้อตัวนั้น และพันเสื้อตัวนั้นกับคบเพลิงแล้วจุดไฟ พร้อมกับเสกคาถาเพื่อปราบผีโพงดง แต่คงพ่ายแพ้ และไม่อาจชนะได้ ก็มักจะเสียชีวิตในเวลาต่อมา<br />
ผีโพงดงนี้ บางท่านเรียกว่าผีหัวไฟ.<br />
<br />
ผีสือกับผีโพง เป็นเพื่อนร่วมทุกข์แก่กัน เป็นแนวร่วมหรือพันธมิตรกัน จึงไม่มีเรื่องราวระหองระแหง รบพุ่งฆ่าฟันระหว่างผี สำรวจดูในวรรณกรรมพื้นบ้านก็ยังไม่พบว่ามีผู้ใดเขียนถึงผีสือและผีโพงรบพุ่งกัน<br />
<br />
บางครั้งผีสือ ผีโพงก็ร่วมทางแห่งทุกข์ไปหากินกบเขียด และของเน่าเหม็นตามกรรมวิบากแห่งเขา แต่ส่วนมากเขาจะไปเดี่ยว ๆ ตัวใครตัวมัน เขาจะกินแต่สิ่งปฏิกูลพึงรังเกียจ สำหรับคนปกติอย่างเรา เช่น กินเมือกและคาวจากกบ เขียด กินเสลดที่คนบ้วนทิ้ง(คนโบราณจะห้ามลูกหลานว่าอย่าขากเสลดบ้วนน้ำลายเรี่ยราด ผีสือจะมาเลีย)กินเสร็จแล้ว เขามักไปเช็ดปากฝากไว้เป็นดวงที่ผ้าที่ผู้คนเขาตากไว้ค้างคืน(โบราณจึงห้ามตากผ้าค้างคืน...(เชื้อรา) ท่านว่าผีสือจะมาเช็ด).<br />
<br />
บางทีเขาจะไปเลียกินเลือดคั่ง เลือดค้างของแม่ที่เพิ่งคลอดลูกใหม่ ๆ (ไม่ใช่ไปเลียคาตัวนะ) แต่มันจะเลียตามร่องฟาก หรือตรงดินใต้ถุนที่แม่เกิดใหม่นอน หรือเลียผ้าคราบ ผ้าปูที่เอาให้แม่เด็กเกิดใหม่รองนอน คนโบราณจะจู้จี้พิถีพิถันมากเรื่องนี้(คงเพราะหาสารซักฟอก และสารซักล้างลำบากในสมัยนั้น) #แม่ช่างหรือหมอตำแย จะกำชับกำชาเป็นพิเศษว่าผ้าคราบ ผ้าปูอย่าสักแต่ว่าซัก ต้องขยี้คราบเลือดทุกตารางนิ้ว ต้องตากแดดให้แห้งสนิทจนได้กลิ่นแดดจากเนื้อผ้า.<br />
<br />
ใครซักหรือ?....... แม่ลูกอ่อนนอนกระดานไฟใช่ไหม?<br />
<br />
ไม่ใช่...ก็เพิ่งเบ่งลมกัมชวาตจนหน้าดำ หน้าแดงอยู่หยก ๆ ระดมเรี่ยวแรงทั้งตัว เบ่งให้ก้อนเนื้อหนักร่วมสามกิโลกรัมผ่านช่องคลอด จะเอาเรี่ยวแรงที่ไหน ลุกไปซักผ้าให้ตัวเอง<br />
<br />
คนซักผ้าเลือดและผ้าขี้ ผ้าเยี่ยวทั้งหลาย หากไม่ใช่น้องสาวก็เป็นแม่ของหญิงเพิ่งคลอดนางนั้น...ซึ่งไม่ใช่ขี้เยี่ยวของแม่ลูกอ่อนนางนั้นหรอก แต่เป็นของลูกน้อยที่เพิ่งเกิด.<br />
<br />
นี่คงเป็นสาเหตุที่คนไทย แต่งเอาลูกเขยเข้าบ้าน เพราะหากแต่งเอาสะใภ้เข้าบ้าน แม่ผัวหรือน้องผัวคงไม่ทำหน้าที่นี้แน่ ๆ<br />
<br />
เหม็นจะตาย เลือดเน่า เลือดเสียคั่งค้าง.<br />
<br />
น่ารังเกียจจะตาย อุจจาระและปัสสาวะของคนอื่น แม้จะเป็นเด็กน้อย ๆ ร้องอุแว้ ๆ ก็เถอะ เคยถามแม่ละอ่อน นอนไฟ เธอตอบว่าส่วนมากจะเป็นแม่...เพราะน้องสาว ยังเป็นสาวมักแหนงหน่ายขี้เดียดเกลียดชังของเน่าเหม็น ต่อเมื่อเลือดคั่งค้าง น้ำคาวปลาหมดไปแล้ว น้องสาวก็อาจมารับหน้าที่ต่อไปจากแม่.<br />
<br />
#แม่นี้หนอไม่ว่าแม่ใคร ช่างยิ่งใหญ่แท้ ๆ<br />
<br />
#ความรักของแม่ที่มีต่อลูกอยู่เหนือความรังเกียจขยะแขยงใด ๆ<br />
<br />
ขอนำสำนวนของ อ.มาลา คำจันทร์...มาเล่าฝากไว้ครับก่อนจบเรื่อง "ผีโพง" ท่านเล่าว่า มีเรื่องเล่าจากย่า เคยเล่าไว้ ใน #เรื่องเล่าจากดงลึก...<br />
<br />
กระสือมีลูกอ่อนวัยกินนม ถึงเวลาที่นางต้องออกไปหากินคาวกบคาวเขียด นางจะละลูกน้อยไว้บนเรือนก็กลัวลูกร้อง ผัวจะตื่น แล้วผัวจะรู้ความจริงว่านางเป็นกระสือ นางจึงอุ้มลูกแนบอกไปหากินด้วย พอลูกหลับ นางก็เอาลูกซุกไว้ใต้ครุตีข้าวใบโตคล้ายงอบ (ดูภาพประกอบข้างล่างครับ)...<br />
<br />
ครุใบใหญ่มาก เขาเอาครอบดิน แต่เผยอปากด้านหนึ่งพ้นดิน สูงสักศอก นางเสือกลูกไว้ใต้ครุแล้ว ก็ออกไปหากินตามบุรพกรรม ที่เคยทำมาแต่ปางก่อน.<br />
<br />
นางกินจนอิ่มซึ่งอาหารที่เป็นของตัวแล้ว ก็กลับมาหาลูก ปรากฏว่าปากครุที่เขาเผยอไว้มันหับลงมา ลูกนางอยู่ในครุก็ร้องไห้ นางเองจะเปิดปากครุเพียงลำพังก็เกินแรง เกินกำลัง นางจึงไปขอแรงผู้ชายตีข้าวที่นอนค้างกลางนาให้มาช่วยยกครุ เขารู้ว่านางเป็นผีสือ นางจะอายุสั้น แต่นางก็ยอม.<br />
<br />
#นางยอมอายุสั้น เพื่อแลกกับความสวัสดีของลูกน้อยที่โดนครุหับขัง.<br />
<br />
#ความรักของแม่แม้จะครึ่งคนครึ่งผี ก็ช่างยิ่งใหญ่แท้<br />
<br />
Chote Vanhakij<br />
20 กรกฎาคม 2560 เวลา 18:15 น.<br />
คลิกที่นี่..อ่านคอมเม้นท์ใต้บทความครับ<br />
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1883781261942817&id=100009328851456<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/18/6rnno.jpg" /></center><br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">ตอนที่ 16 "เรื่องแทรก" "เรื่องประหลาด" "หินเจ้าที่"</span><br />
<br />
"หินเจ้าที่"<br />
<br />
คนงานไทยที่มาเข้ามาทำงานในสิงคโปร์ส่วนใหญ่มาจากชนบท ส่วนมากไม่รู้ภาษาอังกฤษหรือรู้แบบงู ๆ ปลา ๆ พวกเขาชอบดื่มเหล้า พอเมาเข้าไปแล้วมักมีเรื่องทะเลาะวิวาทกันเสมอ และบางครั้งการทะเลาะนำไปสู่การเสียเลือดเนื้อหรือแม้กระทั่งชีวิต.<br />
<br />
ผมมีอาชีพขับรถบูลโดเซอร์ ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับคนงานไทยเมื่อตอนผมถูกส่งเข้าไปทำงานเคลียร์พื้นที่และปรับหน้าดินในเขตพัฒนาที่ดิน<br />
<br />
ที่ดินแปลงนั้น มีต้นมะม่วงใหญ่ต้นหนึ่ง ใต้ต้นมีศาลพระภูมิ พื้นที่ทั้งหมดถูกรถแทร็กเตอร์ไถราบหมดแล้ว เหลือเพียงโคกดินตรงกลางที่มีต้นมะม่วงแผ่กิ่งก้านปกคลุมให้ร่มเงาแก่ศาลพระภูมิ<br />
<br />
คนงานคนก่อน พยายามใช้รถบูลโดเซอร์ไถโคกและดันต้นมะม่วงให้โค่น แต่ไม่สำเร็จ แถมตัวเองหวุดหวิดจะเสียชีวิตเนื่องจากรถบูลโดเซอร์พลิกคว่ำถึงสองครั้ง สองหน เลยไม่ยอมทำอะไรกับโคกตรงนั้นอีก เขาแจ้งเรื่องนี้กับหัวหน้างาน และมีปากเสียงกันอย่างรุนแรง จนท้ายที่สุดเขาขอลาออก และผมก็ถูกจ้างเข้าไปแทน<br />
<br />
วันแรกที่ผมเริ่มทำงาน คนงานไทยมองผมอย่างระแวงสงสัย และจับกลุ่มซุบซิบกันพักหนึ่ง มีคนงานไทยคนหนึ่งเดินเข้ามาหาผม ด้วยภาษาอังกฤษแบบกระท่อนกระแท่น เขาเล่าเรื่องของคนงานขับรถบูลโดเซอร์คนก่อนให้ผมฟัง เขาว่าหัวหน้าไซต์เคยได้ไปนิมนต์พระท้องถิ่นมาทำพิธีเซ่นไหว้ ขอขมาลาโทษพระภูมิเจ้าที่ที่เรากำลังทำงานอยู่ เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจแก่คนงาน เขาทำสีหน้ายิ้มเยาะ ก่อนจะกล่าวตอนท้ายว่า การอัญเชิญพระภูมิเจ้าที่ออกไปอยู่ที่อื่น ไม่ใช่นึกจะย้ายก็ย้ายไปดื้อ ๆ ต้องมีการอัญเชิญอย่างถูกต้อง.<br />
<br />
และมีแต่พระสงฆ์ไทยเท่านั้นที่ทำได้....<br />
<br />
แต่มันเป็นวันแรกของการทำงานของผม ผมจึงตั้งใจลุยงานเต็มที่โดยไม่สนอะไรทั้งสิ้น ไม่ว่าจะมีผีสางเทวดาหรือเจ้าที่ เจ้าทางหรือไม่ก็ตาม หลังจากหัวหน้าคุมงานเอาศาลพระภูมิออกแล้ว ผมก็ขับเจ้าบูลโดเซอร์ดันต้นมะม่วงยักษ์โค่นล้มลง แล้วจึงไถเนินดินเสียราบเรียบ มีหินก้อนหนึ่งหนักประมาณ 500 กิโลกรัม ผุดขึ้นมาจากตรงบริเวณที่เป็นโคก ผมจึงเอารถไถดันออกไปไว้ที่ขอบพื้นที่โล่ง รอให้รถบรรทุกมาขนเอาไปทิ้ง<br />
<br />
วันรุ่งขึ้น เมื่อผมมาลงเวลาทำงาน ผมสังเกตเห็นคนงานไทยในโรงอาหารคุยกันด้วยท่าทีตื่นเต้น สองสามคนชี้มือ ชี้ไม้ไปยังจุดที่เคยเป็นเนินดิน ผมมองตามไปก็แทบไม่เชื่อสายตา หินก้อนที่เมื่อวานผมเอารถ ดันมันไปไว้ที่ขอบพื้นที่โล่ง...บัดนี้มันกลับมาตั้งอยู่ตรงจุดที่เคยเป็นโคกและมีศาลพระภูมิ<br />
<br />
หินไม่น่าจะกลิ้งไปที่ตรงนั้นได้เอง เป็นไปไม่ได้...! โดยเฉพาะบนพื้นที่ราบ ผมนึกสงสัยคนงานไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าคนที่เคยบอกผมว่า...มีแต่พระไทยเท่านั้น ที่ทำพิธีอัญเชิญเจ้าที่ได้ เขาจะต้องขบคิดกับพรรคพวกของเขาช่วยกันเอาหินก้อนนั้นไปตั้งไว้ที่เดิม เพื่อแสดงให้เห็นอิทธิฤทธิ์ของเจ้าที่ อันมีแต่พระไทยเท่านั้น จะจัดการได้ หรือไม่ก็เป็นการกลั่นแกล้งผม หรือเพียงแต่เล่นตลกร้าย.<br />
<br />
แต่...ไม่ว่าจะด้วยอะไรก็ตาม มันทำลายตารางเวลาการทำงานของเรา และขวัญกำลังใจของคนงานทั้งหมด...!<br />
<br />
หัวหน้าคนงานสั่งรถบรรทุกคันหนึ่งมาทันที ผมถูกเรียกตัวให้เอารถไปยกก้อนหินใส่รถบรรทุก ก้อนหินเมื่อยกใส่กระบะรถบรรทุกแล้ว ก็ใช้เชือกผูกมัดอย่างแน่นหนา กันกลิ้งตก คนงานคนหนึ่งบอกคนขับให้เอาไปทิ้งในไซต์งานอีกที่ ที่กำลังถมที่<br />
<br />
รถบรรทุกเคลื่อนออกจากที่ พอเลี้ยวโค้งลับสายตา พวกเราก็ได้ยินเสียงโครมครามสนั่นหวั่นไหว ปรากฏว่ารถคันนั้นลื่นไถล ตกลงไปจากเนินลาด ริมไหล่ถนนด้านซ้าย สูงประมาณ 30 เมตร รถพลิกกลับตั้งหลังคาขึ้น คนขับกระเด็นออกไปไกลจากตัวรถประมาณ 10 เมตร โดยมีหินก้อนนั้นทับคาอยู่ บนหน้าอกจนแหลกเละ...เขาตายคาที่.<br />
<br />
เจ้าหน้าที่ตำรวจ มาสอบปากคำพวกเราสอง สามคน พร้อมกับถ่ายรูปสถานที่เกิดเหตุอย่างละเอียด ทุกแง่ ทุกมุม.<br />
<br />
หินก้อนนั้น ไม่สามารถใช้แรงคนกลิ้งออกจากหน้าอกคนตายได้ ตำรวจจึงใช้เชือกมัดก้อนหิน เอาปลายเชือกอีกด้านผูกกันชนรถสายตรวจ ลากก้อนหินออกมาวางไว้ใกล้กับศพ จากนั้นก็ถ่ายรูปก้อนกินแยกจากศพโดยละเอียด แล้วก็ปักเสาเอาเชือกล้อมวงที่เกิดเหตุ พลางกำชับหัวหน้าคุมงาน ให้บอกทุกคนอย่าเข้ามาทำอะไรในบริเวณที่ล้อมวงไว้โดยเด็ดขาด ตำรวจทิ้งสถานที่เกิดเหตุไว้ในสภาพนั้น จนกระทั่งรถบรรทุกศพของตำรวจมาถึง<br />
<br />
ความสลดหดหู่แผ่คลุมไปทั่ว คนงานปฏิเสธที่จะเข้าไปใกล้บริเวณที่เคยเป็นโคกหิน และเป็นที่ตั้งของศาลพระภูมิ บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด พวกคนงานคอยเหลียวหน้า เหลียวหลังอยู่บ่อย ๆ ...<br />
<br />
ราวกับระแวด ระวังอำนาจลึกลับที่คอยจ้องเล่นงานอยู่ข้างหลัง....!<br />
<br />
เช้าวันรุ่งขึ้น...ก้อนหินหายไป...<br />
<br />
มันไม่อยู่ตรงที่รถคว่ำ...!!!<br />
<br />
คนงานไทยคนหนึ่งท่าทางหวาดผวา เขาพูดอังกฤษแบบกระท่อน กระแท่น บอกพวกเราว่า เขาเดินไปที่สำนักงานของไซต์ ซึ่งอยู่ใกล้กับโรงอาหาร เห็นหินก้อนนั้น ตั้งอยู่ที่ที่เคยเป็นโคกดิน เขาประกาศความตั้งใจว่าจะลาออก และไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด เท่าที่จะทำได้ ถ้าไม่มีอะไรเป็นอุปสรรค เขาจะเก็บข้าวของไปเสียแต่เช้าวันนี้เลย...!<br />
<br />
ไม่นานต่อมา รถตำรวจคันหนึ่ง ตามด้วยรถไม่มีเครื่องหมายอีก 2 คัน ก็มาถึง พร้อมกับนายตำรวจระดับสูงอีกหลายคน ช่างภาพของตำรวจได้เอารูปที่เขาถ่ายไว้ตรงสถานที่เกิดอุบัติเหตุรถคว่ำเมื่อวาน มาให้พวกเราดู...ปรากฏว่า ไม่มีรูปก้อนหินอยู่ในภาพถ่ายเหล่านั้นเลย แม้แต่ภาพเดียว<br />
<br />
เมื่อรู้จากพวกเราว่า หินก้อนนั้นไม่ได้อยู่ตรงที่ตำรวจทิ้งไว้แล้ว โดยที่พวกเราไม่มีใครไปแตะต้อง...!<br />
<br />
ตำรวจยิ่งงงหนักขึ้นไปอีก...<br />
<br />
เจ้าหน้าที่พานายตำรวจชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่ง ไปดูสถานที่เกิดเหตุ ชี้ให้ดูจุดที่รถบรรทุกลื่นจากไหล่ถนน จุดที่รถตกลงไปข้างล่าง และรายงานถึงตอนที่พวกเขาเอารถสายตรวจ ลากก้อนหินออกจากหน้าอกของศพคนขับรถบรรทุก<br />
<br />
นายตำรวจ เช่นเดียวกับตัวผม ตั้งข้อสงสัยตรงกันว่า การที่ก้อนหินย้ายที่ได้นั้น อาจเป็นการเล่นพิเรนของใครสักคน โดยใช้รถปิคอัพมาขนเอาไป...แต่หินก้อนนั้นหนักมาก ไม่น่าที่แรงคนจะยกขึ้นรถได้ ขนาดตำรวจห้าคน ช่วยกันเอาออกจากอกคนตายยังผลักมันไม่เขยื้อน...!<br />
<br />
ตำรวจ ตรวจบริเวณโดยรอบอย่างละเอียด ก็ไม่พบร่องรอยว่ามีการกลิ้งก้อนหินไปจากจุดที่ตำรวจลากออกจากศพ แล้วทิ้งไว้.<br />
<br />
บ่ายวันนั้น พวกเราเลิกงานเร็วกว่าปกติครึ่งชั่วโมง ผมแวะไปที่โรงอาหาร เพื่อจะหาเบียร์เย็น ๆ ดื่ม สักเหยือกก่อนกลับบ้าน มีคนงานไทยกลุ่มหนึ่งอยู่ที่นั่นก่อนแล้ว คนที่แนะนำให้หาพระไทยมาทำพิธี ก็อยู่ที่นั่นด้วย...!<br />
<br />
พอเห็นหน้าเขา ผมเกิดอารมณ์ฉุนกึกขึ้นมาทันที ผมตะโกนด่าเขา ว่าเป็นคนสร้างสถานการณ์ขึ้นเพื่อ #ต้องการให้จ้างพระไทยมาทำพิธีล้างอาถรรพ์.<br />
<br />
เขาตะโกนตอบผมเป็นภาษาไทยด้วยอารมณ์โกรธเช่นกัน ผมเดินเข้าไปหาเขาที่โต๊ะ และง้างหมัดตะบันใส่หน้าเขาเต็มเหนี่ยวโดยไม่พูดพล่ามทำเพลง เขาล้มคว่ำลงไปที่พื้นก่อนจะลุกขึ้นมาช้า ๆ พลางใช้แขนเสื้อคอกลมเช็ดเลือดที่มุมปาก แล้วหันเดินเข้าไปในครัวอย่างสงบ.<br />
<br />
อึดใจต่อมา...! ผมเห็นเขาโผนออกจากครัวพร้อมด้วยมีดหั่นเนื้อเล่มเขื่องในมือขวา สับตีนโลดลิ่วตรงมาที่ผม แต่ก่อนที่เขาจะเข้าถึงตัว ผมก็กระโจนขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ที่จอดไว้อยู่ใกล้ ๆ แล้วบิดควันตลบเผ่นออกไปจากที่นั่นอย่างไม่คิดชีวิต.<br />
<br />
หัวหน้าไซต์งานเห็นเหตุการณ์โดยตลอด แต่เขาก็ไม่ได้เข้ามาห้ามปรามหรือขัดขวาง<br />
<br />
วันรุ่งขึ้น เมื่อผมมาทำงาน ผมระวังตัวเต็มที่ ในโรงอาหารไม่มีคนเลย ยิ่งเพิ่มความกลัวว่าจะถูกทำร้ายมากขึ้น.....<br />
<br />
แต่ตรงจุดที่เคยมีโคกและศาลพระภูมิ ท่ามกลางกลุ่มคนงานไทยที่ไปรวมตัวกันอยู่ที่นั่น...ผมแลเห็นจีวรสีเหลืองอร่ามของพระไทยรูปหนึ่ง...<br />
<br />
ท่านคงมาทำพิธี...........พิธีล้างอาถรรพ์ หรือถอดถอนอะไรสักอย่าง.<br />
<br />
ครู่หนึ่งต่อมา หัวหน้าไซต์งานก็ขับรถพาพระรูปนั้นกลับออกไป พวกคนงานไทยเดินมาที่โรงอาหาร พูดคุยเสียงดัง พร้อมตะโกนสั่งอาหาร คนที่มีเรื่องกับผม เขาไม่ยอมหันมามองทางผมเลย.<br />
<br />
และผมมารู้ทีหลัง ว่าเขาชื่อไสว.<br />
<br />
เพื่อนร่วมงานชาวสิงคโปร์คนหนึ่ง เล่าให้ผมฟังว่า หัวหน้าไซต์งานได้ไปรับพระไทย มาตั้งแต่เช้ามืด พระได้สวดทำพิธีเป็นเวลากว่าชั่วโมง ก่อนจะประกาศว่าต่อไปนี้ จะไม่มีเหตุร้ายใด ๆ เกิดขึ้นอีกแล้ว หลังจากทำพิธีเสร็จ พระได้เข้าไปดันก้อนหินโดยมีหัวหน้าไซต์งานช่วย ปรากฎว่ามันพลิกกลิ้งไปอย่างง่ายดาย เหมือนไร้น้ำหนัก.<br />
<br />
งานชิ้นแรกสำหรับผมในเช้าวันนั้น คือ ยกก้อนหินใส่รถปิคอัพ หลังจากตำรวจกลับไปแล้ว และอนุญาตให้เอาก้อนหินไปทิ้งได้<br />
<br />
ทุกอย่างดำเนินไปด้วยความราบรื่น พวกคนงานก็ดูชื่นบานกันถ้วนหน้า ผมเดินเข้าไปหาไสวและขอโทษเขา...<br />
<br />
หลังเลิกงาน ผมซื้อเบียร์เลี้ยงเขา สองสามขวดเป็นการแสดงความเสียใจในการกระทำของผมเมื่อเย็นวาน.<br />
<br />
จากเรื่อง The Rolling Rock.<br />
โดย........Tan Hack Chye.<br />
แปลโดย "พัฒน์วิภา"....ลง ต่วย'ตูน พิเศษ.<br />
ฉบับ พฤศจิกายน 2543.<br />
<br />
Chote Vanhakij<br />
21 กรกฎาคม 2560 เวลา 20:46 น.<br />
คลิกที่นี่..อ่านคอมเม้นท์ใต้บทความครับ<br />
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1884495545204722&id=100009328851456<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/3p/bno17.jpg" /></center><br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">ตอนที่ 17 "เรื่องประหลาด" "อาฏานาฏิยปริตตสูตร"</span><br />
<br />
"อาฏานาฏิยปริตตสูตร"<br />
<br />
เรื่องนี้ ผมคิดอยู่หลายรอบ ว่าจะนำมาเขียนดีหรือไม่ เพราะถ้าคนอ่านมีอคติในหลายเรื่อง คนอ่านคนนั้นก็จะตกเข้าไปสู่อคติ, มิจฉาทิฏฐิ (ความไม่รู้ และเข้าใจผิดไปทางอื่น)...แต่ก็บอกแล้วแต่ต้นว่า ไม่ได้เขียนโดยมุ่งหมายจะให้เข้าใจอะไรไปทางไหน แต่เขียนเพื่ออยากบันทึกความทรงจำ และความงดงามของชีวิตเมื่อ 40-50 ปีที่แล้ว โดยผ่านความทรงจำและมุมมองของคนคนหนึ่ง ไว้ให้ลูกหลานอ่าน...!<br />
<br />
แม้ผู้นับถือและเชื่อมั่นในทางนี้ อ่านแล้ว...! ก็อาจตกเข้าไปสู่ความงมงาย นับถือไปทางผิด ๆ จนละเลยหลักการที่แท้จริงของศาสนาพุทธที่เน้นความเป็นอยู่ในชีวิตปัจจุบันภพ ให้มีความสุขตามอัตภาพโดยไม่เบียดเบียนทั้งตนเองและคนอื่นให้เดือดร้อน ด้วยหลักธรรมที่พุทธองค์ตรัสบอกไว้.<br />
<br />
ก็นะ....เมื่อบอกกันชัดแจ้งขนาดนี้แล้ว...!!!<br />
<br />
ยังอ่านแบบไม่มีสติปัญญาประกอบเหตุ ผลนำมาเทียบเคียงข้อเขียน ก็ไม่รู้จะพูด จะบอกกันให้รู้ และคิดต่อไปในทางที่มีเหตุ ผลได้อย่างไร?<br />
<br />
ปี พ.ศ.2537 นับถึงปีปัจจุบัน พ.ศ.2560 ก็ 20 กว่าปีเข้าไปแล้ว ขณะนั้น ผมยังบวชเป็นพระภิกษุ อายุ 26 พรรษา 5 เป็นเปรียญธรรม 5 ประโยค....จำวัดที่วัดแห่งหนึ่งใน กทม. แต่ไปเรียนที่วัดมหาธาตุยุวราษฎร์รังสฤษฏิ์ ท่าพระจันทร์ ติดกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.<br />
<br />
มีโอกาสรู้จักกับพระอาจารย์จันทร์ (เดิมท่านเป็นคนเมืองเพชรบุรี) แต่เป็นกระหร่าง(ไม่ยอมให้เรียกว่ากระเหรี่ยง) บ้านเดิม อยู่หมู่บ้านเล็ก ๆ ในเขตต้นน้ำบางกลอย ลำน้ำอีกสาขาของแม่น้ำเพชรบุรี ในเขตอุทยานแห่งชาติเขื่อนแก่งกระจาน ซึ่งมีเนื้อที่ 2,000 กว่าตารางกิโลเมตร...แนะนำเอาพอรู้นะครับ.<br />
<br />
ข้อมูลถ้าจะค้น เป็นข้อมูลสาธารณะ ค้นง่าย มีเยอะครับ น่าเข้าไปค้น ถ้าใครชอบป่าและชอบเที่ยวป่า...!<br />
<br />
ประมาณ วันที่ 3-4 เมษายน ปีนั้น ผมสอบเปรียญธรรม 6 ประโยคแล้ว (ประกาศผลที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ) ยังไม่ทราบผล และภาคเรียนทางมหาวิทยาลัยสงฆ์ ยังไม่เปิดภาคเรียน...ท่านบอกว่า "ผมจะกลับบ้าน ที่บ้านเดิมในป่าต้นน้ำบางกลอย จะไปลาญาติ แล้วเดินทางไปอังกฤษ" (สาเหตุไม่ทราบชัดเจน)...ท่านว่าแบบนั้นและชวนไปเที่ยว...บอกว่าท่านมหาน่าจะชอบ...! และผมก็ชอบจริง ๆ เพราะลูกป่าโดยกำเนิดอยู่แล้ว.<br />
<br />
ก็สอบถามท่านว่ามีใครบ้าง(ขอไม่เอ่ยนามนะครับ อาจกระทบท่านอื่น) ก็มีหลวงพี่คนเมืองเพชรฯ ท่านหนึ่ง, พระมหาเปรียญจาก จ.มหาสารคามอีกสองรูป(คุ้นเคยกัน แต่ไม่ถึงเป็นเพื่อน), เพื่อนพระสนิทกันจากจังหวัดหนองคายหนึ่งรูป, สามเณรจากจังหวัดสุรินทร์หนึ่งรูป, พร้อมลูกศิษย์ที่ติดตามหนึ่งคน...<br />
<br />
ผมก็ขอโอกาสท่านกลับไปลาเจ้าอาวาสที่วัดที่อยู่ นมัสการบอกท่านว่าจะไม่อยู่ 7 วัน แล้วก็เดินทางมาที่วัดมหาธาตุฯ เช้านั้น...<br />
<br />
ก็ออกเดินทางกันวันนั้นเลย ผมมีเพียงสบงสองผืนไว้ผลัดเปลี่ยน ผ้าอาบน้ำฝนหนึ่งผืนในย่าม เอกสารประจำตัว มีดยังชีพชื่อดังของสวิสฯ เล่มหนึ่ง พร้อมย่ามแค่นั้น ซึ่งทุกรูปก็เหมือนกัน.<br />
<br />
ไปพักที่วัดในเพชรบุรีคืนหนึ่ง...ซึ่งหลวงพี่ทางโน้น ท่านก็ดีใจหาย ให้ลูกศิษย์ไปหามีดในห้องครัววัด ได้มีดโต้มอญสามเล่ม ก็ให้ลูกศิษย์ไปลับไว้ให้คม ได้หม้อแกงขนาด 8 นิ้วไว้ไปต้มน้ำหนึ่งใบจากโรงครัวของวัด.<br />
<br />
ตอนเช้าให้ลูกศิษย์ไปซื้อพริกแกงสำเร็จรูป ข้าวสาร 15 ก.ก. เกลือ, ปลากระป๋องสามแพ็ค แพ็คละหนึ่งโหล, ยาแก้ไข้แก้ปวด, ไฟแช็ค, เน้น ๆ มีน้ำตาลปึกเมืองเพชรฯ หลายกิโลกรัม และถั่วเขียวประมาณ 5 กิโลกรัม, ที่เหลือก็แล้วแต่พระท่านจะจัดหาเอง เช่นบุหรี่ หรือลูกอม แปรงและยาสีฟัน สบู่...แต่ผมไม่สูบบุหรี่จึงไม่มีอะไรต้องเตรียมเป็นพิเศษ นอกจากของใช้ส่วนตัวที่กล่าวแล้ว.<br />
<br />
เช้าได้ของครบ ก็เดินทางด้วยรถประจำทางเข้าที่เขื่อนแก่งกระจาน ติดอยู่ที่เขื่อนเกือบสามชั่วโมง เพราะอาจารย์จันทร์ท่านหารถขึ้นเขาพะเนินทุ่ง ต่อไปยัง ก.ม.ที่ 36 (สุดทาง) ไม่ได้ พอคนรู้จักท่านติดต่อได้ ก็ใกล้ค่ำ บ่ายสามโมงเย็นแล้ว...พอได้รถ คนขับรถก็ห้อตะบึงเต็มที่ ผ่านด่านป่าไม้ อาจารย์จันทร์ท่านบอกว่า จะกลับบ้านไปหาญาติ แต่จะขึ้นไปเที่ยวน้ำตกทอทิพย์ก่อน(ต้นน้ำเพชร) แล้วจะพาพระทั้งหมดเดินป่า ลัดลงผาน้ำหยด ต่อไปยังบ้านท่าน ร่ำลาญาติท่านเสร็จ ก็จะออกทางบ้านโป่งลึกเลย ไม่กลับมาทางด้านนี้.<br />
<br />
เจ้าหน้าที่ตรวจข้าวของ เสร็จแล้วก็ให้ผ่านด่าน รถกระบะวิ่งจนสุดทางที่ ก.ม.36 .ก็จอดให้ลง.<br />
<br />
ผมและคณะ เดินตามคำแนะนำของหลวงพี่คนเมืองเพชรฯ ประมาณ 3 ก.ม.ถึงน้ำตกก็พอดีใกล้ค่ำ ในป่าจะค่ำเร็วต้องรีบหาที่พัก ไม่มีเวลาชมน้ำตก อ.จันทร์ ท่านแนะนำให้หาฟืนก่อไฟ และให้ลูกศิษย์ก่อไฟต้มน้ำในลำธารไว้ดื่ม.<br />
<br />
ป่าเมืองเพชรฯ สมัยนั้นยังเปลี่ยว และมีความน่ากลัวอยู่มาก ตามรายงานและผังแสดงสัตว์ป่าที่สถานที่แสดงข้อมูลตรงหน้าเขื่อน บอกว่ามี ช้างป่า, หมี, หมีหมา, หมาไน, หมาจิ้งจอก, เสือดาว, #เสือโคร่ง เลียงผา, สมเสร็จ, วัวแดง, กวางป่า, เก้งธรรมดาและเก้งหม้อ ฯลฯ นักท่องเที่ยวยังเข้าถึงน้อย สังเกตจากที่ผมเข้าไปสำรวจชายหาดริมน้ำที่จะพัก...(ค่อนข้างสะอาดและเตียน)ไม่เห็นมีรอยเท้าคนเลยแม้แต่รอยเดียว...! แม้รอยรองเท้าของเจ้าหน้าที่รักษาป่าก็ไม่เห็น ที่สังเกตเห็นมีเพียงรอยเท้าหมูป่า เพิ่งผ่านไปใหม่ ๆ อยู่หลายจุด ส่วนพระท่านอื่น ๆ ท่านก็บ้างอาบน้ำ บ้างก็นั่งดูฝูงปลาต้นน้ำ (น้ำใสมาก และปลาเกล็ดหลากสายพันธุ์ตัวโต ๆ ขนาดเป็นกิโล สองกิโลเยอะแยะ)...ซึ่งทั้งหมดแต่ละท่านเดิมเป็นลูกป่า และลูกทุ่งทั้งนั้น แม้จะเคยเห็นธรรมชาติเดิม ๆ แบบนี้มาบ้าง แต่ก็ไม่เคยเห็นป่าดิบ ดงทึบขนาดนี้<br />
<br />
เลยค่อนข้างตื่นเต้น...<br />
<br />
แม้แต่ผมเอง...!!! ก็ตื่นเต้น.<br />
<br />
ตอนเดินลงจากเขาผ่านน้ำตก ผมโดน "ทาก" (ปลิงบก)เกาะติด และดูดเลือดตรงง่ามเท้าโดยไม่รู้สึกตัว อยู่ตัวหนึ่ง มารู้สึกตัวตอนทากหลุดไปแล้ว รู้สึกตีนเหนียว ๆ เพราะเลือดไหลไม่หยุด ก็รู้ว่าโดนทากกัด (เพราะบ้านเดิมก็มีเยอะ) ก็เดินย้อนรอยหาบนหาดทราย เห็นกระดืบ ๆ บนหาดทราย ก็จับโยนเข้าป่ารก และรีบไปหาเศษไม้เล็ก ๆ ที่ติดค้างตามกอไม้ชายฝั่ง เอามาโยนเข้ากองไฟเพื่อจะเอาขี้เถ้าไฟ มาโรยรอบหาดทรายที่จะทำเป็นที่นอน....เป็นแนวกันทากไต่เข้ามาดูดเลือด เพราะนอนกันบนหาดทรายกว้าง ๆ ไม่มีรั้ว, ไม่มีมุ้ง, ไม่มีเต๊นท์ มีแต่ผ้าอาบน้ำฝนปูนอน และหนุนหัวด้วยย่ามส่วนตัวเท่านั้น.<br />
<br />
แต่ละรูปเตือนกัน เรื่องที่พัก เช่น ไม่ให้นอนใต้กอไม้ เพราะมีงูพิษและงูเหลือม, อย่าแตกกลุ่ม นอนนอกเขตกองไฟ (ก่อไว้สองกอง ด้านที่ติดกับตลิ่งน้ำ หัว ท้ายที่พัก), และเขตที่โรยขี้เถ้าไว้เป็นแนวกันทาก ในที่ของแต่ละรูป ก็โรยรอบที่นอนด้วย...ส่วนทางด้านที่ติดกับน้ำ ปล่อยโล่ง เพราะถ้ามีสัตว์ร้ายเข้ามา จะได้ยินเสียง และเตือนกันเรื่องกฎป่า พร้อมทั้งเรื่องความปลอดภัย เช่น จะลุกไปฉี่ให้ปลุกเพื่อนรูปหนึ่ง บอกให้รู้ตัวด้วยเสมอ....<br />
<br />
เสร็จแล้ว........<br />
<br />
ก็มานั่งดื่มน้ำมะตูมตากแห้ง ที่ลูกศิษย์ต้มในหม้อ ผสมน้ำตาลเมืองเพชรฯ ซึ่งน้ำมะตูมยังค่อนข้างร้อนเพราะอากาศในป่าเย็นลงอย่างรวดเร็ว ดื่มให้ตัวรู้สึกอุ่นเพราะหนาว...<br />
<br />
และนั่งคุยกันสัพเพเหระ ในเรื่องที่จะเดินทางเลาะลำน้ำลงไป ซึ่งไกลมาก และไม่มีเส้นทางให้เดิน ต้องเดินแบบพรานไปตามทางด่านสัตว์ ซึ่งมีทากคอยดักดูดเลือดเป็นฝูง อ.จันทร์ท่านก็ยังไม่เฉลย ว่าจะเดินทางยังไง ไปแบบไหน?.<br />
<br />
ไม่มีรูปใดคุยเรื่องเสือ เรื่องผีป่า ภูติผีปีศาจอื่นใด เพราะทั้งหมดที่ไปเป็นลูกป่า รู้เรื่องข้อห้ามพวกนี้ดี.<br />
<br />
พอสามทุ่ม ก็ตามที่แต่ละรูป เลือกเข้าที่นอนที่กำหนดไว้แล้ว ผมเดินไปดูกองไฟที่ลูกศิษย์ก่อไว้ บอกให้ชุนฟืนเข้า และถามหลวงพี่คนเมืองเพชรฯ ว่าทิศตะวันออกอยู่ทางไหน?<br />
<br />
ท่านบอกแล้ว ผมก็ไหว้รำลึกถึงคุณพระไตรรัตน์แล้ว สวด"อาฏานาฏิยะปริตตสูตร" เบา ๆ แต่จะตัดมาเฉพาะตอนที่จะต้องอ้างถึงตามนี้นะครับ.<br />
<br />
ปุรตฺถิมสฺมึ ทิสาภาเค สนฺติภูตา มหิทฺธิกา<br />
เตปิ อมฺเห อนุรกฺขนฺตุ อาโรคเยนะ สุเขน จ<br />
<br />
ทกฺขิณสฺมึ ทิสาภาเค สนฺติเทวา มหิทฺธิกา<br />
เตปิ อมฺเห อนุรกฺขนฺตุ อาโรคเยน สุเขน จ<br />
<br />
ปจฺฉิมสฺมึ ทิสาภาเค สนฺตินาคา มหิทฺธิกา<br />
เตปิ อมฺเห อนุรกฺขนตุ อาโรคเยน สุเขน จ<br />
<br />
อุตฺตรสฺมึ ทิสาภาเค สนฺติ ยกฺขา มหิทฺธิกา<br />
เตปิ อมฺเห อนุรกฺขนฺตุ อาโรคเยน สุเจน จ<br />
<br />
ปุริมทิสํ ธตรฏฺโฐ ทกฺขิเณน วิรุฬฺหโก<br />
ปจฺฉิเมน วิรูปกฺโข กุเวโร อุตฺตรํ ทิสํ<br />
<br />
จตฺตาโร เต มหาราชา โลกปาลา ยสสฺสิโน<br />
เตปิ อมฺเห อนุรกฺขนฺตุ อาโรคเยน สุเขน จ<br />
<br />
อากาสฏฺฐา จ ภุมฺมฏฐา เทวา นาคา มหิทฺธิกา<br />
เตปิ อมฺเห อนุรกฺขนฺตุ อาโรคเยน สุเขน จ.<br />
<br />
(คำแปล)<br />
<br />
เหล่าภูตทั้งหลายที่มีฤทธิ์มาก ที่สถิตอยู่ในทิศบูรพา<br />
แม้ภูตเหล่านั้น จงตามรักษา ซึ่งเราทั้งหลาย.<br />
ให้เป็นผู้มีความสุข ปราศจากโรคภัยเบียดเบียน.<br />
<br />
เทวดาทั้งหลาย ผู้มีฤทธิ์มาก ที่สถิตอยู่ในทิศทักษิณ...............(ท่อนท้ายแปลเหมือนกัน)<br />
<br />
พญานาคทั้งหลาย ผู้มีฤทธิ์มาก ที่สถิตอยู่ในทิศปัจจิม..............<br />
<br />
ยักษ์ทั้งหลาย ผู้มีฤทธิ์มาก ที่สถิตอยู่ในทิศอุดร แม้ยักษ์ทั้งหลายเหล่านั้น จงตามรักษาซึ่งเราทั้งหลาย<br />
ให้เป็นผู้มีความสุข ปราศจากโรคภัยเบียดเบียน.<br />
<br />
ท้าวธตรัฐ อยู่ประจำทิศบูรพา<br />
ท้าววิรุฬหก อยู่ประจำทิศทักษิณ<br />
ท้าววิรูปักข์ อยู่ประจำทิศปัจจิม<br />
ท้าวกุเวรอยู่ ประจำทิศอุดร.<br />
<br />
ท้าวมหาราชทั้ง 4 นั้น<br />
เป็นผู้มียศ คุ้มครองโลกอยู่.........<br />
แม้ท้าวมหาราชทั้ง 4 นั้นจงตามรักษาซึ่งเราทั้งหลาย<br />
ให้เป็นผู้มีความสุข ปราศจากโรคภัยเบียดเบียน<br />
<br />
เทวดาผู้ประเสริฐทั้งหลาย ผู้มีฤทธิ์มาก ที่สถิตอยู่ในอากาศก็ดี สถิตอยู่บนภาคพื้นก็ดี........<br />
แม้เทวดาเหล่านั้น จงตามรักษาซึ่งเราทั้งหลาย<br />
ให้เป็นผู้มีความสุข ปราศจากโรคภัยเบียดเบียนฯ<br />
<br />
ต่อด้วยแผ่เมตตา แล้วก็ขยายจิตออกเป็นวงกลมรอบตัว.....แล้วก็เข้านอน.<br />
<br />
ไม่ได้สังเกตรูปอื่น.........<br />
<br />
Chote Vanhakij<br />
22 กรกฎาคม 2560 เวลา 19:35 น.<br />
คลิกที่นี่..อ่านคอมเม้นท์ใต้บทความครับ<br />
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1885110151809928&id=100009328851456<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/ai/ino18.jpg" /></center><br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">ตอนที่ 18 "เรื่องประหลาด" "คาถาปลุกหมอน"</span><br />
<br />
"คาถาปลุกหมอน"<br />
<br />
พุทธัง อาราธนานัง กะโรมิ<br />
ธัมมัง อาราธนานัง กะโรมิ<br />
สังฆัง อาราธนานัง กะโรมิ<br />
<br />
อาราธนาคุณบิดาอยู่หน้า คุณมารดาอยู่หลัง คุณพระอินทร์ไปอยู่เบื้องซ้าย คุณพระนารายณ์ไปอยู่เบื้องขวา คุณพระอิติปิโสภะคะวา คือองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า คุ้มครองเกศาของข้าพเจ้าด้วยเทอญ.<br />
<br />
พระภูมิเจ้าที่ เจ้ากรุงพาลี แม่ธรณี แม่คงคา เคหานาวาไพร เจ้าป่า ข้าพเจ้าจะนอน จงคุ้มครองปกปักรักษาข้าพเจ้าด้วย กะเตสิ กะเตสิ ติงกะระณัง อะระหังปิตตัง พุทธะชานามิ ธัมมะชานามิ สังฆะชานามิ พุทโธ พุทธัง นะกันตัง อะระหังพุทโธ ท้าวเวสสุวรรโณ ทุสะนะโส นะโมพุทธายะ ฯ.<br />
<br />
สวดจบตบลงที่หมอนสามครั้ง.<br />
<br />
กลับไปอ่านที่ "กะเตสิ กะเตสิ ติงกะระณัง" นะครับ คาถาเต็มมาจากเรื่องในขุทกนิกาย ธรรมบทคาถา จากเรื่องจูฬปันถกะเถระว่า.....<br />
<br />
"ฆะเฏสิ ฆะเฏสิ กิงกะระณัง ฆะเฏสิ อะหังปิ ตัง ชานามิ ชานามิ".<br />
<br />
เรื่องหนึ่งในอรรถกถา ท่านพระอรรถกถาจารย์ร้อยเรียงเนื้อความจากพระไตรปิฎก เมื่อสังคายนาแล้วอธิบายว่า เมื่อครั้งที่พระโพธิสัตว์(พุทธองค์ครั้งยังบำเพ็ญบารมีอยู่)เสวยชาติเป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์สอนลูกศิษย์โง่คนหนึ่ง ซึ่งเป็นพระจูฬปันนถกะนี้ ด้วยคาถานี้ จนได้เป็นเสนาบดีแคว้นหนึ่ง เพราะพระราชารอดจากการปลงพระชนม์จากอำมาตย์ที่คบคิดกับช่างกัลลบก ให้ช่างตัดพระมัสสุ(หนวด)นั้นทำการปาดพระศอเสียให้ตาย แต่พระเถระชื่อจูฬปันถกะ ครั้งยังเป็นคนโง่ ได้แนะนำคาถานี้ไว้ให้ท่องบ่น ตอนตัดพระมัสสุ พระราชาทรงระลึกได้ก็ท่องขึ้นมา...จึงรอดจากการปลงพระชนม์.<br />
<br />
พระเกจิอาจารย์ชั้นหลังเห็นว่ามีความหมายดี ก็นำเอาประโยคบาลีประโยคนี้มาให้ลูกศิษย์ท่องบ่น เป็นคาถากันไพรเวลานอนค้างอ้างแรมในต่างที่.<br />
<br />
แต่คาถาที่นำมาเป็นรูปแบบคาถาที่ใช้โดยชาวบ้าน ซึ่งไม่รู้ภาษาบาลี แต่ท่องจำสืบ ๆ ต่อกันมา เท่าที่สังเกตเห็น และแน่ใจ มีอยู่ 3 คาถา ที่นำเอามารวมเป็นคาถาเดียวกัน โดยเจ้าของคาถาอาจจะไม่รู้ คือ...<br />
<br />
1. ทุ สะ นะ โส....คาถาหัวใจสัตว์นรก(หัวใจเปรต)<br />
2. นะโมพุทธายะ....คาถาพระพุทธเจ้า 5 พระองค์<br />
3. "ฆะเฏสิ..ฯลฯ..ชานามิ"....คาถาระวังภัย.<br />
<br />
คาถาที่ใช้แม้จะสอบทานได้ว่า เอามาจากหลายคาถามารวมกัน และมีคำไทย ปนอยู่มากมาย แต่ถ้ามีความเชื่อมั่นก็อาจให้สำเร็จผลสมความคิด.<br />
<br />
คาถาที่นำมาแสดงนี้ มาจากเฟส ของท่านผู้รู้ท่านหนึ่ง...ก่อนจะร่ายคาถานี้ ท่านก็บอกว่าให้สวดกะระณียะเมตตสูตร (ซึ่งเป็นปริตตมนต์บทหนึ่งที่มีในเจ็ดหรือสิบสองตำนานของปริตตมนต์เวลาพระท่านเจริญพุทธมนต์ในงานมงคลต่าง ๆ) แล้วค่อยสาธยายคาถาบทนี้ ก่อนจะนอน(โปรดดูภาพข้างล่างนะครับ)...!<br />
<br />
อาจจะมีบางคนชอบใช้ชินบัญชรคาถา หรือ ชัยมงคลคาถา(พาหุง...มหาการุณิโย นาโถ.....)ก็ได้ถ้านอนป่าหรือแปลกที่จากบ้านปกติ เช่น โรงแรม ที่พักต่าง ๆ เวลาไม่ได้นอนที่บ้าน ทั้งนี้แล้วแต่จะถูกจริตนิสัย.<br />
<br />
(เดิมผมเองก็ใช้คาถาแบบชาวบ้านนั่นแหละครับ พอเป็นเปรียญสูง ๆ เข้าใจที่มาของคาถา, มนต์, ปริตตสูตรต่าง ๆ แล้ว ก็ละทิ้งบ้างเลือกเอาแต่ที่สอบสวนทวนความได้บ้าง กำหนดใช้ไว้ในใจไม่กี่แบบ เพราะความหมายในเนื้อความบาลีดีบ้าง เรื่องราวและที่มามีความหมายบ้าง เช่น คาถาว่า...ฆะเฏสิ ฯลฯ นี้บ้าง...และตรงตัวอย่างอาฏานาฏิยะปริตตสูตรที่นำมาแสดงเฉพาะส่วนที่กล่าวมาแล้ว)<br />
<br />
การนอนป่านั้น ถ้านอนบนดิน อาจจะมีการตั้งค่าย หรือไม่ตั้งค่าย ของพราน หรือกองคาราวานเกวียนค้าขาย หรืออะไรก็แล้วแต่...ผู้อาวุโส หรือผู้มีวิชาอาคมมักจะวางข่ายมนต์ หรือกางข่ายอาคมเพื่อจะป้องกันภูติผี ปีศาจ หรือสิ่งลึกลับอะไรก็ตาม ที่จะเข้ามาทำร้าย หรือทำให้คนในคณะเจ็บป่วย<br />
<br />
เท่าที่เห็นและรู้จักประจำ ก็มีอยู่ 2 แบบ คือ...<br />
<br />
1. เอาไม้(มีเคล็ดของไม้แตกออกไปต่างหาก) เสกคาถา แล้วขีดวงล้อมเฉพาะวงที่จะนอน หรือล้อมรอบปางพัก บอกขอบเขตให้คนในคณะได้ทราบขอบเขตว่ากลางคืน ห้ามออกนอกเขตอาคมที่ผู้มีวิชาทำไว้...จะไม่ปลอดภัย.<br />
<br />
2. ผู้มีอาคม กลั้นใจเลือกหยิบหิน หรือก้อนดินสี่ก้อน รำลึกถึงครูบาอาจารย์แล้ว เสกคาถากำกับ โยนไปสุดแดนที่พัก เพื่อบอกอาณาเขต กันภูตพราย ปีศาจร้าย สัตว์ร้าย หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เป็นภัย จะล้ำแดนอาคมเข้ามา.<br />
<br />
อีกคติหนึ่ง...คงจะมาจากคติทางศาสนาพุทธเหมือนกัน เพราะอ้างถึงแม่พระธรณี ท่านว่า จะนอนตรงไหน?...ดูที่ทางเรียบร้อยแล้ว ถ้านอนบนพื้นดิน ให้กลั้นใจหยิบดินหรือฝุ่นนิดหนึ่ง รำลึกถึงแม่ธรณี แล้วกล่าวในใจว่าขอฝากร่างนอนบนพื้นดินสักคืน ท่านว่าวิเศษเหมือนกัน...คือ คุ้มภัยได้แทบจะทุกอย่าง.<br />
<br />
....................................<br />
<br />
คาถาอาคมนั้น นอกจากจะเรียนรู้มาจากอาจารย์อย่างถูกต้องแล้ว ความเชื่อมั่น และพลังจิตของผู้ใช้มีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง ที่จะให้สำเร็จผลสมความปรารถนา เพราะถ้าปราศจากความเชื่อมั่น และอำนาจจิตที่เกิดจากความเชื่อมั่นจนเกิดเป็นสมาธิแล้ว...เฉพาะตัวอาคมหรือคาถาแทบจะไม่ส่งผลใด ๆ ให้เกิดขึ้นมาได้เลย.<br />
<br />
ท่านว่า คาถาอาคมจะขลังและศักดิ์สิทธิ์มักจะเกิดกับคนสองประเภท คือ โง่อย่างมาก...กับอีกพวก คือฉลาดอย่างมาก...<br />
<br />
พวกแรก เพราะความโง่อย่างมาก เชื่อมั่นโดยไม่มีข้อแม้ จนทำให้เกิดสมาธิ เป็นพลังอย่างแรงกล้าที่จะให้ผลสำเร็จตามความมุ่งหมาย<br />
<br />
ส่วนพวกฉลาดอย่างมาก เพราะความฉลาดจึงสามารถสร้าง อุคคหนิมิต จนถึงปฏิภาคนิมิต(นึกภาพ จนสามารถเห็นภาพนั้นเป็นนิมิตในใจ) ออกจากสมาธิแล้ว อธิษฐานจิตตามปรารถนา แล้วเข้าสู่สมาธิโอมอ่านคาถาอาคมอีกรอบ จนให้เกิดผลใจนึก.<br />
<br />
แต่ไม่ทุกครั้ง...!!! วิทยาศาสตร์ จึงไม่ยอมรับว่าให้ผลจริง เพราะเกิดจากตัวแปรหลาย ๆ อย่าง ตามที่เขียนมานั่นแหละครับ.<br />
<br />
.............................<br />
<br />
คืนแรก หลังจากหลับพักไปตื่นหนึ่ง อากาศเย็น ผมรู้สึกตัวตื่น คงราวเที่ยงคืนได้ เหลียวมองไปทางกองไฟเหนือ ใต้ เห็นแสงไฟลุกวอมแวมอยู่ อ.จันทร์ท่านยังคงไม่หลับ นั่งเฝ้ากองไฟคอยชุนฟืนอยู่<br />
<br />
มองไปรอบ ๆ เห็นพระรูปอื่น ท่านนอนตามปกติ.<br />
<br />
แปลกที่ว่าอยู่ในป่าแท้ ๆ กลับไม่มีแมลงต่าง ๆ เช่น ยุงมารบกวน ช่วงเย็นไม่ได้สังเกต มาสังเกตตอนที่ตื่นมานี่แล้ว...อาจเพราะเป็นหน้าร้อน และควันไฟที่ช่วยไล่แมลง จึงไม่ได้รับความเดือดร้อนจากแมลงเหล่านี้.<br />
<br />
มองขึ้นไปยอดไม้สูง ๆ เห็นราง ๆ เพราะสายตาชินกับความมืด เงี่ยหูฟังเสียงบนฝั่ง...ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ<br />
<br />
มองไปทางชายน้ำ ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ.<br />
<br />
มองรอบ ๆ ตัว สังเกตดูรอบ ๆ ตัว ไม่มีแมลงมีพิษ ประเภทตะขาบ หรือ งูมานอนเป็นเพื่อนก็เบาใจไปอย่างหนึ่ง เพราะนอนกันบนพื้นทรายจริง ๆ<br />
<br />
ผมร้องบอก อ.จันทร์ ท่านไปว่า ผมไปฉี่นะ...!<br />
<br />
ท่านพยักหน้ารับ ผมก็ออกไปฉี่ใกล้ ๆ บริเวณที่พัก กลับเข้ามาก็ยังไม่มีพระรูปใด รู้สึกตัวหรือตื่น ก็เดินเลาะ ๆ ดูความผิดปกติรอบที่พัก เข้าไปเติมฟืนที่กองไฟอีกด้าน แล้วก็เข้าที่นอนที่ปูผ้าอาบน้ำไว้นอน.<br />
<br />
ตื่นมาอีกทีตอนตีสาม ทุกอย่างปกติ...<br />
<br />
จนรุ่งเช้า คงสักหกโมงเช้าครับ เห็นอะไรชัดเจนแล้ว ผมก็หยิบย่าม ค้นหาสบู่ ยาสีฟัน แปรง เตรียมล้างหน้า เห็นเพื่อนพระสองสามรูปตื่นแล้วเหมือนกัน ผมเดินเลี่ยงไปท้ายที่พัก เตรียมอาบน้ำเลย เพราะอากาศเย็นอย่างนี้ ต้องอาบน้ำเลย ในลำธารนั่นแหละ จะได้ช่วยปลุกร่างกายให้ตื่นเต็มตัว.....<br />
<br />
ได้ยินเสียงกิ่งไม้หักแคร็ก.....!<br />
<br />
หมูป่าครับ....!!! ขนาดสัก 20-30 กิโลกรัมได้...ไม่ใหญ่มาก คงจะลงมากินน้ำ ฝั่งตรงข้าม(ลำธารช่วงนั้นกว้างสัก 10 เมตร)...ก็ยิ่งรู้สึกปลอดภัย ร้องเรียกพระอีกสองสามรูปท่านมาดู...ต่างก็ดีใจที่เห็นหมูป่ากันชัดเจนใกล้ ๆ สักพักหมูป่าก็เดินขึ้นฝั่งเข้าป่าหายไป<br />
<br />
อาบน้ำเสร็จ...ผมก็เดินเข้าลานพัก ตอนนี้ตื่นกันหมดแล้ว...สอบถามกันไม่มีใครเป็นอะไรก็โล่งอกละครับ.<br />
<br />
ก็ให้ลูกศิษย์หุงหาอาหาร หลังจากทำธุระส่วนตัวกันหมดแล้ว...<br />
<br />
อ.จันทร์บอกว่า คงต้องไปทางแพไม้ไผ่ ล่องไปตามน้ำ น่าจะเร็วกว่าเดิน...ถามหลายรูป ก็ไม่มีปัญหา ตัวท่านเองชำนาญแพอยู่แล้ว หลวงพี่คนเมืองเพชรฯท่านก็ชำนาญ ผมก็พอได้ ส่วนรูปอื่น ๆ ก็ไม่มีปัญหา.<br />
<br />
ตกลงกันได้แล้ว........<br />
<br />
ก็ฉันข้าวเช้าที่ลูกศิษย์ทำถวาย.......<br />
<br />
Chote Vanhakij<br />
23 กรกฎาคม 2560 เวลา 18:19 น.<br />
คลิกที่นี่..อ่านคอมเม้นท์ใต้บทความครับ<br />
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1885720745082202&id=100009328851456<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/97/cno19.jpg" /></center><br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">ตอนที่ 19 "เรื่องประหลาด" "คาถากันผีน้ำ"</span><br />
<br />
"คาถากันผีน้ำ"<br />
<br />
การถือธุดงค์ของพระ หรือการเดินธุดงค์นั้น พระที่จะทำการฝึกฝนตัวเองในการเดินธุดงค์ จะต้องสมาทาน(คือถือ)ธุดงค์อย่างน้อยหนึ่งข้อ จึงจะเป็นการเดินธุดงค์ หรือการฝึกหัดตนเองให้เหนือกว่าข้อวัตรปกติที่ทำอยู่ และต้องทำให้ตลอดช่วงที่ถืออยู่ เช่น เมื่อจะธุดงค์ ท่านตั้งใจว่า...จะถือการอยู่ป่าช้าเป็นวัตร....<br />
<br />
ท่านจะไหว้รำลึกถึงคุณพระรัตนตรัย แล้วทำการอธิษฐานว่า...<br />
<br />
"อสุสานัง ปฏิกขิปามิ โสสานิกังคัง สมาทิยามิ...เราของดเว้นที่ที่ไม่ใช่ป่าช้าเสีย ขอสมาทานองค์ของผู้อยู่ป่าช้าเป็นวัตร".<br />
<br />
อย่างไร?...<br />
<br />
คือ...เมื่ออธิษฐานแล้ว ต้องนอน ต้องพักที่ในป่าช้าเท่านั้น นอนที่อื่นไม่ได้ แม้วันเดียว...!<br />
<br />
ทำไม่ได้เป็นอันธุดงค์ข้อนั้นขาด ถ้าจะทำต้องอธิษฐานต่อ...หรืออธิษฐานใหม่.<br />
<br />
อ่านมาตั้งนาน ยังไม่มีเรื่องประหลาดเลย บางท่านอาจแย้งในใจ...!!<br />
<br />
มีครับ...อ่านจบไปห้าตอน รับประกันท่านจะเข้าใจเรื่องลึกลับซับซ้อนที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อน และอาจกลายเป็นหมอขมังเวทย์ไปอีกคน<br />
<br />
ประหลาดพอไหม?...!!!!!<br />
<br />
#พุทธศาสนานั้น...แม้ยอมรับการมีอยู่ของ เทวดา มาร พรหม หรืออทิสมานกายอื่น ๆ และยอมรับว่าอาจร้องขอ หรือไหว้วอน ผลที่มนุษย์ต้องการได้บ้าง(แง่ของธรรมะที่สูงกว่านี้ ของดไว้ก่อนครับ) และเขาเหล่านั้นก็อาจอำนวยให้ได้บ้างหากมีกรรมเกี่ยวเนื่องกัน...แต่ในที่สุด พุทธศาสนาบอกว่า เทพเหล่านั้นมิใช่อมตะ มีเกิด ตาย และเสื่อมไปตามอายุของเขา.<br />
<br />
แต่พุทธศาสนาเน้นให้มนุษย์ก้าวไปสู่ที่สุดแห่งทุกข์ และความพ้นจากทุกข์ด้วยความพยายามของมนุษย์เอง ด้วยเรี่ยวแรงแห่งมนุษย์เอง ด้วยสติปัญญาของมนุษย์เอง ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ หรือพระเจ้าตนใดบันดาลให้ได้ทั้งนั้น.<br />
<br />
อย่างที่เขียนมาสองตอนครับ ไปคราวนั้น ไม่ได้ไปธุดงค์ แค่ไปเที่ยวเล่นตามป่า เพราะฉะนั้น เรื่องคาถาอาคม เรื่องวิทยามนต์ จึงนำมาเล่าได้ เขียนได้.<br />
<br />
และเมื่อจะลงน้ำล่องแพ...ก็ควรจะรู้คาถานี้.<br />
<br />
หิริโอตตัปปะ สัมปันนา สุกกะธัมมะ สะมาหิตา<br />
<br />
สันโต สัปปุริสา โลเก ทะเว ธัมมาติ วุจจะเรติ.<br />
<br />
ไม่แปลละครับ...เมื่อเป็นเด็ก เคยเห็นปู่ที่เป็นคนโบราณนั้นสักเต็มตัวดำมืดไปหมด เหมือนคนทางเหนือโบราณ คือสักดำตั้งแต่คอ ลงไปถึงเหนือเข่า แขนไปสุดที่กลางท่อนแขนแรก สักตัว"มอม"บ้าง อักขระขอมบ้าง ยันต์บ้าง แล้วแต่จะลงที่ข้างหน้า ข้างหลังได้ แต่ดำมืดตามที่ว่าทั้งตัว ไม่มีว่าง.<br />
<br />
แต่มีที่แปลกอยู่บนแขนซ้ายด้านใน อ่านเป็นบาลีได้ตามนั้น ท่องจำตามปู่มาตั้งแต่เด็กจนจำได้แต่อยู่ชั้น ป.1....จนเดี๋ยวนี้ยังไม่ลืม.<br />
<br />
แต่อ่านอักขระขอมไม่ออก จนเดี๋ยวนี้ ก็แค่พอรู้บ้าง เพราะไม่ได้ศึกษาเรื่องอักขระขอมโดยตรง...จนเมื่อบวช และได้เรียนภาษาบาลี สามารถแปลบาลีในธัมมปทัฏฐกถา ขุททกะนิกายแล้ว...จึงรู้ความหมายว่า เป็นคาถาป้องกันยักษ์ และผีเสื้อน้ำ(จะเล่าภายหลังนะครับ).<br />
<br />
..............................<br />
<br />
เช้าวันนั้น ฉันเช้าที่ลูกศิษย์นำมาถวายแล้ว ก็วานให้สามเณร กับลูกศิษย์ช่วยกันตัดไม้ ส่วนพระที่เหลือช่วยกันผูกแพ และทำแพ ส่วนมากพระน้ำหนักตัวไม่เยอะ!! อย่างผม...ไม้ไผ่ขนาดสองวาครึ่ง สี่ลำก็พอดี มีหลวงพี่คนเมืองเพชรฯ ตัวใหญ่หน่อย ก็ห้าลำ แต่ขนาดแพไม่ยาวอย่างที่พูด เพราะเวลาลงแก่ง แพยาวมากจะติด และขวางแก่ง ทำให้คัดหัว คัดท้ายลงช่องน้ำลำบาก อีกอย่างต้นน้ำเชี่ยว ไหลแรงมาก แพรูปละลำ ไม่มีแพคู่ ต้องใช้ความชำนาญเฉพาะตัวล่องเอง ซึ่งถ้าไม่ระวังอาจเสียหลักตกกระแทกหิน หัวแตกตาย หรือแข้งขาหักได้ อันตรายอย่างยิ่ง สำหรับคนไม่ชำนาญ ต่างจากแพใหญ่ที่นั่งได้หลายคน จะไม่มีเหตุเช่นว่านี้.<br />
<br />
สาย ๆ พอแพเสร็จ ตรวจความเรียบร้อย แน่นหนาแล้ว อ.จันทร์ท่านให้ผูกแพกับหลัก ชวนกันขึ้นไปดูน้ำตกทอทิพย์...<br />
<br />
สวยมากครับ...เลาะดูสักพัก ก็ชวนกันลงมา ขากลับมีทากติดขามารูปละตัว สองตัว แต่ไม่ทันดูดเลือด เพราะรีบเดินกันเร็ว ๆ ลงถึงชายหาดก็แกะออก โยนเข้าป่าชายฝั่งไป.<br />
<br />
มาฉันเพล ซึ่งก็เป็นข้าวต้มปลากระป๋องใส่พริกแกง แต่บรรยากาศป่าเอื้ออำนวย...เลยอร่อยเป็นพิเศษ...!<br />
<br />
ตอนล่องแพนี่ สนุกครับ ช่วงแรก ลำน้ำแคบมาก ล่องไป งัดแพไป เล่นน้ำไป เปียกปอนเกือบทุกรูป มีแค่ อ.จันทร์ กับหลวงพี่เมืองเพชรฯ เท่านั้นที่ไม่เปียก(อ้าว...! แล้วข้าวสาร กับเสบียงอย่างอื่นละ? บางท่านอาจมีคำถาม ไม่เปียกเหรอ?) ข้าวสารใส่ไว้ในแกลลอนพลาสติกครับ ผมรับมา 5 กิโลกรัม กับเสบียงอย่างอื่น ผนึกถุงพลาสติกใส่ไว้ในถุงปุ๋ยอีกชั้น...ผูกไว้ท้ายแพ ถ่วงน้ำหนักคนถ่อ เพราะต้องมายืนค่อนหัวแพ คอยคัดแพลงช่องน้ำ ไม่อย่างนั้น แพจะชนก้อนหิน แล้วคนที่ยืนหัวแพ จะเสียหลักพุ่งไปข้างหน้าชนหินตาย.<br />
<br />
มาสัก 2 ชั่วโมง สักบ่ายสามได้ชวนกันลากแพเกยหาด แล้วขึ้นพัก กะว่าอีกสัก สามสี่คุ้งน้ำก็จะหาที่พัก...ผมก็มานั่งมองฝูงปลาที่เล่นน้ำเป็นฝูง ๆ ที่เคยเห็นและจำได้ชัดเจนมีปลากับแก้(ตุ๊กแก) คนไทยเรียกปลาสนาก เพราะในน้ำจะมองเห็นเกล็ดสีเงินวาววับ ชัดเจน แต่ที่นี่ตัวใหญ่มาก ตั้งแต่ขนาดหนึ่งฟุต หรือฟุตกว่า....<br />
ดูภาพข้างล่างครับ.........<br />
<br />
ปลาสนาก ( อังกฤษ : Burmese tout, Giant barilius ) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ ว่า Raiamas guttatus อยู่ในวงค์ปลาตะเพียน............( Cyprinidae )<br />
<br />
ลักษณะลำตัว ยาวทรงกระบอก หัวและปากแหลม ปากกว้างมาก จงอยปากล่างงุ้ม คล้ายตะขอ ไม่มีหนวด เกล็ดเล็ก ลำตัวสีมันวาว ข้างลำตัวมีประสีน้ำเงินคล้ำ หางเว้าเป็นแฉกลึกสีแดง มีแถบสีดำใกล้แถบบนและแถบล่าง ครีบหลังสีเหลืองอ่อนมีแต้มคล้ำ ในตัวผู้มีตุ่มข้างแก้มแตกต่างจากตัวเมีย โดยเฉพาะในฤดูผสมพันธุ์ และสีลำตัวจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูอมส้ม ขนาดประมาณ 15-45 เซนติเมตร<br />
<br />
เป็นปลากินเนื้อ มักอยู่เป็นฝูงเล็ก ๆ หากินบริเวณผิวน้ำ ล่าเหยื่อ ปลาเล็ก ๆ กุ้ง ปูต่าง ๆ เป็นต้น<br />
<br />
เป็นปลาที่มีความว่องไว ปราดเปรียวมาก และว่ายน้ำเคลื่อนไหวตลอดเวลา มีรูปร่างคล้ายปลาแซลมอนที่พบในต่างประเทศ จึงได้ฉายาจากนักตกปลาเมืองไทยว่า "แซลมอนเมืองไทย"<br />
<br />
อาศัยอยู่ตามแม่น้ำสายใหญ่ ในภาคเหนือ, ภาคอีสาน, และภาคกลาง มีชื่อเรียกต่างกันออกไปเช่น "มะอ้าว"ในภาษาไทยใหญ่ น้ำหมึกยักษ์, นางอ้าว, อ้าว, ดอกหมาก, ปากกว้าง, และจิ๊กโก๋ ในภาษาอีสาน เป็นปลาเศรษฐกิจที่พบบ่อยในบางฤดูกาล บริโภคโดยการปรุงสด และมีการเลี้ยงเป็นปลาสวยงามที่มีการซื้อขายในตลาดปลาสวยงามด้วย<br />
<br />
.....................................<br />
<br />
ทำไมต้องมีคาถากันเงือก ก็มาฟังกันก่อนครับ.......<br />
<br />
ผีน้ำคงหมายถึงผีในน้ำมากกว่าอย่างอื่น สารานุกรมวัฒนธรรมไทยภาคเหนือ ให้ขอบเขตความหมายของผีน้ำไว้ว่า หมายถึงวิญญาณที่สถิตอยู่ในน้ำ โดยเฉพาะวังน้ำลึก ผีชนิดนี้จะคอยทำร้ายคนที่ไปที่วังน้ำที่มันอาศัยอยู่ ไม่ปรากฏว่าผีน้ำมีลักษณะหน้าตาเป็นอย่างไร(แต่บางที่ผีน้ำอาจแค่เป็นเครื่องขู่ โดยเฉพาะขู่เด็กไม่ให้ไปเล่นตามวังน้ำลึกซึ่งเป็นเขตที่มีอันตรายสูงก็ได้ ท่านให้ดูประกอบที่ผีเงือก)...<br />
<br />
ซึ่งในคำว่าผีเงือกท่านก็ให้คำนิยามไว้ว่า ผีเงือกเป็นผีน้ำซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด...<br />
<br />
ชนิดแรกมีลักษณะอย่างงูมีหงอน ซึ่งจะปรากฏตัวเมื่อมีฝนตกหนัก แล้วเกิดน้ำท่วมน้ำนองขึ้น ผีเงือกนี้จะจับเอาคน หรือทำร้ายคนโดยเฉพาะเด็ก ที่ไปเล่นน้ำที่นองนั้น(คตินี้ตรงกับทางอีสานตอนเหนือ ที่มีภูมิลำเนาติดกับแม่น้ำโขงเกือบทั้งหมด)<br />
<br />
ผีเงือกชนิดที่สอง เป็นผีเงือกที่อยู่ในห้วงน้ำโดยเฉพาะห้วงน้ำลึกที่มองดูเห็นน้ำเป็นสีเขียวดูสงบเยือกเย็น ผีเงือกชนิดนี้เป็นผีเพศหญิงตัวไม่ใหญ่นัก มีตาแดงกับมีผมดกและยาวมาก เมื่อใครไปลงน้ำที่ผีเงือกชนิดนี้อาศัยอยู่ ผีเงือกจะใช้เส้นผมของตน พันขาบุคคลนั้นลากลงใต้น้ำ แล้วดูดเลือด หรือกลืนวิญญาณ.<br />
<br />
ที่ได้อ่านพบในตำนาน ก็มีตำนาน พระเจ้าพรหมมหาราช กับช้างมงคลสามตัว ที่ปรากฏเป็นงูใหญ่เท่าลำตาล ไหลล่องมาตามลำน้ำโขง ความในตำนานนั้นไม่ชัดว่าเป็นเงือก อย่างที่พูดถึงหรือไม่ หรือเป็นอย่างอื่น (แต่ถ้าความคิดเห็นส่วนตัว ผมแปลกแยกออกไปหน่อยหนึ่ง เพราะภาษาบาลี มีคำว่า "นาค" ซึ่ง หมายถึงช้าง หรือแปลว่าช้างตัวประเสริฐ อันนี้หรือเปล่าที่อาจารย์ชั้นหลัง ไปจับเอาที่คำว่านาค แล้วแปลว่างูใหญ่ลอยน้ำมา)<br />
<br />
ส่วนเรื่องผีเงือกที่แปลงตัวเป็นงูใหญ่ ท่านเล่าไว้แบบนี้ (สำนวน อ.มาลา คำจันทร์)...<br />
<br />
ที่บ้านหนองบัวคำ ปัจจุบัน(หมายถึง ก่อนปี 2510) มีบ้านอยู่หลายหลัง ในหนองน้ำมีบัวมากมาย กลางหนองมีปลาชุกชุม ชาวบ้านไม่กล้าลงไปจับ เคยมีชาวบ้านต่างถิ่นมาจับ เกิดทะเลาะเป็นปากเสียงกับชาวบ้านหนองบัวคำ เพราะชาวบ้านเขาเกรงอันตรายจากผีจะมาทำร้ายพวกเขา<br />
<br />
ในการล่องเรือแต่ครั้งก่อนนั้น ที่ถ้ำวังตอนนี้จะมีผีคอยอาละวาดทำลายเรือแพที่ล่องไป หากไม่ทำการเลี้ยงหรือเซ่นสรวง โดยมากมักจะขึ้นบนเรือทำให้เรืออับปางหรือเป็นอันตราย ตามคำบอกเล่ากล่าวว่า พอเรือล่องมาถึง พวกผีเฝ้าวังน้ำ และถ้ำที่นี่จะปรากฏตัวพายเรือทวนน้ำขึ้นมา และบอกสั่งพวกเรือว่า...<br />
<br />
"หากขึ้นมาจากกรุงเทพฯ ขอช่วยซื้อผ้าแพร ผ้าไหม หรือปิ่น และลานใส่หูมาฝากด้วย".<br />
<br />
ชาวเรือมักจะทำตาม เขาจะเอาแพรไหมมาวางไว้ ส่วนปิ่นปักผมและลานใส่หูนั้น บางทีหาไม่ได้ ก็จะเอาขมิ้นมาปอกเปลือกแล้วทำเหมือนปิ่นและลานฝากไว้ แต่เรือบางลำไม่ปฏิบัติตาม หรือเรือลำใดที่ทำจากไม้สองนาง(คือไม้ต้นเดียวแต่แยกออกจากกันเป็นสองลำตั้งแต่โคนต้น)เมื่อนำเอาไม้ชนิดนี้มาทำเรือ พอเรือมาถึงที่นี่ เรือลำนั้นจะไหลเข้าน้ำวนและจมหายลงไป ไหลทะลุไปออกกลางหนองบัวคำ ซึ่งอยู่ห่างจากวังน้ำแห่งนี้ ราว ๆ กิโลเมตรเศษ<br />
<br />
แม้ปัจจุบันนี้ปรากฏว่ายังมีเรือชะล่าขนาดใหญ่เก่า ๆ ยังคงแช่จมน้ำอยู่ที่หนองนั้น<br />
<br />
หรือเรือลำใด ไม่ปฏิบัติตามสัญญา พวกผีจะขี่เรือขึ้นมาแล้วตรงขึ้นล่มเรือ ทำให้ผู้คนข้าวของเสียหายและได้รับอันตราย คนเรือเกรงกลัวยิ่งนัก ข่าวความร้ายแรงและการอาละวาดของผีวังนี้ เลื่องลือเป็นที่หวาดกลัวแก่เรือแพขึ้นล่องยิ่งนัก<br />
<br />
ต่อมามีอาจารย์ดี มีความรู้และเก่งกล้าทางเวทมนต์คาถายิ่งนัก ล่องเรือผ่านมา เมื่อเรือผ่านวังน้ำตอนนี้ มีคนพายเรือสวนเข้ามาหา(ก็นึกรู้โดยสำนึกในใจว่าไม่ใช่คน)และพวกนั้นร้องบอกว่า.....<br />
<br />
"หากขึ้นมาจากกรุงเทพฯ ขอให้ซื้อผ้าไหม ผ้าแพร และปิ่นลานมาฝากด้วยนะ".<br />
<br />
อาจารย์ผู้นั้นก็รับปาก "หากฉันกลับจะเอามาให้ คอยรอเอาแล้วกัน".<br />
<br />
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็กลับมา เรือถ่อผ่านวังตอนไปโดยไม่ได้แวะส่งของที่ผีขอให้เอามาฝาก...<br />
<br />
ผีประจำวังน้ำ จึงปรากฏกายขึ้นเรือ และถามว่า "กลับจากกรุงเทพฯ ไม่เห็นเอาของฝากมาให้"<br />
<br />
อาจารย์คนนั้นหัวเราะและตอบว่า "ข้าลืมไป เอ็งอยากได้ก็ตามขึ้นไปเถิด หากเอ็งไม่พอใจ จะทำอย่างไรก็ตามใจ ข้าไม่ให้ละ".<br />
<br />
เมื่อถูกสบประมาทเช่นนั้น ผีก็โกรธยิ่งนัก มันคว่ำเรือของมันทันทีและบันดาลให้วังน้ำปั่นป่วนเป็นระลอก ร่างของมันกลายเป็นเงือกใหญ่ ตรงเข้าหนุนเรือหมายใจจะคว่ำเรือให้อับปาง พวกคนเรือก็ตกใจ.<br />
<br />
แต่อาจารย์ขมังเวทย์บอกให้พวกเรือสงบใจไว้ อย่าตกใจ ตนเองจะเป็นผู้ปราบผีเอง แม้ผีน้ำได้จำแลงกายและบันดาลให้กระแสน้ำปั่นป่วน อาจารย์ขมังเวทย์ก็ยังแก้ไขได้.<br />
<br />
เรือรีบถ่อหนีขึ้นไป ปีศาจร้ายคงติดตามอาละวาดไม่ละลด จนถึงวังน้ำแห่งหนึ่ง เหนือผาวิ่งชู้ใต้สบแจ่ม(ปากน้ำแจ่ม) ปีศาจน้ำ ไม่ยอมให้แล่นเรือต่อ มันเอาหางมัดเรือไว้แน่น<br />
<br />
อาจารย์ขมังเวทย์เห็นท่าไม่ไหว โอมอ่านคาถาเสกควายธนูทองแดงโยนลงน้ำไป ด้วยอำนาจวิทยามนต์ กระแสน้ำปั่นป่วน คลุ้มคลั่งเกิดเป็นมหิงสาตัวมหึมา เข้าโรมรันกับปีศาจร้าย ปีศาจร้ายโดนควายธนูขวิดบาดเจ็บสาหัส โลหิตไหลนอง จนแม่น้ำปิงเป็นสีแดงไปหมด โดยเฉพาะวังน้ำแห่งนั้น น้ำขุ่นแดงเป็นสีเลือดไปสิ้น จนชาวบ้านที่เห็นและรู้เรื่อง เรียกวังน้ำนี้ต่อมาว่าวังแดง.....<br />
<br />
นับตั้งแต่ผีน้ำ(ปีศาจ)นั้นได้พ่ายแพ้แก่จอมขมังเวทย์ วังน้ำร้ายวังนั้น ก็สงบเงียบมาจนปัจจุบัน.<br />
<br />
เดี๋ยวจะมาขยายเรื่องนี้วันหน้าครับ....วันนี้ขอจอดแพพักก่อน หิวกาแฟแล้ว.<br />
<br />
Chote Vanhakij<br />
25 กรกฎาคม 2560 เวลา 22:49 น.<br />
คลิกที่นี่..อ่านคอมเม้นท์ใต้บทความครับ<br />
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1887139628273647&id=100009328851456<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/bi/xno20.jpg" /></center><br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">ตอนที่ 20 "เรื่องประหลาด" "คาถากันผีน้ำ" (ต่อ)</span><br />
<br />
"คาถากันผีน้ำ" (ต่อ)<br />
<br />
ค้างเรื่องที่มาที่ไป ของคาถากันผีน้ำไว้ ตั้งแต่โพสต์ก่อน...ก็จะเอานิทานมาขยายความสั้น ๆ นะครับ...เกี่ยวกับอาฏานาฏิยสูตร ที่ผมบอกไปว่าสวดเพื่อบอกกล่าวแก่ท้าวมหาราชทั้งสี่ (จตุโลกบาล) ไปตั้งแต่โพสต์แรกแล้วว่า "ขอความคุ้มครองเป็นอันดีจากท่านท้าวทั้งสี่จงมีแก่ข้าพเจ้า".<br />
<br />
ตามคติทางพุทธศาสนานั้น ท้าวเวสสุวัณ หรืออีกชื่อคือ ท้าวกุเวรนั้น เป็นราชาที่ปกครองทางทิศเหนือ เป็นเจ้าแห่งยักษ์ทั้งหลาย เมื่อจะทรงอนุญาต หรือประทานพรแก่ยักษ์ตนใด ก็จะทรงบอกขอบเขตแก่ยักษ์ตนนั้นว่า...ตั้งแต่ที่นี้ ถึงที่นี้ หรือภูเขานี้, สระโบกขรณีนี้, ท่านมีอำนาจที่จะจับคนหรือสัตว์ผู้ล่วงล้ำเข้ามากินได้ แต่จะทรงบอกข้อห้ามแก่ยักษ์ว่า ถ้ามีคนอย่างนี้ ๆ ท่านจะกินไม่ได้ เมื่อนั้นยักษ์นั้นก็จะมีอำนาจที่จะจับเอาคนหรือสัตว์นั้นกินตามสบาย.<br />
<br />
ในเรื่องนี้เช่นกัน...ท้าวกุเวร ประทานพรแก่ยักษ์ตนหนึ่งให้เฝ้าสระน้ำแห่งหนึ่งในป่าว่า.....<br />
<br />
"เว้นแต่คนรู้เทวธรรม (ธรรมที่ทำคนธรรมดา ให้เป็นเทวดา) ท่านจึงจะกินไม่ได้".<br />
<br />
ยักษ์นั้น ตั้งแต่ได้รับพระราชทานพรมา ก็ 12 ปีแล้วที่จับคนที่ลงสระ และถามถึงเทวธรรมแล้วตอบไม่ได้กินมาเสมอ.<br />
<br />
ครั้งเมื่ออดีตชาติโน้นพระโพธิสัตว์ (ผู้กำลังบำเพ็ญบารมีเพื่อรอตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า) ประสูติเป็นราชโอรสของพระราชาแคว้นหนึ่ง มีเหตุให้ต้องเสด็จออกจากพระนคร และพระอนุชาสองพระองค์ที่เสด็จมาเล่นน้ำก่อนโดนยักษ์เฝ้าสระน้ำนี้จับไปขังไว้แล้ว เตรียมกินเนื้อ...พอเสด็จมาถึง เห็นชอบกล ก็ไม่ลงเล่นน้ำ แต่สะพายหอก และง้างธนูพาดสายตรวจสถานที่อยู่.<br />
<br />
ยักษ์ไม่ได้โอกาสก็แปลงร่างเป็นชาวป่ามาถามว่า "ทำไมท่านไม่ลงดื่มน้ำให้สบายใจล่ะ?"...<br />
<br />
พระโพธิสัตว์ ทรงพิเคราะห์ดูแล้ว เห็นท่าทางแข็งกระด้าง ก็ทรงรู้ว่ายักษ์ เลยตรัสถามว่า "ท่านจับน้องชายของเราไปใช่หรือไม่?" ยักษ์เห็นว่าจะหลอกลวงไม่สำเร็จ ก็บอกว่า "เราเป็นยักษ์เราจับไปเอง".<br />
<br />
พระโพธิสัตว์ก็เลยได้ช่อง ถามว่ามีข้อใดบ้าง ที่คนจะไม่โดนจับ? ยักษ์ก็ตอบว่ามีแต่คนรู้เทวธรรมเท่านั้น ที่จะไม่โดนจับกิน...พระโพธิสัตว์ จึงบอกว่า...เราจะบอกเทวธรรมแก่ท่าน แต่ขอให้เราอาบน้ำชำระร่างกายก่อน เราจะบอกแก่ท่าน เมื่อยักษ์ให้โอกาสแล้ว พระโพธิสัตว์ ทรงอาบน้ำชำระร่างกาย นั่งในที่อันสมควรแล้ว ก็กล่าวพระคาถานี้...แก่ยักษ์เฝ้าสระน้ำว่า..<br />
<br />
หิริโอตตัปปะ สัมปันนา สุกกะธัมมะ สะมาหิตา<br />
<br />
สันโต สัปปุริสา โลเก ทะเว ธัมมาติ วุจจะเรติ ฯ<br />
<br />
(ฝากพี่ธนวุฒิ แก้คาถาท่อนท้ายให้ด้วยครับ ตรง....ทะเว ธัมมาติ วุจจะเรติ...ให้พิมพ์อย่างที่ผมเขียนใหม่นี้ พลั้งเผลอจริง ๆ ครับ)<br />
<br />
คำแปล...สัปบุรุษ(สัตตบุรุษ ผู้มีสัมมาทิฏฐิ มีความคิดเห็นในทางดีงาม) ผู้สงบ ถึงพร้อมแล้วด้วยหิริ(ความละอายที่จะทำความชั่ว)และโอตตัปปะ(ความเกรงกลัวที่จะทำบาป) พรั่งพร้อม มั่นอยู่ในธรรมอันขาวสะอาด เราเรียกบุคคลนั้น ผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่ในโลกเช่นนั้นว่า ผู้มีเทวธรรม(ธรรมเป็นเครื่องอยู่เช่นเทวดา)ฯ.<br />
<br />
(จากพระไตรปิฎกเล่ม 27 ข้อ 6 อรรถกถาแปล เล่ม 55 หน้า 201)...แต่มีบทความประกอบที่ท่านผู้รู้คนหนึ่ง ยกมาแนบพระไตรปิฎก เข้ากับเหตุการณ์บ้านเมืองพอดี...ขออนุญาต เอ่ยนามท่าน ท่าน "กิเลน ประลองเชิง" เขียนไว้ว่า(เราคิดอะไร ฉบับที่ 148 พฤศจิกายน 2545)<br />
<br />
ชาดกเรื่องนี้สอนให้รู้ธรรมะที่ทำให้คนเป็นเทวดา ก็แค่คนที่ละอายต่อบาป ไม่ทำบาป พูดง่าย ๆ ว่าคนหน้าไม่ด้าน ก็เป็นเทวดาได้.<br />
<br />
หมู่นี้มีคนถกเถียง เอาแพ้ เอาชนะกันอยู่ในสภา คนพวกนี้มีอำนาจเหมือนเทวดา ยกมือไปทางไหนบันดาลทุกข์สุขให้คนทั้งบ้านเมือง อยากรู้คนพวกนี้เป็นเทวดาหรือไม่? เห็นจะต้องใช้แบบผีเสื้อน้ำถามหาเทวธรรม แต่ถ้าเห็นแค่คนปากอย่าง ใจอย่าง พูดจากลับกลอกก็แน่ใจได้ว่าไม่ใช่เทวดาแน่.<br />
<br />
................................<br />
<br />
จริง ๆ ชาดกเรื่องนี้ มีอยู่ในชั้นเรียนของพระ-เณร ที่ท่านเรียนบาลี จะต้องแปลผ่าน (ธัมมปทัฏฐกถา ขุททกนิกาย)แต่อยู่ในธรรมบทเบื้องต้น หรือเบื้องปลายก็ไม่ชัดเจนแล้ว...เพราะไม่ได้กลับไปค้นคว้าทางนั้นนานเป็นสิบปีกว่า.<br />
<br />
ครูอาจารย์ทางคาถาอาคม คงจำเอาลักษณะ และที่มาที่ไปของคาถาแบบนี้มา แล้วมาให้ลูกศิษย์ท่องบ่นเป็นมนตรา หรือลงอักขระ เลข ยันต์กำกับเข้า สัก จารลงบนผิวหนัง เป็นคาถาป้องกันภูต พราย ยักษ์ ผีเสื้อน้ำ ที่รักษาเขตแดนนั้น ๆ ในป่าหรือที่ใดก็ตาม ที่ไปพัก ไปเที่ยวให้บุคคลผู้นั้นมีความสวัสดี ปลอดภัยจากภัยร้าย.<br />
<br />
(แต่ครั้งกระโน้น เมื่อข้าพเจ้าเป็นเด็กยังอ่านอักขระขอม(ตัวธรรมโบราณ) ไม่ออก ก็ท่องจำตามปู่ ไม่ผิดเพี้ยน เช่นบาลีที่แสดงมา จนเมื่อมาพบ มาเห็น มารู้เมื่อเรียนบาลีแล้ว ได้รับความกระจ่างพอจะอธิบายที่มาที่ไป ปู่ก็เสียไปแล้ว ช่างเสียโอกาสเหลือเกิน).<br />
<br />
ทีนี้...เมื่อเข้าป่า เข้าดงพงไพร เราก็ยากจะรู้ว่าเขตแดนนั้น มียักษ์ มีเจ้าป่า เจ้าไพรตนใดบ้างที่รักษาเขตแดนนั้นอยู่ หรือแม้ลำน้ำนั้น มียักษ์ตนใดเช่นที่ว่านี้ รักษาลำน้ำนี้อยู่ วิธีเดียวที่จะป้องกันหรือสร้างความสวัสดีให้เกิดแก่ตนเมื่อต้องนอนไพร หรือเล่นน้ำ เดินทางทางน้ำ ก็ต้องมีการบอกกล่าว ด้วยคาถา หรือด้วยสูตรต่าง ๆ เช่น ที่ผมหลังจากสรรเสริญคุณพระไตรรัตน์แล้ว แล้วต่อด้วยการเจริญจิตด้วย "อาฏานาฏิยะปริตตสูตร"แผ่เมตตาแล้วนอนดังที่กล่าวแล้ว.<br />
<br />
....................................<br />
<br />
#ขอแทรกเรื่องน่าคิด ไว้นิดหนึ่งในเรื่องเล่านี้... คงจะมาแต่บรรพกาลก่อนยุคพุทธศาสนามาเผยแผ่ในดินแดนนี้นานแล้ว น่าจะมีมาพร้อมกับผู้คนที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินนี้ ดินแดนแถบนี้ ลำน้ำที่ไหลลงแม่น้ำโขงทุกสาย ผู้คนล้วนมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับเงือกหรืองูขนาดใหญ่ที่เป็นงูร้ายคอยทำร้ายคนเวลาน้ำหลาก น้ำนอง คอยดูดกลืนวิญญาณ หรือจับเอาตัวเป็น ๆ สูญหายไประหว่างมิติมีอยู่ทุกที่...แม้เมื่อรับเอาพุทธศาสนาเข้ามานับถือ รู้ว่าพญานาค เป็นสัตว์นับถือพุทธศาสนา แต่ก็จัดให้งูเงือก ที่ยังไม่นับถือพุทธศาสนาและยังมีความดุร้าย<br />
<br />
เป็นสัตว์ต่างมิติที่น่ากลัว และกลัวกันอย่างยิ่งเวลาน้ำหลาก น้ำนอง<br />
<br />
มีหมู่บ้านใหญ่บ้านหนึ่งทางฝั่งลาว ไม่ลึกเข้าไปมากนัก ชื่อ บ้านแก่นท้าว(เมืองแก่นท้าว) ปัจจุบันมีที่พัก มีโรงแรมคอยรองรับนักท่องเที่ยว ที่จะเข้าไปพัก ไปเที่ยว คอยรับรองแขกเหมือนตัวจังหวัดหรืออำเภอใหญ่ ๆ ของไทยไว้รับรองเสมอ.<br />
<br />
เข้าด่านผ่านแดนที่ อ.ท่าลี่ ทำใบผ่านแดน ที่ตรงนี้ และสามารถเข้าไปในฐานะนักท่องเที่ยวได้ 7 วัน มีรถปรับอากาศชั้นหนึ่งวิ่งจากตัวจังหวัดเลย ถึงหลวงพระบาง วันละเที่ยว.<br />
<br />
เมืองนี้ ประมาณเดือน 6หรือเดือน 7 กลางเดือนหรือต้นเดือนไม่แน่ใจ เขาจะมีบุญประเพณีทำบุญที่หอเทพารักษ์ประจำเมืองพร้อมอัญเชิญเทพารักษ์ที่ประจำอยู่ในนั้น มารับเครื่องเซ่น...แต่ถ้าเป็นเทพารักษ์ประเภท เงือก งู เขาจะบนด้วยสัตว์สองเท้า สี่เท้าแล้วแต่...ให้ท่านขึ้น ล่องตามลำน้ำสาขา จนถึงปากน้ำที่ลงสู่แม่น้ำโขง แล้วแต่ว่าสัตว์สองเท้าตัวใดชะตาขาดจะตกเป็นเหยื่อ พอครบสามวัน เจ็ดวันก็จะอัญเชิญกลับหอเทพารักษ์.<br />
<br />
ซึ่งช่วงนี้ ชาวหมู่บ้านต่าง ๆ ตามลำน้ำนี้ จะห้ามลูก หลาน หรือแม้แต่สัตว์เลี้ยงลงน้ำ เพราะเคยมีบ่อย ๆ ว่ามีตายทุกปี แม้ไม่ใช่คนในพื้นที่ ก็มักมีคนมาตายเป็นเครื่องเซ่น เช่น พวกค้ายาฆ่ากันตายทิ้งน้ำ หรือคนต่างถิ่นมาเล่นน้ำ แล้วจมน้ำตายเสมอ.<br />
<br />
ความกลัวเช่นว่านี้ จึงมีประจำตลอดมาจนกระทั่งปัจจุบัน จนฝังอยู่ในมโนสำนึกของคนพื้นถิ่นแน่นแฟ้น ชนิดที่ว่าไม่ว่าจะล้างความเชื่อออกด้วยวิธีใด ๆ ก็ไม่ได้.<br />
<br />
(#แต่มีเรื่องแปลกประหลาด ที่น่าวิเคราะห์อยู่เรื่องหนึ่ง.....<br />
<br />
คือ ตั้งแต่ก่อนสงครามอินโดจีนและสงครามในลาวมา ประมาณ 60-50 ปี ชาวบ้านถิ่นนี้ที่เคยไปรบฟากโน้น ได้รู้จักกับระเบิดไดนาไมท์ และเอาระเบิดพวกนี้ มาทำการระเบิดปลาในวังน้ำลึกที่มีปลาใหญ่อาศัยอยู่ (ปัจจุบัน ไม่มีมาตั้งแต่ปี 2520 แล้ว เพราะบ้านเมืองเจริญขึ้น เจ้าหน้าที่เข้าถึง).<br />
<br />
มันแปลกตรงไหน? มันคืออะไร?.<br />
<br />
มันแปลกตรงนี้ครับ....!<br />
<br />
และก่อนจะฟังความแปลก ก็มาฟังเรื่องของผมก่อน...!!!<br />
<br />
สมัยก่อนบวช ผมเป็นเด็กบ้านป่า สายน้ำที่ไหลผ่านหมู่บ้านเป็นลำห้วยเล็ก ๆ กว้างระหว่างตลิ่งสองฝั่งคงไม่เกิน 8 เมตร เวลาหน้าฝน น้ำหลากจะไหลแรงและเชี่ยว หน้าแล้งก็มีน้ำไหลพอริน ๆ ไม่ขาดสาย ลำห้วยนี้เคยเล่า เมื่อครั้งตอน"ล่าเก้ง"แล้วว่า ต้อนฝูงควาย เลาะห้วยนี้ ก่อนจะพาเข้าคอกของปู่<br />
<br />
และสายน้ำกว้างใหญ่ที่สุดที่เคยเห็นเวลาน้ำหลาก ก็คือแม่น้ำโขง บางตอนกว้างเกือบสองกิโลเมตร ช่วงที่ไหลผ่านแก่งหินที่ขวางลำน้ำโขงน้ำเลยกระจายออกเป็นร่องน้ำกว้าง.<br />
<br />
ก็ไอ้ความเป็นเด็กดอยนี่แหละครับ...ทำให้ผมชอบที่จะฝึกวิชาทางน้ำ ดำน้ำ เพื่อให้ตัวเองนั้นไม่อ่อนด้อยทางนี้...จนเมื่อออกไปจากวัดเมื่ออายุ 30 ต้น ๆ สามารถดำน้ำจืดตัวเปล่า ได้ลึกถึง 6 เมตรปกติ และถึง 8 เมตรในสภาพที่ดำแบบเกาะเชือกหรือเสาไม้ลงไปใต้น้ำ จนถึงพื้นน้ำ กลั้นหายใจได้นาน 3 นาที (ที่รู้เพราะหลายครั้ง ทำเฝือกกั้นสายน้ำที่เขื่อนในหมู่บ้าน แล้วต้องนำเฝือกลงไปมัดติดเสาไม้ไผ่ใต้น้ำกั้นทางหากินของปลาใหญ่ เหลือเป็นช่องให้ปลาเดินทางไปเข้าไซเท่านั้น)...แต่คนที่เก่งขนาดกลั้นลมหายใจได้นานถึง 5 นาที และยังใช้แรงว่ายน้ำใต้น้ำได้นั้น...รุ่นพ่อเล่าว่าในหมู่บ้านมีหลายคน แต่ช่วงนั้นก็แก่และกลายเป็นตำนานของหมู่บ้านไปหมดแล้ว...<br />
<br />
ทีนี้....นักดำน้ำที่ว่านี้ ต่อให้ดำน้ำเก่ง และมีวิชาอาคมดีขนาดไหน ถ้าเขาเชื่อว่าตรงนี้ วังน้ำนี้...มีรากษสน้ำ มีเงือก มีงูใหญ่เฝ้ารักษา คอยทำร้ายผู้คนอยู่ละก็ เขาจะหลีกเว้น ไม่บังอาจไปหาปลา และข้องแวะเลย....(แม้กระทั่งผมด้วย).<br />
<br />
แม้จะไปกันเป็นสิบ.....!!!<br />
<br />
แต่.....แต่ถ้าระเบิดไดนาไมท์ที่เขาใช้ระเบิดปลา มีนักระเบิดปลาโยนลงวังน้ำที่ว่านี้ สักตูม หรือสองตูม...<br />
<br />
ทุกคนที่ว่านี้...ยินดีที่จะลงดำน้ำ เพื่อจะไปอุ้มเอาปลาตะโกก ปลาตะเพียน ปลากา ปลาบึก ปลากดคัง ฯลฯ สารพัดปลาที่มีในวังน้ำ และจมอยู่พื้นน้ำเพราะตัวใหญ่ในระดับน้ำลึกขนาดนั้นขึ้นมาทันที(ตัวเล็กจะตายหงายท้องลอยขึ้นมาเหนือน้ำ และคอยเก็บท้ายน้ำได้ ไม่ต้องดำงม)...เพราะ?...<br />
<br />
เพราะชาวบ้านรู้ว่า ต่อให้มีพลังงานลึกลับและดุร้ายอะไรอยู่ตรงนี้ ก็จะถูกพลังงานที่เกิดขึ้นทางวิทยาศาสตร์ทำลายไปแล้ว ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ไม่สามารถทำร้ายใครได้.<br />
<br />
(ใครอ่านมาถึงตรงนี้ ถ้ามีคำอธิบายทางฟิสิกส์ดี ๆ มาอธิบายให้ทราบ จะเป็นพระคุณยิ่ง).<br />
<br />
ซึ่งทำให้ผมคิดมาตั้งนานว่า หรือพลังงานทุกอย่างแม้แต่พลังงานชั่วร้ายจะเป็นรูปแบบเดียวกันทั้งหมด ทำให้พลังงานทางวิทยาศาสตร์ทำลายมันได้ เพราะแม้แต่ชาวบ้านก็เข้าใจได้โดยไม่ต้องอธิบาย และกล้าพูดว่า ต่อให้มีเงือกตัวเท่าลำตาลอยู่ในวังน้ำนี้....มันก็โดนระเบิดตายแล้ว...!!!<br />
<br />
และยินดี ที่จะดำลงอุ้มปลาตัวใหญ่ ๆ ที่โดนระเบิดขึ้นมาได้โดยไม่กลัว.<br />
<br />
แต่ผ่านไป 3 วัน ก็จะไม่มีใครกล้าลงไปดำเล่นอีกเช่นกัน...และแม้แต่ผมที่เชื่อมั่นเรื่องวิชาของตัว ก็เช่นกัน.<br />
<br />
คงเพราะเชื่อว่าพลังานชั่วร้าย ได้กลับมารวมตัวแล้ว<br />
<br />
ประหลาดแท้...!!!<br />
<br />
.........................................<br />
<br />
หลังจากหาที่พักแพ อาบน้ำ อาบท่า มานั่งดื่มน้ำมะตูมต้ม ที่ลูกศิษย์ต้มถวายแล้ว นั่งคุยกันสักพักจะเข้านอน.<br />
<br />
ผมยังไม่นอน ก็เริ่มสังเกตเพื่อนพระที่บ้านเกิดมาจากมหาสารคาม.<br />
<br />
รูปหนึ่ง เสกคาถาแล้วเอาไม้ขีดบริกรรม รอบที่ที่จะนอนบนชายหาด.<br />
<br />
อีกรูป หยิบก้อนกรวด เสกคาถา แล้วโยนรอบที่พักทั้งสี่ทิศ.<br />
<br />
หลวงพี่คนเมืองเพชรฯ หลับง่าย ท่านหลับไปแล้ว.....!!!<br />
<br />
อ.จันทร์ท่านนอนดึกกว่าทุกรูป...ไม่เคยเห็นเลยว่าท่านทำอย่างไรก่อนเข้านอน.<br />
<br />
ส่วนผม ทำปกติเหมือนวันแรก......<br />
<br />
#และเรื่องประหลาด ที่จะไปคลายปมตอนจบ...เริ่มจากตรงนี้...<br />
<br />
นอนละครับวันนี้....วันหลังจะมาต่อ.........<br />
<br />
Chote Vanhakij<br />
28 กรกฎาคม 2560 เวลา 16:57 น.<br />
คลิกที่นี่..อ่านคอมเม้นท์ใต้บทความครับ<br />
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1888856268101983&id=100009328851456<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<font color="#0000FF">@ คลิกที่นี่..</font> <a href="http://northernfoodd.blogspot.com/2017/07/3-by-chote-vanhakij.html" target="_blank">ตอนที่ 21 "ประสาพราน"</a>somphonghttp://www.blogger.com/profile/07203143908234315462noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6143190172184203950.post-25453463665870897132017-06-26T10:22:00.002+07:002017-08-29T22:47:29.479+07:00"ก่อนชีวิตจะจางหาย ภายใต้ฟ้ากว้าง" (1) By: Chote Vanhakij<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/pv/plogo.jpg" /></center>"ขออนุญาตคุณ Chote Vanhakij ขอนำบทความของท่านมาโพสต์ที่นี่นะครับ" ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร<br />
<br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">UpDate..</span><br />
<center><span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">ตอนที่ 1 "ถวิลหาอดีต..." ถึง ตอนที่ 11 "ล่าเก้ง"</span></center><br />
<span style="color: #3333ff; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;"><strong>"ก่อนชีวิตจะจางหาย ภายใต้ฟ้ากว้าง"</strong></span><br />
<span style="color: #ff9900;">By: Chote Vanhakij</span><br />
<br />
<font color="#FF0000">@ คลิกที่นี่..</font> <a href="http://northernfoodd.blogspot.com/2017/07/2-by-chote-vanhakij.html" target="_blank">ตอนที่ 12 "ผีโพง" "ผีเป้า" ถึง ตอนที่ 20 "คาถากันผีน้ำ"</a><br />
<font color="#FF0000">@ คลิกที่นี่..</font> <a href="http://northernfoodd.blogspot.com/2017/07/3-by-chote-vanhakij.html" target="_blank">ตอนที่ 21 "ประสาพราน" ถึง ตอนที่ 30 "กะระณียะเมตตสูตร"</a><br />
<font color="#FF0000">@ คลิกที่นี่..</font> <a href="http://northernfoodd.blogspot.com/2017/08/4-by-chote-vanhakij.html" target="_blank">ตอนที่ 31 "ป" ถึง ตอนปัจจุบัน</a><br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/b5/yno01.jpg" /></center><br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">ตอนที่ 1 "ถวิลหาอดีต..."</span><br />
<br />
ยุ่งกับเรื่องการเมือง เรื่องบ้าบอคอแตกในประเทศไทยมาพักหนึ่ง...ก็ไม่หนักนัก ผมเน้นเรื่องทำมาหากินมากกว่า...ไม่ค่อยเข้าไปยุ่มย่ามกับเขาโดยตรงเท่าไหร่...! เลยไม่ค่อยเดือดร้อน.<br />
<br />
คิดได้ว่า...เอาความเป็นอยู่ของชาวชนบทเมื่อสัก 40-50 ปีที่แล้ว...มาเล่าทิ้งไว้ในเฟสบุ๊คถ้าจะดี.<br />
<br />
เพราะเมื่อบันทึกไว้แล้ว...ผ่านไปอีกครึ่งศตวรรษ...มีคนอ่านพบก็จะได้ซึมซับบรรยากาศที่จะหาไม่ได้อีกแล้วในอนาคต.<br />
<br />
บ้านที่ผมเกิด ได้รับฐานะเป็นตัวตำบลก่อนผมเกิด(ไม่อ้างอิงนะครับ)...ห่างจากตัวอำเภอประมาณ 15-16 ก.ม.สมัยที่ยังเป็นทางเกวียนก็เดินเท้าไปกลับ หรือนั่งเกวียนไปกลับ...ก็พอดีถึงบ้านค่ำ.<br />
<br />
ถ้าหนทางหน้าแล้ง และล้อเกวียนไม่ติดหล่ม...ก็จะประมาณนี้...แต่ถ้าบรรทุกข้าวของมาหนักล้อเกวียนติดหล่ม.. .บางทีอาจต้องนอนกลางทาง.<br />
<br />
หมู่บ้านที่ใกล้กันที่สุด ห่างออกไป 3 ก.ม. ไกลอีกหน่อย 5 ก.ม..<br />
<br />
สมัยปี 2510...จนถึงปี 2527 ยังไม่มีไฟฟ้าใช้...มีหลังจากปีที่ว่านั้นมา.<br />
<br />
ตัวตำบล...สมัยที่พอจำความได้ มีบ้านประมาณร้อยกว่าหลังคาเรือน...มีภูเขาโอบล้อมทุกด้าน...หนทางออกสู่บ้านอื่น ไปตามทางเกวียนลัดเลาะไปตามช่องเขา และทางชักลากไม้...ของบริษัททำไม้บริษัทหนึ่ง.<br />
<br />
สัตว์ป่ายังมีอุดมสมบูรณ์...สมัยที่ผม 7-8 ขวบ ฝูงลิงลงมากินข้าวโพดที่ชาวไร่ปลูกไว้ ยังมีเป็นร้อย.<br />
<br />
เก้งเยอะ หมูป่าเยอะ เสือโคร่งมีพอได้ยินเลา ๆ (คือบางปีแล้งมาก เสือโคร่งข้ามมาจากฝั่งซ้ายน้ำโขง ไม่ได้อยู่ประจำถิ่น)...พอให้ชาวบ้านตื่นเต้น.<br />
<br />
เลียงผามี กวางนี่ไม่ได้ยินคนเฒ่าเล่าให้ฟังว่ามีหรือไม่ ไม่แน่ใจ...<br />
<br />
แนะนำมาพอสมควรครับ...เพื่อจะบอกว่าที่มาตุภูมิสมัยนั้น ป่าดงยังอุดมสมบูรณ์...น้ำท่า ป่าเขียว.<br />
<br />
กระทั่งยังเคยเห็นนกเงือก ที่แสดงความสมบูรณ์ของป่า ยังมี ยังเคยเห็น...!<br />
<br />
และตำนานรอบกองไฟ จากปากคนเฒ่า...ที่เล่าตำนานลึกลับ อาถรรพ์ของป่า จากปากพรานไพร.<br />
<br />
จากคนเฒ่า คนแก่ที่บุกเบิกมาตั้งบ้านเรือน จนเป็นหมู่บ้าน....<br />
<br />
ใครเคยฟัง...เรื่องจิ้งเหลนกลายร่างเป็นปลากั้ง(ปลาช่อนภูเขา).<br />
<br />
ผีกองกอย...!<br />
<br />
โขมดดง.<br />
<br />
ผีป่าบ้าง.....ฯลฯ....อยากฟัง คอมเม้นต์มานะครับ.<br />
<br />
จะเล่าให้ฟัง....<br />
<br />
Chote Vanhakij<br />
23 มิถุนายน 2560 เวลา 21:57 น.<br />
คลิกที่นี่..อ่านคอมเม้นท์ใต้บทความครับ<br />
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1865945730393037&id=100009328851456<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/0k/jno02.jpg" /></center><br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">ตอนที่ 2 "ไล่ราวหมู่ป่า"</span><br />
<br />
เพี้ยนมาจาก "เหล่า" (ป่าไม้ใหญ่ที่ถูกโค่นลงทำไร่เลื่อนลอย แล้วถูกทิ้งร้าง จนเริ่มมีป่าพื้น เต็มไปด้วยไม้เนื้อแข็งที่เริ่มเติบโต ประมาณ 3-5 ปี...พื้นล่างจะรกไปด้วยแฝก หญ้าสาบเสือ(หญ้าเมืองวาย,ดงฮ้าง)...และหญ้าประเภท เลา, ต้นอ้อ...ฯลฯ).<br />
<br />
สรรพสัตว์ที่เกิดมาบนโลกนี้...เหมือนพุทธดำรัส ที่ตรัสเป็นพุทธธรรมเตือนชีวิตไว้แบบนี้ครับ...<br />
<br />
....."หยาดน้ำค้างบนปลายยอดหญ้า ยามต้องแสงอาทิตย์อุทัย ย่อมเหือดแห้งหายไป ตั้งอยู่ไม่นาน ฉันใด,<br />
<br />
ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย ย่อมถูกความแก่ ความเจ็บ และความตาย เผาผลาญไป ตั้งอยู่ไม่นาน ฉันนั้น".<br />
<br />
ไม่อธิบายต่อนะครับ...จะยาว เมื่อยังมีกิเลส เวียนว่าย ตายเกิด ตามคติพุทธ ไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์ก็ต้องเป็นแบบนี้.<br />
<br />
จะล่าสัตว์...แล้วเอาพุทธพจน์มาอ้างทำไม?.<br />
<br />
ก็แทรกไว้ครับ...มีเกิด มีตาย มีเจ็บไข้ได้ป่วย ตามคติโลก ธรรมดาโลกละครับ.<br />
<br />
เข้าเรื่องเลยแล้วกัน...สมัยที่ผมพอจำความได้ สัก 7-8 ขวบ...เรื่องสนุกสนานของพรานชาวบ้าน และหนุ่มรุ่น ๆ ที่กำลังหัดยิงปืน กำลังห้าว อยากเป็นพราน ก็คือ ไล่ราวหมู่ป่านี่แหละ...<br />
<br />
มันยังไงครับ?.<br />
<br />
เกริ่นพื้นที่ ที่บ้านเกิดนิดหนึ่ง บ้านเกิดเป็นชุมชนใหญ่ ตั้งอยู่บนพื้นราบ กลางแอ่งหุบเขา ที่มีภูเขาสูงกว่าระดับน้ำทะเลปานกลาง สูงไม่เกิน 500 เมตร ล้อมรอบทุกด้าน ชุมชนปลูกบ้านเป็นกระจุก ติดกันไม่ห่าง ภายในพื้นที่ 1 ตารางกิโลเมตร.<br />
<br />
ที่รวมเป็นกระจุก เพราะต้องช่วยเหลือกันยามมีภัยทุกชนิด...ตั้งแต่ปล้น ไฟไหม้ โจรขโมยวัว ควาย ฯลฯ.<br />
<br />
ไกลปืนเที่ยงจริง ๆ ครับ...<br />
<br />
และป่า ถึงจะไม่คงสภาพดงใหญ่ เหมือนป่าสงวนในปัจจุบัน แต่ก็เปลี่ยวดิบ และเต็มไปด้วยไม้ใหญ่ ป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง ตามความสูงของภูเขา.<br />
<br />
บ้านของข้าพเจ้า ปลูกเรือนสับฟาก(สมัยนั้น) อยู่บนลาดเขา ฟากหนึ่งของหมู่บ้าน...ท้ายหมู่บ้านวัดระยะทางตรงไปทางทิศตะวันตก ตามสายตาไกลจากบ้านที่อยู่...ประมาณ 1.5 ก.ม.ถูกจับจองเป็นพื้นที่ที่จะสร้างวัดป่าเนื้อที่ประมาณ 30-40 ไร่ ปัจจุบันเหลือไม่ถึง.<br />
<br />
ค่ำคืน ประมาณสักสองทุ่ม เมื่อบ้านเมืองยังไม่มีไฟฟ้าใช้...ยังมีเสียงโหยหอนของหมาจิ้งจอก ดังมาจากทางวัดอยู่บ่อย ๆ.<br />
<br />
นั่นคือ สภาพหมู่บ้านขณะนั้นครับ.<br />
<br />
สิ้นหน้าแล้ง...หลังบุญเดือนหกในหมู่บ้านผ่านแล้ว...ฝนจะเริ่มตก พื้นดินอ่อนนุ่ม สัตว์ป่าจะเริ่มออกมาจากที่หลบภัย เช่น โพรงไม้ใหญ่ ซุ้มกอไผ่ป่า เงื้อมหิน เพื่อหาอาหารกิน.<br />
<br />
โดยเฉพาะหมูป่าละครับ...จะเริ่มมีรอยกีบเท้า ปรากฏบนพื้นดิน ให้พรานที่เตรียมล่าแกะรอย และรู้จักแหล่งที่อยู่ รัศมีการหากินว่ากว้างขนาดไหน จะได้ประมาณพื้นที่เตรียมล่า...<br />
<br />
เมื่อถึงวันล่า ก็หาสมัครพรรคพวก(ลูกไล่ สัก 10-20 คน)ไม่เกินนั้น...พร้อมคนมีปืนแก๊ป ที่จะเป็นพรานคอยยิงหมู สัก 4-5 คน(สมัยนั้น หาปืนยาก).<br />
<br />
วางแผนว่าจะวางพรานไว้ตรงไหน...! ลูกเหล่า ลูกไล่ จะไล่ จะตีเกราะ เคาะไม้ จะให้หมาพราน ค้นหาหมูป่า จากทางไหน ไปทางไหน.<br />
<br />
ทิ้งระยะ ห่างจากหมูที่ล่าเท่าไหร่...ถึงจะไม่โดนปืนลูกหลงจากพรานที่ซุ่มยิงหมูตรงทางด่านที่หมูจะวิ่งผ่าน....<br />
<br />
จนเกิดตำนาน พรานโดนหมูป่าขวิดท้องไส้ไหล.<br />
<br />
โดนหมูวิ่งสวนควันปืน ขวิดจนพวงสวรรค์หาย.<br />
<br />
สับไกปืน แล้วปืนไม่ลั่น เพราะหมูมีเขี้ยวหมูตัน...!<br />
<br />
สับไกปืน แล้วปืนไม่ลั่น เพราะหมูป่ามีช้องหมูอยู่ในปาก<br />
<br />
พรานหนุ่มใจกล้า สับไกปืนแก๊ป ปืนไม่ลั่น ขัดใจ ชักมีดเดินป่าออกฟันหมูป่า ดวลกันแบบฝ่ายหนึ่งอยากเอาชีวิต กับอีกฝ่ายป้องกันชีวิต.<br />
<br />
เยอะแยะครับ...<br />
<br />
รวมทั้งอาถรรพ์ต่าง ๆ จากการล่าหมูป่า.<br />
<br />
จะเล่าตอนหน้าครับ....ยาวไปเดี๋ยวจะอ่านยาก<br />
<br />
Chote Vanhakij<br />
24 มิถุนายน 2560 เวลา 21:32 น.<br />
คลิกที่นี่..อ่านคอมเม้นท์ใต้บทความครับ<br />
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1866551293665814&id=100009328851456<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/w1/kno03.jpg" /></center><br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">ตอนที่ 3 "ไล่ราวหมูป่า" (ต่อ)</span><br />
<br />
"ช้องหมูป่า, เขี้ยวหมูป่าตัน"<br />
<br />
เมื่อวานได้เล่าถึงการเตรียมการในการไล่ราวหมู่ป่า หลังฝนเดือนหกตกแล้ว เห็นรอยกีบหมูป่าเหยียบดิน จนพรานแกะรอย และรู้ที่อยู่เตรียมล่า.<br />
<br />
(ผมเอง จบ ป.6.เมื่อสิ้นเมษายน 2523...อายุ สิบสามปีเต็ม ย่างเข้าสิบสี่ เพราะความที่ยากจน แต่เรียนดี เรียนเก่ง พ่อ แม่ไม่อยากให้มีชีวิตเป็นชาวไร่ยากจน.<br />
<br />
เลยบอก บวชเรียนเถอะลูก...เผื่อได้ร่ำเรียนเป็นมหาเปรียญ มีความรู้เป็นคนดีแล้วออกมาทำมาหากิน...ว่างั้น..!)...เพราะเหตุนี้แหละ เลยทำให้ชีวิตพลิกผันแบบหน้ามือ หลังมือ...<br />
<br />
เพราะจากเด็กต่างจังหวัดกะโปโลไม่รู้เรื่องอะไรเลยกับโลกภายนอก(คือ พอรู้บ้างผ่านตัวหนังสือพิมพ์ที่มีขายภายในหมู่บ้านสมัยโน้น)...ห่มผ้าเหลือง พอรู้วัตร ปฏิบัติของพระเณร...ก็มีอันต้องจากสังคมทุ่งนา ป่าใหญ่ ฟ้าใส ผู้คนจิตใจงดงามเข้ามาเป็นพระเณร ใน กทม.ทันที...<br />
<br />
เพราะลุงนำมาฝากไว้ที่วัดแห่งหนึ่งแถวบางซื่อ กทม.<br />
<br />
ก่อนนี้...เข้ามาครั้งหนึ่งแล้ว...พักที่วัดแถวลาดกระบัง กทม.แต่กลับไปจำพรรษา ที่ต่างจังหวัด.<br />
<br />
ก็คิดเอาแล้วกันครับ...ว่าหน้ามือ หลังมือขนาดไหน.<br />
<br />
คือ มาแบบปุบปับ แล้วชีวิตชนบท ก็ขาดหายไปเลยแต่นั้น ว่างจากเรียน ก็กลับไปเยี่ยมพ่อ แม่และญาติปีละครั้ง....<br />
<br />
กลับไปแต่ละครั้ง หมู่บ้านก็เปลี่ยน ผู้คนเริ่มแปลกหน้า...เด็ก ๆ เริ่มโต....จนผ่านไปสิบกว่าปี ผมออกจากวัด(สึก)กลับไปก็เป็นคนแปลกหน้า แปลกถิ่นสำหรับคนในหมู่บ้าน นอกจากคนเฒ่า คนแก่ และญาติแล้ว แทบจะไม่มีใครรู้จักผมเลย ว่าเกิด และใช้ชีวิตในหมู่บ้านนี้สิบกว่าปีก่อนจะออกจากบ้านไปอยู่ถิ่นอื่น.<br />
<br />
หมู่บ้านที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว สาเหตุใหญ่สาเหตุหนึ่งก็คือ ประเทศลาวฝ่ายประชาธิปไตย พ่ายแพ้ให้กับพรรคอมมิวนิสต์อันเป็นชนชั้นแรงงาน...และถือเป็นการแตกประเทศ....<br />
<br />
ลาวต้องไปอยู่ภายใต้การปกครองแบบสังคมนิยม.<br />
<br />
ทำให้คนลาวที่ถือฝ่ายเสรีประชาธิปไตย โดนไล่ล่า เข่นฆ่า จนต้องหนีกระเซอะ กระเซิงเข้ามาฝั่งไทยตลอดระยะเวลาตั้งแต่ปี 2515...จนถึง 2525 จนทางสหประชาชาติ และโดยความช่วยเหลือของอเมริกา ส่งไปอยู่โลกที่สาม.<br />
<br />
นั่นแหละครับ...หมู่บ้านเลยมีผู้คนมากขึ้นและโตแบบก้าวกระโดด เพราะมีผู้คนเพิ่มขึ้นมาอย่างกระทันหัน จากคนลาวที่ไม่สามารถไปอยู่โลกที่สาม...และมีญาติที่อื่น...ตกค้างในหมู่บ้านหลายร้อย.<br />
<br />
จะยาว...เข้าเรื่องละกัน...<br />
<br />
ช้องหมูป่า และเขี้ยวหมูป่าตันนั้น โบราณท่านว่ามีดีทางคงกระพัน แคล้วคลาด กันภูติผีปีศาจที่เกิดจากอำนาจป่า ฯลฯ.<br />
<br />
บางท่านว่า ช้องหมูป่า คือขนเพชรของหมูป่าจ่าฝูง ที่มีฤทธิ์ส่งให้เกิดผลทางคงกระพัน.<br />
<br />
แต่ผมเชื่อกระแสนี้มากกว่า...ว่าเกิดจากขนแผงของหมูป่าที่เกิดขนแผงตั้งแต่หว่างคิ้ว ยาวไปตลอดสันหลังจนถึงโคนหาง.<br />
<br />
เป็นขนแข็งและหนา.. วิธีการเกิดคงเกิดจากขนแผงตรงหว่างคิ้วและกลางหัวของหมูป่ายาวมาก จนมาปิดตาหมูป่า บางทีอาจย้อยยาวมาจนจนถึงปากและเขี้ยว...หมูป่าคงรำคาญ เลยเอาลิ้นตวัดมากัดออก กลายเป็นขนที่คล้องอยู่ตรงเขี้ยวมั่ง.<br />
<br />
ติดอยู่ในกระพุ้งแก้มมั่ง...จนยางไม้และอะไรต่าง ๆเข้าไปเคลือบจนแข็ง.<br />
<br />
เขี้ยวหมูตัน...ตรง ๆ แล้ว ไม่บรรยายครับ<br />
<br />
ทีนี้มาพูดถึงฝ่ายพรานครับ...<br />
<br />
พรานโบราณสมัยนั้น นอกจากปืนลูกซองแฝด(ลำกล้องคู่)...และลำกล้องเดี่ยวที่ถือว่าเป็นปืนดีที่สุดที่ชาวบ้านมีครอบครองได้แล้ว.<br />
<br />
ก็มีลูกซองห้านัดของ อ.ส.ประจำหมู่บ้านนี่แหละ ที่ดีกว่า.<br />
<br />
นอกนั้นก็จะเป็นปืนแก๊ป....ที่พรานสร้างดินปืนเอง...หล่อลูกปืนจากตะกั่วอวนเอง จะเอาลูกโดด ก็หล่อลูกปืนใหญ่หน่อย เท่าเม็ดลูกปัด ถ้าจะเอาลูกเก้าก็เอาเม็ดเขื่องกว่าหัวเข็มหมุดหน่อย.<br />
<br />
ลูกปรายก็เล็กลงไปอีก......<br />
<br />
จึงเป็นเหตุให้คิดว่าหมูป่าหนังเหนียวมาจากตรงนี้.<br />
<br />
หมูป่านั้น เป็นสัตว์หนังหนาครับ ถ้าลูกปืนที่เข้ากระทบ(โดยเฉพาะลูกตระกั่วกลม ๆ)ไม่กระทบเป็นมุมฉากกับพื้นผิวหนัง หรือมากกว่า 70 องศาขึ้น.<br />
<br />
ลูกปืนจะแฉลบ และไม่ทะลุผิวหนังหมูป่า...ต่อให้เป็นปืนลูกซองลูกโดดหรือลูกเก้าเม็ด.<br />
<br />
ถ้ามุมยิง...โดนขนที่แผงคอ(ซึ่งขนแข็งมาก)ไล่ตั้งแต่กึ่งกลางหน้าผากไป....มุมลูกกระสุนที่เข้าปะทะน้อยกว่า 70 องศาละก็.<br />
<br />
กระสุนจะแฉลบ...ไม่เข้า.....กลายเป็นหมูป่าหนังเหนียวทุกตัว...จนเป็นตำนานเขี้ยวหมูตัน<br />
<br />
และช้องหมูป่าแหละครับ.<br />
<br />
ทีนี้ ปืนแก๊ปที่ชาวบ้านมี จะมีนกสับปืนไปตีแก๊ปให้แตกจนเกิดประกายไฟ ไหลไปจุดชนวนดินปืนที่ท่อรูเข็มจนไประเบิดภายในลำกล้องปืน.<br />
<br />
ส่งกระสุนจากท่อลำกล้องปืน เข้าสู่เป้าหมาย.....<br />
<br />
ไว้ต่อวันหน้าละกันครับ....<br />
<br />
บทหน้า...พรานหนุ่มขัดใจชักมีดเดินป่า...ออกดวลกับหมูป่า....เพราะปืนไม่ลั่นครับ<br />
<br />
Chote Vanhakij<br />
25 มิถุนายน 2560 เวลา 21:32 น.<br />
คลิกที่นี่..อ่านคอมเม้นท์ใต้บทความครับ<br />
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1867165393604404&id=100009328851456<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/lk/zno04.jpg" /></center><center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/yb/no041.jpg" /></center><br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">ตอนที่ 4 "หลามปลากั้ง"</span><br />
<br />
<span style="color: #3333ff;">"ถวิลหาอดีต" "ไล่ราวหมูป่า" ทีแรกก็เขียนเล่น ๆ ไว้ให้ลูกหลานอ่านในอนาคต...กะว่าอย่างนั้นจริง ๆ ครับ...แต่คุณพี่ที่เคารพ เพราะติดตามข่าวทางด้านการเมืองมานาน(ไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว)...แต่ดูเหมือนญาติสนิท...ท่านคนทางลำพูน...คิดว่าแบบนั้น. พี่ ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร.ครับ.<br />
<br />
ขออนุญาตเอ่ยนาม...ท่านนำข้อเขียนเล่น ๆ ของผมไปลงในที่แห่งหนึ่งทั้งสามตอนแล้ว...แก้ไขอะไรไม่ทัน ท่านนำไปลงแล้วถึงส่งข่าวมาบอก.ผมก็ไม่มีโอกาสแก้ไข วรรคตอน ตัวอักษร สำนวนทั้งสิ้น... ทั้งเรื่องส่วนตัวที่แทรกไว้...ก็ไม่ได้ตัดออก...ถ้ามีโอกาส หรือท่านบอกก่อน ก็คิดว่าจะแก้ให้สำนวนลื่นไหลกว่านี้.<br />
<br />
เป็นเกียรติอย่างมากครับ...!</span><br />
<br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: large;">Tong Maririn : "ผมว่าเขียนอย่างที่คุณโชติเขียนภาษาบ้านๆนี่ละครับมีเสน่ห์ชวนติดตาม เขียนมาจากชีวิตไม่ต้องแต่งเสริมเติมแต่งนี่ละครับที่น่าอ่านน่าจดจำ"</span><br />
<br />
เลยขอพัก เรื่องไล่ราวหมูป่า เมื่อปลายเดือนหก...เริ่มเข้าต้นฤดูฝน ข้ามไปปลายฤดูฝนเดือนสิบเอ็ด ต้นเดือนสิบสอง...ต่อเดือนยี่จะเข้าหน้าแล้ง.<br />
<br />
(เป็นการนับเดือน แบบจันทรคติของไทยครับ มีเวลาจะอธิบายในหน้าอื่น).<br />
<br />
ปลายเดือนสิบเอ็ด ข้าวไร่เริ่มแก่ ใกล้เก็บเกี่ยว(ข้าวปี) ถ้าเป็นข้าวเบา(ข้าวดอ)ก็เกี่ยวไปทานกันเป็นข้าวใหม่, ข้าวหลาม ในกระบอกไม้ไผ่ข้าวหลามเสียแล้ว.<br />
<br />
เดือนนี้ฝนขาดเม็ด ลมหนาวมาแล้ว...น้ำในลำห้วยต้นน้ำจะใสมากจนเห็นพื้นท้องน้ำ...<br />
<br />
และลำห้วยเล็ก ๆ ต้นน้ำบนภูเขา สายน้ำจะขาดห้วงเป็นช่วง ๆ ปลาจำพวก ปลาผ่านบู่, ปลากั้ง, ปลาซิว, กระสูบจุด แม้กระทั่งลูกอ๊อดของกบภูเขา (ทางแม่ฮ่องสอนเรียก กบแลว) แถวบ้านเกิด เรียกเขียดปาดบ้าง.<br />
<br />
หรือมีชื่ออื่นอีก ก็จำไม่ได้...แต่ลูกอ๊อด(เพชรบูรณ์ เรียกอีปุ่ม)เหล่านี้ พร้อมปลาจะหลบลงน้ำลึก ลงแอ่ง.<br />
<br />
เขียนมาซะยาว...!<br />
<br />
วันนี้...จะพาไป "หลามปลากั้ง" กินข้าวกลางป่ากันครับ<br />
<br />
เรื่องหมูป่า...ขอขยักเรียกความจำก่อน.<br />
<br />
(ทีมงานวันนั้น พ่อ, ผม, น้องชายเก้าขวบ...แม่เลี้ยงน้องสาวคนที่สาม, และสี่อยู่บ้าน)<br />
<br />
ปลากั้ง...บางที่เรียกปลาก้าง (อังกฤษ Dwarf snakehead, Red-tailed snakehead) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งในวงศ์ปลาช่อน (Chanidae).<br />
<br />
มีรูปร่างคล้ายปลาในวงศ์นี้ทั่วไป แต่มีส่วนหัวกลมมน และโตกว่า ลำตัวมีสีน้ำตาลอ่อน ถึงน้ำเงินคล้ำ และมีลายปะ หรือจุดสีคล้ำ ท้องสีจาง โคนครีบอกมีลายเส้นสีคล้ำเป็นแถบ 4-6 แถบ ครีบหลัง ครีบก้น และครีบหางมีสีเทาหรือสีน้ำเงินเรื่อ ขอบหางสีส้มหรือสีจาง.<br />
<br />
มีการกระจายพันธุ์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในพม่า, ไทย, ลาว, เขมร, เวียดนาม...<br />
<br />
บางตำราว่ามีกระทั่งมาเลย์, อินโดนีเซีย,บาหลี โดยพบได้แถบลำธารต้นน้ำในภูเขา...พอออกลำน้ำใหญ่กลับไม่ค่อยพบ.<br />
<br />
ปลาก้างจัดเป็นปลาชนิดหนึ่งของปลาวงศ์นี้ ที่มีขนาดเล็ก โตเต็มที่มีขนาดยาวไม่เกินหนึ่งฟุต.<br />
<br />
พบได้ในต้นน้ำบนภูเขา ทั่วทุกภาคของประเทศไทย จัดเป็นปลาที่มีสีสันสวยงาม และเลี้ยงไว้ดูเล่น.<br />
<br />
แต่ยังไม่มีเลี้ยงในเชิงพาณิชย์.<br />
<br />
ปลากั้ง หรือปลาก้าง ที่พบในถิ่นเกิด มีสีครีบหลังสีแดงสดเหมือนไฟ เหมือนกับที่พบในเทือกเขาสูงทางฝั่งซ้ายน้ำโขง(ลาว)...มีชื่อที่ทางนักมีนวิทยาให้ชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า "Channa gahua" เหมือนกับปลากั้งอินเดีย.<br />
<br />
แต่นักมีนวิทยาบางท่านเห็นว่า ปลากั้งทางเอเชียอาคเนย์ น่าจะใช้ชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า "Channa limbata" มากกว่า.<br />
<br />
พอแล้วนะครับ...อ้างอิง.<br />
<br />
เดินห่างจากบ้านประมาณ 3-4 ก.ม.ก็ถึงซอกห้วยต้นน้ำ สายน้ำขาดช่วงเป็นแอ่ง ๆ พ่อพาเดินเลาะลำห้วยหมายตาไว้สองสามแอ่ง ที่มีชายเฟือยจากหญ้าเลา ล้มปลายหญ้าลงในน้ำ.<br />
<br />
พ่อบอกให้รื้อออก ก็ช่วยกันทั้งสามคนรื้อหญ้าออกพ้นน้ำ...เริ่มเห็นปลากั้งตัวขนาดถ่านไฟฉายก้อนใหญ่ออกมากระโดดหลายตัว.<br />
<br />
ลงมือไล่ตะครุบสิครับ ทีนี้ น้ำแค่หัวเข่า แอ่งแคบ ๆ กว้างแค่ 2-3 เมตร...สนุกมาก แต่ละแอ่งตัวใหญ่ ๆ มีเป็นสิบ...ตัวเล็กนี่เยอะ.<br />
<br />
ไม่ได้เอาสวิงไป....เพราะตั้งใจไว้แบบนั้น...!<br />
<br />
ชาวป่า...ถ้าจะจับปลาแบบหมดแอ่ง...ทำไม่ยากครับ(ทุบรากไหล โล่ติ๊นนั่นแหละครับ)...โยนลงน้ำ สอง สามราก สิบนาทีปลาก็โผล่มาให้จับ.<br />
<br />
ใครเคยดูยูทูปจะรู้ครับ....เหมือนชาวป่าทุบแช่น้ำ ให้ปลาไหลไฟฟ้าโผล่ แล้วเอาไม้แทงนั่นแหละ.<br />
<br />
พืชมีพิษต่อระบบเหงือกของปลา...ชนิดเดียวกัน.<br />
<br />
ได้มาแล้ว ทั้งเล็กใหญ่ ร่วมสามสิบตัว...พ่อบอกพอ ขึ้นจากน้ำคัดตัวงาม ๆ มาสิบตัว ให้ขอดเกล็ดห้าตัว.<br />
<br />
ไว้ย่างอีกห้าตัว.<br />
<br />
บอกให้ขอดเกล็ดปลารอ แล้วก่อไฟไว้ด้วย พ่อหายไปสักพัก กลับมาก็มีมะเขือพวง, มะกอกป่า,เถาสะค้าน, ผักกูด...<br />
<br />
ได้มาแล้วใช้ให้น้องไปล้างผัก....ผมย่างปลา.<br />
<br />
ขั้นตอนนี้ พ่อเลือกบั้งหลามจากต้นไผ่หลามข้างห้วย...สับปลา ปาดกระบอกไผ่....คะเนปลากับน้ำแล้ว.<br />
<br />
เคล้าเกลือกับปลา สับเถาสะค้านลงกระบอก...<br />
<br />
กรอกพริกขี้หนู เนื้อปลา เกลือ ควักน้ำพริกปลาร้าในกระปุกลงไปด้วย.<br />
<br />
ผ่ามะกอกลงไปลูกหนึ่ง.....ส่วนผักกูด บางทีก็ไม่ใส่<br />
<br />
เอาไปเผาไฟ(หลาม)ครับ.<br />
<br />
สุกแล้ว ก็ดูภาพเลยครับ.<br />
<br />
เทลงรางไม้ไผ่....ล้อมวง....เป็นมื้ออาหารที่ถือว่าอร่อยที่สุดของปีนั้นเลย<br />
<br />
Chote Vanhakij<br />
26 มิถุนายน 2560 เวลา 22:43 น.<br />
คลิกที่นี่..อ่านคอมเม้นท์ใต้บทความครับ<br />
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1867846133536330&id=100009328851456<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/gt/tno05.jpg" /></center><br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">ตอนที่ 5 "ไล่ราวหมูป่า" (ต่อ)</span><br />
<br />
"ช้องหมูป่า เขี้ยวหมูตัน"<br />
<br />
ประเภทเครื่องราง...ที่เกิดจากสัตว์ทิ้งไว้ โบราณาจารย์ถือว่าเป็นของทนสิทธิ์โดยธรรมชาติ...แล้วมนุษย์เอามาให้ครูบา อาจารย์ปลุกเสก ลงเลขยันต์เพื่อความขลังนั้น ที่ได้ยิน ได้ฟังคุ้นหูมาบ่อย ๆ ก็มี.<br />
<br />
1. ช้องหมูป่า.<br />
2. เขี้ยวหมูตัน<br />
3. เขี้ยวเสือ<br />
4. กระดูก หรือหนังหน้าผากเสือ.<br />
5. เขากวางคุด<br />
6. งากำจัด งากำจาย<br />
7. เขากำจัด เขากำจาย <br />
ฯลฯ....<br />
<br />
สมัยที่ยังอยู่บ้านป่า เป็นเด็ก ยังไม่เข้าใจอะไรมากมาย คนเฒ่า เล่าอะไรให้ฟัง ก็เชื่อตามละครับ ประเภทเครื่องราง ของขลัง ที่เล่ามานี่........<br />
<br />
ก็อยากได้ อยากมี.<br />
<br />
จนเมื่อบวชหลายพรรษา มีความรู้ทางโลกสูง และทางธรรมสูงแล้ว เฉย ๆ แต่ก็ไม่ทำร้าย ทำลายความเชื่อใคร ถือว่าใครเชื่อจนเกิดความเชื่อมั่น แปรพลังความเชื่อมั่นนั้น เป็นกลุ่มก้อน พลังงานทางจิต...<br />
<br />
ส่งให้เกิดผล ในทางความคงกระพัน ชาตรี หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ของทนสิทธิ์ที่กล่าวมาจะอำนวยผลให้.<br />
<br />
มันมาเกี่ยวกับการล่าหมูป่ายังไงละครับ?....<br />
<br />
คือ หลาย ๆ ครั้ง ที่พรานตามล่าหมูโทน หรือหมูจ่าฝูง ตัวใด ตัวหนึ่ง จนยกปืนขึ้นยิงหลายครั้ง ก็ไม่แตก ปืนไม่ลั่น.<br />
<br />
แน่ใจว่ายิงโดนจัง ๆ แต่อำนาจทะลุ ทะลวงของกระสุนก็ทำอันตรายหมูป่านั้นไม่ได้ จนทำให้พรานนั้นสงสัย และสืบดู จนถึงเวลาหมูนั้นโดนกับดัก จับตัวมาได้.<br />
<br />
หรือยิงตาย แล้วเอาบางสิ่งบางอย่างที่แปลกพิเศษในร่างนั้น มาถามผู้รู้...จนแน่ใจว่าใช่สิ่งนั้น แล้วเกิดการแสวงหา.....<br />
<br />
แต่ในความคิดของผม คิดว่าอำนาจของแรงกระสุนปืนโบราณนั้น ไม่รุนแรงพอมากกว่า.<br />
<br />
จึงทำให้ดูเหมือนว่าหมูนั้นหนังเหนียว ยิงไม่เข้า...เพราะจริง ๆ หนังหมูป่า เทียบกับหนังเก้งแล้ว หนา บาง ห่างกันเป็นเซ็นต์เลยครับ.<br />
<br />
อีกอย่างดินปืนโบราณนั้น มีกรรมวิธีที่คล้ายกันก็จริง แต่ก็มีสูตรดินปืนของใครของมัน(คือระเบิดแรง ปานกลาง)ต่างกัน...ง่าย ๆ ใครเคยดูบั้งไฟ ที่เขาจุดทางภาคอีสานบ้างครับ.<br />
<br />
เคยขอดูดินปืน ที่บรรจุในกระบอกบั้งไฟไหมครับ?<br />
<br />
งั้นผมจะอธิบาย ดินปืนที่บรรจุบั้งไฟนั้นมีแรงระเบิดปานกลางให้ผลในทางลุกไหม้มากกว่าแรงระเบิด.<br />
<br />
ส่วนดินปืนที่บรรจุในกระบอกปืนแก๊ปนั้นให้แรงระเบิดมากกว่า และจุดระเบิดอย่างรวดเร็ว รุนแรงมากกว่าดินปืนบั้งไฟครับ......<br />
<br />
วิธีทำ...<br />
<br />
ไม่อธิบายสูตรโดยละเอียดนะครับ เอาแต่พอรู้หลัก ๆ แล้วจะข้ามไป.<br />
<br />
ต้นพริกแก่แห้งสนิท, ไม้ปอมอง(ไม่ทราบชื่อในถิ่นอื่น)ไม้ชนิดนี้เนื้อไม้เบา เป็นถ่านแล้วโขลกแหลกง่าย พอ ๆกับต้นพริก, หรือไม้ชนิดอื่นเนื้อเบา.<br />
<br />
เผาให้เป็นถ่านเตรียมไว้ ได้พอแล้วใส่ครกหินโขลกให้ละเอียด(ใส่น้ำไปด้วยหน่อยหนึ่ง)พอให้ถ่านจับตัวเป็นก้อน<br />
<br />
ใส่กำมะถัน ใส่ดินประสิว ตามอัตราส่วน ระวังอย่างเดียวต้องคอยหยอดน้ำในครกเรื่อย ๆ ไม่ให้ดินปืนแห้ง.<br />
<br />
ถ้าไม่อย่างนั้น จะเท่ากับเราเอาระเบิดมือลูกหนึ่งมาโยนลงตรงหน้าใกล้ ๆ ตัวเอง.<br />
<br />
บดไปจนได้ที่...แบ่งดินปืนสักครึ่งช้อน ไปตากแดดให้แห้ง ทดลองจุด ถ้าพรึบเดียว....<br />
<br />
เหลือแต่รอยจาง ๆ บนพื้นใบตองก็ใช้ได้.<br />
<br />
ถ้าลุกไหม้ช้า มีรอยไหม้บนพื้นใบตอง ก็แน่ละ ถ่านไม่ละเอียดพอ ดินประสิวน้อย.<br />
<br />
เติมดินประสิวเข้าไป...โขลกและทดลองจนได้แรงระเบิดที่ต้องการแล้ว...ยีให้ละเอียด ตากแดดให้แห้งสนิท.<br />
<br />
ทดลองกรอกปากกระบอกปืนแก๊ป ลองยิงครับ.<br />
<br />
ปืนแก๊ปนั้นเป็นปืนลำกล้องเรียบ ใช้ยิงด้วยลูกตะกั่วกลม ๆ ยิงครั้งหนึ่งแล้ว กว่าจะกรอกลูกปืน พร้อมยิงนัดที่สอง ก็ใช้เวลาอย่างเร็วสุดก็สิบนาทีครับ....ประมาณนั้น เป็นจุดอ่อนในการล่าสัตว์อย่างมาก เพราะจะไม่สามารถยิงซ้ำได้อย่างรวดเร็วเหมือนปืนยุคปัจจุบัน.<br />
<br />
กรณีหมูป่าวิ่งสวนควันปืนนัดแรก ถ้าไม่โดนจุดตาย หรือที่สำคัญ...มีทางเลือกสามทางครับ.<br />
<br />
1.โดดเกาะต้นไม้ที่อยู่ใกล้ ขึ้นไปให้สูงที่สุดเท่าที่จะมีเวลา.<br />
<br />
2.บังหลังต้นไม้ ถ้ามีต้นไม้ใหญ่ให้บัง และปีนขึ้นไม่ได้<br />
<br />
3.ชักมีดซุย หรือมีดประแดะ ออกมาเตรียมสู้.<br />
<br />
(ตัดเรื่องหมูป่าหนังเหนียวไว้ก่อนครับ เอาเรื่องนี้ให้จบก่อน).....<br />
<br />
พรานทั่วไป...มักจะเลือกสองวิธีแรก...ไม่เอาวิธีที่สาม กลัวไส้ตัวเองทะลัก...เพราะคมเขี้ยวหมูป่า.<br />
<br />
พรานป่าพื้นบ้านมักจะมีมีดซุยปลายแหลม, มีดชายธง, มีดบ่องหรือจะเรียกมีดประแดะ ก็ตามแต่ติดตัวทุกคนเวลาเข้าป่า เป็นมีดเดินป่าประจำตัวทุกคน.<br />
<br />
สมัย พ.ศ.นั้น การเห็นชาวบ้านสะพายย่าม พร้อมปืนแก๊ป มีดเดินป่าในแปมหวาย(ฝักมีด)...ในหมู่บ้านหรือในดงเป็นเรื่องปกติครับ....เพราะแต่ก่อนไกลปืนเที่ยง โจรผู้ร้ายเยอะ...ต้องมีไว้ป้องกันตัว.<br />
<br />
(ปัจจุบัน ปืนเถื่อน เสียค่าปรับ (โดนรีดด้วยมั้ง) เป็นหมื่นละครับ).<br />
<br />
เหลือบไปดูภาพปืนแก๊ปนิดหนึ่ง....!<br />
<br />
พ้นแล้ง เริ่มฝนปีนั้น...คุ้มบ้านผมมีไล่ราวหมูป่า พรานอาวุโส มือยิงหมูป่า สี่ห้าคน ดักตามช่องทาง ที่หมูจะวิ่งผ่าน.<br />
<br />
พรานใหม่คอยซ้ำ มีแต่หนุ่ม ๆ วัยรุ่นเป็นสิบ.<br />
<br />
เด็ก ๆ อย่างพวกผม คอยตีเกราะ เคาะไม้ให้ป่าแตก.<br />
<br />
หมาพรานคอยตามกลิ่นเป็นสิบตัว.<br />
<br />
......................<br />
<br />
หมาพรานได้กลิ่น เห่าโฮ่ง ขึ้นสี่ ห้าตัวก็รู้แน่ครับ เจอตัวแล้ว พรานลูกไล่รุ่นหนุ่ม เริ่มต้อนหมูไปทางพรานใหญ่ พวกผมเด็ก ๆ อยู่ชั้นนอกห่าง ๆ กลัวขวางทางปืน.<br />
<br />
หมูวิ่งจะพ้นเหล่า(ป่าหญ้าสาบเสือท่วมหัว)อยู่แล้ว จะเข้าทางปืน กลับวิ่งสวนทางกลับมาหาพรานลูกไล่มือใหม่....<br />
<br />
(ข้อความต่อไปนี้ ไม่ได้เห็นกับตา แต่ฟังจากปากพรานรุ่นพ่อ และคนเจ็บทีหลัง)...พวกเด็ก ๆ อย่างพวกผมเห็นอยู่ห่าง ๆ<br />
<br />
หมูป่าวิ่งสวนทางเข้าหาพรานหนุ่ม หมาพรานพื้นบ้านกระโชกไล่ตามเป็นสิบ...ระยะ 15 เมตร.<br />
<br />
พรานมือใหม่ ตวัดปืนแก๊ปจากไหล่ ประทับพานท้ายเข้าซอกไหล่ประทับบ่า.<br />
<br />
(ถ้าล้มได้นัดเดียวและประจันหน้าแบบนี้ คุยได้เป็นปี และขึ้นชั้นพรานอาชีพเลยแหละ...ขอบอก)<br />
<br />
ง้างนก สับไกไล่หลังกันแค่ครึ่งวินาทีละมั้ง(โม้เอามันนะครับ)...น่าจะสามวินาที.<br />
<br />
นกสับแก๊ปปืนบนถ้วยแก๊ปดังเป๊ก....เงียบ<br />
<br />
ปืนไม่ลั่น.....!<br />
<br />
พรานหนุ่มขัดใจ โยนปืนเข้าป่าสาบเสือทางขวา...คว้าด้ามมีดข้างเอว.<br />
<br />
ยังไม่พ้นฝัก หมูป่าก็ชนตูมเข้าตรง กระดูกเชิงกรานด้านหน้า...กระเด็นเข้าป่าสาบเสืออีกทาง.<br />
<br />
หมูป่าเป๋ไปอีกทาง.<br />
<br />
หมาพรานล้อมหน้า ล้อมหลังเข้าทัน หมูป่าก็หันซ้าย หันขวา สู้หมา พอดีพรานใหญ่ตามมาทันก็เล็งปืนรอจังหวะ(กลัวยิงโดนหมาพราน).<br />
<br />
(ปกติถ้ามุมยิงทางซ้ายลำตัวเหยื่อได้ นี่ถือว่าสุดยอดเป้าครับ....เป้าหัวใจ).<br />
<br />
หมูป่าเคลื่อนตัวพ้นหมา พรานใหญ่ก็สับไกโป้ง.....ตูมสนั่น..<br />
<br />
พวกผมก็เฮสิครับ.....พรานระดับนี้อยู่แน่นอน.<br />
<br />
ปรากฏว่าเป้าเลื่อน โดนกระดูกสันหลังหมูหัก ลงไปนั่งกอง....จะซ้ำก็ต้องบรรจุนัดใหม่.<br />
<br />
หมูป่าก็งับซ้าย งับขวาสู้หมา...<br />
<br />
แต่พรานหนุ่มสิครับ หายจุกลุกจากป่าหญ้าสาบเสือ คว้ามีดซุยได้ก็กระโจนเข้าฟันหมูป่า.<br />
<br />
พรานใหญ่ร้องทันแค่....อย่า.<br />
<br />
พรานหนุ่ม ฟันไป หมูหลบทัน แต่หันกลับ มางับกัดมือที่ถือมีดพรานหนุ่ม กระดูกหักไปหนึ่งนิ้ว.<br />
<br />
กระดูกหลังมือแตก เส้นเลือดขาด...หลุดออกมาก็พอดีพรานคนอื่นตามทัน.<br />
<br />
ซ้ำปืน ไปอีกสองนัด.<br />
<br />
แต่ต้องมาปฐมพยาบาลคนเจ็บด้วยใบสาบเสือห้ามเลือด พันด้วยผ้าขาวม้า ส่งอำเภอก่อนค่ำ.<br />
<br />
หมูป่าโทนตัวนั้น หนักเกือบ 80 กิโลกรัม.<br />
<br />
ดูภาพประกอบปืนแก๊ป, มีดซุย และพรานรุ่นหนุ่มได้เลย.<br />
<br />
พรานหนุ่มของจริง(ภาพจากเน็ต).<br />
<br />
พรานแก่ ภาพจากละคร.<br />
<br />
Chote Vanhakij<br />
27 มิถุนายน 2560 เวลา 23:35 น.<br />
คลิกที่นี่..อ่านคอมเม้นท์ใต้บทความครับ<br />
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1868565510131059&id=100009328851456<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/wi/ano06.jpg" /></center><br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">ตอนที่ 6 "ไล่ราวหมูป่า" (ต่อ)</span><br />
<br />
"ช้องหมูป่า, เขี้ยวหมูตัน"<br />
<br />
ส่งท้ายเรื่อง เรื่องนี้..............<br />
<br />
เครื่องราง ของขลัง บรรดามีที่มนุษย์สรรหามาไว้คุ้มครองป้องกันตัวเอง ก็ล้วนมาจากความหวาดกลัวต่อภัย และความไม่รู้ต่าง ๆ นั่นแหละครับ.<br />
<br />
เมื่อยังไม่มีพุทธศาสนาเป็นแนวทางให้คิด...ให้ขยายไปสู่ความเข้าใจโลกและชีวิต.<br />
<br />
ก็ยึดเอาสิ่งต่าง ๆ ที่คิดว่าทำให้ตัวเองปลอดภัย รู้สึกมีความมั่นคงทางด้านจิตใจ เต็มอิ่มในความรู้สึกมายึดถือ เคารพบูชา เป็นที่พึ่ง ที่ยึดเหนี่ยว.<br />
<br />
แม้เมื่อมีพุทธศาสนาเป็นที่ให้ความเข้าใจ ด้านโลก, ชีวิต และโลกหน้า.....ก็ยังมีแนวความคิดเดิม ๆ เข้ามาเกาะเกี่ยวกับคติทางศาสนาหลาย ๆ อย่าง เช่น กรรม, ผลบุญ, หรือผลแห่งบาปอกุศลที่ส่งผลข้ามภพชาติ ในคติทางพุทธศาสนา จนมีส่วนหยั่งรากลึก ในความคิดและสามัญสำนึกของชาวไทยถิ่นนี้...ให้มีคติ ความเชื่อ และแนวคิดอื่น ๆ ปน ๆ กันอยู่เสมอ กับแนวความคิดเดิมที่เข้ากันได้....<br />
<br />
อย่างไรครับ?......<br />
<br />
อย่าง...ช้องหมู เขี้ยวหมูตัน แบบนี้ คนไทยส่วนใหญ่เชื่อกันอย่างมาก และเล่าสู่ลูกหลานรุ่นต่อรุ่น ว่าเป็นเครื่องรางจากสัตว์ ที่มีฤทธิ์ อำนาจในตัวเอง เป็น "ทนสิทธิ์"...ที่ไม่จำเป็นต้องผ่านการปลุกเสก.<br />
<br />
เพราะเชื่อว่าชาติก่อน ๆ สัตว์เหล่านี้อาจเคยเป็นมนุษย์ที่มีฤทธิ์ หรือเป็นสัตว์ที่บำเพ็ญบารมีมาก่อน.<br />
<br />
เมื่อเกิดมาในชาติภพปัจจุบัน...อำนาจฌาณ อภิญญาต่าง ๆ ที่เคยบำเพ็ญไว้ จะทำให้วัตถุธาตุบางอย่างในตัวมีฤทธิ์ เกิดอำนาจที่จะปกป้องคุ้มครองสัตว์นั้น ๆ จนกว่าจะหมดภาวะความเป็นอยู่ในภพนั้น ชาตินั้น แล้วไปเสวยภพใหม่ ตามผลแห่งกรรม.<br />
<br />
และทิ้ง "ทนสิทธิ์" ตามธรรมชาติเหล่านี้ ไว้ให้แก่ผู้มีกรรมเกี่ยวเนื่อง นำไปใช้.<br />
<br />
ผมเองที่นำมาเป็นหัวเรื่อง มิได้มีเจตนา จะให้ไปคลุ้มคลั่งแสวงหา เอามาเป็นเครื่องปกป้อง คุ้มครองตัวแต่อย่างใดครับ.<br />
<br />
............................................<br />
<br />
ในเอกภพ (Univers) อันกว้างใหญ่นี้...จะอธิบายแบบบ้าน ๆ นะครับ.<br />
<br />
จักรวาลที่เราอาศัยอยู่นี้ ชื่อ สุริยะจักรวาล มีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง มีดาวบริวารอยู่ 9 ดวง ปัจจุบันให้การยอมรับว่ามีแค่ 8 ดวง.<br />
<br />
สุริยะจักรวาลของเรานี้ คือ หนึ่งในจักรวาล ที่มีแสนหรือล้านจักรวาล รวมอยู่ในแกแล็คซี่ทางช้างเผือก.<br />
<br />
และแกแล็คซี่ทางช้างเผือกของเรา ก็แค่หนึ่งในกาแล็คซี่หนึ่งเท่านั้น ที่บรรจุอยู่ในความว่างเปล่าอันกว้างใหญ่ คือ Univers.<br />
<br />
แม้แกแล็คซี่ใหญ่ที่อยู่ใกล้ที่สุด คือ กาแล็คซี่อันโดรมีดา ก็ไกลออกไป 2.2 ล้านปีแสง.<br />
<br />
เฮ้อ...คิดตามช้า ๆ นะครับ ตัวตนของมนุษย์เราแต่ละคนก็แค่ธุลีเล็ก ๆ ในเอกภพ อันกว้างใหญ่เท่านั้น.<br />
<br />
เฉลี่ย 85 ปีทุกคนก็จะกลายเป็นเถ้าธุลี คืนสู่ธาตุกำเนิดเดิมทั้งหมด.<br />
<br />
ลัทธิใดที่เชื่อว่า ไปสู่พระเจ้าที่ยิ่งใหญ่....ก็หวังว่าตัวเองจะกลับไปรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระเจ้า<br />
<br />
พุทธศาสนา ก็บอกว่าเมื่อละโลกนี้ไป ทุกคนจะไปที่ใดก็แล้วแต่ ผลกรรมดี ชั่วที่ตัวเองสร้างไว้....บังคับที่เกิดเบื้องหน้าไม่ได้.<br />
<br />
แล้วคนเราเกิดมาเพื่ออะไร? เกิดมาพบความลำบาก ไม่มีความสุขเสมอกันทำไม?.<br />
<br />
นั่นสิ?.......<br />
<br />
อยากพูดอะไรลึกซึ้งกว่านี้ละครับ.<br />
<br />
แต่ช่างเถอะ....<br />
<br />
ต่อให้มีเครื่องราง ของขลัง เมื่อหมดเวลาของเรา ของเขา ต่างคนก็ต่างไป.<br />
<br />
หาอะไรยึดเหนี่ยว เป็นอมตะตลอดไม่ได้.<br />
<br />
มีเครื่องรางของขลัง ก็เพราะเราอยากได้ อยากมี อยากเก่งกว่าคนอื่น มิใช่หรือ?.<br />
<br />
" เมื่อวานก็ผ่านไปแล้ว คิดคำนึงนึกไป ก็กลับไปทำอะไรไม่ได้.....<br />
<br />
พรุ่งนี้ ก็ยังมาไม่ถึง....!<br />
<br />
มีแต่เดี๋ยวนี้...ที่สามารถกระทำ ".<br />
<br />
นี่ใยมิใช่ แนวทางพุทธศาสนา ที่พระพุทธองค์พร่ำสอน ตรัสสอนอยู่เสมอ....<br />
<br />
Chote Vanhakij<br />
29 มิถุนายน 2560 เวลา 21:58 น.<br />
คลิกที่นี่..อ่านคอมเม้นท์ใต้บทความครับ<br />
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1869911463329797&id=100009328851456<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/cn/vno07.jpg" /></center><br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">ตอนที่ 7 "ไปไต้เขียด"</span><br />
<br />
"ส่องไฟ จับกบ จับเขียดตอนกลางคืน"<br />
<br />
สมัย พ.ศ.นั้น ก่อนปี พ.ศ.2515 ประเทศลาว ยังมีฝ่ายเสรีประชาธิปไตย รบติดพันอยู่กับฝ่ายพรรคคอมมิวนิสต์ ทางเหนือขึ้นไปจากหมู่บ้านที่ผมอยู่ ประมาณ 200 ถึง 200 กว่ากิโลเมตรด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ แถวทุ่งไหหิน ซำทอง เมืองล่องแจ้ง.<br />
<br />
ผมเป็นเด็ก พื้นที่แถวนี้ได้ชื่อว่าเป็นพื้นที่สีแดง ลัทธิคอมมิวนิสต์กำลังแผ่ระบาด ขยายแนวคิดเต็มที่...และเจ้าหน้าที่รัฐที่ไม่มีความเป็นธรรม มักจะตกเป็นเป้าโจมตีของพลพรรคลัทธินี้.<br />
<br />
เพื่อแสดงให้ชาวบ้านเห็นแนวทาง จะได้มาศรัทธา เชื่อถือเป็นแนวร่วม ส่งเสบียงอาหาร เวชภัณฑ์ต่าง ๆ ให้แก่พลพรรคลัทธินี้อยู่ได้.<br />
<br />
รอคอยทัพใหญ่ และกำลังพลเมื่อฝ่ายเสรีประชาธิปไตยพ่ายแพ้(ตอนนั้น มีนายพลวัง เปา เป็นหลักโดยการหนุนของชาติมหาอำนาจ...และแนวร่วมจากทหารรับจ้างปิดทองหลังพระจากไทย...<br />
<br />
และไทย โดยการที่ไทยยอมให้ชาติที่หนุนลาวสมัยนั้น เข้ามาตั้งฐานทัพในแดนไทย เช่น กองบินอุดรฯ, กองบินโคราช, กองบิน 4 ตาคลี, ฐานทัพอู่ตะเภา ฯลฯ ).....<br />
<br />
แล้วพลพรรคคอมมิวนิสต์ที่เชื่อมั่นในชนชั้นกรรมาชีพ ว่า คือผู้ทำงาน.....<br />
<br />
หาใช่ชนชั้นผู้ดี ชนชั้นผู้ปกครองไม่....ที่เป็นผู้สร้างผลผลิตแก่ชาติ...<br />
<br />
จะได้ยาตราเข้ายึดประเทศไทย สถาปนาการปกครองแบบใหม่ ที่ชนชั้นผู้ดีเกลียดชังและคัดค้านลัทธินี้...ชนิดตายกันไปข้าง ไม่ยอมประนีประนอมเด็ดขาด.<br />
<br />
มันเกี่ยวกับเรื่องที่ผมจะเล่าตอนเด็กตรงไหน?.<br />
<br />
เกี่ยวครับ...!<br />
<br />
พื้นที่สีแดง คือที่แทรกซึมของ ผกค.สมัยนั้น เจ้าหน้าที่รัฐ หรือ คนต่างพื้นที่จะแห่แหนกันเข้าไปยุ่มย่าม หรือ คึกคะนอง โลดโผน ใช้อำนาจกดขี่ เรียกร้องอะไรจากชาวบ้าน หรือคนที่อยู่ในพื้นที่ได้ยาก.<br />
<br />
ชาวบ้านเอง ก็ไม่ได้เดือดร้อนจากการที่มีพวกนี้อยู่มากนัก(ที่อื่นไม่ทราบ)...แต่แถวเขตตำบล แทบจะไม่มีผลกระทบจากการที่มีพวกนี้อยู่เลย.<br />
<br />
แต่ก่อนนักเลง, โจร, ขโมยลักวัว ลักควาย ถ้าก่อความเดือดร้อนมาก ๆ ชาวบ้านยังได้อาศัยพวก ผกค.มายิงทิ้งให้....!<br />
<br />
(ซึ่ง ผกค.ส่วนหนึ่งก็เป็นชาวบ้านที่ได้รับความอยุติธรรมจากรัฐ และเจ้าหน้าที่รัฐ เลยไปเข้ากับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(ทั้งนี้ ยังไม่ถึงสมัยนักศึกษาจากธรรมศาสตร์ไปเข้าร่วมครับ)...และเห็นความอยุติธรรมบ้าง เจ้าหน้าที่บ้านเมืองล่าช้าไม่สนใจติดตามคดีแบบนี้บ้าง ฯลฯ เป็นญาติกับประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อนบ้าง...<br />
<br />
พอได้รับการร้องขอ...ก็จะไปจัดการให้ เพราะมีปืนดีอย่างหนึ่ง...มีที่หลบซ่อนตัวดีอีกหนึ่ง...ได้คะแนนนิยมอีกอย่างหนึ่ง)....<br />
<br />
สรุปง่าย ๆ ครับ...!<br />
<br />
จะได้สั้นเข้า พื้นที่สีแดง คือ พื้นที่อันตรายจากพวกก่อการร้ายคอมมิวนิสต์(ตามคำโฆษณาของรัฐบาลสมัยนั้น)...จึงเป็นเหมือนพื้นที่ป่าศักดิ์สิทธิ์...พวกพ่อค้า นายทุนหน้าเลือดทั้งหลาย ก็ไม่กล้าเข้าไปตัดไม้ทำลายป่า..<br />
<br />
ชาวบ้านเองก็ไม่กล้าหักล้าง ถางพง เข้าไปทำไร่ลึกนัก เพราะกลัวถูกทางการโยนข้อหาเป็นแกนบ้าน เป็นสายให้กับพรรคคอมมิวนิสต์...และกลัวต่อการเสี่ยงจากความเข้าใจผิดจากฝ่ายคอมมิวนิสต์ด้วย...<br />
<br />
เพราะฉะนั้น ป่าจึงเป็นป่า ดงจึงเป็นดง ความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติ จึงมีอยู่ครบถ้วน...<br />
<br />
สัตว์ประเภทสัตว์ครึ่งบก ครึ่งน้ำ กบ เขียด อึ่งอ่าง เขียดเล็ก เขียดน้อยอื่น ๆ จึงมีให้จับไม่หวาด ไม่ไหว...<br />
<br />
เพราะจะเอาไปขายใครที่ไหน ก็ไม่มีใครซื้อ เนื่องจากใคร ๆ ก็หาจับเองได้.<br />
<br />
ไม่มีการลดจำนวน เพราะสารเคมีต่าง ๆ เช่น ยาฆ่าหญ้าแบบดูดซึมในสมัยปัจจุบัน.<br />
<br />
เดือนหก ข้างเพ็ญสิ้น...เริ่มข้างแรม....ฝนเริ่มกระหน่ำหนัก ทำให้เริ่มมีน้ำในกระทงนา...กบ เขียดที่จำศีล เริ่มออกมาหาอาหารกิน จนเริ่มอ้วน....<br />
<br />
รอฝนห่าใหญ่ ๆ ก่อนจะมีน้ำหลาก สักห่า....ก็จะมีกบ เขียดออกมาจับคู่ข้างหนองน้ำ.<br />
<br />
คงต้องขอยกยอดวันพรุ่งนี้ครับ.......เน็ตรวน..<br />
<br />
จะมาต่อ...นะครับยังไม่จบ.<br />
<br />
Chote Vanhakij<br />
30 มิถุนายน 2560 เวลา 17:58 น.<br />
คลิกที่นี่..อ่านคอมเม้นท์ใต้บทความครับ<br />
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1870485329939077&id=100009328851456<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/ok/wno08.jpg" /></center><br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">ตอนที่ 8 "ไปไต้เขียด" (ต่อ)</span><br />
<br />
หลังหน้าแล้งของปีหลังจากแล้งมานาน ผ่านสงกรานต์ กลางเดือนเมษายนแล้ว พื้นดินแถบถิ่นบ้านเกิด ถ้าปีไหนไม่แล้งจัด...หรือแล้งนานจนถึงค่อนปี เดือนเจ็ด เดือนแปด.<br />
<br />
ฝนก็จะทยอยตกมาเรื่อย ๆ ห่าเล็กบ้าง ห่าใหญ่บ้างแล้วแต่พายุที่เข้า ทำให้พื้นดินที่แห้งแล้งมานาน เริ่มอ่อนนุ่ม จนสัตว์ใหญ่ เช่น หมูป่า เก้ง ชะมด ฯลฯ เริ่มมีรอยเท้าปรากฏบนพื้นดิน.<br />
<br />
เพราะออกจากที่ซุ่มซ่อนในป่ารก มาหากินรากไม้ และอาหารอย่างอื่น ซึ่งผมก็ได้พาไล่ราวหมูป่าไปแล้ว.<br />
<br />
เริ่มมีน้ำขังตามแอ่ง แต่ไม่มากนัก กบ เขียด ยังไม่ออกมาจากที่หลบซ่อน และมาออกันตามหนองน้ำ เพื่อรอผสมพันธุ์.<br />
<br />
ขึ้นเดือนเจ็ด (ต้นเดือนพฤษภาคม) ฝนห่าใหญ่ จะมาและมาเรื่อย ๆ ช่วงนี้แมลงเม่าที่ออกมาบินหาแสงไฟมากมาย จะโดนกบ เขียด อึ่งอ่าง และสัตว์อื่นกินไปเสียเยอะ.<br />
<br />
สัตว์ครึ่งบก ครึ่งน้ำเหล่านี้จะมีอาหารกินจนอิ่ม และเริ่มมีไข่เพื่อเตรียมผสมพันธุ์.<br />
<br />
ก่อนวิสาขบูชาไม่กี่วัน ฝนเทลงมาขนาดหนัก จนในแอ่งกลางนา และชายป่ามีน้ำขัง...เสียงกบ เขียด ร้องระงมแต่หัวค่ำ เสียงอึ่งอ่างนี่ดังแต่กลางวันแต่ยังไม่ปรากฏตัว.<br />
<br />
พ่อบอกว่า ถ้าหัวค่ำฝนหยุดและไม่ดึกเกินไป ให้เตรียมตะเกียงแก๊ส ข้อง สวิงจับกบ เตรียมออกจับกบ.<br />
<br />
(เมื่อโตแล้วและเข้าใจการศึกษา ตอนที่เคยเป็นครูอยู่พักหนึ่ง...ผมจึงมาสำเหนียกได้ว่า นี่คือ สปช.(สร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต) ที่นักการศึกษาพูดถึง ว่าอยากให้เด็กได้เข้าใจและเรียนรู้การทำมาหากิน เพื่อปากท้อง เพื่อเลี้ยงชีวิต).<br />
<br />
มันจึงเป็นประสบการณ์ตรงที่ถ่ายทอดกันรุ่นสู่รุ่น ในวิถีชีวิต ที่นักการศึกษาพูดถึงนั่นแหละครับ.<br />
<br />
ในการจับกบ จับเขียดนี้ คนเก่า ๆ มักพูดตำนานเรื่อง "ผีโพง" ให้ฟัง มันเป็นนิทานรอบกองไฟบ้าง ปู่เล่าให้หลานฟังก่อนเข้านอนบ้าง...คนเฒ่าพูดกัน แล้วเด็ก ๆ อย่างพวกผมไปนั่งใกล้ ๆ คอยฟังบ้าง..แล้วแต่โอกาส.<br />
<br />
พอฝนหยุดสักหนึ่งทุ่ม ไม่ดึกมาก บ้านผมอยู่บนลาดเขา ก็เดินลงมาทางทิศตะวันออก สักร้อยกว่าเมตร ก็พ้นเขตเรือน ลงทุ่ง...พ่อบอกให้ระวังงูต่าง ๆ ที่พบ อย่าเข้าใกล้ แม้ตัวเล็ก ๆ<br />
<br />
(แต่ในใจคิดอยู่ว่า งูสิงตัวใหญ่ ๆ ก็เข่นด้วยหนังสะติ๊กกับเพื่อนร่วมก๊วน เอาไปขายซะเยอะ ตัวละ กิโล สองกิโล สมัยนั้น ผมขายตัวละ ห้าบาท สิบบาทแล้วแต่...ก็ไม่รู้ว่างูมีพิษ แตกต่างกันอย่างไร...ได้แต่ระวัง).<br />
<br />
ผมเลือกเอาแต่อึ่งอ่างละครับ กอดกันเป็นคู่ ๆ เพราะมันจับง่าย ได้เยอะ ส่วน"เขียดลายโม้"นั้น จับไม่ค่อยทันหรอก มันกระโดดหนีเร็ว.<br />
<br />
กบไม่ต้องพูดถึง...มีแต่คนโตเท่านั้นที่จับได้...ซึ่งก็เห็นแสงไฟวับแวมของคนจับกบ อยู่ในทุ่งเดียวกัน สอง สามจุด.<br />
<br />
ขนาดย่อง ๆ ใช้สวิงตะครุบก็ไม่ทัน.<br />
<br />
คงร่วมชั่วโมงละครับ ข้องผมหนักอึ้ง คงร่วมสามโล ผมบอกพ่อว่ากลับเถอะ แกมาเขย่าชั่งน้ำหนักข้องดูแล้ว คะเนว่าเยอะ ส่วนแกได้กบ และเขียดมาเต็มข้องใหญ่เหมือนกัน.<br />
<br />
ก็พากันกลับ.....ถึงบ้านผมล้างมือ ล้างตีน เปลี่ยนเสื้อผ้าได้ก็มุดเข้ามุ้งตัวเอง.<br />
<br />
ส่วนแม่นอนแล้ว...พ่อเลยเอา กบ เขียด อึ่งอ่าง ไปขังรวมกันในถัง.<br />
<br />
ใครยังไงไม่รู้ ตอนนั้น เพราะการเอากบ เขียด อึ่งอ่าง เป็นร้อย ๆ ตัวไปขังรวมกันในถังเหล็กใบเดียว แล้วเอาไว้บนบ้าน(ก็คือกระท่อมฟาก มีฝาฟากล้อมบ้าน ตรงกลางโล่ง ๆ ทั้งหลัง มีชานยาวต่อมาหน้าบ้าน).<br />
<br />
โดยทิ้งไว้นอกชาน หาของหนัก ๆ ทับฝาปิดไว้....มันก็ส่งเสียงร้องทั้งคืนสิครับ...เด็กอย่างผม กว่าจะหลับได้ ก็คงเที่ยงคืนเข้าไปแล้ว.<br />
<br />
ค่อนแจ้ง แม่ลุกมาก่อไฟนึ่งข้าวเหนียว แยกกบออก หลังจากนึ่งข้าวสุก ก็เอาน้ำร้อนลวกเขียด และอึ่ง...ทำความสะอาดแล้ว.<br />
<br />
ควักเครื่องใน เตรียมแกง..<br />
<br />
ดูสูตรในคอมเม้นต์ครับ.<br />
<br />
<center><iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/7vvAjqtkSoU" frameborder="0" allowfullscreen></iframe></center><br />
"สูตรอ่อมเขียด" ครับ.<br />
<br />
1. เขียดทำแล้วสับหยาบ ๆ กะให้พอหม้อ และคนกิน.<br />
2. ผักชีลาว สับหยาบ ๆ 1 ถ้วยตะไล.<br />
3. ตะไคร้ ทุบแตกสับหยาบ ๆ เช่นกัน 3 ต้น<br />
4. พริกชี้ฟ้า หรือพริกขี้หนู มาก น้อย ตามที่คิดว่าชอบเผ็ดมาก เผ็ดน้อย...และตามปริมาณแกงที่จะทำ...ไม่น่าเกิน 10 เม็ด<br />
4. ใบแมงลัก(ผักอีตู่) เด็ดไว้สักสามยอด.<br />
5. ใบมะกรูดฉีก เยอะมากจะขมใบมะกรูด สี่ ห้าใบคงพอ.<br />
6. หอมแดงทุบหรือโขลกพอแหลก 5 หัว.<br />
7. ปลาร้า ต้มกรองแล้ว 1 ถ้วยตวง.<br />
<br />
ผมชอบแบบนี้...ต้มน้ำสักสามถ้วยตวง พอเดือด เอาเกลือลงสักเม็ด (เกลือแกงเม็ด) หรือเกลือป่นสักช้อน.<br />
<br />
ตามด้วย พริกชี้ฟ้า ตะไคร้ หอมแดง จนได้กลิ่นหอมเครื่องเทศ.<br />
<br />
ก็ตามด้วยเนื้อเขียดสับ เดือดอีกทีใส่น้ำปลาร้า...ชิมรสพอดีแล้ว....!<br />
<br />
ตามด้วย ใบแมงลัก ใบมะกรูด(บางคน ชอบเอายอดพริกอ่อน ตามลงไปด้วย.<br />
<br />
ปิดฝาหม้อ จนกลิ่นแกงออกอ่อน ๆ ชิมดูครับ.<br />
<br />
พอดี ยกลง...<br />
<br />
ไม่พอดี เติมรสอีกหน่อย แล้วยกลง.<br />
<br />
ตั้งวงข้าวสิครับ.....<br />
<br />
ถ้าเป็นต้มส้ม ก็จะไม่ใส่ใบมะกรูด แต่จะใส่ยอดส้มป่อย(ส้มพอดี)ให้เปรี้ยว.<br />
<br />
มะขาม ตามชอบ.<br />
<br />
ซดคล่องคอ ข้าวเหนียวอุ่น ๆ<br />
<br />
มีแรงสู้ชีวิตได้ยาว...<br />
<br />
Chote Vanhakij<br />
1 กรกฎาคม 2560 เวลา 19:47 น.<br />
คลิกที่นี่..อ่านคอมเม้นท์ใต้บทความครับ<br />
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1871332266521050&id=100009328851456<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
ไม่ได้หายไปไหน อีก 7 วันพบกันใหม่จ้า<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/x4/ch4444.jpg" /></center><br />
<center><iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/-dpnl6zaHuM" frameborder="0" allowfullscreen></iframe></center><br />
* * * * *<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/nz/hno09.jpg" /></center><br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">ตอนที่ 9 "ล่าเก้ง"</span><br />
<br />
ปกติ หลังจาก "ไปไต้เขียด" แล้ว ก็คิดว่าจะต่อด้วยเรื่อง "ผีโพง" ละครับ เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศก่อนปี พ.ศ.2516...เพราะสมัยนั้นที่บ้านเกิด มีเพียงแสงคบไต้ ดีขึ้นมาหน่อยก็ตะเกียงน้ำมันก๊าด มันเข้ากับบรรยากาศที่จะพูดเรื่องผีพวกนี้ที่สุด และแสงสว่างที่สว่างไสวที่สุดตอนนั้นก็มีแสงตะเกียงเจ้าพายุที่วัดเท่านั้น ซึ่งก็จะนาน ๆ ครั้งถึงจะจุด คือ ช่วงมีงานใหญ่ประจำปี การเขียนเรื่องผี จึงน่าจะเหมาะ...แต่ดูแล้ว เรื่อง "ผีโพง" นี่ เขียนได้ยาวชนิดห้าตอนจบเลยแหละครับ...เพราะไปได้ข้อมูลมาเยอะ.<br />
<br />
แต่เอาเถอะครับ...! คั่นเรื่องด้วยเรื่องนี้ก่อนก็ได้ ฟังดูเรื่องนี้ ถ้าอ่านแบบธรรมดา ก็จะธรรมดา แต่ถ้าขบคิดเสียหน่อย ก็จะมองได้หลายหลาก แล้วแต่ความลึกซึ้งของความคิด<br />
<br />
ตามตำนานของหมู่บ้านนั้น บ้านที่ผมเกิด และพื้นที่ใกล้เคียงรอบฝั่งโขงทั้งสองด้าน ทั้งซ้ายและขวายังอยู่ในการปกครองของไทย โดยฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงจรดทางเหนือไปถึงเมืองแถน(เดียนเบียนฟู) ยังเป็นรัฐใต้อาณัติของไทย การข้ามไปมาระหว่างผู้คนสองฝั่งจึงเป็นไปปกติ เพราะถือเป็นชนชาติเดียวกัน ก่อนที่พื้นที่ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง จะถูกผนวกเข้าเป็นอินโดจีนของฝรั่งเศส เมื่อปี พ.ศ.2436...จึงข้ามไปมาหาสู่กันค่อนข้างลำบาก...แต่ก็ยังมีการข้ามไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ โดยไม่ถึงกับต้องมีวีซ่า มีพาสปอร์ต หรือมีใบผ่านแดนแต่อย่างใด แต่ก็เข้าไปไม่ได้ลึกนัก.<br />
<br />
นอกจากพรานป่ารุ่นปู่ รุ่นพ่อ ที่แบกปืน ชนิดค่ำไหน นอนนั่น ประสาพรานที่ชอบป่า เคยเล่าให้ฟังว่าเคยเที่ยวข้ามไปล่าสัตว์ฝั่งโน้น ประมาณ 80 ปีที่ผ่านมา ว่าเคยไปถึงภูฝอยลม (ปัจจุบัน น่าจะบ้านกาสี นาโคก นาล้อมประมาณนั้น ฝั่งโน้น)...ว่าเคยเข้าไปเที่ยวป่าลึกเข้าไปในแดนนั้นขนาดนั้น (ไม่ล้มสัตว์ใหญ่ เพราะถึงล้มก็จะแบกหามข้ามฟาก ชนิดสามวัน สามคืนค่อยถึงบ้านนั้น ลำบากมาก)...เอาแค่ยังชีพ ด้วยสัตว์เล็ก หรือเมื่อใกล้เข้าแดนไทย ถ้าเจอสัตว์ใหญ่ค่อยล้ม แล้วส่งข่าวบอกพรรคพวก เพื่อนบ้านมาช่วยกันหาบหาม.<br />
<br />
สายตระกูลของผมมาจากบ้านห้วยห่าว-นากาว(ปัจจุบัน ทราบว่าไม่มีหมู่บ้านนี้แล้ว สภาพหมู่บ้านไม่มีเค้า กลายเป็นที่ทำไร่ ทำนาของหมู่บ้านอื่น) เพราะเหตุใดไม่แน่ชัด...บ้างว่าเพราะความกันดาร บ้างว่าเพราะตอนนั้นฝรั่งเศส กำลังหาทางเข้าครอบครองฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง พวกที่ไม่ชอบฝรั่งเศส เลยข้ามฟากมาอยู่ฝั่งขวาแม่น้ำโขง...และย้ายมาเรื่อย จนมาทำไร่อยู่ที่หมู่บ้านนี้ จนถึงย้ายมาตั้งเป็นหมู่บ้านถาวรโดยคนจากสามตระกูล...เมื่อปี พ.ศ.2412.<br />
<br />
..........................................<br />
<br />
ปกติการล่าสัตว์ของบ้านนี้ หัว เขา...(หรือมีอย่างอื่นอีกนั้นก็เลือน ๆ แล้ว)จะยกให้แก่พรานที่ทำให้สัตว์นั้นบาดเจ็บก่อน หรือทำให้สัตว์ตัวนั้นล้ม...และขาหลังข้างหนึ่ง จะถูกยกให้แล่ง(ลูกน้องพรานไล่ราว หรือคนติดตามในคณะ)...ส่วนที่เหลือจึงจะแบ่งเท่ากันเป็นพูด ๆ (กอง,ส่วนแบ่ง)ให้เท่า ๆ กัน มากน้อยแล้วแต่ขนาดของสัตว์ ไม่มียกเว้น.<br />
<br />
ซึ่งข้อความที่ผมเขียนนี้ เป็นข้อความที่ตัวผม อยากบันทึกยุคสมัยไว้ให้ลูก หลานอ่าน ผ่านมุมมองของปัจเจกชนคนหนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้ว จะผิด จะถูกอย่างไร...ก็เป็นเพียงเหตุการณ์ในอดีต ไม่มีใครกลับไปแก้ไขได้ และผมก็ต้องการเพียงนั้น เพียงบอกเล่าข้อเท็จ จริงของยุคสมัย...ไม่เน้นความผิด ถูก.<br />
<br />
............................................<br />
<br />
ธรรมเนียมการยกหัวให้แก่พรานผู้ล่านั้น มาจากไหนไม่อาจตอบได้ชัดเจน แม้จะสอบถามพรานเก่า พรานใหญ่หลายคน ก็ตอบแต่แบบว่า เขามีมาอย่างนั้น...บางคนยังตอบว่า เขายกให้เป็นเครื่องเซ่น แก่อาวุธที่ใช้ล่า(ผีปืน...เพราะปืนของพรานใหญ่หลายคนเปรียบเหมือนอีกชีวิตหนึ่งของพราน มีความศักดิ์สิทธิ์ มีความขลัง เป็นเครื่องราง ที่อาจใช้ข่มผีไพร ข่มผีโป่ง...และแม้แต่เสือสมิงก็ไม่อาจลวงตาพรานให้เห็นเป็นอื่น...ถ้าถือปืนคู่กายอยู่กับตัว คงจะเหมือนซามูไร ญี่ปุ่น กระมังครับ ที่ถืออาวุธคู่กายเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งต่างจากนินจา ที่ถืออาวุธ เป็นแค่ของใช้งาน).<br />
<br />
ผมจึงอยากนำเรื่องที่เกี่ยวข้อง กับธรรมเนียมยกหัวให้แก่พรานนี้...มีที่มาจากตรงนี้หรือเปล่า?.<br />
<br />
โปรดใช้วิจารณญาณนะครับ.............<br />
<br />
คนป่าโบราณนั้น หลาย ๆ เผ่า มักมีธรรมเนียมล่าหัวมนุษย์ต่างเผ่า อาจจะเพราะเป็นศัตรูกัน, เพราะเป็นการฝึกนักรบของเผ่าให้แกร่งกล้า, เพราะเป็นการหาเครื่องเซ่น มาเซ่นไหว้ผีประจำเผ่าก่อนเริ่มฤดูเพาะปลูก ซึ่งเชื่อกันว่าจะทำให้พืชผลงอกงาม เช่น ชนเผ่าว้าทางตอนเหนือของพม่า...ฯลฯ.<br />
<br />
จะนำมาเขียนถึงเฉพาะที่เห็นว่าชัดเจน และรอบ ๆ แถวทวีปเรานะครับ ถ้าเอามาทั้งหมดเรื่องคงยาวมาก เช่น ชนเผ่าว้า พวกละว้ามีหลายชื่อ แข่วะ ข่าว้า ว้า หรือวะ...ถิ่นฐานก็อยู่ตามป่าเขา ทางตอนเหนือของพม่า กระจายลงมาถึงรัฐฉาน และอาจมีมาถึงชายแดนไทย ที่รวมกันตั้งเป็นบ้านเมืองใหญ่อยู่ระหว่างจีน กับเมืองเชียงตุง เรียกรัฐวะ หรือว้า.<br />
<br />
ค.ศ.1893 อังกฤษยึดพม่า รวบเอาเมืองวะเข้าไว้เป็นเมืองหนึ่งของสหรัฐฉาน แต่ไม่กล้าจัดการปกครอง คงปล่อยให้พวกว้าปกครองกันต่อไป คอยระวังแต่ไม่ให้พวกฝรั่ง หรือคนต่างเมืองหลงเข้าไปในฤดู "ล่าหัวมนุษย์".<br />
<br />
ฤดูนี้ มีอยู่เดือนเดียว คือ เริ่มต้นเดือนมีนาคม ไปสิ้นสุดเอาเมื่อต้นเมษายน ก่อนสงกรานต์.<br />
<br />
โดยปกติ พวกว้าไม่ล่าหัวมนุษย์นอกเขต ที่พวกเขากำหนด เป็นเขตบ้าน เขตเมืองของเขา นอกจากคนต่างถิ่นที่พลัดหลงเข้าไปในเขตบ้านเมืองของเขา ซึ่งพวกเขากำหนดว่าเป็นเขตแดนศักดิ์สิทธิ์เขาถึงจะฆ่า.<br />
<br />
โดยจะยกกันออกจากหมู่บ้าน คุมกันเป็นพวก ๆ ถ้าเจอคนต่างถิ่นที่มีพวกน้อยกว่าก็จะเข้าจู่โจมแล้วฆ่า แต่ถ้าเจอคนมากกว่าก็จะเลี่ยงหนี.<br />
<br />
ถือโอกาสตอนพลบค่ำเข้าโจมตี ฆ่าแล้วตัดหัว แต่พวกว้าถือว่าหัวเดียวมักจะไม่พอ ถ้าได้หลาย ๆ หัว นำไปเป็นเครื่องเซ่น ก็จะทำให้ผีบ้าน ผีเมืองพอใจ การเพาะปลูกก็จะเจริญงอกงาม ได้หมาก ได้ผลเต็มที่<br />
<br />
ความเชื่อเช่นนี้แหละที่ทำให้ว้าทีล่าหัวมนุษย์มาได้...จึงเป็นผู้กล้า เป็น "วีรบุรุษ" ของเผ่า ของเมือง ถือเป็นวีรกรรมของนักรบผู้กล้า.<br />
<br />
เมื่อได้มาแล้วจะกี่หัวก็ตาม พวกเขาจะรีบนำกลับเผ่า ต้มให้เนื้อหนังเปื่อยยุ่ย เอาแต่กะโหลกขาว ๆ แห้งแล้วนำมาขัดให้เงางาม วางไว้บนเสาสูง ประมาณ 1 วาที่ปากทางเข้าหมู่บ้านหรือเมือง<br />
<br />
ซึ่งจะบอกว่าหมู่บ้านใหญ่ตั้งมานาน หรือหมู่บ้านเล็ก ตั้งมาไม่นาน ดูได้จากจำนวนหัวกะโหลก.<br />
<br />
การล่าหัวนี้ มีอีกหลายที่ในพื้นที่ใกล้เคียงของประเทศไทย เช่น ชาวลาว ก็มีพวกข่า ขมุ ที่โหดร้ายไม่แพ้กัน ล่าเอามนุษย์ต่างเผ่า หรือเผ่าเดียวกันก็แล้วแต่...มาเป็นเครื่องเซ่นสังเวยแก่เผ่า.<br />
<br />
จนมีคนลาวบางกลุ่ม ฝังศพญาติ พี่ น้อง ที่เสียชีวิตไว้ใต้ถุนบ้าน กันการขโมยเอาหัวของศพไปเป็นเครื่องเซ่น จนดูเหมือนผู้ไปพบเห็นดูเป็นประเพณีแปลกประหลาด...และแม้แต่ปัจจุบัน ชนชาวดอยหลายเผ่าในเมืองไทย ที่ชอบฝังศพมากกว่าเผา ก็ยังโดนขุดหลุมทำลายศพ เพื่อหาของประดับมีค่า และของอื่น ๆ อยู่เสมอ.<br />
<br />
คงพักเรื่องนี้ เรื่องการยกหัวให้แก่พรานที่ล่าได้ ว่ามาจากเรื่องนี้หรือเปล่า?.<br />
<br />
แล้วค่อยต่อ การล่าเก้ง ในตอนต่อไป.<br />
<br />
ฝากไว้ให้คิดครับ...<br />
<br />
Chote Vanhakij<br />
10 กรกฎาคม 2560 เวลา 19:31 น.<br />
คลิกที่นี่..อ่านคอมเม้นท์ใต้บทความครับ<br />
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1877324392588504&id=100009328851456<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/us/tno10.jpg" /></center><br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">ตอนที่ 10 "ล่าเก้ง" (ต่อ)</span><br />
<br />
เก้ง หรือ อีเก้ง หรือที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกกันว่า ฟาน...(อังกฤษ Barking deer, Muntjac)...เป็นกวางขนาดกลางและเล็ก ที่อยู่ในวงศ์ย่อย Muntiacinae กระจายพันธุ์อยู่ตั้งแต่อนุทวีปอินเดีย,ประเทศจีน ทางตอนใต้ไปจนถึงภูมิภาคอินโดจีน และเกาะต่าง ๆ ในฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย.<br />
<br />
มีรูปร่างโดยรวมคือ มีขนตามลำตัวสีน้ำตาล อาจมีสีอื่นผสมแตกต่างกันออกไปตามแต่ละชนิด เขามีขนาดเล็กกว่ากวางในสกุลอื่น ไต้ตามีต่อมน้ำตาเห็นได้ชัดเจน เป็นเส้นสีดำร่องยาว ตัวผู้เมื่อโตเต็มที่จะมีเขี้ยวงอกออกมาจากมุมปาก หางมีขนาดสั้น เวลาตกใจจะร้องดัง "เอิ๊บ ๆ, เปิ๊บ ๆ ...แล้วแต่คนฟัง...แล้วก็กระโดดหนีไป จึงเป็นที่มาในชื่อภาษาอังกฤษว่า Barking deer...กวางเห่า.<br />
<br />
เก้งเป็นกวางที่หากินในสภาพภูมิประเทศได้หลากหลาย ทั้งทุ่งหญ้า,ป่าดิบ และป่าเสื่อมโทรม หรือป่าที่ถูกแผ้วถาง...เมื่อยังมีขนาดเล็ก จะมีจุดสีขาวตามลำตัวเหมือนกวางสกุลหนึ่ง.<br />
<br />
.................................<br />
<br />
เก้งธรรมดา หรือ ฟาน, อีฟาน หรือที่นิยมเรียกกันว่า เก้ง (อังกฤษ Indian muntjac,Coomon barking deer, Red muntjac; ชื่อวิทยาศาสตร์: Muntiacus muntjak) เป็นกวางชนิดหนึ่ง นับเป็นเก้งชนิดหนึ่งที่รู้จักกันแพร่หลาย และมีถิ่นกระจายพันธุ์กว้างขวางที่สุด<br />
<br />
มีส่วนหลังโก่งเล็กน้อย ลำตัวมีสีน้ำตาลแดง ด้านใต้ท้องซีดและอมเทาเล็กน้อย หางด้านบนมีสีน้ำตาลเข้ม ด้านล่างมีสีขาว เก้งตัวผู้มีเขาสั้น ฐานเขาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกะโหลกยื่นยาวขึ้นไปเป็นแท่ง มีขนปกคลุม และมีขนสีดำขึ้นตามแนวเขาจนดูเป็นรูปตัว วี เมื่อมองด้านหน้าตรง ส่วนปลายเขาสั้น แต่เป็นง่ามเล็ก ๆ แค่สองง่าม ไม่แตกเป็นกิ่งก้านแบบกวาง ผลัดเขาปีละครั้ง<br />
<br />
ส่วนตัวเมีย ไม่มีเขาและฐานเขา แต่บนหน้าผากก็มีขนรูปตัววีเหมือนกัน เก้งที่แก่มาก ๆ จะมีเขี้ยวยาวแหลมโผล่พ้นขากรรไกรออกมาตามที่กล่าวแล้ว เวลาเดินจะยกขาสูงทุกย่างก้าว.<br />
<br />
ปกติออกหาอาหารกินได้ทั้งกลางวัน กลางคืน แต่ส่วนใหญ่จะพบตอนเย็นหรือหัวค่ำ และตอนเช้ามืด จนถึงช่วงสาย ๆ อดน้ำไม่เก่งจึงมักไม่อยู่ไกลจากแหล่งน้ำ อาหารหลัก ได้แก่ ยอดไม้,ใบไม้,ผลไม้,หน่ออ่อน และรวมถึงเปลือกไม้ด้วย...<br />
<br />
แต่ไม่ค่อยชอบกินหญ้า พบแพร่กระจายพันธุ์ในเอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้...ตั้งแต่ศรีลังกา, อินเดีย, จีนตอนใต้,พม่า, ไทย, ลาว, เวียดนามกัมพูชา, มาเลเซีย, เกาะสุมาตรา, เกาะชวา, เกาะบอร์เนียว, เกาะไหหลำ และหมู่เกาะซุนดรา.<br />
<br />
มีฤดูผสมพันธุ์อยู่ในช่วงฤดูหนาว ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ถึงเดือนมกราคม ตกลูกต้นฤดูฝนพอดี ปกติตกลูกครั้งละหนึ่งตัว ตั้งท้องนานราว 6 เดือน ออกลูกตามใต้พุ่มไม้ ลูกเก้งเมื่อเล็กมีจุดสีขาวตามลำตัว เมื่ออายุได้ราวหกเดือนจุดสีขาวนั้นจึงจางหายไป...เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ได้เมื่อ 18 เดือน มีอายุโดยเฉลี่ย 15 ปี ในประเทศไทย ถือเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง.<br />
<br />
..................................<br />
<br />
ส่วนเก้งหม้อ หรือ กวางเขาจุก หรือเก้งดำ, เก้งดง (อังกฤษ Fea's muntjac, Tenasserim munjac: ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Muntiacus feae) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับสัตว์กีบคู่ จำพวกกวาง มีลักษณะคล้ายเก้งธรรมดา (M.muntjac) แต่มีขนตามลำตัวเข้มกว่า ใบหน้ามีสีน้ำตาลเข้ม บริเวณกระหม่อม และโคนขามีสีเหลืองสด ด้านล่างของลำตัวมีสีน้ำตาลอ่อน ขาทั้งสี่ข้างมีสีดำ จึงเป็นที่มาของอีกชื่อสามัญที่เรียกกัน.<br />
<br />
ส่วนด้านหน้า ด้านหลังมีสีขาว เห็นได้ชัดเจน หางสั้น หางด้านบนมีสีเข้ม แต่ด้านล่างมีสีขาว มีเขาเฉพาะตัวผู้ เขาของเก้งหม้อสั้นกว่าเขาของเก้งธรรมดามีความยาวของลำตัวและหัวประมาณ 88 เซนติเมตร ความยาวหาง 10 เซนติเมตร น้ำหนักตัว 22 กิโลกรัม.<br />
<br />
เคยเชื่อกันว่า เป็นเก้งหรือกวางที่หายากในโลกที่สุดชนิดหนึ่ง และเคยคิดว่ามีที่สวนสัตว์ดุสิตตัวเดียว แต่ปัจจุบันพบว่า มีพระภิกษุเลี้ยงไว้ตามวัดแถวชายแดนด้านตะวันตกของไทย และที่ใกล้เคียงแถวชายแดนพม่า.<br />
<br />
มีถิ่นกระจายพันธุ์ เช่นเดียวกันกับเก้งธรรมดา อดน้ำได้ไม่เก่งเท่ากับเก้งธรรมดา จึงมักหากินใกล้แหล่งน้ำ การผสมพันธุ์ ในฤดูผสมพันธุ์ และการออกหาอาหารไม่แตกต่างจากเก้งธรรมดาเท่าไหร่นัก...<br />
<br />
ปัจจุบันเป็นสัตว์ป่าสงวนตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าแห่งชาติ พ.ศ.2535.<br />
<br />
ง่าย ๆ คือ ผู้ใดล่า, มีซาก, เขี้ยว, เขาไว้ในครอบครอง จะโดนโทษตามกฎหมาย.....!<br />
<br />
.............................<br />
<br />
พ.ศ.นั้น ควายยังเป็นแรงงานที่ใช้ทำนาที่สำคัญที่สุด รถไถนาที่มีก็มีประมาณ 7-8 แรงม้าให้กำลังฉุด, ดึง ในการทำงานได้น้อยมาก และมีในหมู่บ้านที่เห็นน่าจะมีแค่คันเดียว เนื่องเพราะน้ำมันหายาก<br />
<br />
เวลาเช้า ๆ เสียงกระดึงคอวัว ควายที่เจ้าของต้อนออกจากคอกไปหากินนั้น จึงดังโป๊กเป๊ก หรือเสียงอื่นแล้วแต่วัสดุที่ใช้ จึงดังลั่นทุกเช้า บางทีออกพร้อมกันหลายฝูง ถนนแทบเดินไม่ได้เพราะเต็มไปด้วยวัว ควาย.<br />
<br />
............................<br />
<br />
เพ็งเดือนเจ็ดปลายเดือน(เพ็ญเดือนเจ็ด ข้างขึ้น ปลายเดือน) ปีนั้น ฟ้าครึ้มฝน...แดดไม่ร้อน ผมยังเป็น Buffaloboy (มหิงสาบาล...เด็กเลี้ยงควาย) ให้ปู่อยู่ เพราะปู่แบ่งควายแม่ลูกเป็นมรดกให้พ่อ แต่ยังอยู่ในฝูงใหญ่ ไม่ได้แยกคอกออกมาต่างหาก เนื่องเพราะยังมีโจรปล้น, ลักขโมยวัว ควาย อยู่ชุกชุม...และบ้านที่อยู่ อยู่เขตนอกสุดของหมู่บ้าน...การแยกออกมาจากฝูงใหญ่จึงค่อนไม่ปลอดภัย และระวังรักษาลำบาก.<br />
<br />
ปกติชีวิตของชาวป่า ชาวนาทางบ้านนี้ ที่ทำไร่ก็ลงข้าวปลูก ฟัก แฟง แตงเถา หรือข้าวโพด ถั่ว งา ไว้เสียแต่ปลายเดือนหกหลังฝนตก จนพื้นดินเพาะปลูกอ่อนนุ่ม ชุ่มน้ำ หรือแต่ต้นเดือนเจ็ดเสียแล้ว...บางคนมีฐานะดี ลูก หลาน แรงงานเยอะ ก็ทำทั้งไร่ และนา.<br />
<br />
บางคน ไถฮุด(ไถดะ) ในเนื้อที่นาของตนเสร็จแล้ว ก็เอาจอบออกมาซ่อมคันนาที่ทะลุเพราะรูปู หรือรูหนู แต่หน้าแล้งที่ผ่านมา เพื่อให้น้ำท่วมก้อนขี้ไถ ให้ดินนุ่มจะได้ไถแปรได้ง่าย เวลาคราดไม่เปลืองแรงควาย ไม่ต้องใช้ควายหลายตัว หรือต้องขอยืมญาติมาทำนาให้เสร็จ<br />
<br />
บางคนทำไร่เสร็จแล้ว ก็ว่าง...ที่มีนิสัยเป็นพราน ก็ออกตามรอยเท้าสัตว์ในชายป่า และรอบ ๆ ไร่ ปะเหมาะเคราะห์ดี แน่ใจว่าสัตว์มาซุ่มซ่อนหากินชายไร่ ชายดง ก็นัดแนะพี่ น้อง และเครือญาติ ออกไล่ราว หรือวางกับดักแล้วแต่เหมาะ...<br />
<br />
แต่ไม่ทำปืนผูก, หลาว, แหลน, หรือจั่นห้าว ที่จะเป็นอันตรายแก่เพื่อนบ้านด้วยกัน...ด้วยกลัวคนไม่รู้ หรือคนหาของป่าชายไร่ โดนกับดักจนเป็นอันตรายแก่ชีวิต.<br />
<br />
ปีนี้ก็เช่นกัน มีพรานและลูกไล่ เจอรอยเท้าหมูป่าท้ายไร่ ที่ไร่ด้านเหนือของหมู่บ้าน ก็นัดแนะกันล้อมป่า เตรียมตีป่า ให้สัตว์ตกใจออกจากที่ซ่อน.<br />
<br />
(ขอทวนความจำตรงนี้นิดหนึ่ง...เรื่องปืนแก๊ปล่าสัตว์ ว่าเป็นปืนที่ใช้กรอกดินปืน และกระสุนปืนทางปากกระบอกเข้าไป กระทุ้งให้แน่น ใส่ฝอยไม้ หรือปุยฝ้ายเข้าไปอัดไว้หลังสุดกันลูกกระสุนร่วง.<br />
<br />
และยิงนัดหนึ่งแล้ว...เสียเวลาบรรจุนัดใหม่นานมาก เพราะฉะนั้น พรานถ้าไม่แน่ใจว่าโดนจริง ๆ จะไม่ค่อยยิงสัตว์ เพราะถ้าแค่บาดเจ็บต้องตามรอยกันนาน.<br />
<br />
และเวลาไล่ราว จะตกขบวน เพราะเสียเวลาบรรจุปืนดังกล่าวแล้ว ทำให้ตามสัตว์ไม่ทัน).<br />
<br />
พระที่วัดท่านย่ำค่ำ(ตีกลองแลง)ผ่านไปนานแล้ว บอกเวลาให้ชาวบ้านรู้ตัวว่าอีกหน่อยจะหมดวันมืดค่ำ ให้รีบวางมือจากงานกลับบ้าน มาหุงหาอาหาร ไว้ต่อชีวิต ก่อนจะสิ้นแสงตะวัน.<br />
<br />
ส่วนผมไปต้อนควายที่ทุ่งนาด้านทิศใต้ เดินเลาะในลำห้วย กำลังจะต้อนเข้าคอก ขึ้นตลิ่งลำห้วยก่อนจะเอาเข้าคอกและปิดประตูคอกให้ปู่.<br />
<br />
กำลังหันรี หันขวางไล่ควายน้อยเข้าคอกขณะที่ตัวใหญ่เข้าหมดแล้ว...เพราะควายน้อยกำลังสนุก.<br />
<br />
ก็ต้องตกใจอย่างหนัก เพราะได้ยินเสียงร้องเปิ๊บ....!<br />
<br />
เก้งครับ...!<br />
<br />
มาจากทางไหนไม่ทราบ...! ผมก็ไม่คิดจะทำร้ายมันในขณะนั้น เพราะมีเพียงหนังสติ๊กห้อยคอ และเรียวไม้ไผ่ที่กำลังต้อนควายน้อยเข้าคอกเท่านั้น.<br />
<br />
(มาทราบภายหลังว่า เก้งตื่นตกใจ จากการที่พรานและลูกไล่ ไปไล่ราวทางเหนือของหมู่บ้านที่กะจะเอาหมูป่านั่นแหละ แต่เก้ง นอกจากตกใจร้องเสียงดัง และวิ่งแล้ว ไม่ค่อยจะหันไปสู้หมาพรานเหมือนหมูป่า ให้พรานรู้ตัว และติดตามได้<br />
<br />
และคิดว่าตัวนี้ คงอยู่ชายป่าไกลกันหน่อยจากที่กำลังไล่ราว...คงตกใจแตกตื่นออกมา....และด้านเหนือของหมู่บ้าน มีทุ่งนากว้างพอสมควรโอบล้อมหมู่บ้านยาวตลอดไปตามที่ราบลุ่มจนจรดด้านทิศตะวันตก ข้ามลำน้ำก็จะเป็นดงใหญ่อีกดงหนึ่ง(ปัจจุบัน ยังมีสภาพเป็นดงพอสมควร เพราะเป็นป่าชุมชนชาวบ้านช่วยกันรักษา)...ส่วนด้านทิศตะวันออกจากที่นาก็จะเป็นเขาลูกเล็กที่เรือนผม และญาติ ๆ ปลูกเรือนอยู่).<br />
<br />
เก้งตัวนี้ วิ่งเตลิดผ่านบ้านชายบ้าน มาสี่-ห้าหลังคาเรือน โดยไม่มีหมาเห่าตาม และไม่มีคนรู้ จนมาใกล้คอกควายของปู่ และเจอกับผม โดยที่เก้งยังไม่บาดเจ็บอะไรเลย....<br />
<br />
ผมตั้งสติได้ ก็ร้องชู่ว ๆ ไล่ตีไป...เก้งวิ่งพ้นคอก ก็ไปติดจวน(รั้วทำด้วยไม้ไผ่ขัดแตะอย่างหนา สูงราว 150 - 160 เซนติเมตร)...เก้งวิ่ง วนไป วนมา ผมก็ไล่ตีไป.<br />
<br />
พอจวนตัว มันร้องเปิ๊บอย่างแรง แล้วก็กระโดดข้ามรั้ว สูงขนาดนั้นทีเดียว วิ่งลงทางใต้ ผ่านบ้านอีกเป็นสิบ ๆ หลังคา ก่อนออกทุ่งนาอีกครั้ง.<br />
<br />
ผมก็ได้แต่ร้องบอกญาติ ๆ ว่า เก้ง ๆ วิ่งไปทางโน้น...แต่ก็มีคนไม่กี่คนหรอก เพราะยังกลับกันมาไม่ถึงบ้าน...ผมก็ไม่ได้ตามต่อ เพราะติดรั้ว และต้องหันมาต้อนควายน้อยเข้าคอก ปิดประตูคอก.<br />
<br />
สักพักก็ได้ยินเสียงหมาพราน และพรานที่ไล่ตามดังมาจากทางเหนือของหมู่บ้าน และวกลงทางด้านตะวันตก เพราะคงเห็นเก้งวิ่งออกทุ่งนาทางโน้น.<br />
<br />
........................................<br />
<br />
#เหตุการณ์ต่อไปนี้ ไม่ได้เห็นกับตาครับ เพราะผมไม่ได้ตามไปไล่กับเขาด้วย แต่ฟังจากปากของญาติที่เขาเป็นพราน....อาว์ชายคนนี้มีบ้านใกล้กันกับบ้านผม เพราะอยู่คุ้มเดียวกัน.<br />
<br />
แกเล่าว่า...ก็ก้มหน้า ก้มตาซ่อมคันนาอยู่เพราะใกล้ค่ำ...ได้ยินเสียงล้งเล้ง ๆ จากในหมู่บ้าน, เสียงหมาเห่า, และเห็นพรานวัยรุ่นที่แรงดี วิ่งตามเก้งมาแต่ทิศเหนือ.<br />
<br />
แกเองก็ยังไม่เข้าใจ....!<br />
<br />
พอเหลียวเห็นเก้ง วิ่งมาทางแก แถมวิ่งผ่านก้อนไถ ขี้โคลน ทำให้วิ่งลำบากและช้า.<br />
<br />
หรือเพราะเก้งเหนื่อยแล้วก็ไม่ทราบ....<br />
<br />
แกก็เข้าใจกระจ่าง...!<br />
<br />
วิ่งออกสกัด....และทุบด้วยด้ามจอบไปสอง-สามที ยังไม่โดน.<br />
<br />
พอตูมที่สี่....โดนที่คอ.<br />
<br />
เก้งฟุบ...<br />
<br />
วันนั้น แกเป็นพรานที่โชคดีที่สุด ไม่ต้องวิ่งไล่ให้เหนื่อย ไม่ได้ออกล่า #แต่ได้หัวและเขา เป็นบำเหน็จตามธรรมเนียมพรานของบ้านนี้.<br />
<br />
ส่วนที่เหลือก็แบ่งกันไปตามสัดส่วนที่ได้เขียนถึงไปแล้ว...<br />
<br />
แปลกยิ่งกว่าแปลกไหมครับ?...<br />
<br />
Chote Vanhakij<br />
11 กรกฎาคม 2560 เวลา 23:48 น.<br />
คลิกที่นี่..อ่านคอมเม้นท์ใต้บทความครับ<br />
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1878064632514480&id=100009328851456<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/uj/wno11.jpg" /></center><br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">ตอนที่ 11 "ล่าเก้ง" (ต่อ)</span><br />
<br />
(#อ่านแล้วไม่ชอบใจให้เว้นข้ามนะครับ)<br />
<br />
ส่งท้าย........<br />
<br />
พุทธศาสนา เจริญรุ่งเรืองอย่างมากในแถบสุวรรณภูมิมาแต่ก่อนยุคสุโขทัย ในสมัยพ่อขุนรามคำแหง ยังมีปรากฏในประวัติศาสตร์ว่าได้นิมนต์พระเถระ, ปู่ครู มาแต่เมืองนครศรีธรรมราช และจัดตั้งพระแท่นไว้กลางดงตาล เป็นที่สำหรับพระเถระขึ้นแสดงธรรม และพระมหากษัตริย์เองก็โปรดที่จะสดับธรรมในวันธรรมะสวนะ.<br />
<br />
จนในปลายยุคสุโขทัยถึงกับมีกษัตริย์ที่ปราดเปรื่องทางด้านพุทธศาสนา เขียนตำราทางศาสนา ชื่อ "ไตรภูมิพระร่วง" เพื่อแสดงความเชื่อทางด้านศาสนา และผลดี กรรมชั่ว ไว้จนเป็นที่รู้จักกันจนทุกวันนี้.<br />
<br />
แม้ในสมัยล้านนา ก็มีพระเถระที่ปราดเปรื่องถึงขั้นแต่งปกรณ์ฎีกา เป็นภาษาบาลีจารึกไว้ให้ปรากฏว่า รวบรวมข้อมูลในอรรถกถา มาอธิบาย แสดงเหตุ ผล อยู่ในชั้นดีเลิศ จนถึงกับเป็นตำราที่ใช้แปล ใช้เรียนของเปรียญธรรม 4 และ เปรียญธรรม 5 ประโยค ในด้านภาษาบาลีอยู่จนทุกวันนี้.<br />
<br />
คัมภีร์นั้นชื่อ มังคลัตถะทีปนีฎีกา แต่งโดยพระมหาเถระชาวล้านนา ชื่อ สิริมังคลาจารย์.<br />
<br />
........................................<br />
<br />
แต่ในความรุ่งเรืองของพุทธศาสนาในยุคนั้น กลับเป็นความรุ่งเรืองอยู่แต่ในชั้นในของเมือง และแวดวงของผู้มีความรู้เท่านั้น...ในชั้นนอก ๆ ปลายบ้าน ชนบท ยังมีความเชื่อเดิม ๆ ฝังรกรากอยู่เสมอ การนับถือผี ถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ ฯลฯ....ยังควบคู่กับการนับถือพุทธศาสนาในระดับความเชื่อพื้นฐาน เช่น การทำบุญ ให้ทาน การรักษาศีล แต่ในความรู้และเข้าใจในระดับที่สูงขึ้น เช่น การนำเอาธรรมะ หลักการอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ชีวิต ความเป็นอยู่ในภพชาติปัจจุบัน กลับมีน้อยมาก (ซึ่งก็แทบไม่แตกต่าง จากพุทธศาสนิกชนในปัจจุบัน...ที่รู้จัก ศาสนาพุทธในระดับนี้...).<br />
<br />
จนเมื่อก้าวเข้าสู่การสื่อสาร ในระดับ 4 G เช่นที่กำลังอ่านของผมอยู่นี้ ก็ไม่ได้แตกต่างกันเช่นใดเลย.<br />
<br />
พุทธศาสนา แม้จะเจริญรุ่งเรือง แต่ก็มีความเสื่อมพอ ๆ กันควบคู่มาเสมอ เสื่อมเพราะความไม่รู้ ไม่เข้าใจ ไม่ศึกษาเพิ่มเติมของพุทธศาสนิกชนนั่นแหละ...!<br />
<br />
เสื่อม...! เพราะคิดว่าศาสนาเป็นเรื่องน่าเบื่อ ไม่เหมาะกับการนำมาใช้ทำมาหากิน ทั้งที่พุทธองค์ก็สอนธรรมะไว้สองระดับ ตั้งแต่การขยันทำมาหากิน, การครองเรือน, การรักษาทรัพย์, การคบมิตร, การวางตัวในสังคม ฯลฯ (โลกียะ).<br />
<br />
จนถึงระดับของการทำตัวเองให้หลุดพ้นไปจากกองทุกข์โ(ลกุตตระ).<br />
<br />
เสื่อม...จนน่าเป็นห่วง...!<br />
<br />
......................................<br />
<br />
พุทธศาสนานั้น มีคติในการยอมรับ เรื่องการเวียนว่าย ตายเกิด ไม่รู้จบในวัฏฏะสงสาร(วังวนแห่งทะเลทุกข์...ผมขอแปลแบบนี้) หากยังมีกิเลส เป็นเชื้อกรรม(พีชะ=พืช) เป็นเชื้อให้เกิด พุทธองค์ถึงกับตรัสว่าหาเบื้องต้น ที่เริ่มเกิดมานั้น ก็รู้ได้ยาก....(อวิชชา)<br />
<br />
แม้เบื้องปลายแห่งวัฏฏะสงสารนี้ ของผู้เวียนว่ายอยู่ในทะเลทุกข์ เกิดแล้ว ดับแล้ว เป็นอยู่อย่างนี้ แล้ว ๆ เล่า ๆ ก็จะรู้ที่สุด หรือเบื้องปลายตอนจบนั้นก็ยาก<br />
<br />
"ภิกษุทั้งหลาย สงสาร(วัฏฏ์)นี้ กำหนดที่สุดเบื้องต้น เบื้องปลายไม่ได้<br />
<br />
เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูก ที่สุดแห่งเบื้องต้น เบื้องปลายย่อมไม่ปรากฏ"<br />
<br />
การคิด ขบคิด หรือหาตรรกะใด ๆ เพื่อจะขบปัญหาเหล่านี้ให้รู้ทะลุปรุโปร่ง พระพุทธองค์จึงตรัสบอกว่า เป็นอจินไตย เป็นเรื่องเหลือวิสัยของปุถุชนผู้ยังมีกิเลสหนา.<br />
<br />
และแม้เป็นผู้ปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุแล้ว ก็จะเป็นการเนิ่นช้าอย่างมาก...! ที่จะมาขบคิดเรื่องพวกนี้.<br />
<br />
พุทธองค์แสดงไว้ 4 อย่าง......<br />
<br />
1. พุทธวิสัย วิสัยของพระพุทธเจ้า<br />
2. ฌานวิสัย วิสัยของผู้ได้ฌาน<br />
3. กรรมวิบาก การให้ผลของกรรมที่ติดตามตัวบุคคล ข้ามภพ ข้ามชาติ<br />
4.โลกจินตา การคิดเรื่องของโลก เช่น พระจันทร์ พระอาทิตย์ ใครเป็นผู้สร้าง? เอกภพคืออะไร?.<br />
<br />
.................................<br />
<br />
#เกี่ยวอะไรกับการล่าเก้ง?.<br />
<br />
#ผมเอามาพูดถึงทำไม?<br />
<br />
จากผลกรรมข้ามภพ ข้ามชาติที่พุทธองค์ตรัสถึงในข้อสาม คือ การให้ผลของกรรมนั่นแหละครับ...! พระพุทธองค์ จึงตรัสสอนว่า เฉพาะน้ำตาที่มนุษย์ผู้ตกทุกข์ ได้ยาก, พลัดพรากจากคนรัก จากของรัก, ก็มากว่าน้ำในมหาสมุทรทั้งสี่จะมาเทียบเท่า.<br />
<br />
เพราะฉะนั้น เหตุต่าง ๆ ที่บังเกิด #เช่นอาว์ชายที่ทุบคอเก้ง ใยมิใช่เพราะผลของกรรมวนมาครบรอบแห่งการให้ผล.....<br />
<br />
ใครทำใครก่อน...ครบรอบของกรรมจึงบังเกิดให้ผลเช่นนั้นในสังสารวัฏฏ์อันยาวนาน หาเบื้องต้น เบื้องปลาย ที่สุดไม่ได้นี้.<br />
<br />
คงรู้ได้ยาก...!<br />
<br />
คงมิใช่เหตุบังเอิญแน่นอน....!<br />
<br />
เรา ท่านทั้งหลาย ที่ผ่านพบกันในภพชาติปัจจุบัน ใยมิใช่เป็นแบบเดียวกัน....! ใยมิใช่เคยเป็นพ่อ แม่ ลูก เมีย หลาน เหลน พ่อตา แม่ยาย พ่อปู่ แม่ย่า คู่รัก คู่แค้น...ที่เคยร้องไห้ อาลัยรัก.<br />
<br />
หรือเคยด่าทอ เข่นฆ่ากันมาก่อน...!<br />
<br />
#หรือแม้เคยกินเนื้อกันมาแล้ว เช่น เก้งที่กล่าวถึง...!<br />
<br />
ไม่ได้ให้สงสาร หรือให้เลิกกินเนื้อสัตว์หรอกครับ เพียงอยากให้มองความจริงอีกด้านที่ศาสนากล่าวถึง.<br />
<br />
เรารู้สึกดีกับใคร ใยมิใช่เคยเป็นคู่รัก เคยเอื้ออาทรกันมาเก่าก่อนแต่ปางบรรพ์ดอกหรือ?.<br />
<br />
เราเคารพใคร ใยมิใช่เขาเคยเป็นผู้ใหญ่ที่เราเคารพนับถือมาก่อนหรือ?.<br />
<br />
เราเคียดแค้น อาฆาตใคร ทั้ง ๆ ที่เขาก็ไม่ได้ทำอะไรให้เรามากมาย ใยมิใช่เขาเคยทำร้ายเรา หรือเป็นคู่เวรกันดอกหรือ?.<br />
<br />
ที่เรากินอยู่นี้ ใยมิใช่เป็นเนื้อ เป็นเลือด แห่งคู่รัก ที่เคยร้องไห้อาลัยรัก(แต่เพราะเขาต้องไปใช้กรรมในคราบร่างอื่น)ในภพชาติอันยาวนาน ในหนทางแห่งสังสารวัฏฏ์<br />
<br />
จนเราเองก็ลืมไปแล้วดอกหรือ?.<br />
<br />
จึงมากินเนื้อคนเคยรัก.... !<br />
<br />
พิจารณาธรรมเถิด...! ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย...!<br />
<br />
Chote Vanhakij<br />
13 กรกฎาคม 2560 เวลา 23:46 น.<br />
คลิกที่นี่..อ่านคอมเม้นท์ใต้บทความครับ<br />
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1879338032387140&id=100009328851456<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<font color="#0000FF">@ คลิกที่นี่..</font> <a href="http://northernfoodd.blogspot.com/2017/07/2-by-chote-vanhakij.html" target="_blank">ตอนที่ 12 "ผีโพง" "ผีเป้า"</a><br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/ih/no111.jpg" /></center><br />
<span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">"เจ้ากรรมนายเวรที่ชาวพุทธเข้าใจผิด"</span><br />
<span style="color: #ff9900;">ปาฐกถาธรรม : พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ</span><br />
<br />
นี่เป็นเรื่องที่ต้องพูดกันให้ชัดหน่อย เวลาที่เราพูดถึงเรื่องเจ้ากรรมนายเวร แล้วเราคิดว่า เจ้ากรรมนายเวร ต้องเป็นอะไรสักอย่างที่มีวิญญาณล่องลอยไปมา คอยตามเข้าสิง หลอกหลอน หรือทำให้เราเป็นนั่นเป็นนี่ ความคิดแบบนี้ดูจะคลาดเคลื่อนจากหลักศาสนาไปมาก<br />
<br />
ในพุทธกาล แม้พุทธศาสนาจะรองรับเรื่องโลกหลังความตาย แต่พุทธเจ้าไม่เคยอธิบาย หรือบอกใครว่า ชีวิตของคนที่เป็นแบบนั้น แบบนี้เพราะมีวิญญาณคอยบันดาลให้เป็น พุทธเจ้าไม่เคยอธิบายเรื่องการเจ็บป่วย เรื่องความมีเคราะห์กรรม ในลักษณะแบบนี้ คือถ้าอธิบายแบบนั้น คำสอนของพระองค์ ก็จะไม่ต่างอะไรจากศาสนาบางศาสนาที่บอกว่า เทพเจ้าสามารถบันดาลความดีความไม่ดี ความสุขหรือความทุกข์ ให้กับคนอื่นได้<br />
<br />
พุทธศาสนา พูดเรื่องเวรหรือกรรมในลักษณะของการให้ผล ด้วยตัวของมันเอง อธิบายแบบ"ปฏิจสมุปปาท" ไม่ใช่ให้เข้าใจว่า ชีวิตแต่ละคน มีวิญญาณคอยตามหลอกหลอน<br />
<br />
เวลาพระบอกว่า เมื่อทำบุญแล้วควรอุทิศส่วนกุศลหรือความดีให้กับเจ้ากรรมนายเวรบ้าง นั่นหมายถึงว่า ให้คุณส่งผลความดีที่คุณทำ ให้กับคนที่คุณอาจเคยตัดรอนชีวิตเขา อย่าง หมู ปลา หรือ สัตว์ต่างๆ จะโดยจำเป็นหรือไม่จำเป็น ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม หรือแม้แต่คนที่คิดประทุษร้าย เป็นศัตรูกับคุณ คุณควรมีเมตตาธรรมกับคนเหล่านี้ ไม่ใช่มุ่งว่าจะต้องหมายถึง วิญญาณที่ติดตามล่องลอยไปมา<br />
<br />
พุทธศาสนาเน้นเรื่องของกรรมของเวร ในลักษณะที่เป็นการกระทำของมนุษย์ ซึ่งเป็นผลที่มนุษย์ต้องได้รับ เช่นถ้าคุณทำกรรมไม่ดีกับคนอื่นหรือแม้แต่กับชีวิตของตัวเอง คุณก็ต้องเผชิญหน้ากับผลของการกระทำนั้นนั้น ซึ่งทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากกรรมเวรที่คุณสร้างเอง ไม่วิญญาณที่ไหนมาบันดาลให้ นี่แหละที่เรียกว่า เจ้ากรรมนายเวร ที่แท้จริง<br />
<br />
ที่อาตมาไม่สนับสนุนวิธีคิดในการมองเรื่องเจ้ากรรมนายเวร ที่เป็นรูปแบบของวิญญาณ ล่องลอย คอยกลั่นแกล้ง บันดาลนี่นั่นให้ เพราะการเชื่อแบบนี้สร้างปัญหาให้กับคน ให้คนมองข้ามเหตุผล อย่างที่เป็นข่าว ชีวิตไม่มีดีก็โทษเจ้ากรรมนายเวร เจ็บป่วยก็โทษเจ้ากรรมนายเวร ทำบุญแล้ว ทุกอย่างจะดีขึ้น<br />
<br />
การมองแบบนี้ เป็นปัญหามาก เพราะทำให้เรื่องของการทำบุญ กลายเป็นเรื่องที่ส่งเสริมให้คนประมาทในการใช้ชีวิต เพราะคนก็จะคิดว่า ทำบุญแล้วทุกอย่างจะดีขึ้น ทำให้คนไม่เชื่อเรื่องกฎแห่งการกระทำของตนเอง ไม่ขวนขวายที่จะเปลี่ยนแปลงหรือลงมือทำอะไรเพื่อตนเอง ไม่มองการเจ็บป่วย เป็นเรื่องของพยาธิ ซึ่งมีอยู่เป็นธรรมดาในสังขารของมนุษย์ทุกคน เป็นเรื่องที่ต้องเยียวยาหรือรักษาโดยวิธีการทางแพทย์ที่ถูกต้อง<br />
<br />
นี่ อาตมาอยากจะให้ทำความเข้าใจเรื่องเวรกรรมกันเสียใหม่.<br />
<br />
พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ<br />
13 กรกฎาคม 2560 เวลา 20:50<br />
คลิกที่นี่..อ่านคอมเม้นท์ใต้บทความครับ<br />
https://www.facebook.com/PhramahaPaiwan/posts/1894586547474644<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<font color="#0000FF">@ คลิกที่นี่..</font> <a href="http://northernfoodd.blogspot.com/2017/07/2-by-chote-vanhakij.html" target="_blank">ตอนที่ 12 "ผีโพง" "ผีเป้า"</a><br />
<br />
* * * * *<br />
somphonghttp://www.blogger.com/profile/07203143908234315462noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6143190172184203950.post-77019435117915630232016-09-22T13:24:00.001+07:002016-09-22T13:24:24.347+07:00อาทิตย์18กันยา59 เที่ยวนครสวรรค์ ไหว้พระจุฬามณีเจดีย์ วัดคีรีวงศ์มุมสูงพระจุฬามณีเจดีย์วัดคีรีวงศ์<br />
<center><iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/r2xpCAz894g?play=1;start=110;end=195" frameborder="0" allowfullscreen></iframe></center><br />
วัดคีรีวงศ์ watkiriwong<br />
<center><iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/Wie4b6-TRPU" frameborder="0" allowfullscreen></iframe></center><br />
<span style="color: #3333ff; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;"><strong>อาทิตย์18กันยา59 เที่ยวนครสวรรค์ ไหว้พระจุฬามณีเจดีย์ วัดคีรีวงศ์</strong></span><br />
<span style="color: #ff9900;">By: ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร</span><br />
<br />
"..เมื่อขึ้นไปถึงฐานพระเจดีย์ชั้น 4 จะมองเห็นภูมิทัศน์อันสวยงามของเมืองนครสวรรค์ในระยะไกลประมาณ 10 กิโลเมตร .. ถ้ามองไปทางทิศตะวันออกจะมองเห็นเขากบ บึงบอระเพ็ด และตลาดปากน้ำโพ .. หากมองไปทางทิศใต้ จะเห็นอุทยานสวรรค์ ต้นแม่น้ำเจ้าพระยา ศาลากลางจังหวัดนครสวรรค์ และเขาจอมคีรีนาคพรต .. หันไปทางทิศตะวันตก จะเห็นภูเขาน้อยใหญ่ ทอดตัวตระหง่านอยู่เป็นช่วงๆ โดยมีภูเขาหลวงเป็นฉากกั้น ยามพระอาทิตย์อัสดงจะเป็นภาพที่งดงามชวนให้หลงใหลในภาพที่ธรรมชาติตกแต่งขึ้น.."<br />
<br />
ขึ้นเขาลงเขาวัดคีรีวงศ์ นครสวรรค์ อาทิตย์18กันยา59<br />
<center><iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/r-_GM09DcQA" frameborder="0" allowfullscreen></iframe></center><br />
เวลา 10:46 น. ตรงไปข้ามสะพานเดชาติวงศ์ สุดเขตภาคกลางเข้าสู่ภาคเหนือ (จุดเริ่มต้นภาคเหนือตอนล่าง)<br />
<br />
เวลา 10:47 น. ถึงป้ายใหญ่ (อ.โกรกพระ เลี้ยวซ้าย, จ.พิษณุโลก กำแพงเพชร ตรงไป, จ.นครสวรรค์ เลี้ยวขวา) ให้ตรงไป<br />
<br />
เวลา 10:49 น. ผ่านแยกบิ๊กซี จนถึงป้าย (กำแพงเพชร ตาก ตรงไป, พิจิตร พิษณุโลก เลี้ยวขวา)<br />
<br />
เวลา 10:50 น. ถึงสามแยกแรก ไม่ต้องเลี้ยวขวาแยกนี้ ให้ตรงไป จนถึงป้าย (กำแพงเพชร ตาก ตรงไป, พิจิตร พิษณุโลก เลี้ยวขวา)<br />
<br />
เวลา 10:52 น. ถึงสามแยก เลี้ยวขวา จนถึงป้าย (พิจิตร พิษณุโลก เลี้ยวซ้าย, นครสวรรค์ ตรงไป, กรุงเทพ เลี้ยวขวา)<br />
<br />
เวลา 10:54 น. ถึงสี่แยก ตรงไป<br />
<br />
เวลา 10:55 น. ผ่านบิ๊กซี ตรงไป จนถึงซอยมาตุลี18 ให้เลี้ยวซ้าย ทางขึ้นเขาวัดคีรีวงศ์<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/66/10387557_1.jpg" /></center><br />
ประวัติวัดคีรีวงศ์ :<br />
<br />
วัดคีรีวงศ์ เดิมเป็นวัดร้างกลางป่าเขาสร้างสมัยปลายกรุงสุโขทัย มีพระธุดงค์แสวงบุญมาพบเมื่อปี 2504 ปัจจุบันเป็นสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดนครสวรรค์ มีพุทธศาสนิกชนเดินทางมาปฏิบัติกิจกรรมทางพุทธศาสนาเป็นประจำ<br />
<br />
ภายในบริเวณวัดประกอบด้วย พระอุโบสถ สมเด็จพระพุทธโคดมจำลอง ศาลาพุทธานุภาพ วิหารหลวงพ่อโต และพระจุฬามณีเจดีย์ ที่สร้างขึ้นตรงฐานเจดีย์เก่าซึ่งสร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 19 ปลายกรุงสุโขทัยเมื่อประมาณ 600 ปีมาแล้ว โดยสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสโก) วัดมหาธาตุ กรุงเทพฯ เป็นผู้ตั้งชื่อให้ และแนะนำให้สร้างพระจุฬามณีเจดีย์ไว้บนยอดเขา<br />
<br />
พื้นที่ของวัดคีรีวงศ์ ทั้งบนเขาและที่ราบ ประมาณ 280 ไร่ มีลักษณะเป็นภูเขา ด้านเหนือด้านตะวันออกและด้านตะวันตกเป็นภูเขา มีทางเข้าด้าน ทิศใต้ทางเดียว มีลักษณะคล้ายฮวงจุ้ย เดิมชื่อเขาใหญ่ ปัจจุบันชื่อ เขาดาวดึงส์ เพราะตั้งอยู่ ตรงถนนดาวดึงส์และอยู่เมืองนครสวรรค์<br />
<br />
วัดคีรีวงศ์ ตั้งอยู่บนเขาดาวดึงส์ อ.เมือง จ.นครสวรรค์ มีองค์มหาเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์คือพระจุฬามณีเจดีย์ ซึ่งเป็นทองเหลืองอร่ามไปทั้งเจดีย์ เมื่อขึ้นไปถึงฐานพระเจดีย์ชั้น 4 จะมองเห็นภูมิทัศน์อันสวยงามของเมืองนครสวรรค์ในระยะไกลประมาณ 10 กิโลเมตร ถ้ามองไปทางทิศตะวันออกจะมองเห็นเขากบ บึงบอระเพ็ด และตลาดปากน้ำโพ หากมองไปทางทิศใต้ จะเห็นอุทยานสวรรค์ ต้นแม่น้ำเจ้าพระยา ศาลากลางจังหวัดนครสวรรค์ และเขาจอมคีรีนาคพรต หันไปทางทิศตะวันตก จะเห็นภูเขาน้อยใหญ่ ทอดตัวตระหง่านอยู่เป็นช่วงๆ โดยมีภูเขาหลวงเป็นฉากกั้น ยามพระอาทิตย์อัสดงจะเป็นภาพที่งดงามชวนให้หลงใหลในภาพที่ธรรมชาติตกแต่งขึ้น<br />
<br />
ภายในองค์พระเจดีย์ชั้น 4 มีพระพุทธรูปจำลองที่สำคัญของประเทศไทยไว้ให้สักการะบูชา 4 องค์ คือ พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) พระพุทธชินราชจำลอง พระพุทธโสธรจำลอง และพระพุทธรูปหล่อพ่อวัดไร่ขิง<br />
<br />
และภายในโดมเจดีย์ ได้วาดภาพจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับพระพุทธประวัติไว้ให้ชมด้วย<br />
<br />
วัดคีรีวงศ์ เป็นที่ตั้งศูนย์เผยแผ่พระพุทธศาสนา จังหวัดนครสวรรค์ ในความอุปถัมภ์ของ กรมการศาสนา เป็นที่ตั้งอุทยานการศึกษา ศูนย์พัฒนาจิตเฉลิมพระเกียรติ และเป็นสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดแห่งที่ 1.<br />
<br />
อาทิตย์18กันยา59 เที่ยวนครสวรรค์ ไหว้พระจุฬามณีเจดีย์ วัดคีรีวงศ์<br />
<center><iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_igJsX9f6pg" frameborder="0" allowfullscreen></iframe></center><br />
ตั้งต้นจาก เขตมีนบุรี กรุงเทพฯ ไปตามถนนรามคำแหง ผ่านซอยรามคำแหง 144 ผ่านโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า<br />
<br />
เวลา 06:26 น. ลอดใต้สะพาน ชิดซ้าย เข้าช่องทาง วนซ้ายขึ้นทางหลวงพิเศษ หมายเลข 9 ถนนกาญจนาภิเษก บางปะอิน ลำลูกกา<br />
<br />
เวลา 06:37 น. ชิดขวา บางปะอิน<br />
<br />
เวลา 06:41 น. จ่ายค่าผ่านทาง 30 บาทที่ด่านเก็บเงินธัญบุรี<br />
<br />
เวลา 06:43 น. ชิดขวา บางปะอิน<br />
<br />
เวลา 06:53 น. อีก 5 ก.ม.ถึงทางต่างระดับบางปะอิน เตรียมชิดซ้าย<br />
<br />
เวลา 06:56 น. ชิดซ้าย เข้าทางต่างระดับ บางปะอิน อยุธยา เพื่อวนซ้ายเข้าถนนสายเอเชีย (ทางหลวงหมายเลข 32) แต่ถ้าพลาดชิดซ้ายไม่ได้ ให้ตรงไปช่องสระบุรี แล้ววนซ้ายลงถนนพหลโยธิน (ทางหลวงหมายเลข 1) ตรงไปสะพานกลับรถ ย้อนกลับมา ชิดขวาเข้าช่องอยุธยา ลอดใต้สะพาน แล้วชิดซ้าย บางปะอิน อยุธยา<br />
<br />
เวลา 07:03 น. เลี้ยวซ้าย วนขวาเข้าถนนสายเอเชีย (ทางหลวงหมายเลข 32) เข้าช่อง อยุธยา นครสวรรค์<br />
<br />
เวลา 07:04 น. เลี้ยวซ้าย อยุธยา นครสวรรค์<br />
<br />
เวลา 07:06 น. เข้าช่อง อยุธยา นครสวรรค์<br />
<br />
เวลา 07:56 น. ก่อนถึงทางแยกเลี้ยวซ้ายเข้า จ.อ่างทอง ให้หักพวงมาลัยชิดขวา ตรงไป นครสวรรค์ (ทางหลวงหมายเลข 32)<br />
<br />
เวลา 08:16 น. ผ่านทางเลี้ยวซ้ายเข้า จ.สิงห์บุรี<br />
<br />
เวลา 08:51 น. เข้าเขต จ.ชัยนาท มีป้ายบอกทางใหญ่ (อ.มโนรมย์ เลี้ยวซ้าย, จ.อุทัยธานี จ.นครสวรรค์ ตรงไป) ถึงทางแยก จุดสิ้นสุดทางหลวงหมายเลข 32 บรรจบทางหลวงพหลโยธิน หมายเลข 1<br />
<br />
เวลา 08:53 น. สุดทางหลวงหมายเลข 32 เข้าสู่ทางหลวง พลโยธิน หมายเลข 1 เลยทางแยก มีป้ายบอกทางข้างถนน (อ.พยุหะคีรี 7 ก.ม., จ.นครสวรรค์ 34 ก.ม., จ.กำแพงเพชร 154 ก.ม.) ให้ตรงไป<br />
<br />
เวลา 08:57 น. นครสวรรค์ ตรงไป<br />
<br />
เวลา 09:09 น. ตรงไป นครสวรรค์<br />
<br />
เวลา 09.17 น. ตรงไปข้ามสะพานเดชาติวงศ์ สุดเขตภาคกลางเข้าสู่ภาคเหนือ (จุดเริ่มต้นภาคเหนือตอนล่าง)<br />
<br />
เวลา 09:18 น. ถึงป้ายใหญ่ (อ.โกรกพระ เลี้ยวซ้าย, จ.พิษณุโลก กำแพงเพชร ตรงไป, จ.นครสวรรค์ เลี้ยวขวา) ให้ตรงไป ผ่านแยกบิ๊กซี จนถึงป้าย (กำแพงเพชร ตาก ตรงไป, พิจิตร พิษณุโลก เลี้ยวขวา)<br />
<br />
เวลา 09.19 น. ถึงสามแยกแล้วเลี้ยวขวา วนซ้ายตรงไป ถึงป้าย (กำแพงเพชร ตาก เลี้ยวซ้าย, พิจิตร พิษณุโลก ตรงไป, นครสวรรค์ เลี้ยวขวา) ถึงสี่แยกให้เลี้ยวขวาเข้าถนนมาตุลี แต่ถ้าพลาดเลี้ยวขวาไม่ได้ ให้ตรงไป กลับรถ<br />
<br />
เวลา 09.23 น. กลับรถ แล้วชิดซ้าย ถึงทางแยก เลี้ยวซ้ายเข้าถนนมาตุลี ผ่านบิ๊กซี ตรงไป จนถึงซอยมาตุลี18 ให้เลี้ยวซ้าย ทางขึ้นเขาวัดคีรีวงศ์<br />
<br />
ถึง พระจุฬามณีเจดีย์ วัดคีรีวงศ์ เวลา 09:34 น.<br />
<br />
หมายเหตู: ออก กรุงเทพฯ เวลา 06:26 น. ถึง วัดคีรีวงศ์ เวลา 09:34 น. สุทธิใช้เวลา 3 ชั่วโมง 08 นาที<br />
<br />
รวมระยะทาง ไป-กลับ 580 ก.ม. ความเร็วไม่เกิน 110 ก.ม./ช.ม. ซดน้ำมัน E20 35 ลิตร เฉลี่ย 16.5 ก.ม./ลิตร พาหนะ All New Honda Jazz SV CVT ปีผลิต 2015<br />
<br />
ขากลับ จากนครสวรรค์ แวะ จ.สิงห์บุรี ผ่านการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จังหวัดสิงห์บุรี จะมีป้าย (สิงห์บุรีชิดซ้าย) ให้ชิดซ้ายเตรียมขึ้นสะพาน วนขวาข้ามทางหลวงหมายเลข 32 ผ่านทางแยกไกรสรราชสีห์ ตรงไปสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ถึงทางแยก รพ.สิงห์บุรี มีป้ายบอกทางไปวัดพระนอนจักรสีห์วรวิหาร นมัสการพระนอนจักรสีห์เป็นสิริมงคล และแวะไปวัดพิกุลทอง ซึ่งอยู่ถัดไปอีก 9 ก.ม. กราบสรีระหลวงพ่อแพ<br />
<br />
<font color="#0000FF">@</font> <a href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1488177177862966&set=a.433956156618412.116381.100000120933242&type=3&theater" target="_blank">ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร</a><br />
18 กันยายน 2559<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/3f/10387557_2.jpg" /></center><br />
วัดพระนอนจักรสีห์ วรวิหาร<br />
<center><iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/b55Wm50SIVs" frameborder="0" allowfullscreen></iframe></center><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/ls/izzzz.jpg" /></center><br />
เปิดบันทึกตำนาน ตอน หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง จ.สิงห์บุรี<br />
<center><iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/2ThoPqN3bIg" frameborder="0" allowfullscreen></iframe></center><br />
หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง<br />
<center><iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/_dUFYvmGTqY" frameborder="0" allowfullscreen></iframe></center>somphonghttp://www.blogger.com/profile/07203143908234315462noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6143190172184203950.post-46253340511135379502016-08-30T11:09:00.002+07:002016-09-22T13:49:22.231+07:00เที่ยวอ่างทอง ไหว้"หลวงพ่อใหญ่"วัดม่วง<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/wy/ve30-08-59.jpg" /></center><br />
<span style="color: #3333ff; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;"><strong>เที่ยวอ่างทอง ไหว้"หลวงพ่อใหญ่"วัดม่วง</strong></span><br />
<span style="color: #ff9900;">By: ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร</span><br />
<br />
"..ถึง จ.อ่างทอง แวะ"วัดต้นสน"กราบพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่"พระศรีเมืองทอง" .. กินก๋วยเตี๋ยวที่ตลาด อิ่มหนำแล้วก็มุ่งหน้าไปวัดม่วงกัน.."<br />
<br />
วัดม่วง ตั้งอยู่หมู่ที่ 6 ตำบลหัวสะพาน อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง อยู่ห่างจากตัวจังหวัดอ่างทอง ไปทางทิศตะวันตก ประมาณ 8 ก.ม. วัดจะอยู่ทางซ้ายมือ มองเห็นพระพุทธรูปหลวงพ่อใหญ่"พระพุทธมหานวมินทร์ศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ"แต่ไกลๆ<br />
<br />
ตั้งต้นจาก เขตมีนบุรี กรุงเทพฯ เวลา 09:20 น. ขึ้นทางหลวงพิเศษ หมายเลข 9 ถนนกาญจนาภิเษก ที่แฟชั่นไอส์แลนด์ ถนนรามอินทรา<br />
<br />
เวลา 09:34 น. จ่ายค่าผ่านทาง 30 บาทที่ด่านเก็บเงินธัญบุรี<br />
<br />
เวลา 09:48 น. เตรียมชิดซ้าย บางปะอิน อยุธยา<br />
<br />
เวลา 09:50 น. ถึง อ.วังน้อย วนลงเข้าถนนสายเอเชีย (ทางหลวงหมายเลข 32)<br />
<br />
เวลา 09:51 น. ชิดซ้าย<br />
<br />
เวลา 09:53 น. เลี้ยวซ้ายไป นครสวรรค์<br />
<br />
เวลา 10:41 น. อ่างทอง ลพบุรี อ.ท่าเรือ ชิดซ้าย<br />
<br />
เวลา 10:42 น. เลี้ยวซ้ายไป อ่างทอง<br />
<br />
เวลา 10:50 น. ถึง จ.อ่างทอง ให้เลี้ยวซ้ายเข้าตัวเมือง<br />
<br />
(ไหว้พระวัดต้นสน.. เวลา 10:52 น. ถึงทางแยกมองเห็นอ่าง 2 ใบตั้งขวางถนนให้ตรงไป ถึงทางแยกจะมองเห็นป้ายชื่อวัดต้นสน ให้เลี้ยวขวา ไปอีกนิดให้เลี้ยวซ้ายเข้าวัด ไหว้พระศรีเมืองทอง เสร็จแล้วแวะกินก๋วยเตี๋ยวที่ตลาด ประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง)<br />
<br />
ไปเรื่อยๆ ถึงทางแยกมองเห็นอ่าง 2 ใบตั้งขวางถนนให้เลี้ยวซ้าย ผ่านตลาด เวลา 12:18 น. เลี้ยวขวาทางแยก ผ่านหน้าเรือนจำ เจออีกทางแยกจะเห็นตึกโรงเรียนสตรีอ่างทองขวางหน้า ให้เลี้ยวซ้าย ไปตามความโค้งของถนน (ทางหลวงหมายเลข 3064) สักพักจะเห็นป้าย สุพรรณบุรี ศรชี้เลี้ยวซ้าย<br />
<br />
เวลา 12:22 น. ถึงสามแยกไฟแดง จะเห็นป้ายทางหลวงหมายเลข 3195 (ไปสุพรรณบุรี) ให้เลี้ยวซ้ายตามศรชี้<br />
<br />
เวลา 12:35 น. ถึงหลัก ก.ม. 29 เลยไปประมาณ 20 เมตร จะเห็นป้ายทางเข้าวัดม่วง เลี้ยวซ้ายเข้าไปประมาณ 1 ก.ม.<br />
<br />
ถึงวัดม่วง เวลา 12:38 น. ภายในวัดกว้างขวาง ไม่ต้องห่วงเรื่องที่จอดรถ สะดวกสบายมากๆ.<br />
<br />
หมายเหตุ: กรุงเทพฯถึงวัดม่วง สุทธิใช้เวลา 1 ชั่วโมง 30 นาที + 20 นาที = 1 ชั่วโมง 50 นาที<br />
<br />
รวมระยะทาง ไป-กลับ 253 ก.ม. ความเร็วไม่เกิน 110 ก.ม./ช.ม. ซดน้ำมัน E20 14 ลิตร เฉลี่ย 18 ก.ม./ลิตร พาหนะ All New Honda Jazz SV CVT ปีผลิต 2015<br />
<br />
<center><iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/ht0CYWv8erE?play=1;start=150;end=288" frameborder="0" allowfullscreen></iframe></center><br />
<center><iframe width="560" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/CWsU9RWmg-s" frameborder="0" allowfullscreen></iframe></center><br />
ขากลับใช้เส้นทางเดิม แต่ระวังช่วง อ.วังน้อย ตอนออกจากทางหลวงหมายเลข 32 จะขึ้นทางหลวงพิเศษ ให้เลี้ยวซ้ายป้าย บางนา ชลบุรี พัทยา ตามไปเรื่อยๆ จนถึงป้ายท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ป้ายมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณฯ ให้เลี้ยวซ้ายขึ้นทางหลวงพิเศษ หมายเลข 9 ถนนกาญจนาภิเษก (ตะวันออก) จ่ายค่าผ่านทาง 30 บาทที่ด่านเก็บเงินธัญบุรี<br />
<br />
เข้ากรุงเทพฯ มาลงที่ แฟชั่นไอส์แลนด์ หรือจะเลยไปลงที่ ถนนเสรีไทย, ถนนรามคำแหง, อ่อนนุช ตามป้ายซึ่งอยู่ถัดๆไป ตามสะดวก.<br />
<br />
<font color="#0000FF">@</font> <a href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1460561320624552&set=a.433956156618412.116381.100000120933242&type=3&theater" target="_blank">ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร</a><br />
28 สิงหาคม 2559<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/rd/img_20160828_1126524.jpg" /></center><br />
<center><iframe width="560" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/8PdLqwpvZrQ" frameborder="0" allowfullscreen></iframe></center><br />
<span style="color: #3333ff; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;"><strong>โครงการพระพุทธมหานวมินทร์ศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ</strong></span><br />
<br />
พระพุทธมหานวมินทร์ศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ ก่อสร้างเป็นคานคอนกรีตเสริมเหล็กเป็นชั้นๆ แบบโครงสร้างตึกสูง ๓๒ ชั้น ก่ออิฐถือปูนฉาบทาสีทอง ตลอดทั้งองค์<br />
<br />
1. หน้าตักกกว้าง( หัวเข่าขวา-หัวเข่าซ้าย)กว้าง ๖๒.๐๐ เมตร<br />
2. ความสูง(จากพื้นดิน-พระเกศา)สูง ๙๓.๐๐ เมตร<br />
3. ช่วงแขน(หัวไหล่-ข้อศอก)ยาว ๒๕.๐๐ เมตร<br />
4. (ข้อศอก-ข้อมือ)ยาว ๓๐.๐๐ เมตร(ข้อมือ-ปลายนิ้ว)<br />
5. ยาว ๑๕.๐๐ เมตร(หน้าอก)กว้าง ๗๕.๖๐ เมตร<br />
6. ใบหน้า(ปลายคาง-หน้าผาก)สูง ๑๒.๐๐ เมตร(จมูก-หน้าผาก)สูง ๙.๕๐ เมตร(ใบหู)สูง ๔.๐๐ เมตร<br />
7. เศียร(พระศอ-พระเกศ (เลาธาตุ) )สูง ๒๖.๕๐ เมตร<br />
8. (พระศอ-พระเมาลี)สูง ๒๔.๐๐ เมตร* พระเกศสูง ๑๓.๐๐ เมตร<br />
9. พระเมาลีสูง ๔.๗๐ เมตร<br />
10. เปลวรัศมีเม็ดพระศกสูง ๑๕.๐๐ เมตร(ประดับเม็ดพระศก ๕๐๖ เม็ด แต่ละเม็ด มีเส้นผ่าศูนย์กลาง ๑.๒๐ เมตร)<br />
<br />
เริ่มวางศิลาฤกษ์ในวันเสาร์ที่ ๙ มีนาคม ๒๕๓๔ (วันแรม ๙ ค่ำ เดือน ๔) ปีมะเมีย วางศิลาฤกษ์เวลา ๙.๐๐ น. โดยสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสุวรรณคาราม กทม. ประธานฝ่านสงฆ์ คือ หลวงพ่อเกษม อาจารสุโภ ซึ่งเป็นประธานในการดำเนินการก่อสร้างและหาทุน<br />
<br />
หลวงพ่อเกษมได้มรณภาพลง เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2544 สิริอายุได้ 54 ปี 6 เดือน 7 วัน หลวงพ่อเกษมเคยสั่งบอกฝากกับลูกศิษย์ การก่อสร้างองค์พระ ให้ช่วยกันก่อสร้างต่อจากหลวงพ่อ ให้เสร็จ<br />
<br />
และหลวงพ่อเกษมได้ตั้งนามองค์พระเอาไว้ว่า "พระพุทธมหานวมินทร์ศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ" พระนามนี้หลวงพ่อเกษมตั้งใจสร้างองค์พระนี้ เพื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9<br />
<br />
คณะลูกศิษย์หลวงพ่อเกษม ได้พร้อมใจรวมพลัง ช่วยกันสร้างร่วมกับ ประชาชนผู้มีจิตศรัทธาด้วย จนการก่อสร้างองค์พระ ได้เสร็จสมบูรณ์ เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2550 มีระยะเวลาการก่อสร้างรวมประมาณ 16 ปี และวัดหน้าตักองค์พระได้ 63.05 เมตร ความสูงจากฐานองค์พระ ถึงยอดเกศา วัดได้ 95 เมตร ใช้เงินประมาณ 104,261,089.65 บาท.<br />
<br />
<font color="#0000FF">@</font> <a href="http://travel.mthai.com/news/3364.html" target="_blank">พระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดในโลก วัดม่วง จ.อ่างทอง</a><br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/9t/img_1756960.jpg" /></center><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/f0/img_1744960.jpg" /></center><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/30/img_1765960.jpg" /></center><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/2k/nv191024.jpg" /></center><br />
<center><iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/p7YK32yj32M" frameborder="0" allowfullscreen></iframe></center><br />
<span style="color: #3333ff; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;"><strong>เส้นทางไปราชบุรี.. 4ก.ย.2559</strong></span><br />
<span style="color: #ff9900;">By: ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร</span><br />
<br />
จากเขตบางกะปิ สี่แยกลำสาลี ถนนรามคำแหง ผ่าน ม.รามฯ ถึงสี่แยกรามคำแหง เลี้ยวขวา เข้าถนนพระราม 9 ชิดซ้าย ตรงไป เลี้ยวซ้ายป้าย ดินแดง ดาวคะนอง-แจ้งวัฒนะ ตรงไปด่านเก็บเงิน<br />
<br />
06:32:25 ด่านเก็บเงินพระราม 9 จ่ายค่าผ่านทาง 25 บาท<br />
<br />
06:34:40 อีก 500 เมตร ถึงด่านเก็บเงิน<br />
<br />
06:35:10 ด่านเก็บเงินศรีรัช จ่ายค่าผ่านทาง 50 บาท<br />
<br />
06:35:46 ตรงไป ดาวคะนอง-แจ้งวัฒนะ<br />
<br />
06:36:07 เข้าช่อง ดาวคะนอง-แจ้งวัฒนะ<br />
<br />
06:36:22 ตรงไป ดาวคะนอง-แจ้งวัฒนะ<br />
<br />
06:37:34 ชิดซ้าย บางโคล่-ดาวคะนอง<br />
<br />
06:38:09 เลี้ยวซ้าย บางโคล่-ดาวคะนอง<br />
<br />
06:38:48 ตรงไป บางโคล่-บางนา-ดาวคะนอง ผ่าน รพ.รามาธิบดี<br />
<br />
06:43:25 เข้าช่อง บางโคล่-ดาวคะนอง<br />
<br />
06:43:51 เลี้ยวขวา บางโคล่-ดาวคะนอง<br />
<br />
06:44:03 ชิดขวา ดาวคะนอง<br />
<br />
06:44:22 ขึ้นสะพานพระราม 9<br />
<br />
06:45:36 ลงสะพาน ชิดขวา ดาวคะนอง<br />
<br />
06:47:37 ตรงไป สมุทรสาคร<br />
<br />
06:48:22 ตรงไป สมุทรสาคร<br />
<br />
06:48:42 เลี้ยวซ้าย ผ่าน รพ.บางปะกอก ตรงไป สมุทรสาคร<br />
<br />
06:49:15 ทางหมายเลข 35 ตรงไป สมุทรสาคร<br />
<br />
06:51:21 ตรงไป สมุทรสาคร<br />
<br />
07:04:46 ทางหมายเลข 35 ตรงไป สมุทรสงคราม-เพชรบุรี<br />
<br />
07:25:18 ตรงไป เพชรบุรี-ราชบุรี<br />
<br />
07:25:42 เข้าช่อง ราชบุรี<br />
<br />
07:35:52 ป้าย วนซ้าย ไปราชบุรี<br />
<br />
07:36:51 ตรงไป ราชบุรี-นครปฐม<br />
<br />
07:37:21 วนซ้าย ตรงไป ราชบุรี<br />
<br />
07:39:46 ทางหมายเลข 4 กรุงเทพฯ-ราชบุรี<br />
<br />
07:50:47 ชิดซ้าย นครปฐม-กรุงเทพฯ<br />
<br />
07:50:58 ชิดซ้าย นครปฐม-กรุงเทพฯ<br />
<br />
07:51:07 เข้าช่อง นครปฐม<br />
<br />
07:51:13 เลี้ยวซ้าย เข้าถนนเลี่ยงเมืองราชบุรี<br />
<br />
07:51:20 เลี้ยวขวา วนลง<br />
<br />
07:53:16 เข้าช่อง นครปฐม<br />
<br />
07:53:24 เข้าช่อง นครปฐม เลี้ยววนขวา<br />
<br />
07:54:07 ตรงไป นครปฐม-กรุงเทพฯ<br />
<br />
07:57:54 ชิดซ้าย กลับรถใต้สะพาน<br />
<br />
07:58:19 เลี้ยวขวา กลับรถ กลับทางเดิม<br />
<br />
07:59:52 เลี้ยวซ้าย เข้าถนน 21 ตัน<br />
<br />
08:00:25 เลี้ยวขวา ทางไป วัดอัมพวัน, วัดท่าเรือ<br />
<br />
08:03:03 เลี้ยวซ้าย สะพานทาสีฟ้า<br />
<br />
08:03:14 เลี้ยวขวา ชุมชนดอนกระเบื้องพัฒนา หมู่ที่ 8 ตำบลพงสวาย<br />
<br />
08:05:25 ถึงบ้านพงสวาย ราชบุรี<br />
<br />
หมายเหตุ: กรุงเทพฯ ถนนพระราม 9 ถึง ราชบุรี<br />
สุทธิใช้เวลา 1 ชั่วโมง 33 นาที (08:05:25 - 06:32:25)<br />
<br />
รวมระยะทาง ไป-กลับ 330 ก.ม. ความเร็วไม่เกิน 110 ก.ม./ช.ม. ซดน้ำมัน E20 20 ลิตร เฉลี่ย 16.5 ก.ม./ลิตร พาหนะ All New Honda Jazz SV CVT ปีผลิต 2015<br />
<br />
<font color="#0000FF">@</font> ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร<br />
4 กันยายน 2559<br />
somphonghttp://www.blogger.com/profile/07203143908234315462noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6143190172184203950.post-82144565574015555032016-08-12T17:05:00.001+07:002017-01-23T14:02:20.979+07:00แค่นี้.. พ่อแม่ก็"เป็นปลื้ม"แล้วล่ะ<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/0k/mno01.jpg" /></center><br />
<span style="color: #3333ff; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;"><strong>แค่นี้.. พ่อแม่ก็"เป็นปลื้ม"แล้วล่ะ</strong></span><br />
<span style="color: #ff9900;">By: ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร</span><br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/vs/6no03.jpg" /></center><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/7h/kno04.jpg" /></center><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/iv/0no39.jpg" /></center><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/es/8no40.jpg" /></center><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/r8/gno41.jpg" /></center><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/ou/kno06.jpg" /></center><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/bf/bno07.jpg" /></center><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/ii/yno08.jpg" /></center><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/g0/hno09.jpg" /></center><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/iy/tno10.jpg" /></center><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/z3/rno11.jpg" /></center><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/wb/kno12.jpg" /></center><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/09/yno13.jpg" /></center><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/uk/9no14.jpg" /></center><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/9d/vno15.jpg" /></center><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/o9/nno16.jpg" /></center><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/jx/mno17.jpg" /></center><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/5j/9no18.jpg" /></center><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/6k/bno19.jpg" /></center><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/zo/lno20.jpg" /></center><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/4o/4no21.jpg" /></center><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/wv/pno22.jpg" /></center><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/2c/ano23.jpg" /></center><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/ij/3no24.jpg" /></center><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/hv/bno25.jpg" /></center><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/of/ano26.jpg" /></center><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/mo/ano27.jpg" /></center><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/r4/hno28.jpg" /></center><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/j1/kno29.jpg" /></center><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/6i/rno30.jpg" /></center><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/1z/xno31.jpg" /></center><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/xj/jno32.jpg" /></center><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/wg/sno33.jpg" /></center><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/re/9no34.jpg" /></center><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/b0/gno35.jpg" /></center><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/pn/dno36.jpg" /></center><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/uo/ino37.jpg" /></center><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/nv/gno38.jpg" /></center><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/l6/4no05.jpg" /></center><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/7s/2no02.jpg" /></center><br />
<span style="color: #3333ff; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;">พ.ศ.2551 ถึง พ.ศ.2555 เรียนวิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง<br />
<br />
จบการศึกษา วันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2555<br />
<br />
พ.ศ.2556 วันที่ 8 มีนาคม รับพระราชทานปริญญาบัตร</span><br />
<br />
* * * * *<br />
somphonghttp://www.blogger.com/profile/07203143908234315462noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6143190172184203950.post-79208524962165203122016-05-26T15:27:00.002+07:002018-01-19T21:04:39.833+07:00"หนูไม่อยากไปโรงเรียน"<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.img.in.th/images/b66a1ddf200aad295632a53aba586ec8.jpg" /></center><br />
<center><iframe width="560" height="315" src="//www.youtube.com/embed/AR_32YGeGB8" frameborder="0" allowfullscreen></iframe></center><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.img.in.th/images/9f5b319624f1c1083c7a96875f6afde9.jpg" /></center><br />
<span style="color: #3333ff; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;"><strong>"หนูไม่อยากไปโรงเรียน"</strong></span><br />
<span style="color: #ff9900;">By: ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร</span><br />
<br />
คุณพ่อ'Pongpure Purepure' เล่าประสบการณ์.. ฝึกลูกที่ไม่อยากไปโรงเรียน จนสุดท้ายลูกกลับใจไม่งอแงและรู้ว่าการเรียนสบายที่สุดแล้ว..<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.img.in.th/images/7fe8efdb38df4f682b6a65c1f5dfb0c1.jpg" /></center><br />
"หนูไม่อยากไปโรงเรียน"<br />
<br />
เช้านี้ลูกแต่งตัวใส่ชุดนักเรียนเสร็จก็ร้องไห้งอแง บอกหนูไม่อยากไป ร.ร.<br />
<br />
ผม:ถามว่าทำไมหนูถึงไม่อยากไป ร.ร.<br />
<br />
ลูก:ตอบว่าอยู่บ้านสบายกว่า<br />
<br />
ผม:งั้นถ้าหนูไม่ไป ร.ร.หนูต้องทำงานนะ<br />
<br />
ลูก:โอเคค่าสบายอยู่แล้วได้อยู่บ้านไม่ต้องไป ร.ร.<br />
<br />
ผมเลยเริ่มจากให้กวาดบ้านทั้งบ้านก่อน ตอนแรกยังสบายๆแค่กวาดบ้าน<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.img.in.th/images/70e9d2622d871e5ef39b83dd002981d7.jpg" /></center><br />
พอกวาดบ้านเสร็จผมก็ให้เค้าถูบ้านทั้งบ้านตั้งแต่ห้องรับแขกยันห้องครัว เริ่มมีบ่นว่าหนักแต่ก็ยังสบายอยู่ พอถูบ้านเสร็จ<br />
<br />
ลูก:เริ่มบ่นว่าหิวข้าวแล้วอ่ะป๊า<br />
<br />
ผม:หิวข้าวหรอลูกงั้นเราไปหาเงินกินข้าวกัน<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.img.in.th/images/bb4bf658b9ab11888114e19875846981.jpg" /></center><br />
ผมก็ได้เริ่มจากให้เค้าเก็บขวดเปล่าในบ้านไปขาย ให้เข็นรถเข็นตากแดดไปร้านขายของเก่า<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.img.in.th/images/94af2449625e3f1347e1341f127c2ba8.jpg" /></center><br />
ลูกได้เงินมา 5 บาท ดีใจป๊าหนูได้เงินกินข้าวแล้ว<br />
<br />
บอกยังลูกยังไม่พอกินข้าวเลย กินข้าวต้องใช้เงิน 40 บาท งั้นไปเราต้องเข็นกันอีก 7 รอบนะ<br />
<br />
ลูก:โอเคค่า 7รอบก็7รอบ<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.img.in.th/images/69d3f5d6c6808a40b31cff581efc261c.jpg" /></center><br />
รอบ2 เริ่มร้อนเริ่มเหนื่อย เริ่มบ่นทั้งร้อนทั้งเหนื่อยทั้งหิวข้าว<br />
<br />
ผมก็บอกว่าป่านนี้เพื่อนๆของหนูได้กินขนมเบรคเช้าแล้วมั้งเนี่ย กำลังกินโอวัลตินกันอยู่แน่ๆเลย แต่เราต้องมาทำงานเนอะ ปะลุยต่อลูก..<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.img.in.th/images/94af2449625e3f1347e1341f127c2ba8.jpg" /></center><br />
ลูกก็เข็นรอบ2 เอาไปขาย ได้เงินมาอีก 5 บาท<br />
<br />
(ผมเอาเงินให้ร้านขายของเก่าไว้ให้ลูกผม ผมบอกพี่ช่วยผมหน่อยนะครับผมจะสอนเค้า)<br />
<br />
ผมเลยบอกเหลืออีก 6รอบ ถึงจะมีตังพอซื้อข้าวกิน<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.img.in.th/images/69d3f5d6c6808a40b31cff581efc261c.jpg" /></center><br />
กลับบ้านมาเอาของไปขายรอบที่3 รอบนี้เริ่มออกอาการมากทั้งร้อนทั้งเหนื่อย<br />
<br />
ผมก็คุยกับเค้า เหนื่อยมั้ยลูก ร้อนมั้ยลูก เห็นป้าเค้ามั้ยลำบากมั้ย<br />
<br />
ทำไมป๊าถึงอยากให้หนูไป ร.ร. เพราะป๊าไม่อยากให้หนูลำบากไงลูก<br />
<br />
ปะเหลืออีก 5 รอบใกล้ได้กินข้าวละ<br />
<br />
พอเข็นกลับก็แสดงอาการให้เห็นว่าเหนื่อยมากๆ เริ่มโทรม<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.img.in.th/images/1a291e83c0132146604c38effdce1702.jpg" /></center><br />
พอกลับมาถึงบ้านลูกผมเข้ามากอดและพูดคำที่ผมอยากได้ยินที่สุดในการสอนลูกครั้งนี้<br />
<br />
"ป๊าทำไมทำงานมันลำบากอย่างนี้ หนูอยากไป ร.ร.แล้วอ่ะป๊า"<br />
<br />
แค่นั้นแหละผมก็กอดลูกหอมลูก<br />
<br />
ผมบอกตอนนี้หน้าที่ของหนูคือไปเรียนหนังสือ เห็นมั้ยไปเรียนหนังสือสบายกว่าอยู่บ้านตั้งเยอะ ทั้งมีความรู้มีเพื่อนมีทุกอย่างเลย<br />
<br />
ลูกบอกเคค่ะต่อไปนี้หนูอยากไป ร.ร.ทุกวันเลย<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.img.in.th/images/b3ecaca9ea645e23b57091b53a59a08b.jpg" /></center><br />
เขียนยาวที่สุดในชีวิต ขอบคุณที่อ่านจบ.<br />
<br />
Cr.ภาพ&ข้อมูล : Pongpure Purepure<br />
https://www.facebook.com/pongpure.purepure/posts/1152474974796909<br />
<br />
<font color="#FF0000">@ คลิกลิ้งค์นี้..</font> <a href="https://www.facebook.com/media/set/?set=a.1368468146500537.1073741973.100000120933242&type=1&l=5214cee89f " target="_blank"><span style="color: #ff00cc; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: large;">คลิกดูภาพ-ข้อความ</span></a><br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="https://www.img.in.th/images/4ce60aa8c51c8845294b9d4a1bc091a0.jpg" /></center>somphonghttp://www.blogger.com/profile/07203143908234315462noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6143190172184203950.post-52784090841766769892016-05-09T23:10:00.002+07:002017-02-15T09:30:57.290+07:00ปีกไก่ทอดน้ำปลา "กรอบนอกนุ่มใน", ไก่ต้มน้ำปลา..สูตรนี้อร่อยจริงๆ, น้ำจิ้มเต้าเจี้ยว01 ปีกไก่ทอดน้ำปลา "กรอบนอกนุ่มใน"<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/gl/vff01.jpg" /></center><br />
<span style="color: #3333ff; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;"><strong>ปีกไก่ทอดน้ำปลา "กรอบนอกนุ่มใน"</strong></span><br />
<span style="color: #ff9900;">By: ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร</span><br />
<br />
02 เราจะมาทำไก่ทอดกันครับ เริ่มต้นด้วย ปีกกลางไก่<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/tu/zff02.jpg" /></center><br />
03 ใครชอบชิ้นเล็กๆ ก็ผ่าครึ่งตามแนวยาว ล้างให้สะอาด หมักด้วยน้ำปลา เกลือนิดหน่อย น้ำตาลทรายพอประมาณ พริกไทย หรือใครชอบใส่ผง บาบิคิว ผงปาปริก้า ก็ใส่ไปได้เลย หมักประมาณ 2 ชั่วโมง<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/xf/hff03.jpg" /></center><br />
04 สองชั่วโมงผ่านไป ใครไม่มีเวลาก็ตามแต่สะดวก ตั้งหม้อเตรียมนึ่ง ใส่น้ำ ใส่ใบเตยลงไป<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/gj/tff04.jpg" /></center><br />
05 นำไก่ที่หมักไว้ใส่ลังถึง คลุกด้วยน้ำมันพืชนิดหน่อย เพื่อไม่ให้หนังไก่ติดกัน น้ำต้องเดือดก่อนนะ จึงยกลังถึงไก่ขึ้นนึ่ง (ปิดฝา)<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/5y/tff05.jpg" /></center><br />
06 นึ่งไปประมาณ 20 นาที ปิดเตา เปิดฝา<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/05/hff06.jpg" /></center><br />
07 ผึ่งไว้ให้แห้ง..แห้งแบบหมาดๆ ไม่มีไอน้ำเกาะ ถ้ากลัวเสียเวลาก็ตากแดด หาอะไรคลุมไว้ กันแมลง<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/86/yff07.jpg" /></center><br />
08 ต่อไปขั้นตอนการทอด ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันปาล์มลงไป ผมใช้กระทะทองเหลือง ความร้อนทั่วถึงดี ถ้าไม่มีก็ใช้กระทะธรรมดาได้<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/69/0ff08.jpg" /></center><br />
09 รอน้ำมันร้อน.. น้ำมันร้อนแล้ว เบาไฟนิดหน่อย ใช้ไฟกลางค่อนข้างแรง แล้วใส่ไก่ลงไปทอด น้ำมันท่วมไก่<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/vg/dff09.jpg" /></center><br />
10 ใช้กระชอนคนดู ถ้าไฟแรง เหลืองเร็วเกินไปให้เบาไฟลง หรือคีบออกมาดู ถ้าไม่แน่ใจก็เอาออกมาใช้มีดผ่าดู<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/ws/lff10.jpg" /></center><br />
11 ใครชอบแบบหนังนิ่มๆ ก็สังเกตดู ถ้าใครชอบแบบกรอบๆ รอจนเหลืองกรอบ แล้วตักขึ้นได้เลย<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/p9/7ff11.jpg" /></center><br />
12 รอให้สะเด็ดน้ำมัน<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/v5/9ff12.jpg" /></center><br />
13 ตอนนี้ต้องการข้าวเหนียวร้อนๆ น้ำพริกตาแดง หรือใครชอบน้ำจิ้มไก่ ซอสมะเขือเทศ ซอสพริก ก็อร่อยครับ<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/8d/eff13.jpg" /></center><br />
@ มีอีกหลากหลายที่ผมรวมไว้ เข้าไปดูได้ที่..<br />
https://www.facebook.com/EatAffair<br />
<br />
<center><iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/jeWPPZqaVDQ?play=1;start=116;end=242" frameborder="0" allowfullscreen></iframe></center><br />
<span style="color: #3333ff; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;"><strong>ไก่ต้มน้ำปลา..สูตรนี้อร่อยจริงๆ</strong></span><br />
<span style="color: #ff9900;">By: ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร</span><br />
<br />
คลิกภาพ..เพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น<br />
<center><a href="http://upic.me/i/65/tvv123.jpg" target="_blank"><img src="http://upic.me/i/hu/tvv125.jpg" /></a></center><br />
<span style="color: #3333ff; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;"><strong>น้ำจิ้มเต้าเจี้ยว</strong></span><br />
<span style="color: #ff9900;">By: ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร</span><br />
<br />
คลิกภาพ..เพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น<br />
<center><a href="http://upic.me/i/q0/xx960960.jpg" target="_blank"><img src="http://upic.me/i/1z/xx580580.jpg" /></a></center>somphonghttp://www.blogger.com/profile/07203143908234315462noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6143190172184203950.post-35323253113636377732016-05-07T16:22:00.000+07:002016-05-10T12:13:49.890+07:00รหัสลับ..สิบล้อ.., เคล็ดลับ..ดูแลรถยนต์หน้าร้อน, 5อาการก่อนเกียร์ออโต้เจ๊ง..<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/cy/vr09-05-59.jpg" /></center><br />
<span style="color: #3333ff; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;"><strong>รหัสลับ..สิบล้อ..</strong></span><br />
<span style="color: #ff9900;">By: ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร</span><br />
<br />
คนขับขี่รถอย่างเราควรจะรู้ไว้บ้าง สามารถช่วยป้องกันอุบัติเหตุได้..<br />
<br />
"เรียนรู้-เข้าใจ สัญญาณไฟจากรถบรรทุก"<br />
<br />
สำหรับผู้ใช้รถใช้ถนนในยามค่ำคืน ที่เดินทางต่างจังหวัดบ่อยๆ มักจะพบเจอกับบรรดารถบรรทุก รถทัวร์ รถโดยสาร เป็นเพื่อนร่วมทางอยู่เสมอ<br />
<br />
ซึ่งเมื่อเราขับรถเข้าใกล้รัศมีของรถบรรทุกเหล่านั้น รถบรรทุกมักจะเปิดไฟเป็นสัญญาณลักษณะต่างๆ โดยการเปิดไฟกระพริบ ไฟสูง ไฟเลี้ยว<br />
<br />
บางท่านที่ยังไม่ทราบความหมายอาจสงสัยว่า เอ๊ะ! เค้าเปิดไฟแบบนี้ ต้องการบอกอะไรกับเรานะ?<br />
<br />
บทความนี้เราจะมาไขความหมายถึงสัญญาณไฟลักษณะต่างๆ ที่พี่รถบรรทุกคันใหญ่ยักษ์ส่งมาให้ได้ทราบกัน<br />
<br />
ภาพลักษณ์ของรถบรรทุกขนาดใหญ่มักออกมาในทางลบจากเหตุการณ์อุบัติเหตุต่างๆมากมายที่เกิดขึ้นโดยมีรถบรรทุก หรือเรียกกันติดปากว่า "สิบล้อ" ร่วมอยู่ในอุบัติเหตุเหล่านั้น<br />
<br />
แต่จะมีใครทราบหรือไม่ว่า จริงๆแล้วก็ยังมีพี่สิบล้อใจดีอีกมากมายที่คอยส่งสัญญาณไฟ เพื่อบอกและเตือนให้ทราบถึงเส้นทางข้างหน้า และบอกถึงสถานการณ์ปัจจุบันในการขับขี่กับผู้ร่วมทางอย่างเราๆ<br />
<br />
เริ่มจาก..<br />
<br />
@ ระวัง!!<br />
เมื่อไหร่ที่สังเกตเห็นรถบรรทุกคันหน้าให้สัญญาณเป็นลักษณะไฟเลี้ยวซ้ายที-ขวาที สลับกัน นั่นหมายความว่าเขากำลังส่งสัญญาณบอกให้เราระวัง เพราะเขากำลังจะเบรก ทางข้างหน้าอาจมีด่านหรือเกิดอุบัติเหตุอยู่ เพราะฉะนั้นให้เราชะลอความเร็ว วิ่งด้วยความเร็วต่ำ และห้ามแซง<br />
<br />
@ ให้ทาง<br />
หากเราขับรถตามพี่สิบล้อคันใหญ่ แล้วรู้สึกว่ารถบรรทุกคันหน้าวิ่งช้า และกำลังตัดสินใจจะแซง ขณะที่เราจะแซงนั้นสังเกตเห็นว่า รถบรรทุกเปิดไฟเลี้ยวซ้ายทั้งที่ไม่มีทางแยกหรือทีท่าจะเลี้ยวแต่อย่างใด นั่นหมายถึงเขากำลังบอกเราว่า ทางข้างหน้าปลอดภัย สามารถแซงออกขวาได้<br />
<br />
@ ห้ามแซง<br />
ถ้าเป็นเหตุการณ์เหมือนข้อที่แล้ว ที่เราคิดจะแซงรถบรรทุก แล้วมีสัญญาณไฟเลี้ยวขวากระพริบขึ้นมา นั่นแสดงว่าเขาจะบอกเราเป็นนัยๆ ว่าห้ามแซง อาจมีโค้ง หรือมีรถสวนมา หรืออาจมีอุปสรรคอยู่ข้างหน้า ไม่ควรที่จะแซง ถ้าแซงอาจทำให้แซงไม่พ้น ให้รอก่อน และเมื่อพี่สิบล้อคันข้างหน้าเห็นว่าทางสะดวกสามารถแซงได้ ก็จะเปิดไฟเลี้ยวซ้ายส่งสัญญาณให้เราแซงได้อย่างสะดวกในเวลาต่อมา<br />
<br />
@ ขอทางหน่อย จะตรงไป<br />
กรณีคุณขับรถตามรถบรรทุกที่จอดรอสัญญาณไฟจราจรตรงสี่แยก แล้วสังเกตเห็นรถบรรทุกเปิดสัญญาณไฟฉุกเฉิน นั่นก็หมายความว่า เขากำลังจะตรงไป หากคันหลังจะตรงก็ตามมาได้เลย แต่ถ้าหากคันหลังต้องการจะเลี้ยวซ้ายหรือขวาก็สามารถเลี้ยวได้ตามสะดวก<br />
<br />
@ ช่วยส่องไฟ<br />
ในการเดินทางในยามค่ำคืน เราอาจะพบกับสภาพท้องฟ้าปิด ทำให้ถนนและเส้นทางที่เรากำลังเดินทางนั้นมืดสนิท ทัศนวิสัยต่ำมองเห็นเส้นทางค่อนข้างลำบาก และเมื่อเราพบกับพี่สิบล้ออยู่ข้างหน้า และเรากำลังจะแซง ในบางครั้งอาจพบว่ารถบรรทุกเปิดไฟสูง สาเหตุก็เพื่อเป็นการส่องทางข้างหน้าช่วยให้เราเห็นเส้นทางได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และเปิดค้างไว้จนกว่าเราจะแซงรถบรรทุกพ้น และจะดับไฟสูงลงเมื่อเรากลับเข้าเลนได้ ถ้าเราเจอคนขับน่ารักๆแบบนี้ เมื่อแซงพ้นแล้วก็บีบแตรสั้นๆ ขอบคุณสักนิด เขาก็จะบีบแตรตอบกลับมา...ซึ่งการใช้รถใช้ถนนแบบนี้ ถือเป็นผู้ร่วมทางที่น่ารักมากเลยทีเดียว<br />
<br />
@ ข้างหน้ามีเหตุ<br />
ในกรณีที่เราวิ่งสวนทางกับรถบรรทุก แล้วพี่สิบล้อส่งสัญญาณไฟโดยดับไฟหน้าและเปิดขึ้น แสดงว่าเขากำลังบอกเราว่าทางข้างหน้ามีด่านหรืออุบัติเหตุรุนแรงให้ชะลอความเร็ว คาดเข็มขัดนิรภัย หรือให้เราเตรียมความพร้อมกับเหตุการณ์ข้างหน้าด้วย<br />
<br />
@ เช็คเพื่อนร่วมทาง<br />
หากเห็นรถบรรทุกวิ่งสวนมา แล้วกะพริบไฟสูง 1 ครั้ง มี 2 กรณีคือ เตือนรถที่วิ่งสวนทางกันมา หรือเป็นการถามว่าทางที่เราผ่านมามีด่านหรืออุบัติเหตุอะไรหรือเปล่า ถ้าทุกอย่างปกติดี ก็กะพริบไฟหน้าตอบเขาไป 1 ครั้ง แต่หากมีด่านหรืออุบัติเหตุเกิดขึ้นก็ให้ดับไฟหน้าและเปิดขึ้น เหมือนกรณีข้างหน้ามีเหตุ เพื่อเป็นการเตือนพี่สิบล้อให้เตรียมพร้อมกับทางข้างหน้า<br />
<br />
@ ข้างหน้ามีด่าน<br />
หากเห็นรถบรรทุกคันที่สวนมา อยู่ดีๆ กะพริบไฟหน้าพร้อมเปิดไฟเลี้ยวมาทางฝั่งเรา นั่นแสดงว่าข้างหน้ามีด่าน ให้เตรียมตัวและระมัดระวัง เตรียมชะลอความเร็ว และใช้ความเร็วต่ำ หากยังวิ่งด้วยความเร็วสูงอาจเกิดอันตรายได้<br />
<br />
@ ขอทาง!<br />
หากเห็นรถบรรทุกวิ่งกันมาเป็นแถวๆ แล้วจู่ๆ มีคันในแถวแฉลบหัวรถออกมาพร้อมกะพริบสูงไฟ 1 ครั้ง นั่นแสดงว่าเขากำลังขอทางและบอกเราว่ากำลังจะเร่งเครื่องแซง ขอใช้ทางวิ่งในเลนของเรา ให้เราระวัง ชะลอความเร็ว และถ้าเราพร้อมจะเปิดทางก็กะพริบไฟสูงตอบกลับไป 1 ที<br />
<br />
เมื่อท่านอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว คงหายสงสัยกันแล้วสินะ ว่าสัญญาณไฟต่างๆที่พี่รถบรรทุกเปิดตลอดเส้นทางที่ขับร่วมทางกันมาในยามค่ำคืนนั้นคืออะไร<br />
<br />
จากสิ่งที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นถึงน้ำใจที่มีต่อเพื่อนร่วมทาง ตลอดเส้นทางการขับขี่ ทำให้เห็นแง่มุมดีๆ และเปลี่ยนทัศนคติต่อผู้ขับรถบรรทุกที่เราเรียกกัน "สิบล้อ" ให้ดีขึ้นจากเดิมได้<br />
<br />
แล้วตรองดูสักนิดว่าเขาเหล่านั้นยังเป็นแบบที่เราคิดในแง่ลบต่างๆนานา อยู่หรือเปล่า??<br />
<br />
ขอขอบคุณข้อมูล,รูปภาพ จาก www thairath co th , www manager co th , one rescue<br />
<br />
ที่มา: http://tiretruckintertrade.blogspot.com/2014/09/blog-post_28.html<br />
<br />
รักสิบล้อรอสิบโมง รอยัลสไปรท์ส<br />
<center><iframe width="560" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/ZE_URC2bY68" frameborder="0" allowfullscreen></iframe></center><br />
ไม่รักแกล้งหลอก - ดอน สอนระเบียบ<br />
<center><iframe width="560" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/ELEAxVp-Pm0" frameborder="0" allowfullscreen></iframe></center><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/bl/vr10-05-59.jpg" /></center><br />
<span style="color: #3333ff; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;"><strong>เคล็ดลับ..ดูแลรถยนต์หน้าร้อน</strong></span><br />
<span style="color: #ff9900;">By: ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร</span><br />
<br />
อากาศร้อนแบบนี้ การดูแลรถยนต์ย่อมต้องหาวิธีช่วยลดความร้อน เพื่อยืดอายุการใช้งาน ยานยนต์..<br />
<br />
"มติชน" ขอแนะนำวิธีดูแลรถยนต์ช่วงหน้าร้อนดังนี้<br />
<br />
1. เช็กระดับน้ำระบบหล่อเย็นเครื่องยนต์ เช็กได้สองจุด คือ เช็กหม้อน้ำ ต้องระวัง ไม่ควรเปิดฝาหม้อน้ำในขณะหม้อน้ำยังมีความร้อนสูง เพราะจะทำให้น้ำร้อนในหม้อน้ำพุ่งออกมาโดน ควรเช็กขณะหม้อน้ำยังเย็น โดยเปิดฝาหม้อน้ำดูว่าระดับน้ำอยู่บริเวณคอหม้อน้ำหรือไม่ ถ้าขาดก็ควรรีบเติมทันที<br />
<br />
และอีกเรื่องช่วยลดความร้อนก็คือ สารหล่อเย็น สามารถนำสารหล่อเย็นเติมผสมกับน้ำเปล่า เพื่อสารหล่อเย็นจะเป็นตัวช่วยระบายความร้อนของเครื่องยนต์ให้มีประสิทธิภาพขึ้น<br />
<br />
เช็กถังพักน้ำ ทำได้ง่ายๆ เพียงสังเกตถังพักน้ำว่าระดับน้ำนั้นอยู่ระดับไหน จะมีระดับน้ำแจ้งอยู่ 2 ระดับ คือ Min-Max ไม่ควรให้ระดับน้ำในถังพักน้ำต่ำกว่าระดับ Min โดยเด็ดขาด และไม่ควรเติมน้ำให้เกินระดับที่เขียนว่า Max ด้วย<br />
<br />
2. เช็กซีลยางใต้ฝาปิดหม้อน้ำ วัสดุนำมาใช้จะเป็นโลหะ แต่ด้านใต้ของฝาหม้อน้ำ จะมียางรองเพื่อป้องกันน้ำรั่วซึมออกมา เป็นจุดต้องตรวจสม่ำเสมอ ถ้าซีลยางเริ่มแข็งตัวไม่นิ่มบ่งบอกว่ายางเสื่อมสภาพ ควรซื้อฝาหม้อน้ำมาเปลี่ยนทันที<br />
<br />
3. การตรวจสภาพท่อยางน้ำ เป็นอีกจุดที่ควรตรวจอย่างละเอียด เพราะตัวท่อยางน้ำจะเป็นเส้นทางเดินน้ำในระบบหล่อเย็น วิธีตรวจคือ ให้นำมือไปรองบีบตัวท่อยางดูว่ามีรอยแตกที่ตัวท่อยาง หรือมีรอยน้ำรั่วตรงจุดไหนบ้าง ถ้าไม่มีรอยแตกรอยรั่ว ต้องสังเกตท่อยางน้ำมีอาการบวมหรือไม่ ถ้าเริ่มบวมควรรีบเปลี่ยนทันที<br />
<br />
4. พัดลมระบายความร้อนเครื่องยนต์ จะทำหน้าที่เป่าลมผ่านหม้อน้ำเพื่อระบายความร้อน ในช่วงรถติดพัดลมระบายความร้อนจะทำงานหนักมาก การสังเกตว่าพัดลมระบายความร้อนทำงานเป็นปกติหรือไม่ ให้ดูจากแรงลมปะทะมือ หรือฟังเสียงของพัดลมดูว่ามีเสียงผิดปกติหรือไม่ ถ้ามีควรรีบเข้าไปตรวจที่ศูนย์บริการหรืออู่ที่ไว้ใจได้โดยทันที<br />
<br />
5. อย่าเร่งแอร์สู้ความร้อนในรถ เมื่อขึ้นรถควรไล่อากาศร้อนจัดออกก่อน ด้วยการเปิดหน้าต่าง พร้อมปรับพัดลมแอร์สูงสุดเพื่อดันความร้อนโดยเร็ว หรือจะใช้วิธีเปิด-ปิดประตูรถเพื่อระบายความร้อนก็ได้ จะไม่ทำให้คอมเพรสเซอร์แอร์ทำงานหนัก เสียหายง่าย และช่วยประหยัดน้ำมันด้วย หากจอดในพื้นที่ปลอดภัยก็แง้มหน้าต่างไว้บ้าง ทำให้ความร้อนในห้องโดยสารไม่สะสมสูงเกินไป ช่วยรักษาวัสดุภายในรถไม่ให้แห้ง กรอบ แตก เร็ว<br />
<br />
6. หมั่นขยับส่วนประกอบที่เป็นยาง ความร้อนของแดดที่สะสม อาจทำให้วัสดุยางละลายจนเหนียวและด้าน เมื่อถึงเวลาใช้งานก็ฉีกขาด หมั่นเปิด-ปิดให้ขอบยางได้ขยับบ้าง เช่น หน้าต่าง ประตูหลัง กระโปรงท้ายรถ หลังคาซันรูฟ และที่ปัดน้ำฝน ควรขยับอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้งจะช่วยยืดอายุได้<br />
<br />
7. เติมลมยางรถยนต์มากขึ้น การเติมแรงดันลมยางให้มากกว่าปกติ 2-3 ปอนด์ ช่วยป้องกันการเปิดตัวของแก้มยาง หากยางอ่อน แก้มยางเกิดการบิดตัวได้มากและร้อนง่ายกว่าปกติ อาจส่งผลให้แรงดันภายในของยางรถสูงขึ้นจนระเบิดได้ ควรหมั่นตรวจสภาพยางมากกว่าปกติ เพราะหน้าร้อนจะเห็นอาการของยางบวมได้ชัดเจน เมื่อเจอปัญหาควรรีบเปลี่ยนยาง.<br />
<br />
คอลัมน์ คาร์ทิปส์ : มติชนรายวัน<br />
http://www.matichon.co.th/news/122937<br />
<br />
หน้าร้อนกับการเปลี่ยนถ่ายน้ำหล่อเย็นเครื่องยนต์<br />
<center><iframe width="560" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/HaPfk101cf0" frameborder="0" allowfullscreen></iframe></center><br />
เคล็ดลับจอดรถตากแดดไม่ให้ร้อนจี๋<br />
<center><iframe width="560" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/aT46T6QuROE " frameborder="0" allowfullscreen></iframe></center><br />
วิธีการเปลี่ยน-ถ่ายน้ำหม้อน้ำรถยนต์ด้วยตัวเอง<br />
<center><iframe width="560" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/2ID6fD1yE7I" frameborder="0" allowfullscreen></iframe></center><br />
<span style="color: #3333ff; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;"><strong>5อาการก่อนเกียร์ออโต้เจ๊ง..</strong></span><br />
<span style="color: #ff9900;">By: ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร</span><br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/cr/vr10-05-59.jpg" /></center><br />
ระบบส่งกำลังแบบอัตโนมัติที่เคยให้ความสบายในการขับขี่ไม่ต้องคอยมานั่งเหยียบครัตช์ให้วุ่นวาย มาวันหนึ่งเกียร์ออโต้ก็เกิดเดี้ยงขึ้นมาถึงเวลาต้องเสียเงินเสียทองกันอีกแล้ว เกียร์มาเจ๊งเอาในช่วงเปิดเทอมยิ่งทำให้บีบรัดกระเป๋าเงินหนักข้อเข้าไปอีก อุตส่าห์ใช้อย่างระวังก็ยังไม่วายเจ๊ง<br />
<br />
มาดูอาการก่อนที่เกียร์ออโต้จะลากลับบ้านเก่ากันดีกว่า<br />
<br />
1- วิ่งเกียร์เดียวปราดเปรียวว่องไว (ซะที่ไหน)<br />
<br />
เกียร์อัตโนมัติบางรุ่นหากเกิดการขัดข้องหรือมีการทำงานที่ผิดพลาดไม่ว่าจะเกิดขึ้นจากอายุการใช้งานหรือการขับที่ผิดวิธี จะมีการปรับเข้าสู่โหมดการขับฉุกเฉินแค่ประคองขับได้เกียร์เดียวคือเกียร์ 3 เมื่อ ECU ที่ควบคุมเกียร์พบเจอความผิดปกติของการทำงาน สมองกลไฟฟ้าที่ควบคุมการทำงานของเกียร์ออโต้ลูกนั้นจะสั่งให้วิ่งแค่เกียร์เดียวนั่นก็คือเกียร์สามตั้งแต่ต้นยันจบไม่สามารถเปลี่ยนขึ้นหรือลงได้แต่พอที่จะถอยหลังได้ พร้อมๆกับไฟสัญลักษณ์รูปเฟืองที่ติดขึ้นมาบนมาตรวัดเพื่อแจ้งให้คุณรีบนำเจ้าลูกชายตัวแสบไปตรวจสอบระบบเกียร์เป็นการด่วน<br />
<br />
บางครั้งหากไฟโชว์เตือนเกียร์เจ๊งติดๆดับๆ ลองให้ช่างตรวจสอบจุดที่เชื่อมต่อเซ็นเซอร์หรือล้างทำความสะอาดเปลี่ยนถ่ายกรองเกียร์กับน้ำมันเกียร์ก็อาจโชคดีหายขาดโดนแค่หางเลขเบาะๆ ไม่ถึงกับกระเป๋าฉีก<br />
<br />
แต่หากช่างตรวจพบการสึกหรอเสียหายในระบบเกียร์และมีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนชิ้นส่วนหรือหนักกว่านั้นก็เปลี่ยนเกียร์ใหม่กันทั้งลูกอันนั้นก็ถือซะว่าเป็นเคราะห์ซ้ำกรรมซัดจัดกันจนเหงื่อตกเมื่อเห็นบิลค่าซ่อมหรือค่ายกเกียร์ใหม่ทั้งลูก<br />
<br />
2- กดคันเร่งเพื่อแซงแต่ไม่แรงเหมือนอย่างเคย<br />
<br />
ขับมาดีๆ พอเจอรถช้าก็อยากจะแซง กดคันเร่งลงไป รอบเครื่องกวาดทะยานขึ้นไปสี่-ห้าพันรอบต่อนาทีพร้อมเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มราวกับรถแข่งแต่รถก็ยังไม่ตอบสนองพุ่งทะยานเหมือนอย่างเคย<br />
<br />
กดจนมิดขาแทบจะทะลุพื้นรถเจ้าลูกชายตัวแสบก็ยังคงวิ่งเอื่อยๆ แบบทองไม่รู้ร้อนทั้งๆ ที่เมื่อก่อนพอคิกดาวน์ลงคันเร่งลึกๆ เกียร์จะเปลี่ยนลงต่ำเพื่อเรียกแรงบิดสำหรับการเร่งความเร็วหรือเพื่อแซงรถช้า<br />
<br />
หากรถของคุณเกิดอาการดังกล่าวแสดงว่าเกียร์ออโต้ต้องมีการพบกับช่างซ่อมเสียแล้ว ภาวนาให้อย่าเป็นอะไรมากในสภาวะที่ย่ำแย่แบบนี้ เบาหน่อยเพราะใช้รถญี่ปุ่นก็หลักหมื่นหรือหลายหมื่น หนักหน่อยเพราะขับรถแพงพวก Benz / BMW ก็หลักแสนหรือหลายแสน สบายกันไปท่านผู้ชม<br />
<br />
3- เกียร์กระตุกยังกับคนเป็นพาร์กินสัน<br />
<br />
เมื่อก่อนตอนออกมาใหม่ๆ ก็เปลี่ยนเกียร์เรียบเนียนดี แต่อยู่กันไปอยู่กันมาชักจะงอแง เปลี่ยนเกียร์แต่ละครั้งกระตุกกระชากจนเล่นเอากิ๊กใหม่กิ๊กเก่าตกอกตกใจ ไม่ว่าเกียร์จะเปลี่ยนขึ้นหรือลงก็กระชากปับๆสะท้านมาถึงร่องก้น<br />
<br />
อีแบบนี้ไม่ควรดันทุรังขับต่อเดี๋ยวจะเจ๊งไปกันใหญ่โต รีบนำตัวแสบไปให้ช่างเกียร์ที่คิดว่าไม่ฟันคุณคอขาดและมีความซื่อสัตย์ในการประกอบอาชีพซ่อมเกียร์ไม่ได้รับอีดาบรอลูกค้าอยู่หลังอู่ หาอู่ซ่อมเกียร์ดีๆ เพื่อตรวจสอบดีกว่าขับไปเรื่อยๆ แบบไม่สนติ้วใดๆทั้งนั้นสุดท้ายคุณจะพบรักกับรถสไลส์ออนเข้าจนได้<br />
<br />
4- เข้าเกียร์ถอยแต่ดันไม่ถอย<br />
<br />
ก่อนจะเจอกับอาการถอยหลังไม่ได้นี้ จะมีการเตือนก่อนแทบจะทุกครั้งคือ เมื่อต้องการจะถอยหลัง ใส่เกียร์ R หรือเกียร์ถอยแล้วต้องรอกันสักครู่ไม่ใช่ยัด R ปั๊บก็ถอยปุ๊บเหมือนตอนป้ายยังแดงอยู่ ซึ่งมีการตอบสนองที่สดใสใหม่ปิ๊ง<br />
<br />
ใช้งานกันมาได้พอสมควรแก่เวลาหรือวิ่งมาเป็นแสนๆ เกียร์ออโต้ก็ต้องสึกหรอตามอายุการใช้งานเป็นเรื่องธรรมดา<br />
<br />
หากผลิตเกียร์ที่เหนียวโคตรไม่ยอมพังง่ายๆ แม้จะกระแทกกระทั้นดันเกียร์กันตลอดก็ยังไม่ยอมพัง แบบนี้บริษัทผู้ผลิตเกียร์อาจเจ๊งเสียก่อนเพราะเกียร์ไม่ยอมเสียทำให้ขายชิ้นส่วนหรือขายเกียร์ใหม่ไม่ได้เจ๊งกระจายกันไป<br />
<br />
เกียร์ถอยที่พอเข้าแล้วต้องรอนานผิดปกติบอกให้ทราบถึงความผิดปกติในระบบเกียร์ เมื่อยังไม่มีเวลาหรือยังไม่มีเงินซ่อมก็ต้องทนใช้กันไป<br />
<br />
จากที่เคยรอนานแล้วค่อยไหลถอยหลังกลายมาเป็นนิ่งสนิทไม่ตอบโต้อะไรทั้งสิ้น อีแบบนี้เกียร์เจ๊งแน่นอน เบาหน่อยก็แค่เปลี่ยนผ้าครัตช์ หนักหน่อยก็ยกเกียร์ใหม่ทั้งลูกขึ้นอยู่กับอาการ<br />
<br />
5- เครื่องเย็นดันไม่แล่นต้องรอเครื่องร้อน<br />
<br />
สตาร์ตเครื่องเลื่อนคันเกียร์ไป D แต่ไม่มีอะไรในกอไผ่ รถยังจอดอยู่กับที่แม้จะถอนเท้าออกจากเบรกกดไปที่คันเร่งพ่อเจ้าประคุณตัวแสบก็ยังนิ่งทำเป็นทองไม่รู้ร้อนทั้งๆ ที่จะต้องรีบแจว ยัดก็แล้วโยกคันเกียร์ก็แล้วยังดื้อไม่ยอมไป พออุณหภูมิเครื่องยนต์อยู่ในเกณฑ์ร้อนรถถึงยอมขยับตัวด้วยความเกียจคร้าน<br />
<br />
แบบนี้เห็นทีจะต้องไปพบรักกับช่างซ่อมบำรุงเกียร์กันอีกแล้ว แผ่นครัตช์ของเกียร์ออโต้แบบทอร์คคอนเวอร์เตอร์ ใช้งานไปเป็นแสนมันก็ต้องสึกหรอตามธรรมดา ซ่อมครัตช์ทั้งที ยกชุดครัตช์ของเกียร์ 1-2-3-4-5 ไปเลยจะดีกว่า เปลี่ยนชุดที่พังเดี๋ยวตัวอื่นพาลพังตามขึ้นมาอีกจะเข้าทำนองเสียน้อยเสียยาก<br />
<br />
โอริงที่ทำงานมานมนานก็เริ่มเสื่อมสภาพบล็อกน้ำมันไม่อยู่ต้องรอให้เครื่องร้อนก่อนถึงขยายตัวและบล็อกน้ำมันได้ตัวแสบถึงจะยอมวิ่งออกไปได้ แบบต้องร้อนรุ่มกลุ้มอุราถึงจะวิ่งออกอย่างนี้ก็ไม่ไหว<br />
<br />
โอริงใหม่ๆ ทุกตำแหน่งแบบจ่ายแพงหน่อยการซ่อมบำรุงก็จบไม่มาจุกจิกกวนอารมณ์ในสภาพอากาศคล้ายนรกแบบนี้ จะมาเลือกเปลี่ยนโอริงเฉพาะเกียร์ถอย ไม่ยอมเปลี่ยนโอริงในเกียร์อื่นๆ แบบคนขี้เหนียว<br />
<br />
หาอู่หาช่างที่ไม่ได้ลับมีดลับขวานรอดักฟันลูกค้าที่เกียร์พังซึ่งโชคดียังพอมีอยู่อีกมาก<br />
<br />
ช่างและอู่ที่ให้คำแนะนำที่ถูกต้องกับลูกค้า คิดค่าซ่อมไม่แพงแถมยังรับประกันการทำงานคงต้องไปสืบหากันเอาเอง แนะนำไปเกิดไม่ถูกใจพระเดชพระคุณท่านจะพาลซวยโดยใช่เหตุ<br />
<br />
ขอให้มีความสุขในวันหยุดครับ.<br />
<br />
อาคม รวมสุวรรณ<br />
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th<br />
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom<br />
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/<br />
<br />
ที่มา: http://www.thairath.co.th/content/616887<br />
<br />
ระบบเกียร์อัตโนมัติ CVT<br />
<center><iframe width="560" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/9rqMRwE_vCw" frameborder="0" allowfullscreen></iframe></center>somphonghttp://www.blogger.com/profile/07203143908234315462noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6143190172184203950.post-30484384372670225262016-05-07T16:19:00.001+07:002016-05-10T12:12:40.825+07:00อ่านไว้เป็นอุทาหรณ์สอนตัวเอง.., วิธีป้องกันแก๊งตบทรัพย์รถยนต์, "มิจฉาชีพ ยูเทิร์น"<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/po/vp20-03-59.jpg" /></center><br />
<span style="color: #3333ff; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;"><strong>อ่านไว้เป็นอุทาหรณ์สอนตัวเอง..<br />
"และส่งต่อไปยังคนที่คุณรักนะครับ"</strong></span><br />
<span style="color: #ff9900;">By: ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร</span><br />
<br />
ผู้หญิงคนหนึ่งไปเติมน้ำมัน ตอนที่รูดเครดิตการ์ดเสร็จแล้ว และกำลังจะออกจากปั๊ม ก็มีพนักงานคนหนึ่งเดินมาบอกว่า การ์ดที่รูดมีปัญหาให้เธอรีบลงจากรถและเข้าไปคุยกับเจ้าหน้าที่ของปั๊มด้วย<br />
<br />
เพื่อนคนนี้ก็งงมาก เพราะคิดว่าตามปกติ ถ้ารูดบัตรไม่ผ่าน เครื่องจะไม่ออกสลิปให้ แต่นี่ก็ได้สลิปแล้ว จึงเอาสลิปให้พนักงานคนนั้นดู เพื่อยืนยันการจ่าย และบอกว่ามีธุระต้องรีบไป<br />
<br />
แต่พนักงานคนนั้นก็ยังยืนยันว่าเธอต้องไปคุยกับเจ้าหน้าที่อยู่ดี พูดประมาณว่าจะลงไปคุยดีๆ หรือเปล่า<br />
<br />
สุดท้ายเธอ ก็จำใจลงจากรถ เมื่อเข้าไปในสำนักงานได้ก็โวยใหญ่เลย ว่าจ่ายตังค์แล้ว และพนักงานที่ไปเชิญเธอลงจากรถก็พูดกับเธอไม่ดีด้วย<br />
<br />
เจ้าหน้าที่ปั๊มต้องรีบบอกให้เธอใจเย็นๆ และฟังเหตุผลของทางปั๊มก่อน<br />
<br />
เจ้าหน้าที่ปั๊มบอกว่า ตอนที่เติมน้ำมันรถเธออยู่ ช่วงเวลาเธอเดินลงไปซื้อของ เห็นผู้ชายคนหนึ่งแอบเปิดประตูเข้าไปนั่งอยู่ข้างหลังเบาะด้านคนขับ เขาเห็นว่าผิดสังเกต ว่าไม่น่าจะเป็นคนที่มาด้วยกัน จึงโทรแจ้งตำรวจให้ และช่วงเวลานี้ อยากให้เธอออกจากรถก่อน เพื่อความปลอดภัย<br />
<br />
พอได้ยินแบบนั้น เพื่อนก็ตกใจมาก รีบหันกลับไปดูรถตัวเองทันที จังหวะนั้นก็ทันเห็นผู้ชายคนหนึ่ง กำลังเปิดประตูและจะลงจากรถเธออยู่พอดี<br />
<br />
ภายหลังทราบว่า พวกนี้เป็นหนึ่งในรูปแบบของอาชญากรรมแนวใหม่ คือเป็นพวกค้าชิ้นส่วนอวัยวะของผู้หญิง โดยจะแอบปีนเข้าไปตอนที่คนขับรถซึ่งเป็นผู้หญิง เอารถแวะเข้าเติมน้ำมัน หรือแวะจอดซื้อของตามร้านข้างทาง หรือตามห้างสรรพสินค้า<br />
<br />
วิธีการก็คือพวกนี้จะตัดเอ็นข้อเท้า เพื่อป้องกันไม่ให้เหยื่อหนี จากนั้นจะขับรถของเหยื่อ เพื่อพาเหยื่อไปฆ่า และชำแหละอวัยวะออกเป็นส่วนๆ<br />
<br />
เมื่อได้อ่านแล้ว ขอให้ช่วยกันส่งต่อไปให้ผู้หญิงทุกคนที่คุณรู้จัก อย่างน้อยอาจช่วยให้พวกเขารู้จักระวังตัว และไม่ตกเป็นเหยื่อรายต่อไป<br />
<br />
ข้อควรระวัง<br />
<br />
1. ให้ล็อครถทุกครั้ง ที่ต้องลงจากรถ แม้ว่าจะเป็นการแวะลงไปทำธุระหรือซื้อของเพียงแค่ไม่กี่นาที<br />
<br />
2. สำรวจหาบุคคลแปลกปลอมใต้ท้องรถ และเบาะด้านหลังทุกครั้งก่อนกลับขึ้นรถ<br />
<br />
3. หมั่นสังเกตพฤติกรรมของคนรอบข้างอยู่เสมอ เมื่อออกนอกบ้าน โดยเฉพาะเมื่อต้องไปไหนในเวลากลางคืน<br />
<br />
กรุณาอ่านและส่งต่อไปยังคนที่คุณรักนะครับ.<br />
<br />
ที่มา: https://www.facebook.com/1515111868789182/photos/pb.1515111868789182.-2207520000.1458367604./1541437882823247/?type=3&theater<br />
<br />
นี่อีกกรณีนึง โจรแสบแอบเปิดประตูรถ..<br />
<center><iframe width="560" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/p864ivXcg_A" frameborder="0" allowfullscreen></iframe></center><br />
โจรบนถนน : วิธีป้องกันแก๊งตบทรัพย์รถยนต์<br />
<center><iframe width="560" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/SPbWsdu00mA" frameborder="0" allowfullscreen></iframe></center><br />
<span style="color: #3333ff; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;"><strong>วิธีป้องกันแก๊งตบทรัพย์รถยนต์</strong></span><br />
<span style="color: #ff9900;">By: ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร</span><br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/v8/vp31-03-59.jpg" /></center><br />
ข้อสังเกต: แก๊งตบทรัพย์มักจะเลือกเหยื่อที่เป็นผู้หญิง หรือคนมีอายุ และรถที่ค่อนข้างเก่า ไม่มีประกัน..<br />
<br />
คนร้ายจะทำงานกันเป็นทีม ด้วยการขับรถประกบด้านหน้าและด้านหลังของรถเหยื่อ<br />
<br />
โดยคันที่อยู่ข้างหน้า (โจร1) จะขับช้าๆ และคันที่อยู่ด้านหลัง (โจร2) มักจะขับจี้รถเหยื่อ เพื่อบังคับให้เหยื่อแซงออกไปยังเลนขวา ซึ่งเมื่อเหยื่อเปลี่ยนมายังเลนขวาแล้ว รถคันหลัง (โจร2) ก็จะแซงตามหลังมาเช่นเดียวกัน และพยายามบีบแตรไล่ให้เหยื่อตกใจ<br />
<br />
เมื่อเหยื่อตกใจจนเปลี่ยนเลนมาทางซ้าย รถคนร้ายอีกคัน (โจร1) จะเร่งความเร็วขึ้น เพื่อให้รถเหยื่อเฉี่ยวชนรถตัวเองในลักษณะขับปาดหน้า และรถที่ขับจี้เหยื่อ (โจร2) จะขับหนีหายไปอย่างรวดเร็ว<br />
<br />
ซึ่งลักษณะการชนแบบนี้จะทำให้เหยื่อกลายเป็นคนผิด และอีกฝ่ายจะได้เปรียบตามกฎหมาย จากนั้นคนร้ายจะทำเจรจาเรียกค่าเสียหายจากเหยื่อทันที โดยมักจะอ้างว่าตัวเองต้องรีบไปทำธุระ<br />
<br />
วิธีรับมือเมื่อเจอเหตุการณ์แบบนี้<br />
<br />
1. พยายามตั้งสติ อย่าขับชน<br />
<br />
2. หากชนแล้ว อย่าเพิ่งลงจากรถ ให้โทรหาตำรวจทางหลวงที่เบอร์ 1193<br />
<br />
3. ควรเรียกคู่กรณีไปเจรจาค่าเสียหายกันที่โรงพัก เพื่อให้ตำรวจช่วยจัดการ<br />
<br />
ยังไงใครที่จะต้องขับรถไปทำงาน หรือมีธุระไปติดต่องานที่ตามต่างจังหวัดตัวคนเดียว ก็อย่าลืมระวังตัวกันด้วยนะจ๊ะ.<br />
<br />
ที่มา: http://chaoprayanews.com/blog/happyforever/2015/08/04/วิธีป้องกันแก๊งตบทรัพย/<br />
<br />
แชร์ให้ทั่ว! ชนตบทรัพย์ทำกันเป็นขบวนการ! ต้องระวังให้มาก<br />
<center><iframe width="560" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/h-Kv4nWI8Yw" frameborder="0" allowfullscreen></iframe></center><br />
<span style="color: #3333ff; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;"><strong>"มิจฉาชีพ ยูเทิร์น"</strong></span><br />
<span style="color: #ff9900;">By: ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร</span><br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/3w/vq16-04-59.jpg" /></center><br />
"มิจฉาชีพ ยูเทิร์น" เตือนภัยกันสักนิด เดี๋ยวนี้ หากินกันแปลกๆ...<br />
<br />
เรื่อง การหากิน ตรงทางกลับรถ<br />
<br />
ผมเองก็เพิ่งจะเจอ การทำงานเป็นทีม ที่สมบูรณ์แบบที่สุด<br />
<br />
เขาจะขับรถไป ยูเทิร์น ซึ่งขับนำรถเราไป พอถึงที่ยูเทิร์น ก็ยูเทิร์น เราก็ยูเทิร์น..<br />
<br />
นึกภาพตามนะครับ<br />
<br />
ระหว่างเรากำลังกลับรถ รถคันอื่นๆ ที่อยู่ฝั่งนี้ ก็จะหยุดให้เรากันหมด ทั้ง 3 เลน<br />
<br />
พอเรากำลังหักพวงมาลัย เต็มที่ รถเราก็กำลังกลับหัว การมอง ก็จะเน้นมองข้างหน้า...<br />
<br />
ครานี้ล่ะ ได้จังหวะ มิจฉาชีพอีกคน จะขี่มอไซค์ มาจากเลนซ้ายสุด มาแบบพุ่งมาเลย เพื่อให้เราชน!!..โครม ร่วง โอดโอย...ลงไปดู เจรจา...<br />
<br />
หน้าม้า เริ่มมา(คนที่ขับรถนำหน้าเรามาก่อนนี้)..ทำเป็นมาช่วยเจรจาต่อรอง ให้เราจ่ายค่ารักษา จ่ายค่าซ่อมรถ...ถ้าตกลงกันได้ เรื่องจบ...<br />
<br />
แต่ ถ้าตกลงไม่ได้ มีต่อ...หน้าม้าคนที่ 2 ถือกระป๋องสี มาทำทีดูแลความเรียบร้อย...เจรจาต่อรอง ช่วยไกล่เกลี่ย ค่าเสียหาย...ถ้าตกลงกันได้เรื่องจบ...<br />
<br />
ถ้าตกลงไม่ได้ เรียกร้อยเวร (ว่างั้น)...หน้าม้าคนที่ 3 ร้อยเวรปลอม มาถึงทันที ทุกคนในที่นี่ จะมาถึงทันที โดยไม่ต้องโทรหา ไม่ต้องแจ้ง เพราะมันได้เตรียมการไว้หมดแล้ว...เราแทบหนีไม่ออก...<br />
<br />
"น่ากลัวครับ และ ควรระวังที่สุด"<br />
<br />
ข้อควรจำ..<br />
<br />
1. ทุกทางกลับรถ ให้ขับช้าๆ อย่ารีบ อย่าคิดว่าทางกลับรถ คือช่วงที่ต้องรีบ ไม่จำเป็นครับ<br />
<br />
2. หากเกิดเหตุ ดังว่า พยายามให้มันชนข้างรถเรา อย่าให้เราชนมันตรงๆ<br />
<br />
3. ไม่ต้องเจรจากับคนอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าใคร แม้แต่คนที่ใส่เครื่องแบบฯ<br />
<br />
4. เรียกประกันฯเท่านั้น<br />
<br />
5. ถ่ายรูป ทุกมุมในจุดเกิดเหตุเอาไว้<br />
<br />
6. โทรปรึกษา ญาติ เพื่อน ทันที<br />
<br />
7. อย่ายอมตามข้อเสนอของพวกมัน ไม่ว่ามากหรือน้อยทั้งนั้น<br />
<br />
8. ระวังทรัพย์สินในรถเราด้วย เผลอเป็นโดน<br />
<br />
9. ช่วยเล่นงานมันกลับด้วย 555<br />
<br />
**ก็ฝากกันเอาไว้นะครับ สำหรับนักขับขี่ทั้งหลาย คนเดี๋ยวนี้มันใจดำครับ**<br />
<br />
Arvut Kaewniam<br />
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=10209114681805320&set=a.2495041456521.2145050.1267375960&type=3&theater<br />
<br />
<center><iframe width="560" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/Yq06fXKGJQI" frameborder="0" allowfullscreen></iframe></center><br />
<center><iframe width="560" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/wMSRKCp6MtI" frameborder="0" allowfullscreen></iframe></center><br />
<span style="color: #3333ff; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;"><strong>วิธี ลด ไล่ ความร้อน</strong></span><br />
<span style="color: #ff9900;">By: ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร</span><br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/1q/vq17-04-59.jpg" /></center><br />
รถที่จอดตากแดด จนห้องโดยสารร้อน แก้ไขได้ด้วยวิธีง่ายๆ..<br />
<br />
ชาวญี่ปุ่นมีเทคนิคช่วยไล่ความร้อนออกจากห้องโดยสาร ด้วยวิธีง่ายๆ<br />
<br />
ดูคลิปประกอบ..<br />
<br />
1. เปิดกระจก ด้านคนนั่งข้างคนขับไว้<br />
<br />
2. เปิด ปิด ประตูรถด้านคนขับ เพียง 5 ครั้ง<br />
<br />
ใช้เวลาเพียง 10 วินาที ก็ไล่ความร้อนออกจากรถได้แล้ว<br />
<br />
วิธี ลด ไล่ ความร้อนของรถ ที่จอดตากแดด<br />
<center><iframe width="560" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/kHb3LDVByoM" frameborder="0" allowfullscreen></iframe></center>somphonghttp://www.blogger.com/profile/07203143908234315462noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6143190172184203950.post-49500516302815548082016-05-07T16:14:00.002+07:002016-05-10T12:12:01.445+07:00รถหาย..ต้องชำระค่าเช่าซื้อต่อไปอีกหรือไม่?แนะ 4 วิธีป้องกันรถไม่หายแน่นอน!<br />
<center><iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/wTBw8x1kzNs" frameborder="0" allowfullscreen></iframe></center><br />
<span style="color: #3333ff; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;"><strong>เพราะเหตุใด?? รถจักรยานยนต์ หรือ รถยนต์ สูญหาย ไม่ต้องชำระค่าเช่าซื้อต่อไปอีก..</strong></span><br />
<span style="color: #ff9900;">By: ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร</span><br />
<br />
เนื่องจากสัญญาเช่าซื้อ เป็นสัญญาเช่าชนิดหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งกฎหมายเกี่ยวกับการเช่า ตามมาตรา 567 บัญญัติว่า<br />
<br />
มาตรา 567 ถ้าทรัพย์สินซึ่งให้เช่าสูญหายไปทั้งหมดไซร้ ท่านว่าสัญญาเช่าก็ย่อม ระงับไปด้วย<br />
<br />
หมายความว่า ถ้ารถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหายไป โดยไม่ใช่ความผิดของผู้เช่าซื้อ<br />
<br />
สัญญาเช่าซื้อย่อมระงับไปตามกฎหมาย คู่สัญญาสิ้นความผูกพันเสมือนไม่ได้ทำสัญญาเช่าซื้อต่อกันอีกต่อไป<br />
<br />
หากการเช่าซื้อยังคงผ่อนชำระไม่หมดผู้เช่าซื้อก็ไม่ต้องผ่อนชำระงวดที่เหลือในอนาคต<br />
<br />
หลักการนี้เป็นบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 567<br />
<br />
ในกรณีไฟแนนซ์ หรือ ลิสซิ่ง ที่ให้เช่าซื้อ ทำสัญญาบังคับให้ผู้เช่าซื้อ ต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเช่าซื้อต่อไป แม้ว่ารถยนต์นั้นจะสูญหายไปตามสัญญาก็ตาม สัญญาฉบับนั้น ก็ตาม(ข้อกำหนอในสัญญา) ก็ไม่สามารถบังคับได้ เพราะขัดต่อประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้สัญญาธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจควบคุมสัญญา พ.ศ.2555 ในข้อ 5 (4)<br />
<br />
ข้อ ๕ ข้อสัญญาที่ผู้ประกอบธุรกิจทำกับผู้บริโภคต้องไม่ใช้ข้อสัญญาที่มีลักษณะหรือมีความหมายทำนองเดียวกัน ดังต่อไปนี้....<br />
<br />
(๔) ข้อสัญญาที่กำหนดให้ผู้เช่าซื้อต้องรับผิดชำระค่าเช่าซื้อให้ครบถ้วนตาม สัญญา ในกรณีรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ที่เช่าซื้อสูญหาย ถูกทำลาย ถูกยึด ถูกอายัด หรือถูกริบ โดยมิใช่ความผิดของผู้เช่าซื้อ เว้นแต่ค่าเสียหาย หรือเบี้ยปรับ หรือค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการทวงถาม การติดตามรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ที่เช่าซื้อ ค่าทนายความหรือค่าอื่นใด เพียงเท่าที่ผู้ให้เช่าซื้อได้ใช้จ่ายไปจริง โดยประหยัดตามความจำเป็นและมีเหตุผลอันสมควร)<br />
<br />
แต่การที่สัญญาจะระงับตามกฎหมายต้องปรากฏหมายว่า เหตุที่รถสูญหายไปนั้น ไม่ใช่ความผิดของผู้เช่าซื้อ<br />
<br />
และที่สำคัญ ผู้เช่าซื้อต้องแสดงให้เห็นว่า ตนได้ใช้ความระมัดระวังในการดูแลรักษาทรัพย์สินเหมือนเช่นวิญญูชนจะพึงรักษาทรัพย์สินของตนเองหรือไม่<br />
<br />
เพราะโจทก์ (ผู้ให้เช่าซื้อ) ไม่อาจทราบได้เองว่า ขณะรถยนต์สูญหาย จำเลยได้ใช้ความระมัดระวังเพียงใด<br />
<br />
คดีนี้...ปรากฏว่า จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาคดี ไม่สืบพยาน (คือจำเลยไม่มาศาลเพื่อสู้คดี) จึงไม่มีพยานหลักฐานให้ศาลพิจารณาได้ว่า จำเลยที่ 1 ใช้ความระมัดระวังในการดูแลทรัพย์สินหรือไม่ ศาลจึงต้องฟังว่าเหตุที่รถที่เช่าซื้อสูญหายเป็นความผิดของจำเลยที่1 ดังนั้น จำเลยทั้งสองต้องร่วมกันรับผิดใช้ราคาค่าเช่าซื้อแก่โจทก์ สัญญาเช่าซื้อไม่ระงับไปตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 567<br />
<br />
(คำพิพากษาฎีกาที่ 6531/2558)<br />
<br />
ที่มา: http://everyday-thailand.blogspot.com/2016/03/blog-post_10.html<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/29/fit53.jpg" /></center><br />
<span style="color: #3333ff; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;"><strong>ในกรณี ที่เช่าซื้อรถยนต์ และ ถูกไฟแนนซ์ บังคับให้ทำประกันภัย รถหาย โดยให้ไฟแนนซ์รับผลประโยชน์ เต็มจำนวน หรือบางส่วน</strong></span><br />
<span style="color: #ff9900;">By: ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร</span><br />
<br />
ต่อมารถหาย...ไฟแนนซ์ไปเรียกค่าสินไหมจาก บริษัทประกันภัยแล้ว ไม่มีสิทธิเรียกให้ผู้เช่าซื้อ ชำระค่างวดที่เหลืออีกต่อไป<br />
<br />
คดีนี้ ไฟแนนซ์ใช้สิทธิไม่สุจริต ได้เงินจากประกันไปแล้วยังไม่พอ แต่กับมาบังคับ ให้โจทก์ (ผู้เช่าซื้อ) ชำระค่างวด อีก 10 งวดที่เหลือ โดยอ้างว่า มีข้อตกลงในสัญญาให้รับผิดชอบ (ถ้าปัจจุบันนี้สัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะ) โจทก์ หลงเชื่อหรือกลัวว่าจะถูกฟ้อง ก็กัดฟันส่งจนหมด เสียเงินไป สองแสนเศษ<br />
<br />
ครั้นมาปรึกษาทนาย จึงได้ความว่า เสียค่าโง่ ผ่อนกุญแจตั้ง สองแสนกว่าไปฟรีๆ<br />
<br />
โจทก์จึงนำคดีมาฟ้อง ให้จำเลย โอนรถคันใหม่ให้ หรือ คืนเงินค่างวด ที่โจทก์จ่ายไป<br />
<br />
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า..<br />
<br />
ค่าเสียหายกรณีรถยนต์ที่ผ่อนสูญหาย การผ่อนรถยนต์โดยทำสัญญาเช่าซื้อที่มีข้อกำหนดในสัญญาให้ผู้เช่าซื้อต้องจัดทำสัญญาประกันภัย กรณีที่รถยนต์สูญหาย โดยให้ผู้ให้เช่าซื้อเป็นผู้รับประโยชน์ และกำหนดในสัญญาด้วยว่า ถ้ารถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหายอันผู้เช่าซื้อต้องรับผิดชอบ ผู้เช่าซื้อต้องจ่ายค่างวดที่เหลือจนครบนั้น ถ้าผู้ให้เช่าซื้อได้รับค่าชดใช้สองทาง คือ จากผู้เช่าซื้อที่ต้องจ่ายค่างวดที่เหลือจนครบ และก็รับค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัยด้วย กรณีเช่นนี้ ศาลฎีกามีคำพิพากษาวินิจฉัยว่า กรณีที่รถยนต์ที่เช่าซื้อถูกลักไป ผู้ให้เช่าซื้อได้รับค่าสินไหมทดแทนสองทางโดยได้จากผู้เช่าซื้อและจากบริษัทประกันภัย อันเป็นการเกินกว่าค่าเสียหายที่ได้รับ เป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ผู้ให้เช่าซื้อต้องคืนค่าเช่าซื้อดังกล่าวให้ผู้เช่าซื้อ<br />
<br />
(คำพิพากษาฎีกาที่ 4819/2549)<br />
<br />
ที่มา: https://www.facebook.com/photo.php?fbid=203073903390507&set=a.121037008260864.1073741828.100010636963592&type=3&theater<br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/at/0qt54.jpg" /></center><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/lf/0pt55.jpg" /></center><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/jf/y8t56.jpg" /></center><br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/uq/cmt57.jpg" /></center>somphonghttp://www.blogger.com/profile/07203143908234315462noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6143190172184203950.post-80410827166664051172016-02-17T11:40:00.002+07:002016-05-12T09:43:50.130+07:00รถป้ายแดง.., อ่านดู มีสาระมากมาย.., รวมลิ้งค์ FaceBook.. สารพัดเรื่องของรถยนต์ & .....<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/dr/12472540_3.jpg" /></center><br />
<span style="color: #3333ff; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;"><strong>เพื่อนสนิทกันถามผมว่า..</strong></span><br />
<span style="color: #ff9900;">By: ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร</span><br />
<br />
"เมื่อไหร่จะมีข่าวดีลูกชายโทนหาสะใภ้ให้ซะที จะได้มีหลานตัวน้อยๆคอยประจบกับเค้ามั่ง"<br />
<br />
ผมไม่ทันขยับแต่สาวน้อย(ก็แม่ของลูกนั่นแหละ)ชิงตอบ<br />
<br />
"ลูกคนนี้ติดพ่อติดแม่ มันขี้อาย..รอให้สาวๆมาขอเองมั้ง"<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
เพิ่งเคยเห็นรูปฝ่ายหญิงขอฝ่ายชายแต่งงาน ที่อินเดียได้ข่าวฝ่ายหญิงต้องไปขอฝ่ายชายแต่งงานแถมต้องเสียค่าสินสอดด้วย<br />
<br />
ผมว่าโอเคนะ แสดงความเท่าเทียมกันทางเพศ ผู้ชายดีๆแต่ขี้อายฝ่ายหญิงอาจต้องเป็นฝ่ายรุกบ้าง ก็น่ารักดี..<br />
<br />
อ๊ะ อ๊ะ.. คุณสาวๆ อย่าเพิ่งคิดดุเชียว ดูรูปหนุ่มก่อน สุภาพนุ่มนวล น้อมรับไมตรีด้วยการให้เกียรติอย่างสูงยิ่งนะครับ ไม่ได้รับรัก ด้วยความยโสแม้เพียงน้อยนิด<br />
<br />
หวังว่าคงดุไม่ลงนะครับ.<br />
<br />
คลิกภาพ..เพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น<br />
<center><a href="http://upic.me/i/a3/17-02-591080818.jpg" target="_blank"><img src="http://upic.me/i/pk/17-02-59580439.jpg" /></a></center><br />
<span style="color: #3333ff; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;"><strong>รถป้ายแดง..</strong></span><br />
<span style="color: #ff9900;">By: ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร</span><br />
<br />
"..เวลากลางวันนับจาก พระอาทิตย์ขึ้น ถึง พระอาทิตย์ตก (ไม่ใช่ 06.00ถึง18.00น.) .. เวลากลางคืนนับจาก พระอาทิตย์ตก ถึง พระอาทิตย์ขึ้น (ไม่ใช่ 18.00ถึง6.00น.).."<br />
<br />
การจะใช้ป้ายแดงนั้นต้องกรอกรายการ ใช้รถ และห้ามขับตอนมืด ถ้าจะขับตอนมืดต้องขออนุญาต โดยกฎพื้นฐานเดิมของการใช้รถป้ายแดง ปัจจุบันยังมีการบังคับใช้ครบถ้วน โดยมีสาระสำคัญคือ<br />
<br />
1. ทุกครั้งที่ใช้รถเดินทาง ต้องกรอกรายละเอียดในรายการใช้รถในสมุดคู่มือฯ ให้ครบถ้วน<br />
<br />
2. ถ้าทำตามข้อ1 แล้ว จะสามารถใช้รถได้ เวลากลางวันเฉพาะช่วงพระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตกเท่านั้น (ไม่ใช่ 6.00-18.00น.)<br />
<br />
3. หากจะใช้รถตอนมืด เวลาพระอาทิตย์ตกถึงพระอาทิตย์ขึ้น (เวลากลางคืนไม่ว่าจะค่ำ ดึก หรือเช้ามืด) นอกจากต้องทำตามข้อ1 แล้ว จะต้องขอรับอนุญาตจากนายทะเบียน (จะต้องมีลายมือชื่อนายทะเบียนของทางราชการในรายการใช้รถ) หากมีการฝ่าฝืนในข้อใด มีโทษปรับ<br />
<br />
ทำไมถึงห้ามขับรถตอนมืด?<br />
<br />
หลายคนสงสัย ว่าทำไมห้ามใช้ป้ายแดงตอนมืด คำตอบนั้นคือ เพราะป้ายแดงเป็นป้ายชั่วคราวที่สามารถหมุนเวียนนำไปใช้ได้ โดยการหมุนเวียนเปลี่ยนคันรถไม่ต้องขออนุญาตจากทางราชการ<br />
<br />
อีกทั้งป้ายแดงนั้นยังมีสีเข้ม อ่านได้ยากตอนกลางคืน ดังนั้นหากเกิดเหตุอะไรไม่ชอบมาพากลตอนกลางคืน นอกจากจะอ่านเลขทะเบียนยากแล้ว ถ้าอ่านออก การติดตาม หรือค้นหารถคันจริงที่ใช้ป้ายนั้นในช่วงเวลาที่เกิดเหตุ จะยุ่งยากกว่าการตามรถที่มีป้ายถาวรแล้ว.<br />
<br />
Testdrive All New Honda Jazz E85<br />
<center><iframe width="560" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/fxqY6_Zu0Uw" frameborder="0" allowfullscreen></iframe></center><br />
<span style="color: #3333ff; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;"><strong>อ่านดู มีสาระมากมาย..</strong></span><br />
<span style="color: #ff9900;">By: ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร</span><br />
<br />
คำตอบ!! รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม..ที่คนขับรถ"ทุกคนต้องอ่าน" ขอย้ำว่าทุกคนต้องอ่าน..<br />
<br />
1. ใบขับขี่กับประกัน .. หลายคนคิดว่าขับรถแล้วเกิดอุบัติเหตุ เรียกประกันมา ใบขับขี่ไม่มีทำไงดี บางคนยัดเงินพนักงานเคลม บางคนเปลี่ยนคนขับ<br />
<br />
ผมอยากชี้แจงให้ทราบว่าใบขับขี่จำเป็นต้องมีในกรณีเดียวคือเมื่อเกิดเหตุแล้วรถเจ้าของประกันภัยต้องการซ่อมรถตัวเอง นอกนั้นไม่ต้องใช้ อาจไม่เห็นภาพนะครับลองมาดูกันต่อ<br />
<br />
*** รถมีประกันชั้น1 แล้ว ไปชนรถหรือทรัพย์สินคนอื่น ไม่ว่าอะไรก็ตาม ประกันจะต้องรับผิดชอบคู่กรณีแทนท่านทุกกรณี ไม่ว่าท่านจะชนรถ ชนรั้วบ้าน ชนคน ชนอะไรก็ได้ที่เป็นทรัพย์สินของคนอื่น ไม่ว่าท่านจะมีใบขับขี่หรือไม่ ประกันต้องจ่ายหมด<br />
<br />
สิ่งที่แตกต่างระหว่าง มี กับ ไม่มี ใบขับขี่ คือ ถ้าท่านไม่มีใบขับขี่ประกันจะไม่ซ่อมรถให้ท่านแค่นั้น<br />
<br />
ถ้าท่านขับรถไปชนท้ายเค้า แล้วมีใบขับขี่ประกันจะซ่อมรถให้ทั้ง 2 คัน แต่ถ้าไม่มีประกันจะซ่อมแต่รถคู่กรณีไม่ซ่อมรถท่าน กรณีที่ท่านเปิดเคลมแห้ง (ไม่มีคู่กรณี) ท่านที่มีชั้น1 อยู่ อย่าปล่อยสิทธิให้เสียไป หากรถมีรอยขีดข่วน สะเก็ดหิน อยากได้สีใหม่ เพียงแค่ใช้บุคคลที่มีใบขับขี่ โทรแจ้งขอเคลมสีของท่านได้<br />
<br />
*** รถมีประกันชั้น2-3 ธรรมดา ไม่ต้องกังวลใดๆ ท่านจะขับชนอะไรก็ตาม ไม่ต้องมีใบขับขี่ประกันต้องรับผิดชอบหมด ยกเว้นชั้น2 กรณีรถหายหรือไฟไหม้จำเป็นต้องมี<br />
<br />
*** รถที่มีประกันชั้น2-3 พลัส หรือ ประเภท 5 ลักษณะเดียวกับประกันชั้น1 แต่จะแตกต่างตรงที่จะต้องเป็นรถชนรถ รถที่มีป้ายทะเบียนเท่านั้น จักรยาน ซาเล้ง ไม่เกี่ยว รถชนรถ มีใบขับขี่ก็ซ่อมทั้งคู่ ไม่มีก็ซ่อมเฉพาะทรัพย์ที่เราชน<br />
<br />
2. เมาสุรากับประกันภัย .. ไม่ต้องกังวลใดๆครับ เงื่อนไข ของประกันภัย จะไม่รับผิดชอบให้ท่านต่อเมื่อท่านเมาในระดับแอลกอออล์เกิน 150 เพราะฉะนั้นถ้าท่านเมาไม่มากสิ่งที่ระวังคือตำรวจ พยายามหลีกเลี่ยงการขึ้นโรงพัก การเป่าแอลกอฮอล์ เมื่อเกิดเหตุ รุนแรงขนาดเข้าโรงพยาบาล อย่าให้พยาบาลเจาะเลือดท่าน ถ้าไม่มีหลักฐานการตรวจประกันต้องจ่ายสถานเดียว จำไว้ถ้าท่าน ไม่เมาจนเกินลิมิตประกันจ่ายคุณแน่แต่ระวังข้อหาเมาแล้วขับก็พอ (ผมเคยเมาแล้วโดนเป่า ออกมาได้ 187 เรียกว่าขับรถไม่ได้แล้วครับ)<br />
<br />
3. โดนชนแล้วหนี .. ท่านที่มีประกันชั้น1 หรือ 2–3 พลัส หากโดนชนแล้วหนีท่านต้องจำทะเบียนรถคันนั้นให้ได้ แล้วเตรียมใบขับขี่ ถ้าไม่มี ให้หาคนมีใบขับขี่เอาไว้แล้วไปแจ้งความที่ สน.ท้องที่นั้น นำใบแจ้งความมาแล้วโทรแจ้งประกัน ประกันจะส่งพนักงานเคลมมาเคลมให้ ถ้าท่านไม่ทราบเลขทะเบียนของคนที่ชนท่าน สำหรับประกันชั้น1 ให้แจ้งเป็นชนโน่นชนนี่ไม่มีคู่กรณี ตามสภาพบาดแผลที่น่าจะเป็น สำหรับ 2-3 พลัส .... อดไป<br />
<br />
4. เลขทะเบียน เลขเครื่อง สีรถ ภาษีขาด .. อธิบายสั้นๆง่ายๆว่าประกันยึดถือเลขตัวถังรถเป็นหลัก ไม่ว่าป้ายไม่ตรง เลขเครื่องไม่ตรง สีไม่ตรง ภาษีขาดต่อ ไม่เกี่ยวข้อง กับประกันภัย ไม่ต้องซีเรียส ไม่ต้องกลัวประกันไม่จ่าย หากเลขตัวรถท่านตรงเป็นอัน..แฮปปี้ ยกเว้นกรณีที่ประกันหาเลข ตัวถังรถท่านไม่เจอ ประกันอาจขูดเลขเครื่องของท่านแทน<br />
<br />
5. ใบขับขี่โดนยึด หมดอายุ หาย .. หากใบขับขี่โดนยึดให้แสดงใบสั่งแทน ประกันยึดถือแค่ว่าจะไม่คุ้มครองผู้ที่ไม่เคยได้รับใบอนุญาต เท่านั้น หากหมดอายุก็แสดงไปใช้ได้ไม่มีปัญหา หากโดนยึดก็แสดงใบสั่ง หากหายถ้ามีสำเนาก็แสดงสำเนาหรือหากไม่มีในวันนั้นในวันที่เอารถเข้าซ่อมก็เตรียมไปด้วยไม่งั้นอดซ่อม และหากหายและไม่มีสำเนาก็ไปทำมาซะแต่ตอนเกิดเหตุต้องแจ้งว่ามีไว้ก่อน ไม่ได้เอามาหรืออะไรก็ว่าไป มีเวลาเรื่อยๆจนกว่าท่านเอารถเข้าซ่อม<br />
<br />
6. เวลาเกิดเหตุกลางถนน .. หากตกลงกันได้ว่าใครผิดใครถูก คนผิดยอมรับผิด ให้เคลื่อนย้ายรถออกจากที่เกิดเหตุทันที อย่าไปจอดเกะกะชาวบ้าน ไม่จำเป็นต้องรอประกันมาถึง หากไม่รู้ใครผิดให้ตำรวจตัดสินแล้วย้ายรถออกได้ หรือไม่มีตำรวจหากบังเอิญพกสีสเปรย์มา ให้พ่นตำแหน่งที่ล้อทั้ง 2 คัน และบริเวณหน้า+ท้าย+ข้างของรถทั้ง 2 คัน ไม่จำเป็นต้องไปโรงพักหากคุยกันได้ ยกเว้นการชนที่มีคู่กรณีมากกว่า 2 คัน ถึงต้องไปโรงพัก และคนที่ผิดต้องโดนปรับข้อหาขับรถโดยประมาท<br />
<br />
7. ช่วงล่างกระแทกพัง แมกซ์ดุ้ง ยางระเบิด และ อุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ .. ประกันชั้น1 ต้องจ่ายให้ท่านทุกกรณีแต่ต้องมีใบขับขี่ หากท่านมีอุปกรณ์ตกแต่งราคาแพงต้องการคุ้มครองกรณีสูญหายให้ท่านเตรียมใบเสร็จจากที่ร้านที่ท่านติดตั้ง เช่น แมกซ์ เครื่องเสียง แล้วโทรสอบถามเงื่อนไขการประกันภัย ให้ประกันเพิ่มสลักหลังคุ้มครองอุปกรณ์ตกแต่งนั้นๆ ประกันจะคิดเบี้ยท่านเพิ่มแต่ไม่มาก แต่ถ้าไม่ซีเรียสเรื่องหายก็ไม่ต้อง เพราะหากแค่เสียหายก็ยังเหลือซากให้เห็นอยู่แล้ว<br />
<br />
ยางที่ถูกกระแทกจนระเบิดประกันจะจ่ายครึ่งเดียวครับ พวกยางแพงๆขอบ 19-20 ก็จัดไปส่วนที่เป็น 2-3พลัส อดครับ เว้นแต่ความเสียหายนั้นสืบเนื่องมาจากการชนกับของรถที่มีทะเบียน -เช่น รถท่านโดนปาดหน้าจนเสียหลักพุ่งชนต้นไม้ ตกคลอง กระแทกฟุตบาต แบบนี้ประกันก็ต้องซ่อมให้ท่านครับไม่ใช่แค่แผลที่เกิดจากการปะทะระหว่างรถกับรถ<br />
<br />
8. ชั้น1เคลมสีรถแล้วจะเปลี่ยนสี .. สามารถทำได้ครับโดยให้แจ้งประกันว่าจะเปลี่ยนสี ประกันยึดหลักการว่า เกิดเหตุจริง ซ่อมจริง หากคุณจะเปลี่ยนสีก็ไม่ใช่ปัญหา<br />
<br />
9. เคลมอะไหล่แล้วอยากเปลี่ยนเป็นอะไหล่แต่ง .. สามารถทำได้ครับ เช่น ไฟหน้า ไฟท้าย กันชน สเกิร์ต โดยการเพิ่มเงิน ส่วนต่าง ถ้าอู่นั้นโอเคกับท่าน หรือมีอู่ที่ใช้ประจำก็ให้อู่ทำใบเสนอราคาแล้วนำรถไปที่บริษัทเพื่อคุมราคา(ตกลงราคา) แล้วก็จัดซ่อมเอง ทีนี้จะเปลี่ยนอะไรก็เปลี่ยนโลด เสร็จแล้วประกันจะโอนเงินค่าซ่อมคืนให้กับท่าน<br />
<br />
10. ทุกครั้งที่รับใบแจ้งความเสียหาย หรือใบเคลม .. ท่านต้องตรวจสอบความเสียหายให้ตรงตามจำนวนชิ้นให้แน่นอนก่อนเซ็นรับ ผิดถูกให้แย้งและแก้ไขในรายการทันที ไม่งั้นส่วนที่ไม่ได้ลงท่านต้องซ่อมเองนะ ในกรณีที่ในชิ้นนั้นมีบาดแผลมาก่อนไม่เกี่ยวกับเหตุครั้งนั้น ประกันจะวงเล็บว่า(แผลเก่า) แปลว่าประกันจะให้ครึ่งราคาเพราะชิ้นส่วนนั้นไม่สมบูรณ์ประกันจะไม่รับผิดชอบเต็มท่านต้องร่วมจ่ายด้วย.<br />
<br />
ที่มา.. http://www.hugclip.com/3963/<br />
<br />
<font color="#0000FF">@</font> <a href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1288770421136977&set=a.433956156618412.116381.100000120933242&type=3&theater" target="_blank">รวมลิ้งค์ FaceBook.. สารพัดเรื่องของรถยนต์ & .....</a><br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;"src="http://upic.me/i/2m/k8888.jpg" /></center><br />
<span style="color: #3333ff; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;"><strong>รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม<br />
รวมลิ้งค์ FaceBook.. สารพัดเรื่องของรถยนต์ & .....</strong></span><br />
<span style="color: #ff9900;">By: ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร</span><br />
<br />
<font color="#0000FF">@</font> <a href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1206421656038521&set=a.433956156618412.116381.100000120933242&type=3&theater" target="_blank">เสี้ยววินาทีนั้น!! "ความรู้จักยับยั้งชั่งใจ" ที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็กเริ่มทำงาน ผมต้องตัดสินใจว่าจะเลือกอย่างไหน ระหว่าง "หยิบ" หรือ "ไม่หยิบ" ถ้าหยิบนั่นหมายถึงคุก แต่ถ้าไม่หยิบล่ะ..........</a><br />
<font color="#0000FF">@</font> <a href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1208745849139435&set=a.433956156618412.116381.100000120933242&type=3&theater" target="_blank">สอนลูก.. (ลูกใครก็ได้ที่เข้ามาอ่าน)</a><br />
<font color="#0000FF">@</font> <a href="https://www.facebook.com/media/set/?set=a.111097919042531.20581.100004269694162&type=1&l=73b288bcfb" target="_blank">ศาสตร์เลี้ยงลูกให้ได้อย่างใจ..</a><br />
<font color="#0000FF">@</font> <a href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1287335727947113&set=a.433956156618412.116381.100000120933242&type=3&theater" target="_blank">รถป้ายแดง.. "..เวลากลางวันนับจาก พระอาทิตย์ขึ้น ถึง พระอาทิตย์ตก (ไม่ใช่ 06.00ถึง18.00น.) .. เวลากลางคืนนับจาก พระอาทิตย์ตก ถึง พระอาทิตย์ขึ้น (ไม่ใช่ 18.00ถึง6.00น.).."</a><br />
<font color="#0000FF">@</font> <a href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1214496291897724&set=a.433956156618412.116381.100000120933242&type=3&theater" target="_blank">ออกมาแล้ว!!! 23 พ.ร.บ.จราจรใหม่ ค่าปรับหนักมากขึ้น..</a><br />
<font color="#0000FF">@</font> <a href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1214504238563596&set=a.433956156618412.116381.100000120933242&type=3&theater" target="_blank">ระวัง!! โดนจับกันเยอะ.. พอลงจากสะพานแล้วห้ามเปลี่ยนเลนเข้าซ้ายทันที 'ต้องให้เลยเส้นแดงไปก่อนจึงค่อยเปลี่ยนเลน' มิฉะนั้นโดนบันทึกภาพสั่งปรับทางจดหมายทันที</a><br />
<font color="#0000FF">@</font> <a href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1242741215739898&set=a.433956156618412.116381.100000120933242&type=3&theater" target="_blank">ง่ายๆ 5สิ่ง.. ทำหรือเปลี่ยนเองดีกว่า ประหยัดตังค์ด้วยแหละ</a><br />
<font color="#0000FF">@</font> <a href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1243346875679332&set=a.433956156618412.116381.100000120933242&type=3&theater" target="_blank">8 สัญญาณผิดปกติในรถต้องรีบแก้ไข.. "..ข้อมูลอาการผิดปกติของรถที่ควรรีบเช็กและซ่อมแซมโดยเร็ว ก่อนจะเสียหายหนัก.."</a><br />
<font color="#0000FF">@</font> <a href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1225335110813842&set=a.433956156618412.116381.100000120933242&type=3&theater" target="_blank">1/2 ลองเอาไปใช้.. "..ง่ายๆ..เทคนิคการถอยรถเข้าซองที่ได้ผล100% .. การถอยเข้าซองแบบนี้เป็นหนึ่งในท่าสอบใบขับขี่ที่ทำคนตกม้าตายมาเยอะแล้ว.."</a><br />
<font color="#0000FF">@</font> <a href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1225340310813322&set=a.433956156618412.116381.100000120933242&type=3&theater" target="_blank">2/2 ลองเอาไปใช้.. "..ง่ายๆ..เทคนิคการถอยรถเข้าซองที่ได้ผล100% .. การถอยเข้าซองแบบนี้เป็นหนึ่งในท่าสอบใบขับขี่ที่ทำคนตกม้าตายมาเยอะแล้ว.."</a><br />
<font color="#0000FF">@</font> <a href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1260489153965104&set=a.433956156618412.116381.100000120933242&type=3&theater" target="_blank">จอดรถให้ถูกวิธี.. "..ทำไมเวลาจอดรถต้องเอาหน้าออก?!! ไม่ใช่แค่เรื่องความปลอดภัย ยังมีสาเหตุที่สำคัญกว่านี้อีก!!.."</a><br />
<font color="#0000FF">@</font> <a href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1263694893644530&set=a.433956156618412.116381.100000120933242&type=3&theater" target="_blank">"แชร์ไว้เป็นอุทาหรณ์คนขับรถ.. หากเกิดกรณีเช่นนี้เมื่อไรยังไงก็เบรคไม่ทัน อย่าหักหลบ เปลี่ยนเกียร์ต่ำลดความเร็วเท่าที่ทำได้ ปล่อยชนตรงๆ โอกาสรอดสูงกว่า"</a><br />
<font color="#0000FF">@</font> <a href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1263851070295579&set=a.433956156618412.116381.100000120933242&type=3&theater" target="_blank">หลักการขับรถทั่วโลก.. คือ วัฒนธรรมการให้ทาง .. แต่คนไทย..มี วัฒนธรรมแย่งทางเสมอ</a><br />
<font color="#0000FF">@</font> <a href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1264338033580216&set=a.433956156618412.116381.100000120933242&type=3&theater" target="_blank">ให้นึกไว้เลย.. โดนโจรเล่นงานเข้าแล้ว ...&... วิธีป้องกันรถหายคงช่วยเหลือคุณได้ไม่มากก็น้อย</a><br />
<font color="#0000FF">@</font> <a href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1266587380021948&set=a.433956156618412.116381.100000120933242&type=3&theater" target="_blank">ระวัง!! เวลาจอดรถ โจรจะแอบมายัดเหรียญตรงประตูที่นั่งฝั่งผู้โดยสารด้านหน้า..</a><br />
<font color="#0000FF">@</font> <a href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1267737899906896&set=a.433956156618412.116381.100000120933242&type=3&theater" target="_blank">หลากเรื่อง.. รถป้ายแดงที่คุณ อาจจะไม่เคยรู้.....</a><br />
<font color="#0000FF">@</font> <a href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1273899449290741&set=a.433956156618412.116381.100000120933242&type=3&theater" target="_blank">ไขความลับประกันภัย.. "..อะไรบ้างที่คุณควรรู้จากบริษัทประกันภัย? และเมื่อไรที่คุณตกเป็นผู้เสียหาย คุณจะสามารถเรียกร้องสิทธิประโยชน์จากคู่กรณีได้ อย่างไรบ้าง?.."</a><br />
<font color="#0000FF">@</font> <a href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1283009735046379&set=a.433956156618412.116381.100000120933242&type=3&theater" target="_blank">เรื่องของดอกยางรถยนต์.. "หลายคนสงสัยว่า ยางรถยนต์ของเราความจริงแล้ว สามารถใช้งานได้กี่ปีกันแน่..."</a><br />
<font color="#0000FF">@</font> <a href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1297089140305105&set=a.433956156618412.116381.100000120933242&type=3&theater" target="_blank">สี่ขั้นตอนเมื่อยางรถแตก.. "..แต่ทั้งหมด 1-2-3-4 ขั้นตอนนี้ คุณจะต้องทำในเวลาไม่ถึง 20 วินาที หลังจากที่ยางรถคุณได้พลีชีพไปแล้ว.."</a><br />
<font color="#0000FF">@</font> <a href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1297583116922374&set=a.433956156618412.116381.100000120933242&type=3&theater" target="_blank">รู้มั้ย.. E85 คืออะไร? "..ขับรถไปต่างจังหวัดหลายคนไม่เข้าใจ .. เคยขับเข้าแทรกสิบล้อ สิบล้อส่วนใหญ่จะบีบแตรไล่ เพราะสิบล้อเขารู้ว่า...?.."</a><br />
<font color="#0000FF">@</font> <a href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1298453116835374&set=a.433956156618412.116381.100000120933242&type=3&theater" target="_blank">เรื่องดูแลรถยนต์.. "..มีหลากสิ่งที่คุณทำเองได้ .. ขอเพียงแค่คุณเจียดเวลานิดหน่อยและเอาใจใส่พวกมันบ้าง รถของคุณก็จะมีสภาพดีและพร้อมใช้ไปอีกยาวนาน.."</a><br />
<font color="#0000FF">@</font> <a href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1311495952197757&set=a.433956156618412.116381.100000120933242&type=3&theater" target="_blank">อ่านไว้เป็นอุทาหรณ์สอนตัวเอง.. "..และส่งต่อไปยังคนที่คุณรักนะครับ.."</a><br />
<font color="#0000FF">@</font> <a href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1336591486354870&set=a.433956156618412.116381.100000120933242&type=3&theater" target="_blank">วิธีป้องกันแก๊งตบทรัพย์รถยนต์ .. ข้อสังเกต: แก๊งตบทรัพย์มักจะเลือกเหยื่อที่เป็นผู้หญิง หรือคนมีอายุ และรถที่ค่อนข้างเก่า ไม่มีประกัน..</a><br />
<font color="#0000FF">@</font> <a href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1336795459667806&set=a.433956156618412.116381.100000120933242&type=3&theater" target="_blank">เตือนภัยใกล้ตัว.. ดูไว้!! ก้มหน้าก้มตากินๆอย่างเดียว หรือจิ้มๆโทรศัพท์เพลิน..</a><br />
<font color="#0000FF">@</font> <a href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1337302439617108&set=a.433956156618412.116381.100000120933242&type=3&theater" target="_blank">"มิจฉาชีพ ยูเทิร์น" เตือนภัยกันสักนิด เดี๋ยวนี้ หากินกันแปลกๆ...</a><br />
<font color="#0000FF">@</font> <a href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1337585352922150&set=a.433956156618412.116381.100000120933242&type=3&theater" target="_blank">วิธี ลด ไล่ ความร้อน.. รถที่จอดตากแดด จนห้องโดยสารร้อน แก้ไขได้ด้วยวิธีง่ายๆ..</a><br />
<font color="#0000FF">@</font> <a href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1354212924592726&set=a.433956156618412.116381.100000120933242&type=3&theater" target="_blank">เคล็ดลับ..ดูแลรถยนต์หน้าร้อน</a><br />
<font color="#0000FF">@</font> <a href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1355053627841989&set=a.433956156618412.116381.100000120933242&type=3&theater" target="_blank">รหัสลับ..สิบล้อ..</a><br />
<font color="#0000FF">@</font> <a href="https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1357066530974032&set=a.433956156618412.116381.100000120933242&type=3&theater" target="_blank">5อาการก่อนเกียร์ออโต้เจ๊ง..</a>somphonghttp://www.blogger.com/profile/07203143908234315462noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6143190172184203950.post-41515184433731525132016-01-23T14:44:00.002+07:002017-06-01T13:24:30.809+07:00ข้าวผัดกระเทียม, วิธีเก็บมะนาวสดไว้กินได้ตลอดปี, มะนาวดองน้ำผึ้ง สูตรลดหน้าท้อง, ขนมถ้วยสูตรโบราณ,<center><img style="max-width: 580px;" src="http://upic.me/i/4y/d11952573-0.jpg" /></center><br />
<span style="color: #3333ff; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;"><strong>ข้าวผัดกระเทียม</strong></span><br />
<span style="color: #ff9900;">By: ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร</span><br />
<br />
ข้าวผัดกระเทียม.. ผัดข้าวด้วยไฟอ่อน 10 นาที แล้วใส่ไข่ ปรุงรส<br />
<br />
เครื่องปรุง:<br />
- ข้าวสวยหอมมะลิ 3 ถ้วย<br />
- เนย<br />
- น้ำมัน<br />
- กระเทียมสับ 3 หัว<br />
- ต้นหอมซอย<br />
- ไข่เป็ด 2 ฟอง<br />
- ซีอิ้วญี่ปุ่น(โชยุ)<br />
<br />
วิธีผัด:<br />
1. ข้าวสวย 3 ถ้วยตวง (หุงข้าวเสร็จ เอาข้าวใส่กะละมัง ใช้พัดลมเป่าให้เย็น เม็ดข้าวจะร่วน)<br />
<center><img style="max-width: 580px;" src="http://upic.me/i/st/d11952573-1.jpg" /></center><br />
2. กระเทียมและต้นหอมซอย<br />
<center><img style="max-width: 580px;" src="http://upic.me/i/bc/d11952573-2.jpg" /></center><br />
3. ตั้งกระทะใช้ไฟกลางอ่อน ใส่น้ำมันไป 1/4 ถ้วย ใส่เนย 50 กรัมลงไป (ใส่เนยพร้อมกับน้ำมัน เนยจะไม่ไหม้) ใส่กระเทียมลงไปผัด<br />
<center><img style="max-width: 580px;" src="http://upic.me/i/1q/d11952573-3.jpg" /></center><br />
4. พอกระเทียมสุก (อย่าให้เปลี่ยนสี) ใส่ข้าวลงไป ผัดให้ข้าวร่วน<br />
<center><img style="max-width: 580px;" src="http://upic.me/i/ex/d11952573-4.jpg" /></center><br />
5. ผัดข้าวไฟกลางอ่อนไปประมาณ 10 นาที ผิวเม็ดข้าวจะแข็งนิดหน่อยเนื้อในนิ่ม<br />
<center><img style="max-width: 580px;" src="http://upic.me/i/bx/d11952573-5.jpg" /></center><br />
6. ใส่ไข่เป็ดลงไป 2 ฟอง<br />
<center><img style="max-width: 580px;" src="http://upic.me/i/it/d11952573-6.jpg" /></center><br />
7. ผัดข้าวให้ไข่เคลือบเม็ดข้าว<br />
<center><img style="max-width: 580px;" src="http://upic.me/i/qn/d11952573-7.jpg" /></center><br />
8. ปรุงรสด้วยซีอิ้วญี่ปุ่น ใส่ต้นหอมซอย<br />
<center><img style="max-width: 580px;" src="http://upic.me/i/pw/d11952573-8.jpg" /></center><br />
9. ผัดให้เข้ากัน ดับไฟ<br />
<center><img style="max-width: 580px;" src="http://upic.me/i/ro/d11952573-9.jpg" /></center><br />
10. ตักรับประทานได้เลย..อร่อย!!<br />
<center><img style="max-width: 580px;" src="http://upic.me/i/z5/d11952573-10.jpg" /></center><br />
By swin : http://topicstock.pantip.com/food/topicstock/2012/04/D11952573/D11952573.html<br />
<br />
ปลูกมะนาวใน กระถางทำเงิน..<br />
<center><iframe width="560" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/LO9SWUfdmiw" frameborder="0" allowfullscreen></iframe></center><br />
<span style="color: #3333ff; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;"><strong>วิธีเก็บมะนาวสดไว้กินได้ตลอดปี</strong></span><br />
<span style="color: #ff9900;">By: ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร</span><br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;" src="http://upic.me/i/d0/vo29-02-59.jpg" /></center><br />
1. ใช้ฟิล์มยืดใสชนิดเกรดใช้กับอาหาร<br />
2. นำมะนาวมาเรียงเป็นแถว<br />
3. หมุนฟิล์ม รัดลูกมะนาวให้แน่นๆ หลักๆคืออย่าให้อากาศเข้าถึง<br />
4. ปั่นให้ฟิล์มหดรัดเรียบกับผิวของผลมะนาว<br />
5. ใส่กล่องพลาสติกเก็บในตู้เย็น ทยอยใช้ปรุงอาหารทั้งปี สดไม่เน่าเสียจ้า..<br />
<br />
โดย: คุณอนงลักษณ์ วิจิตรศิริโสภณพานิชย์<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
มะนาวดองน้ำผึ้ง ลดไขมันด้วยวิธีธรรมชาติ<br />
<center><iframe width="560" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/5lNuv6lua_o" frameborder="0" allowfullscreen></iframe></center><br />
<span style="color: #3333ff; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;"><strong>มะนาวดองน้ำผึ้ง สูตรลดหน้าท้อง</strong></span><br />
<span style="color: #ff9900;">By: ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร</span><br />
<br />
<center><img style="max-width: 580px;" src="http://upic.me/i/t7/vsad01-06-60.jpg" /></center><br />
มะนาวดองน้ำผึ้งสามารถทำให้หน้าท้องลดลงได้ แต่ต้องใช้ระยะเวลาในการลด และความสม่ำเสมอในการดื่ม ไม่ใช่ว่าดื่มครั้งแรกแล้วจะลดได้ทันที อย่าเข้าใจกันผิดๆ<br />
<br />
ประโยชน์จากการดื่มน้ำมะนาว:<br />
<br />
+ ช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะ<br />
+ ช่วยแก้อาเจียน เป็นลมวิงเวียนศีรษะ เมาเหล้าได้<br />
+ ช่วยในการเจริญอาหาร<br />
+ ช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิด หรือเลือดออกตามไรฟันได้ เพราะมีวิตามินซีสูง<br />
+ ช่วยแก้ไอ บรรเทาอาการต่อมทอนซิลอักเสบ บรรเทาอาการเสียงแหบแห้ง และลดอาการเหงือกบวม<br />
<br />
+ ช่วยแก้ลิ้นเป็นฝ้า ด้วยการใช้สำลีชุบน้ำมะนาวเช็ดที่ลิ้นวันละ สองถึงสามครั้ง<br />
+ ช่วยบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นท้อง ปวดท้อง ด้วยการดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำผึ้ง<br />
+ ช่วยอาการท้องร่วง<br />
+ ช่วยขับพยาธิไส้เดือน ด้วยการดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำผึ้ง<br />
+ ช่วยรักษาอาการท้องผูก ด้วยการดื่มน้ำมะนาวผสมเกลือเล็กน้อยเป็นยาระบาย<br />
+ ช่วยรักษาโรคกระเพาะ ด้วยการนำเปลือกมะนาวมาชงกับน้ำอุ่น<br />
<br />
ประโยชน์จากน้ำผึ้ง:<br />
<br />
มีเยอะมากเลย เพราะน้ำผึ้งมีส่วนผสมของน้ำตาลและสารประกอบอื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นฟรุกโทสกับกลูโคส และวิตามินและแร่ธาตุผสมอยู่ด้วย เช่น วิตามินเอ, บี2, บี3, บี5, บี6, กรดโฟลิก วิตามินซี ธาตุแคลเซียม ธาตุแมกนีเซียม ธาตุโซเดียม ธาตุโพแทสเซียม ธาตุฟอสฟอรัส เป็นต้น สำหรับสารประกอบอื่นๆที่มีอยู่ในปริมาณเพียงน้อยนิดนั้นจะเป็นสารที่ทำหน้าที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระเป็นหลัก<br />
<br />
+ ช่วยเพิ่มความสดชื่นให้แก่ร่างกาย<br />
+ มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอวัย<br />
+ ช่วยลดและป้องกันการเกิดริ้วรอยแห่งวัย<br />
+ ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส ดูมีน้ำมีนวลเป็นธรรมชาติ<br />
+ ช่วยบำรุงสมอง ในเรื่องของความจำ<br />
<br />
+ ช่วยบำรุงเสียงให้ใส ลดอาการเจ็บคอ<br />
+ ช่วยควบคุมน้ำหนัก และลดความอ้วน<br />
+ ช่วยปรับสมดุลในร่างกายให้คงที่<br />
+ น้ำผึ้งมีฤทธิ์ยาระงับประสาทอ่อนๆ ช่วยลดอาการหงุดหงิด และความกังวลลงได้<br />
+ ช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ และทำให้หลับสบายมากยิ่งขึ้น<br />
+ ช่วยลดกรดในกระเพาะ ช่วยในการย่อยอาหาร เพราะน้ำผึ้งจะถูกดูดซึมทันทีเมื่อถึงลำไส้ ซึ้งต่างจากน้ำตาลชนิดอื่นๆ<br />
<br />
จากประโยชน์ที่กล่าวมาข้างต้น ของน้ำผึ้ง และน้ำมะนาวนั้น จึงทำให้ทราบว่า ที่มะนาวดองน้ำผึ้งนั้นช่วยลดหน้าท้องได้เพราะว่า<br />
<br />
+ ทั้งสอง น้ำผึ้งและน้ำมะนาว เป็นยาระบายอ่อนๆ ทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น<br />
+ ช่วยในการย่อยอาหาร<br />
+ ช่วยบรรเทาอาการท้องอือ ท้องเฟ้อ ท้องเสีย เพราะบางครั้งที่หน้าท้องเราใหญ่ก็เกิดจากการสะสมแก๊สในกระเพาะอาหารเนื่องจากทานอาหารไม่เป็นเวลา หรือทานอาหารมากเกินความจำเป็น<br />
+ ช่วยควบคุมน้ำหนัก และลดน้ำหนัก<br />
<br />
สรุป:<br />
<br />
น้ำผึ้งเป็นน้ำตาลธรรมชาติ โมเลกุลเล็ก พลังงานต่ำ แถมมีประโยชน์มากด้วย มีทั้งวิตามิน เกลือแร่ และมี D-arabino-hexulose ถึง 40% Dextrose อีก 30% แถมได้วิตามินซีจากมะนาวด้วย ผสมรวมกันกินแล้ว ลดได้จริงๆ มีการพิสูจน์มาแล้วจากหลายสถาบัน มีงานวิจัยรองรับด้วยนะไปหาดู (ถามอากู๋ก็ได้)<br />
<br />
จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไม มะนาวดองน้ำผึ้งถึงสามารถทำให้หน้าท้องลดลงได้ แต่ต้องใช้ระยะเวลาในการลด และความสม่ำเสมอในการดื่ม ไม่ใช่ว่าดื่มครั้งแรกแล้วจะลดได้ทันที อย่าเข้าใจกันผิดๆ.<br />
<br />
โดย: สมาชิกหมายเลข 1648575<br />
<br />
* * * * *<br />
<br />
<span style="color: #3333ff; font-family: Verdana, sans-serif; font-size: x-large;"><strong>ขนมถ้วยสูตรโบราณ</strong></span><br />
<span style="color: #ff9900;">By: ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร</span><br />
<br />
1/10 .. ขนมถ้วยสูตรโบราณ ทำกินได้ ทำขายรวย<br />
<center><img style="max-width: 580px;" src="http://upic.me/i/5n/vkk01.jpg" /></center><br />
2/10 .. ส่วนผสมตัวขนม..<br />
1. แป้งข้าวจ้าว 200 กรัม<br />
2. แป้งมันสำปะหลัง 4 กรัม<br />
3. น้ำใบเตย 100 กรัม<br />
4. หางกะทิ 700 กรัม<br />
5. น้ำตาลปึก 260 กรัม<br />
<center><img style="max-width: 580px;" src="http://upic.me/i/9a/4kk02.jpg" /></center><br />
3/10 .. (1) ผสมแป้งข้าวจ้าว และ แป้งมันสำปะหลังให้เข้ากัน<br />
(2) ผสมน้ำใบเตยกับหางกะทิและน้ำตาลปึกให้เข้ากัน<br />
<center><img style="max-width: 580px;" src="http://upic.me/i/4c/mkk03.jpg" /></center><br />
4/10 .. จากนั้นนำส่วนผสมทั้งหมด(1)(2)ผสมให้เข้ากัน พักไว้<br />
<center><img style="max-width: 580px;" src="http://upic.me/i/pr/gkk04.jpg" /></center><br />
5/10 .. ส่วนผสมหน้าขนม..<br />
1. แป้งข้าวจ้าว 20 กรัม<br />
2. หัวกะทิ 400 กรัม<br />
3. เกลือป่น 4 กรัม<br />
เช่นเคยผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน พักไว้<br />
<center><img style="max-width: 580px;" src="http://upic.me/i/lv/ykk05.jpg" /></center><br />
6/10 .. ขั้นตอนในการทำ..<br />
1. นึ่งด้วยถ้วยตะไลให้ร้อนจัดประมาณ 10 นาที<br />
<center><img style="max-width: 580px;" src="http://upic.me/i/hm/nkk06.jpg" /></center><br />
7/10 .. 2. หยอดส่วนผสมตัวขนมครึ่งถ้วย<br />
<center><img style="max-width: 580px;" src="http://upic.me/i/zb/zkk07.jpg" /></center><br />
8/10 .. 3. นึ่งให้สุก 3 นาที<br />
<center><img style="max-width: 580px;" src="http://upic.me/i/py/mkk08.jpg" /></center><br />
9/10 .. 4. หยอดส่วนผสมหน้าขนมให้เต็มถ้วย<br />
<center><img style="max-width: 580px;" src="http://upic.me/i/h5/wkk09.jpg" /></center><br />
10/10 .. 5. นึ่งต่ออีก 5 นาที ยกลงทิ้งไว้ให้เย็นพร้อมรับประทาน<br />
<center><img style="max-width: 580px;" src="http://upic.me/i/ny/7kk10.jpg" /></center><br />
ขอบคุณข้อมูล: http://board.postjung.com/943631.html<br />
somphonghttp://www.blogger.com/profile/07203143908234315462noreply@blogger.com