เคยได้ยินไหม? "เงินเลี้ยงหัวใจแม่"
By: Nameless
"..เลี้ยงกาย..อิ่มกาย เลี้ยงใจ..อิ่มใจ .. แม้วันนี้จะยังไม่พร้อมเลี้ยงท่านให้อิ่มทางกาย แต่เราสามารถเลี้ยงท่านให้อิ่มทางใจได้แล้ว โดยการทำให้ท่าน ชื่นอกชื่นใจ เย็นอกเย็นใจ สบายอกสบายใจ สุขอกสุขใจ ดีอกดีใจ เพียงเท่านี้ก็เป็นประหนึ่งดั่งว่าได้ทำให้ท่านขึ้นสวรรค์ทางใจแล้ว.."
อาจารย์ของผมท่านได้ให้เงินเดือนคุณแม่ของท่านเดือนละ 1,000 บาท เป็นประจำทุกเดือน
ผมสงสัยทำไมต้องให้เงินคุณแม่เดือนละ 1,000 บาท? ในเมื่อคุณแม่ก็อยู่บ้านหลังเดียวกับอาจารย์อยู่แล้ว ค่าใช้จ่ายสำหรับท่าน อาจารย์ก็จัดการทั้งหมดอยู่แล้ว
วันหนึ่งสบโอกาสผมจึงตัดสินใจ ถามอาจารย์ "อาจารย์กำลังทำอะไรครับ?"
อาจารย์ตอบว่า "ผมกำลังตัดรายจ่ายอยู่.. ผมต้องจ่ายค่าแม่ครัว คนขับรถ คนสวน ค่าใช้จ่ายในบ้าน และให้คุณแม่อีกเดือนละ 1,000 บาท.. ตอนนี้รายได้กับรายจ่ายมันไม่ค่อยสัมพันธ์กัน ต้องตัดรายจ่ายลงบ้าง"
ผมเลยบอกว่า "เงินเดือนที่ให้คุณแม่ 1,000 ตัดได้นี่ครับ.. อาหาร 3 มื้อ อาจารย์ก็จัดให้ท่านเรียบร้อย เสื้อผ้าก็ซื้อให้ใหม่ปีละ 3 ชุด ไม่สบาย อาจารย์ก็พาหมอมาฉีดยาให้ คุณแม่ตาบอดไม่ได้ไปไหน ฉะนั้นเงินเดือน 1,000 นี่ ตัดได้ครับ"
อาจารย์บอกว่า "ตัดไม่ได้เด็ดขาด...1,000 บาทนี่สำคัญที่สุด เพราะเป็นเงินสำหรับเลี้ยงหัวใจแม่!"
ผมฟังแล้วสะอึก! "เงินเลี้ยงหัวใจแม่" ..พวกเราเคยได้ยินไหมครับ?
อาจารย์บอกต่อ..
"หัวใจต้องการอาหารที่มาหล่อเลี้ยงให้เอิบอิ่ม เบิกบาน เป็นสุข.. คุณลองนึกดู คนที่ไม่มีเงินอยู่ในตัวเลยนี่เป็นยังไง? หัวใจมันแฟบ หัวใจมันเหี่ยวเฉา-เหมือนดอกไม้ยามเย็น ใครที่เป็นมนุษย์เงินเดือนจะรู้ พอเลยวันที่ 25 ไปแล้วนี่ มันเหี่ยวๆยังไงชอบกล ไม่มีเงินค่ารถ ค่าอาหาร ซื้อข้าวสาร มันเหี่ยวไปจนถึงสิ้นเดือน..
แม่อยู่กับเราก็จริง แต่ถ้าแม่ไม่มีเงินอยู่ในมือนี่ หัวใจท่านเหี่ยว พอถึงวันเงินเดือนออก ทุกคนหน้าบานเหมือนดอกไม้ยามเช้า จิตใจสดชื่นเบิกบาน มีความสุข รับเงินเดือนมาใหม่ๆ หน้าสดใส สั่งกาแฟยังเสียงดัง ฟังชัด..
ทุกสิ้นเดือนพอเงินเดือนออก ผมเข้าไปสวัสดีแม่ บอกแม่ว่า วันนี้เงินเดือนออกครับ ผมเอาเงินใส่มือแม่ 1,000 บาท แม่ก็ให้พร แล้วเก็บเงินไว้ใต้หมอนไว้อย่างมีความสุข"
เงิน 1,000 บาท เลี้ยงหัวใจแม่อย่างไร?
วันหนึ่งน้องของอาจารย์พาภรรยาไปคลอดลูก คุณแม่ก็ซื้อทองให้หลานด้วยเงิน 1,000 บาท ที่เก็บสะสมไว้ ท่านกอดหลานสาว.. สวมสร้อยให้พร้อมให้พร
พอเด็กคนนี้โตพอพูดได้ มีคนถามว่าสายสร้อยนี้ใครซื้อให้ เด็กก็จะตอบว่า "คุณย่าซื้อให้" ชี้มือไปที่คนตาบอด คนที่ใหญ่ที่สุดในบ้านคือคุณย่า ไม่ใช่พ่อแม่ เพราะเงิน 1,000 บาท นี่ทำให้คนตาบอดดูน่าเกรงขาม ถ้าคุณแม่ไม่มีเงิน จะรับขวัญหลานได้อย่างไร? เห็นไหมครับ?
ไม่ใช่ว่าพอโตขึ้น มีคนถามว่าคนนี้เป็นใคร เด็กบอกว่ายายแก่ตาบอดที่มาอาศัยพ่อแม่ฉันอยู่ เห็นหรือยังคุณว่าเงินเดือน 1,000 บาทนี่ทำให้คนแก่ตาบอดมีคุณค่าขึ้นมาได้
วันดีคืนดี แม่ครัวล้างชามเสร็จ คุณแม่ก็บอกให้มานวดขาให้ แม่ครัวหน้ามุ่ยทำงานเหนื่อยยังต้องมานวดให้อีก นั่งขยำๆคว่ำหน้า พอนวดเสร็จคุณย่าหยิบเงินให้ 100 บาท แม่ครัวยิ้มหน้าบาน ยกมือไหว้ ขอบคุณค่ะ
วันรุ่งขึ้นพอล้างจานเสร็จ รีบวิ่งมานั่งใกล้ๆ.. วันนี้นวดอีกไหมคะคุณย่า?
เห็นไหม..เงินเดือน 1,000 บาท ที่เราให้แม่ของเรามีฤทธิ์ขึ้นมาได้ มีคนมายกมือไหว้ มีคนมาปรนนิบัติ มีคนมานวดให้ ถ้าไม่มีเงินเดือน 1,000 บาทนี้แม่เราจะมีฤทธิ์ได้อย่างไร?
บันไดไปสวรรค์ด้วยเงิน 1,000 บาท
วันหนึ่ง กำนันมาที่บ้านอาจารย์ หารือจะปรับปรุงห้องน้ำวัดที่ชำรุดทรุดโทรม แม่อาจารย์ได้ยินกวักมือเรียกอาจารย์ แล้วคุณแม่ยกหมอนขึ้น นับเงินมา 5,000 บาท บอกเอาไปให้กำนันปรับปรุงห้องน้ำ
เห็นมั๊ยว่าเงินเดือน 1,000 ที่เราให้เป็นบันไดพาแม่ไปสวรรค์.. นี่ถ้าแม่ไม่มีเงินในมือแม่จะได้ทำบุญไหม?
พอกำนันรับเงินเสร็จ ก็เดินผ่านไปบ้านถัดไป ลุงแก่ๆบ้านโน้นกำลังเก็บผ้าอยู่ในบ้าน กำนันตะโกนข้ามรั้ว ทำบุญสร้างส้วมไหมลุง?
ลุงข้างบ้านตอบ "ลุงไม่มีเงินหรอก ลุงอาศัยลูกสาวเขาอยู่ เดี๋ยวเผื่อลูกสาวเขากลับมาทันจะขอเงินเขาทำบุญ"
เพราะลูกเค้าไม่ได้ให้เงินเดือนลุง ลุงคนนี้เป็นเพียงแค่คนเก็บผ้าของลูกๆ ลุงคนนี้ไม่มีเงิน เพราะลูกเอามาเลี้ยง เอาไว้คอยเก็บผ้า!
เป็นยังไงบ้างครับ.. เห็นอิทธิฤทธิ์ของเงิน 1,000 บาท "เงินเลี้ยงหัวใจแม่" แล้วหรือยังครับ
วันนี้เราให้ "เงินเลี้ยงหัวใจแม่" แล้วหรือยัง?
* * * * *
@ *pdf เลี้ยงกายเลี้ยงใจพ่อแม่ [หลวงพ่อจรัญ]
* * * * *
เพลงแม่ เพราะๆซึ้งๆ
* * * * *
"น้ำพริกกุ้งแห้ง"
By: "เจ๊ส้มลิ้ม"
"..คลุกข้าวสวยร้อนๆ กินแก้มกับหมูทอด ผักบุ้งต้มหั่นฝอย เท่านี้ก็อร่อยแล้วค่ะ.."
สวัสดีค่ะ..คุณผู้อ่าน
พบกับ "เจ๊ส้มลิ้ม" อีกครั้งนะคะ หลังจากที่ครั้งแรกยืมเฟสคุณสามีโพสต์เรื่องการบ้านการเสื้อผ้าจนถูกแอดมินลบชื่อออกจากกลุ่ม 555
คราวนี้หวังว่าแอดมินกลุ่มต่างๆคงไม่ใจจืดใจดำลบออกจากกลุ่มอีกนะคะ
หลังจาก "เจ๊ส้มลิ้ม" เกษียณมาหมาดๆ มาอยู่เฝ้าบ้านเป็นเพื่อนคุณสามี ก็มีเวลาว่างเยอะแหละค่ะ
ก่อนหน้า 37 ปีที่ผ่านมา "เจ๊ส้มลิ้ม" ต้องตื่นแต่เช้ามืด อาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน กว่าจะกลับถึงบ้านก็มืดค่ำทุ่มสองทุ่มเข้าไปแล้วล่ะค่ะ
ก็คนมันเคยตื่นแต่เช้านี่คะ จะให้นอนคุดคู้อยู่บนที่นอนได้ไง
ตื่นแต่เช้า "เจ๊ส้มลิ้ม" ชวนคุณสามีเดินสำรวจรอบหมู่บ้านที่อาศัยปัจจุบันซึ่งเป็นชุมชนขนาดใหญ่ พอดวงอาทิตย์โผล่ก็แวะตลาดสดกลางหมู่บ้านนั่นแหละค่ะ หาซื้อผักผลไม้กลับมาทำอาหารเช้ารับประทานที่บ้าน
ก็เป็นความสุขเล็กๆของคนที่เพิ่งเกษียณมาหมาดๆแหละค่ะ
และแล้วเช้าวันนั้น "เจ๊ส้มลิ้ม" ก็พบความจริงอันนึง คุณผู้อ่านเชื่อมั้ยคะ.. เดี๋ยวนี้อาชีพที่ฮิตที่สุดของผู้สูงอายุคือ "เดินเก็บของเก่า" ค่ะ
เท่าที่เห็น ผู้สูงอายุ "เดินเก็บของเก่า" 5 ราย เป็นหญิง 2 ชาย 3 ค่ะ
โอ้พระเจ้ากล้วยทอด เศรษฐกิจ รบ.ยึดอำนาจ เป็นแบบนี้กันแล้วรึ?
ผ่าน..ผ่าน.. ไม่คอมเม้นท์จ้า!
มา..เข้าเรื่องที่อยากจะเล่าให้ฟังกันดีกว่าค่ะ
ห่างจากบ้าน "เจ๊ส้มลิ้ม" ไปประมาณ 1 กิโลเมตร มีคุณยายท่านหนึ่งอายุก็ราวๆ 70-80 "เจ๊ส้มลิ้ม" เดินผ่านไปทีไรก็เห็นท่านนั่งอยู่หน้าบ้าน เห็นครั้งแรก "เจ๊ส้มลิ้ม" นึกว่าท่านนั่งขอทาน นาทีนั้น "เจ๊ส้มลิ้ม" คิดถึงแม่ที่จากไปแล้ว นึกสงสารคุณยาย เลยควักแบ้งร้อยยัดใส่มือของท่าน
เท่านั้นแหละค่ะ คุณยายเอะอะโวยวายลั่นไปเลย
คุณยายท่านว่าท่านไม่ได้นั่งขอทาน ที่นั่งอยู่นี่ก็บ้านหลานชายของท่านเอง
"เจ๊ส้มลิ้ม" ยกมือไหว้ขอโทษขอโพยคุณยายค่ะ และขออนุญาตนั่งคุยด้วย สักพักก็คุยกันถูกคอ คุณยายท่านเล่าให้ฟังหลายเรื่องราว เป็นชีวิตที่น่าสงสารและน่าเห็นใจของตัวคุณยายเอง สุขบ้างทุกข์บ้างคละเคล้ากันไป เอาเป็นว่า "เจ๊ส้มลิ้ม" ขออนุญาตไม่ขยายความต่อนะคะ
แล้วความคิดนึงก็แว้บเข้ามาในสมองอันน้อยนิดของ "เจ๊ส้มลิ้ม"
2-3 วันต่อมา "เจ๊ส้มลิ้ม" เอา "น้ำพริกกุ้งแห้ง" ไปฝากคุณยาย 30 ถ้วยพลาสติก
"น้ำพริกกุ้งแห้ง" เป็นน้ำพริกประจำบ้าน "เจ๊ส้มลิ้ม" ทำกินเป็นประจำ ไว้ชูรสเวลากินข้าวไม่อร่อย ไม่ใส่สารกันบูด แต่ใส่กุ้งแห้งครึ่งกิโลกรัม
ส่วนผสมนี้ "เจ๊ส้มลิ้ม" ปรุงครั้งนึงจะได้ 30 ถ้วยพลาสติก(Ǿ75 5oz) ถ้าใส่กระปุกแก้วเก็บไว้กินเป็นเดือนๆก็ไม่เสีย
"น้ำพริกกุ้งแห้ง" สูตรนี้ ทั้งเผ็ดและเค็ม ที่เค็มคือใส่กุ้งแห้งเยอะค่ะ สำหรับคลุกข้าวสวยร้อนๆ กินแก้มกับหมูทอด ผักบุ้งต้มหั่นฝอย เท่านี้ก็อร่อยแล้วค่ะ
วันต่อมา "เจ๊ส้มลิ้ม" เดินผ่านไป คุณยายบอกว่าน้ำพริกกุ้งแห้งที่ให้มา ยายไม่ทันได้กิน แต่มีคนมาขอซื้อ ไม่ถึงชั่วโมงก็ขายเกลี้ยง
ว่าแล้วคุณยายก็นับเงินส่งให้ "เจ๊ส้มลิ้ม" 900 บาท "คนซื้อบอกว่าแซบดี ถ้ามีอีกก็เอามาให้อีก ยายจะนั่งขายน้ำพริกกุ้งแห้งนี่แหละอีหนูเอ๊ย"
"???"
"เงินหนูไม่เอา คุณยายเก็บไว้ใช้ไว้ทำบุญเถอะค่ะ"
"???"
"ทุกต้นเดือนหนูจะเอาน้ำพริกมาให้คุณยายอีกนะคะ"
"???"
"ไม่ต้องคิดอะไรมากค่ะ คุณยายจะได้มีเงินไปทำบุญที่วัดทุกวันพระไงคะ"
"???"
หุหุ.. แม่นักสังคมสงเคราะห์ โนเนม 555
"???"
วันนี้โชคดีนะคะ คุณผู้อ่านทุกๆคน..
"เจ๊ส้มลิ้ม บูติคซิตี้"
8 พฤศจิกายน 2560
* * * * *
หลายๆท่านที่สนใจถามมา ก็ขอตอบโดยรวมตรงนี้นะคะ..
น้ำพริกกุ้งแห้งนี่ต้นทุนสูงค่ะกุ้งแห้งเนื้อโล 800 ต้องทำกินเองทำขายไม่ได้ค่ะ
สงสารคุณยายที่ลูกหลานไม่ค่อยสนใจ ให้เงินท่านก็ไม่รับ ที่ท่านนั่งเป็นทางผ่านออกถนนผู้คนเดินไม่ขาด ก็เลยลองเอาน้ำพริกที่ทำกินเองใส่ถ้วยไปให้ 30 ถ้วย
โชคช่วยหรือฟลุ๊กก็ไม่รู้ ท่านขายถ้วยละ 30 บาท ปรากฏว่าไม่ถึงชั่วโมงขายเกลี้ยง เห็นท่านยิ้มอย่างมีความสุขก็พลอยปลื้มไปด้วย น้ำตาร่วงเลยค่ะ
ตอนนี้ทุกต้นเดือนจะทำน้ำพริกไปให้ 30 ถ้วย ให้เปล่าๆนะคะ ท่านจะได้มีเงินไปทำบุญทำทานกับเขามั่งค่ะ
(น้ำพริก 2 ชุด ชุดละ 30 ถ้วยพลาสติก(Ǿ75 5oz) ให้คุณยาย 1 ชุด อีก 1 ชุด ไว้กินเองเผื่อเพื่อนบ้านใกล้เคียงที่ทราบ)
คำตอบนี้คงกระจ่างนะคะ แต่ถ้ายังงงๆก็อ่านบทความนี้อีกสักรอบค่ะ
ขอบคุณหลายๆท่านที่สนใจถามมานะคะ
"เจ๊ส้มลิ้ม"
10 ธันวาคม 2560
* * * * *
* * * * *
@ "อยากชิมแวะไปที่นี่..
* * * * *