น่าเป็นห่วง! มหาวิทยาลัยไทยไร้คุณภาพ โดนขึ้นบัญชีดำ เกียรตินิยมก็ไม่รับ
How To : ฝึกดูหนังให้เก่งภาษาอังกฤษ
By: Wuttichai Pianboon • 10/09/2014 • in How To, Productivity
บทความนี้เขียนโดยผู้อ่านที่เป็นแฟนของเว็บไซต์ thinkdifferent.in.th ที่อยากเข้ามาแบ่งปันประสบการณ์เล็กๆของตัวเองในการเรียนภาษาอังกฤษ ผมเชื่อว่ามันจะเป็นประโยชน์และแนวทางในการเริ่มต้นสำหรับใครบางคนแน่นอนครับ
หลายคนคงเคยได้ยินมาว่า การดูหนังฝรั่งช่วยพัฒนาภาษาอังกฤษได้ แต่พอเอาเข้าจริงๆ เอ๊ะ! ทำไมดูไม่รู้เรื่อง แถมดูจนจบยังไม่ได้อะไรเลย เนื้อเรื่องบางทีก็ยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำ เพราะมัวแต่พะวงกับ ซับไตเติ้ล
แล้วต้องดูหนังยังไงให้เก่งอังกฤษกันละทีนี้..
ขั้นแรก ปรับ mindset
-อย่ากลัวว่าจะดูไม่รู้เรื่อง
-อย่าอายที่จะทำตาม หัดตาม พูดตาม
-อย่าคิดว่ามันยากเกินไป เราคงทำไม่ได้หรอก จงคิดว่าเราทำได้ แล้วเราก็จะทำได้ จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว เคยได้ยินป่าว?
ขั้นตอนที่สอง เลือกหนัง
การเลือกหนังอย่างแรกควรจะดูเลือกดูเพื่อฝึกเฉพาะไปเลยว่าจะดูหนัง American หรือหนัง British ถึงจะเป็นภาษาอังกฤษเหมือนกัน แต่สำเนียงค่อนข้างต่างกัน ในการเลือกฝึกควรเลือกเพียงอย่างเดียว เพื่อไม่ให้สับสนในการออกเสียง (แนะนำ American เพราะหนังจะมีเยอะกว่า และภาษาค่อนข้างจะแพร่หลายกว่า)
ประเภทของหนังที่เลือก ประเภทหนังที่เลือกก็มีส่วนในการช่วยฝึกเช่นกัน ควรจะเป็นหนังดราม่า หรือ โรแมนติกจะดีที่สุด เพราะมีบทพูดค่อนข้างเยอะ หนังแอนนิเมชัน จริงๆเอามาฝึกได้ แต่ไม่แนะนำเพราะ เราจะไม่เห็นวิธีการออกเสียงและเสียงที่พูดออกมามักจะถูกดัดแปลงให้เข้ากับตัวการ์ตูน ส่วนหนังแอ๊คชั่น บางครั้งศัพท์เทคนิคค่อนข้างจะเยอะ และคุณอาจจะมันจนลืมไปเลยว่าคุณกำลังต้องการฝึกภาษาจากหนังอยู่..อิอิ
ขั้นตอนที่สาม ลงทุน
เดี๋ยวนี้ใครๆก็โหลดมาดูกันทั้งนั้นแหละ เพราะโหลดแล้วไม่ต้องเสียตังค์ ใครๆก็ดูได้! พอเลือกสำเนียง เลือกแนวได้แล้ว ทีนี้ก็มาเลือกหนัง เลือกหนังได้แล้ว ก็ลงมือโหลดเลยครับ.. เดี๋ยวๆ!!! ไม่ใช่ละๆ อยากเก่งต้องลงทุนกันหน่อยครับ หนัง DVD เดี๋ยวนี้แผ่นละไม่กี่บาท ลงทุนเถอะครับ การเลือกดูจาก DVD ทำให้เราได้ภาษาที่แม่นยำกว่า ซับไตเติ้ลที่ได้ ภาษาค่อนข้างชัวร์กว่าที่เราโหลดมา ที่สำคัญคือได้สนับสนุนสินค้าที่มีลิขสิทธิ์ด้วยครับ
ขั้นตอนที่สี่ ลุย!
หลังจากที่เราได้หนังมาสักเรื่องแล้วทีนี้ก็ถึงเวลาดูซะที วิธีการดูหนังให้ได้ผลในการฝึกนั้น ควรดูอย่างน้อยสองรอบ! ขึ้นไป
รอบแรก ให้ดูโดยเปิด soundtrack พร้อมกับซับไตเติ้ลภาษาไทย ไปก่อน เพื่อทำความเข้าใจกับเนื้อเรื่อง และอารมณ์ของหนัง
รอบสอง ให้เปิด sountrack + ซับไตเติ้ลภาษาอังกฤษ เพื่อดูว่าคำแต่ละคำเขาพูดกันยังไง
รอบสุดท้าย ให้เปิด sountrack ภาษาอังกฤษ ไม่มีซับไตเติ้ลภาษาอะไรทั้งนั้น
*Tips & Tricks
การเลือกหนัง ควรเลือกหนังที่เราสนใจ เพราะมันจะทำให้มีแรงจูงใจที่จะเข้าใจมากขึ้น
การดูหนัง เป็นฝึกการฟังอย่างดีเยี่ยม ทำให้เรารู้ว่าแต่ละคำ แต่ละประโยคออกเสียงยังไง ระหว่างที่ดูหนังให้สังเกตการออกเสียง และรูปปากเวลาพูดของตัวละคร และพยายามออกเสียงตามดู (อย่าไปอายที่จะลองทำตาม)
การจดและจำทำให้เก่งขึ้น ในระหว่างที่ดูหนัง ควรจดและจำคำศัพท์ต่างๆที่น่าสนใจ หลังจากดูจบก็มาหาข้อมูลต่อ ว่ามันมีความหมายอย่างไรใช้อย่างไร
การดูหนังคือการฝึกภาษาอังกฤษที่ดีและไม่น่าเบื่อวิธีหนึ่ง แต่ยังมีอีกหลายวิธีที่จะช่วยให้คุณเก่งภาษาอังกฤษมากขึ้น ทั้งนี้ทั้งนั้น คุณจะเก่งภาษาอังกฤษขึ้นมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับตัวคุณ ถ้าคุณมั่นใจและฝึกฝน ไม่มีทางที่คุณจะไม่เก่ง
ขอให้สนุกกับการดูหนังครับ
10 เคล็ดไม่ลับ..
ภาษาอังกฤษเป็นหนึ่งในภาษาที่ฟังยาก เนื่องจากภาษาอังกฤษจะมีการเชื่อมเสียงระหว่างพยางค์ และมีการกร่อนเสียงในคำที่ไม่มีความสำคัญในประโยค ยิ่งไปกว่านั้น ผู้พูดจะพูดเร็วมากถึงมากที่สุด
โดยเฉพาะอเมริกันที่พูดราวกับว่าจะทำยังไงก็ได้ให้จบประโยคเร็วที่สุด วันนี้เราจึงมีเคล็ดการฝึกฝนให้น้องๆ ได้ลองนำไปใช้ เชื่อว่า หลายคนถ้าปฏิบัติตามนี้ละก็จะใช้ภาษาอังกฤษได้ไม่แพ้เจ้าของภาษาเลย…10 สุดยอดเคล็ดลับ ทำไงให้เก่งภาษาอังกฤษ
1. เริ่มจากการฟังอะไรที่ง่ายๆ จะได้มีกำลังใจไม่ท้อตั้งแต่แรก ทั้งนี้รวมทั้งที่เป็น slow speed เพราะในระยะแรกเราอาจจะไม่คุ้นเคยกับที่เป็น normal speed ซึ่งการฝึกฟังช้าๆ จะทำไรเราชินกับสำเนียง และสำนวนพูด
2. ฟังเรื่องที่เราถูกใจ เพราะจะนำไปสู่ความสุขใจ ใส่ใจ และเข้าใจ มากกว่าฟังเรื่องที่เราไม่ค่อยสนใจหรือต้องทนฟัง
3. ให้ฝึกฟังเรื่องที่จบภายในเวลาสั้นๆ ในระยะเริ่มต้น ถ้าฝึกฟังเรื่องที่ยาวเกินไปจะทำให้สมองล้ารับไม่ไหว
4. ฟังพร้อมอ่าน หรืออ่านก่อนฟัง หรือฟังแล้วอ่าน จะฝึกแบบไหนก็ตามถนัด การอ่านจะช่วยผ่อนแรงในการสร้างความเข้าใจเรื่องที่ฟัง
5. ฟังพร้อมดูวีดิโอ การที่สามารถรับสารผ่าน 2 ประสาท คือ ทางหูและทางตา จะช่วยให้เข้าใจง่ายขึ้น ยิ่งถ้ามี subtitle ให้อ่านพร้อมกับชมภาพวีดิโอที่เคลื่อนไหว ยิ่งช่วยให้เข้าใจยิ่งขึ้นไปอีก
6. ฝึกฟังน้อยๆ แต่ฟังบ่อยๆ ดีกว่าฝึกฟังนานๆ แต่ไม่บ่อย เพราะฉะนั้นการฝึกฟังวันละ 15 นาทีแต่ฟังทุกวันใน 1 สัปดาห์ ย่อมดีกว่าในสัปดาห์หนึ่งฟังนานถึง 2 ชั่วโมง แต่ฟังครั้งเดียว
7. ลองฟังโดยใช้หูฟัง จะได้ยินสำเนียงชัดขึ้น ช่วยให้ง่ายในการฝึกออกเสียงตาม แต่อย่าเปิดเสียงดังเกินไปนะครับ ฟังนาน ๆ เดี๋ยวจะหูตึง
8. ฝึกฟังพร้อมพูดตาม การฝึกพูดตามจะช่วยสร้างความมั่นใจว่า เราฟังได้ถูกต้อง เพราะถ้าเราฟังได้ถูกต้องเราก็น่าจะพูดได้ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ การฟังโดยมีภาระที่จะต้องพูดให้ได้ตามที่ฟังจะทำให้เราใส่ใจในการฟังมากขึ้น ไม่ใช่ฟังสักแต่ว่าฟัง
9. ฟังอย่างตั้งใจ ถ้าเราจะอุทิศเวลาวันละ 20–30 นาทีเพื่อการฝึกฟังภาษาอังกฤษ ก็ต้องให้ทั้ง 1 ใจไปพร้อมกับ 2 หู ถ้าให้แต่หูไม่ให้ใจฝึกฟังเท่าไรๆก็มักไม่ค่อยได้ผล
10. ฟังด้วยความสุข ถึงยังฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง ก็ไม่ได้แปลว่าฟังไม่ได้เรื่อง แม้ในระยะแรกๆ อาจจะรู้สึกว่าท้อ แต่เรียนภาษาอังกฤษไม่มีทางลัด คนที่เอาแต่มองหาทางลัดและไม่ค่อยตั้งใจเดินไปตามทางตรงที่มีให้เดิน จะเดินไปถึงปลายทางได้ช้ากว่าคนที่ตั้งใจเดินไปตรงๆเสียอีก