"คู่มือ...ทำกับข้าวเมืองเหนือประยุกต์" (ฉบับรีไซเคิ้ล) เล่มนี้ ผมขออนุญาตเรียกอย่างนี้ เพราะกระดากที่จะเรียกว่า "ตำรา" ผมเขียนขึ้นจากประสบการณ์ในการทำกับข้าวด้วยตนเองเกือบจะทุกวัน ตั้งแต่ยังเป็นเด็กจนกระทั่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่จนเกือบจะลาจากโลกใบนี้ไปแล้ว ส่วนหนึ่งซึ่งนับว่าเป็นส่วนมากที่สุดมาจากความทรงจำในอดีต ที่ได้อาสาเป็นลูกมือช่วยผู้ใหญ่ทำกับข้าวอยู่เสมอ... และทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้ผมได้ตรวจสอบชำระข้อความบางท่อนบางตอนที่เป็นส่วนสาระสำคัญกับหนังสือ "ตำราทำกับข้าวเมืองเหนือ" เขียนโดย คุณสงวน โชติสุขรัตน์ ซึ่งเป็นบรมครูทางการหนังสือพิมพ์ขั้นปฐมของผม แล้วนำมาคลุกเคล้าผสมผสานเรียบเรียงเขียนขึ้นมาใหม่ในเชิง "เล่าสู่กันฟัง" ทั้งนี้ เพื่อสะดวกแก่คนรุ่นใหม่ จะได้นำเอาไปเป็น "คู่มือ" อนุรักษ์การทำกับข้าวของเมืองเหนือ ให้คงอยู่ถึงคนรุ่นต่อๆไป โดยคำนึงถึงวิธีการการทำกับข้าวเพื่อให้ทำกันได้อย่างง่ายๆ ไม่ยุ่งยากซับซ้อนอะไร
"โปรดสังเกต.. ที่ช่อง url ด้านบนซ้าย ถ้าเป็น https กรุณาเปลี่ยนเป็น http แล้วกด enter เข้ามาใหม่ครับ"
@ คลิกที่นี่ ดูบนyoutube... @ ภาพรับปริญญามีต่อที่นี่... @ และที่นี่อีกจ้า... @ บัณฑิตรามฯรุ่น38(2555) ทุกคณะและทุกคน โหลดคลิปที่นี่...

วันพุธที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2556

แก๋งกระด้าง, น้ำพริกข่าตะไคร้, ไก่ทอด+ไข่เจียว, ผัดผักบุ้ง, เป็นพ่อเป็นแม่คน...เรื่องนี้ให้เก็บเอาไปคิดเป็นการบ้าน...




เป็นพ่อเป็นแม่คน...
เรื่องนี้ให้เก็บเอาไปคิดเป็นการบ้าน...

By: ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร

เมื่อครั้งยังทำงาน...ผมมีลูกน้องคนนึง เธอเป็นคนต่างจังหวัดเรียนจบแล้วทำงานเลย เธอเป็นคนสวย...จัดว่าสวยกว่าลูกน้องหญิงหลายๆคนในแผนกของผม พอถึงสิ้นเดือนทีไรจะมีลูกน้องคนอื่นๆมาฟ้องผมอยู่เสมอๆว่าเธอยืมเงินแล้วไม่ยอมใช้พูดผัดวันประกันพรุ่งเอาตัวรอดไปวันๆ บรรดาลูกน้องที่มาฟ้องผม ขอร้องให้ผมช่วยหักเงินเดือนของเธอในเดือนต่อไปให้ด้วย

ผมเอาประวัติมาดู เธอคนนี้บริษัทจ่ายเงินเดือน 1,500 อ่ะ...คุณๆผู้อ่านอย่าเพิ่งติ ตอนนั้นน่ะค่าแรงขั้นต่ำวันละ 15 บาทนะครับ 1,500 นี่นับว่าหรูแล้ว ผู้จัดการได้เงินเดือน 5,000 หัวหน้าแผนกอย่างผม 3,500 สมัยนั้นมีเพลงฮิตอยู่เพลง เนื้อร้องว่า...ทำงานทั้งวันได้พันห้า เดินไปเดินมาได้ห้าพัน...

ผมเรียกเธอมาสอบถาม เธอร้องห่มร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร ผมเลยปล่อยให้นั่งร้องไห้อยู่ต่อหน้าเกือบชั่วโมง หลังจากหยุดสะอึกสะอื้นแล้ว เธอก็เล่าเรื่องราวต่างๆให้ผมฟัง

เธอเล่าว่าเป็นคนต่างจังหวัด(ขอสงวนครับ) เข้ามาเรียนต่อปริญญาตรีจนจบ แล้วทำงานที่บริษัทได้ปีกว่า จะต้องส่งเงินให้พ่อแม่ 500 ทุกๆเดือน แรกๆก็ส่งได้สม่ำเสมอไม่ขาดตกบกพร่อง ก็อย่างว่าแหละผู้หญิงค่าใช้จ่ายส่วนตัวมันสารพัด ค่ารถค่ากินอยู่ ค่าเช่าหอพัก ไหนจะต้องตัดเสื้อผ้าใส่อีกล่ะ จะให้ใส่เสื้อผ้าซ้ำๆเหมือนชุด นศ.ได้อย่างไรล่ะ

ระยะหลังๆเมื่อเงินไม่พอใช้เธอก็หยิบยืมเพื่อนๆในแผนก แล้วก็ลามไปแผนกอื่นด้วย เธอใช้วิธีหมุนยืมเงินคนนั้นไปใช้คนนี้ ยืมเงินคนนี้ไปใช้คนนั้น สลับสับไปสับมาจนกระทั่งหนี้พอกพูนเป็นงูกินหางยาวเหยียดเหยียบหมื่นแน่ะ

เมื่อไม่มีเงินบางเดือนเธอก็หยุดส่ง แล้วต้นเดือนวันนึงพ่อแม่พร้อมกับพี่และน้องจากต่างจังหวัดก็มาเยี่ยม เธอดีใจจนเนื้อเต้นที่พ่อแม่มาเยี่ยมคงมาถามสารทุกข์สุขดิบมั้ง แต่เธอก็ต้องผิดหวัง เพราะเจอหน้ากันคำถามแรกที่ได้ยิน ทำไมไม่ส่งเงิน? และคำด่าอีกสารพัด มากันสี่คนเพื่อจะทวงเงิน 500 น่ะเนี่ยะ ค่ารถไปกลับค่ากินก็หมดแล้ว...

ทั้งพ่อแม่พี่และน้องพากันกลับหลังจากเธอควักเงินที่เหลือสำหรับใช้จ่ายส่วนตัวในเดือนนั้น 1,200 ให้ไปทั้งหมดเลย แล้วก็นึกไม่ออกว่าจะเอาเงินที่ไหนมาใช้จ่ายจนถึงสิ้นเดือน

ผมสะเทือนใจเมื่อได้ยินได้ฟังที่เธอเล่ามา แต่ก็พูดอะไรไม่ออก ผมน่ะนิสัยส่วนตัวเป็นคนขี้สงสารคนอยู่แล้ว คิดในใจว่าจะช่วยเธออย่างไรดี ปรึกษากับผู้จัดการก็ได้ข้อสรุป ให้เธอยืมเงินสวัสดิการพนักงาน 10,000 เพื่อเอาไปใช้หนี้ทั้งหมด แล้วให้เธอใช้คืนผ่อนส่งเดือนละ 100 จนครบไม่คิดดอกเบี้ยโดยมีผมเป็นผู้ค้ำประกัน ถ้าเธอส่งตามนี้ก็ 100 เดือน 8 ปีกว่าๆ บ้าไหมล่ะ...นิสัยช่วยเหลือคนอื่นของผม หลังจากนั้นเรื่องราวต่างๆก็เงียบสงบจนผมลืมไปเลย

2 ปีต่อมา วันปีใหม่เธอเอาผลไม้มาสวัสดีผม ผมรับผลไม้และสวัสดีตอบ เธอยื่นถุงหนาๆส่งให้ ผมเปิดดูแบ็งค์ร้อยเป็นปึก (ตอนนั้นแบ็งค์ร้อยสูงสุด ยังไม่มีแบ็งค์ 500, 1,000) ถามว่าเอาเงินมาทำไมรึ เธอบอกว่าเอามาใช้หนี้ที่ยืมเงินสวัสดิการพนักงานไปเมื่อ 2 ปีก่อน ผมบอกว่าเอาคืนไปเก็บไว้ใช้เถอะ เงินที่ยืมก็ใช้คืนเดือนละ 100 จนครบเหมือนเดิมนั่นแหละ

เธอบอกว่าตอนนี้มีเงินเหลือใช้ เมื่อมีหนี้ก็อยากจะใช้คืนให้หมดๆไป ผมซักถามอะไรอีกหลายอย่าง เธอเล่าให้ฟังว่า เธอใช้เวลาตอนเย็นจนถึงดึกดื่นค่อนคืนหลังเลิกงานที่บริษัทไปเป็นหมอนวดในอ่าง เพราะเธอมีความสวยเป็นทุนอยู่แล้วจึงมีรายได้งามเป็นที่ถูกอกถูกใจของแขกที่มาใช้บริการให้ทิปเธอครั้งละมากๆ บางครั้งแขกก็ออฟเธอออกไปข้างนอกด้วย

เธอเล่าอะไรต่ออะไรให้ฟังอีกหลายๆเรื่องแต่ผมไม่ขอนำมาขยายต่อนะครับ สุดท้ายเธอว่าจะขอลาออกจากงานเพื่อไปเป็นหมอนวดเต็มตัว ผมค้านบอกว่า จะลาออกไปทำไมล่ะ อยู่ทำงานต่อไปเถอะ แล้วถือโอกาสตักเตือนเธอ...

ความสวยความงามเป็นสิ่งไม่จีรังยั่งยืน ผมบอกให้เธอเอารูปถ่ายเมื่อสองปีก่อนมาเทียบกับรูปถ่ายปัจจุบัน จะเห็นว่าเธอแก่ลงหน้าเริ่มเหี่ยวย่นไม่เต่งตึงเหมือนก่อนแล้ว การทำงานอย่างนั้นมันทำได้แค่ประเดี๋ยวประด๋าวพอเริ่มแก่ก็เริ่มหมดราคา ตอนนี้เมื่อมีราคาก็ควรจะตักตวงเงินที่ได้ก็เก็บฝากธนาคารเอาไว้ เมื่อเริ่มหมดราคาก็ให้เลิกเลย

สำหรับงานที่บริษัทถึงแม้ว่ารายได้จะน้อยกว่าแต่ก็เป็นงานที่มั่นคงเชิดหน้าชูตา เอาไว้เผื่อวันข้างหน้าเมื่อเธอเจอคนที่รักเธอจริง ตอนนี้ให้พยายามรักษาเนื้อรักษาตัวไม่ให้เป็นกามโรค (สมัยนั้นยังไม่มีเอดส์) หมั่นไปตรวจดูแลสุขภาพให้ดีๆ (คลินิคหมอเพียร เวชบูล ที่สี่แยกหลานหลวง)

เธอเชื่อผมและอยู่ทำงานที่บริษัทต่อไปไม่ลาออก วันปีใหม่อีกปีเธอก็เอาผลไม้มาสวัสดีผมอีก คราวนี้บอกว่าเธอเลิกอาชีพหมอนวดแล้ว เงินที่ได้ทั้งหมดเอาไปปลูกบ้านใหม่และฝากธนาคารในชื่อของพ่อแม่หลายหมื่น

ผมได้ฟังโล่งอกไปทีที่เรื่องจบลงแบบแฮ็ปปี้เอ็นดิ้งมีความสุขด้วยกันทุกๆฝ่าย แต่มานึกถึงว่าถ้าเรื่องมันจบแบบตรงข้ามล่ะ สมมุติว่าเธอเป็นกามโรค หน้าตาซีดเซียวอมโรคไม่มีเรี่ยวแรง แล้วชีวิตเธอจะเป็นเช่นไร ใครจะรักษาอุปการะเลี้ยงดูเธอ...คิดแล้วไม่อยากจะคิดต่อให้มันสังเวชยิ่งไปกว่านี้อีก

แต่คุณๆผู้อ่านไม่ต้องเป็นห่วงเธอครับ เพราะอานิสงส์ที่เป็นคนกตัญญูต่อพ่อแม่ ปัจจุบันนี้เธออยู่ที่เจนีวาอายุ 50 กว่าๆ มีความสุขกับฝรั่งเนื้อคู่ของเธอมีลูกด้วยกัน 2 คนสวยหล่อทั้งคู่เรียนจบ Dr.มีงานทำเป็นหลักเป็นฐานมีครอบครัวกันแล้ว ตอนนี้เธอเป็นทั้งคุณย่าและคุณยาย เธอเลี้ยงลูกทั้ง 2 แบบคนไทยเลี้ยงลูกไม่ให้ห่างไปไหนให้ปลูกบ้านอยู่ใกล้ๆในละแวกเดียวกันไปมาหาสู่สะดวกสบาย เมื่อปลายปีที่ผ่านมาผมก็เพิ่งแวะไปเยี่ยมเธอมาครับ

เรื่องนี้ผมเอามาเล่าให้เป็นอุทาหรณ์แก่พ่อแม่ทุกๆคน จะเอาแต่เงินของลูกอย่างเดียวโดยไม่คิดว่าลูกจะหาเงินมาจากไหนอย่างถูกต้องหรือไม่อย่างไร นี่ถ้ารู้ว่าเงินที่เอามาปลูกบ้านใหม่และเงินฝากธนาคารได้มาจากหยาดน้ำกามของลูก เดาไม่ถูกว่าพ่อแม่ของเธอจะเฉยๆหรือซาบซึ้งหรือรังเกียจเดียดฉันท์กันแน่


ไหนๆก็เล่าเรื่องลูกน้องก็ขอแถมอีกคนครับ เป็นผู้ชายคนขับรถของบริษัท นายคนนี้ผมสังเกตเห็นเวลาพักเที่ยงจะห่อข้าวจากบ้านมากินที่ทำงานทุกๆวัน นัยว่าเป็นคนประหยัดดี ผมคิดจะให้รางวัลตอนสิ้นปีว่าเป็นคนรู้จักประหยัดรู้จักใช้จ่ายในสิ่งที่ควรไม่ควร

เรื่องมาแตกเอาตรงวันสิ้นเดือนวันเงินเดือนออก เมียของคนขับรถนายนี้อุ้มลูกสาวประมาณ 1 ขวบและจูงลูกชายประมาณ 3 ขวบ เข้ามาขอพบผมที่ห้องทำงาน ร้องห่มร้องไห้จะขอรับเงินเดือนของสามี ผมถามว่าทำไมล่ะ เธอเล่าให้ฟังว่า วันรับเงินเดือนก่อนกลับบ้านพ่อเจ้าประคุณสามีจะแวะกินเหล้าเลี้ยงเพื่อนเลี้ยงฝูง กว่าจะถึงบ้านก็ครึ่งคืนค่อนคืน เหลือเงินติดกระเป๋าไม่กี่ร้อย มันไม่พอใช้จ่ายในครอบครัวซึ่งมีลูก 2 คน

ผมเรียกคนขับรถมาสอบถาม แล้วเอาเงินเดือนออกมาวางต่อหน้า บอกให้คุณเมียหยิบเอาไปเลยเท่าที่คิดว่าจะพอใช้จ่ายจนถึงสิ้นเดือน พ่อสามีมองหน้าผมทำตาปริบๆ หัวหน้าแล้วผมจะเอาที่ไหนไปใช้หนี้ล่ะ ผมถามว่าหนี้เท่าไหร่ ตอบว่าเป็นหนี้เพื่อนหนึ่งพันครับ

เรื่องมันจึงถึงบางอ้อ ไอ้ที่ห่อข้าวมากินที่ทำงานทุกๆวันน่ะไม่ใช่รู้จักประหยัดหรอก แต่เป็นเพราะไม่มีต่างหาก หาเงินทั้งเดือนเพื่อเอามากินเหล้าวันเดียว แล้วก็หยิบยืมเงินเพื่อนๆใช้จนชนเดือน พอสิ้นเดือนก็ใช้คืนแล้วยืมใหม่ต่อเนื่องกันอย่างนี้แหละ ฝ่ายเมียอยู่ที่บ้านเลี้ยงลูกก็อาศัยค้าขายเล็กๆน้อยๆหาค่ากับข้าวไปวันๆ พ่อสามีก็ถือโอกาสห่อข้าวเอามากินที่ทำงานทุกๆวันไง

ผมแก้ปัญหาด้วยการควักเงินในกระเป๋าของตัวเองหนึ่งพันให้เอาไปใช้หนี้ ถามว่าเงินที่เหลือวางบนโต๊ะหลังจากเมียหยิบเอาไปแล้วพอใช้จ่ายถึงสิ้นเดือนมั๊ย ตอบว่าพอครับ ตกลงผมให้ผ่อนใช้คืนเดือนละร้อยจนกว่าจะครบหนึ่งพัน

คล้อยหลังไปปีกว่า เมียของคนขับรถนายนี้จูงลูกสาวลูกชาย เข้ามาขอพบผมที่ห้องทำงานอีก คราวนี้ไม่ร้องห่มร้องไห้ แต่หน้าตายิ้มแย้มดูสดใสสวยขึ้นกว่าครั้งก่อนเยอะ เธอและลูกๆใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ สังเกตที่คอมีสร้อยทองคำเส้นเบ้อเหิ่ม เข้ามาถึงเธอยกมือไหว้และบอกให้ลูกๆไหว้ผมด้วย

คราวนี้เธอมาขอบคุณผมครับ

ลิ้งค์หนังสือ

@ เลี้ยงลูกให้ได้อย่างใจ..


แก๋งกระด้าง
By: ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร


เครื่องปรุง "แก๋งกระด้าง"

ขาหมูขาหน้า 1 ขา หูหมู 1 หู พริกแห้ง 7-8 เม็ดหรือพริกขี้หนูแห้ง 1 กำมือ หัวหอม 7 หัว กระเทียม 3 หัว ตะไคร้ 2 ต้น ข่า 5 แว่น รากผักชี 4-5 ราก เม็ดผักชี 1 ช้อนชา กะปิดี 1 ช้อนโต๊ะ ใบมะกรูด และต้นหอม-ผักชี-ผักชีฝรั่ง

วิธีปรุง "แก๋งกระด้าง"

ขาหมูขาหน้า 1 ขา หูหมู 1 หู ล้างให้สะอาด ใส่หม้อเติมน้ำพอท่วม ยกตั้งไฟ ต้มเคี่ยวจนสุกและเปื่อยดี แล้วหั่นเป็นชิ้นๆพอดีคำ ใส่ในหม้อเตรียมไว้

เอาพริกแห้ง 7-8 เม็ด หรือพริกขี้หนูแห้ง 1 กำมือก็ได้ (แช่น้ำจนนิ่ม บีบให้แห้ง) หัวหอม 7 หัว กระเทียม 3 หัว ตะไคร้หั่นฝอย 2 ต้น ข่า 5 แว่น รากผักชี 4-5 ราก เม็ดผักชี 1 ช้อนชา กะปิดี 1 ช้อนโต๊ะ เกลือป่นนิดหน่อย ใส่ครกตำให้ละเอียดเข้ากันดี

ตักน้ำพริกในครกใส่ลงไปในหม้อต้มขาหมูที่ต้มแล้วหั่นเป็นชิ้นๆ เตรียมไว้ ยกตั้งไฟ ต้มเคี่ยวจนกระทั่งน้ำแกงเหลือพอขลุกขลิก ปรุงรสด้วยรสดี เกลือป่น ยกลงเทใส่กะละมังทิ้งไว้ให้เย็น แล้วแช่ในตู้เย็นประมาณ 1 ชั่วโมง เมื่อจะรับประทาน ตัดแกงกระด้างเป็นชิ้นๆ โรยด้วยต้นหอม-ผักชี-ผักชีฝรั่งหั่นฝอย ก็เป็นอันเสร็จ รับประทานขณะเย็นๆได้ทันที

น้ำพริกข่าตะไคร้
คลุกข้าวสวยร้อนๆ แกล้มกับ ไข่ต้ม เห็ดนางฟ้านึ่ง อร่อย!!

By: ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร


น้ำพริกข่าตะไคร้ คลุกข้าวสวยร้อนๆ แกล้มกับ ไข่ต้ม เห็ดนางฟ้านึ่ง

1.ตะไคร้หั่น 1 ต้น, 2.ข่าหั่น 4-5 แว่น

3.กระเทียมแกะเปลือก 10 กลีบ, 4.พริกขี้หนูแห้งคั่ว 4-5 เม็ด
5.เกลือป่น 1/4 ช้อนชา, 6.กุ้งแห้ง 1 ช้อนโต๊ะ

a.โขลก ข่า ตะไคร้ กระเทียม และเกลือ

b.ใส่ กุ้งแห้ง พริกขี้หนูแห้งคั่ว

c.โขลกรวมกันจนละเอียด, d.ตักใส่กระทะคั่วกับน้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ

ไก่ทอด+ไข่เจียว 40 บาทเท่านั้น
By: ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร

กับข้าวมื้อนี้ง่ายๆ ใครๆก็ทำได้... เข้าตลาดไปแผงไก่สด เลือกขาขนาดกำลังเหมาะวางแหมะบนตาชั่ง 2 ขา-ครึ่งกิโลพอดีๆ 30 บาท ไข่ไก่เบอร์ศูนย์ 2 ฟอง 8 บาท


ล้างขาไก่ให้สะอาดวางบนกระทะเติมน้ำเปล่าธรรมดาๆ 100 ml. ผงรสดี 1 ช้อนโต๊ะ ซอสง่วนเชียงฝาเขียว 1 ช้อนโต๊ะ ปิดฝาเปิดเตาแก๊สตั้งไฟอ่อนสุด


ประมาณ 10 นาทีเปิดฝา น้ำจะแห้งกลายเป็นน้ำมัน พลิกขาไก่กลับล่างขึ้นบน


ทิ้งไว้ 5 นาทีขาไก่จะหอมเหลืองอย่างนี้ ตักใส่จานได้เลย


น้ำมันไก่ที่เหลืออย่าทิ้ง ตอกไข่ไก่ 2 ฟองเหยาะซอส 2 กระฉอกตีให้ไข่แดงแตกตัว แล้วเทลงกระทะ


พลิกกลับแล้วรอสักครู่ไข่จะขึ้นฟูอย่างนี้

น่ากินไหมล่ะ...



รับประทานกับข้าวสวยร้อนๆ แกล้มกับแตงกวา ถั่วฝักยาวลวก น้ำปลาพริกขี้หนูกระเทียมซอยบีบมะนาวครึ่งใบ อร่อยเหาะไปเลย...


ผัดผักบุ้ง

By: ลุงอิ่นคำ : ผักบุ้ง ผักพื้นๆครับ แต่เรียกว่าเป็นอาหารประจำบ้านของคนไทยเลยทีเดียว จานนี้มันที่ที่มา จ้า...

เมื่อวานไปตลาด ค่ำแล้ว ทีแรกจะซื้อสองกำ ก็คิดว่า 10 บาท แต่ป้าคนขายแกบอกว่า อยากกลับบ้านแล้ว เหลือ 4 กำ หนู (เรียกอย่างนี้จริงๆ) เอาไปเลย กำละ 2 บาท เอา 8 บาท หนูเลยให้ 10 บาทเลย แทนที่จะได้ 2 กำ กลับได้ 4 กำ กินได้ 2 วัน จ่ายเงินเสร็จ แม่ค้าข้างๆ แซวว่า คุณใส่หมวกดาวแดง ป้าแกชอบเลยขายให้ถูก

จากผักบุ้งไทย อวบๆ กำสองบาท ซื้อมา สี่กำ จานนี้ กำเดียวครับ ริดใบก้านออกให้หมด หั่นตามยาวเป็นฝอยๆ แช่น้ำล้างยางก่อน แล้วผัดไฟแรงๆ ใส่เต้าเจี๊ยว พริกคั่วป่น อร่อย...เหมาะกับเศรษฐกิจยุคนี้จริงๆ

ใช่ครับ...อาหารแต่ละจาน ที่ผมเอามาเสนอ เพราะมันมี สตอรี่ ครับ มันก็เป็นความสุขของชีวิตอย่างหนึ่ง บางครั้ง บางเวลา เราอาจมองข้ามไป

มีอีกเรื่อง ที่รู้สึกสลดใจ แต่เราไม่สามารถช่วยแนะอะไรเขาได้ คือ เมื่ออาทิตย์ ผมกลับมาจากสวน แวะตลาดแห่งหนึ่ง ขณะเดินๆดูผักหญ้าเพลินๆ จู่ๆลูกสาวก็ร้องกรีดขึ้นมา ปรากฏว่า ชาวบ้านเอางูสิงห์มาขาย มีทั้งเป็นท่อนๆกองๆ และขดเป็นวงๆ แต่ตายแล้ว เราดูยังขนลุก ท่าทางคนขาย ก็น่าเห็นใจ เขาเอามาขาย คงคิดว่าขายดี ด้วยว่าเป็นของหายาก แต่ค่ำแล้ว ก็ยังเหลือบานเบอะ

อยากแนะนำเขาว่า วิถีชีวิตของคนเมืองเปลี่ยนไปมากแล้ว ของป่าแบบนี้ ไม่มีใครคิดว่าเป็นอาหารเลิศแต่อย่างใด ก็ได้แค่คิดเพราะว่าเขาอาจจะไม่เข้าใจ บางทีการเปลี่ยนวิธีคิดของคนเก่า คนแก่ มันก็ยากครับ ก็เลยเดินผ่าน และยิ้มให้เฉยๆ สงสารทั้งงู สงสารทั้งคนขายครับ