"โยเกิร์ต" ดีอย่างไร?
เรียบเรียงจาก: หมอชาวบ้าน
"โยเกิร์ต" เป็นอาหารประจำชาติ ของชาว ตะวันออกกลาง แถบตุรกี อาร์เมเนีย และอิหร่านซึ่งต่างรู้จักวิธีทำมาตั้งแต่ราว 6,000 ปี ก่อนคริสตกาล
มีคนค้นพบว่า เหตุที่ชาวบัลแกเรีย มีชีวิตยืนยาว เพราะกินโยเกิร์ต เป็นประจำ เนื่องจากมีแบคทีเรีย Lactobacillus bulgaricus และ Streptococcus thermophilus ทำให้นมสด แปรสภาพเป็นโยเกิร์ต โดยแบคทีเรียทั้ง 2 ชนิดนี้จะช่วยย่อยอาหาร ทำให้ลำไส้ทำงานดี นอกจากนั้น ยังมีกรดแลคติก และไวตามินบี 2
ทุกวันนี้เรานิยมดื่มนมเปรี้ยวกันมากขึ้น นมเปรี้ยว ก็คือ โยเกิร์ต ชนิดหนึ่งที่พร้อมดื่มได้เลย อันที่จริงก็คือน้ำนมที่ผ่านการเติมเชื้อจุลินทรีย์ เช่น แลคโตบาซิลัส ซึ่งเป็นแบคทีเรียพันธุ์ที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น และเป็นตัวทำให้เกิดรสเปรี้ยวในน้ำนม
ถ้าอยากจะทำโยเกิร์ตกินเองภายในบ้าน ไม่ยากเลย มีวิธีทำนั้นง่ายๆ ดังนี้...
>>: นำนมสดยูเอชที (นมกล่อง) จะเป็นรสหวาน หรือรสจืดก็ได้ ขนาด 1 ลิตร ต้มด้วยไฟปานกลาง จนเดือด แล้วยกลงจากเตา วางทิ้งไว้จนนมลดอุณหภูมิลงเหลือประมาณ 40 องศาC
>>: เติมโยเกิร์ตรสธรรมชาติลงไป 1 ถ้วยหรือ 150 กรัม (เลือกชนิดที่ไม่ใส่รสผลไม้) แล้วคนให้เข้ากัน
>>: จากนั้นเทแบ่งใส่ภาชนะที่มีฝาปิด วางทิ้งไว้นอกตู้เย็น 1 คืน แล้วลองชิมดู ถ้าหากยังไม่เปรี้ยวถูกใจ ก็อาจวางทิ้งไว้อีกสักพักประมาณ 2-3 ชั่วโมง ซึ่งโดยทั่วไปจะใช้ได้ แล้วจึงค่อยนำเข้าแช่ตู้เย็น เวลาจะกินจึงใส่ผลไม้หรือแยมผลไม้ หรือธัญพืชที่ชอบลงไป และถ้าราดน้ำผึ้งลงไปสัก 1 ช้อนโต๊ะคนให้เข้ากันก็จะเสริมเพิ่มอายุให้วัฒนะอีกด้วย
>>: คนให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วหม่ำ >>: อะหรอย...อร่อย
** โยเกิร์ตที่ทำนี้เก็บไว้ในตู้เย็นได้ 2-3 วัน
** โยเกิร์ตที่ทำไว้นี้ ส่วนหนึ่งสามารถเก็บเอาไว้เป็นหัวเชื้อในครั้งต่อไปได้ และเมื่อทำใหม่ โยเกิร์ตที่ได้ก็ทำเป็นหัวเชื้อได้ต่อไปเรื่อยๆ
** อุปกรณ์ หรือภาชนะที่ใช้ทำต้องล้างให้สะอาด และเช็ดให้แห้งก่อน
นี่ก็ทำโยเกิร์ต...เอาไปเปรียบดู...
คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น
คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น
คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น
เกมส์การต่อรอง ที่คนซื้อ(หลง) คิดว่า ชนะคนขาย
By: แดงแท้เรียกผมว่าแดงเทียม
ผมsaveไว้อ่าน 13ต.ค.2552 เว็ปประชาไท คุณ "แดงแท้เรียกผมว่าแดงเทียม" วิเคราะห์ได้เนี๊ยบจริงๆ นับถือ...นับถือ...
ในวงการค้าขาย แบบ อาซิ้ม อาแปะ แกมีทริกเล็กๆ ไว้หลอกคนซื้อ
โดยมี Process คร่าวๆ ดังนี้
1. เช็คลักษณะ ความรู้พื้นฐานผู้ซื้อ ว่าเข้าใจในตัวสินค้า หรือราคาขนาดไหน
2. เช็คความต้องการของผู้ซื้อ ว่าต้องการตัวสินค้ามากน้อยขนาดไหน
3. ประเมิน Supply ของสินค้าตัวนั้น ว่าหาซื้อได้ยากง่ายเพียงใด
4. เริ่มปล่อยราคาในช่วงแรก หลังจากประเมิน ข้อ 1 ข้อ 2 และ 3 ซึ่งเพดานราคาจะสูงหรือต่ำ ก็ตามข้อ 1 ข้อ 2 ราคาจะ Max ถ้า 1 ต่ำ 2 สูง 3 ต่ำ
5. Step แห่งการต่อรองราคาและปิดการขาย หลังจากเปิดราคาไปแล้ว ถ้า ข้อ 4 เจอผู้ซื้อใจถึง
อาซิ้ม อาแปะ ก็ยิ้มหวาน ถ้าต่อราคาลงเล็กน้อย
แกก็จะพูดว่า "อืมมม ได้ๆ คนกันเอง"
ถ้าต่อเยอะ แต่ยังพอให้ได้ แกก็จะมีลูกเล่น แบบพบกันครึ่งทาง
คือ ขอต่อ 20 แกให้ 10 บาท ถ้าไม่เจอลูกตื้อต่อ ก็ปิดการขายได้
ถ้าต่อเยอะมาก และสามารถให้ราคาได้ แต่ได้กำไรน้อย แกก็จะ บอกว่าไม่ได้ พร้อมดูท่าที
ถ้าผู้ซื้อยังตื้อต่อนานๆ และไม่มี Option ให้ แกก็จะให้ Option เอง
เก๋าเกมส์หน่อย ก็จะโยนภาระให้ผู้ซื้อ ถามว่า "น้องสู้ได้เท่าไหร่ล่ะ"
ถ้าไม่เก๋าส์มากนัก ก็จะ เสนอ ราคาอีกระดับ ที่เป็น ระดับที่ได้กำไร มากกว่าราคาแรก
จากนั้นเช็คปฏิกิริยา กับคนซื้ออีกรอบ ถ้าดึงดัน แกก็จะดึงดันด้วย รอกระทั่งคนซื้อยอม ถ้าคนซื้อยอม ก็ปิดการขาย
แต่ถ้า คนซื้อไม่ยอม เดินออกนอกร้าน แกก็มักจะบอกว่า "นี่เห็นว่าคนกันเองนา อุดหนุนประจำ กำไร 5-10 บาท ก็ยอม ไว้มาซื้ออย่างอื่นบ้างนะ"
แต่ถ้าสมมุติว่า Option ที่คนซื้อ หยิบยื่นมาให้ แกเห็นว่ามันขาดทุน แกก็เสนอทับ และเข้าสู่การต่อรองราคา จนกระทั่งปิดการขาย
แต่ถ้าราคา รับกันไม่ได้ทั้งสองฝ่าย การซื้อขายก็ไม่เกิดขึ้น
6. กรณีพิเศษ ในบางครั้ง คนขาย เจอผู้ซื้อประเภท กวนๆ หรือไม่สนใจซื้อ แต่อยากถามราคา
ถ้าคนขายเก๋าเกมส์มากๆ ก็มักจะพูดว่า "น้องเอาจริงหรือเปล่า ถ้าเอาจริงเดี๋ยวพี่ให้ราคาพิเศษเลย" คนซื้อประเภทไก่อ่อน ขี้โมโห จะนึกว่า "นึกว่าเราไม่มีปัญญาซื้อเหรอ เดี๋ยวจะซื้อสั่งสอนให้ดู"
จากนั้นคนขายก็จะเปิดราคาแบบสูงมาให้ ซึ่งคนซื้อเลือดขึ้นหน้าไปแล้ว ก็มักจะไม่ต้องรอง เกรงเสียศักดิ์ศรี หาว่าไม่มีงั้น ก็จะจ่ายเงินให้คนขายเลย และมักจะใช้เงินที่เป็นแบงค์ใหญ่ๆ เช่น 1,000 หรือ 500 หรือไม่ก็ บัตรเครดิต เพื่อลบคำสบประมาท(คิดไปเอง) ว่ากระจอกไม่มีเงินซื้อ พร้อมเชิดหน้าใส่ เวลาได้ของ
แน่นอน คนขายยิ้มสบายเลย หลังจากคนซื้อเดินออกไป
ณ เมืองเมืองหนึ่งในประเทศจีน มีหมอดูกับลูกศิษย์คู่หนึ่ง คอยให้คำทำนายแก่ผู้คนที่เดินทางผ่านไปมา
วันหนึ่ง ชายสามคนกำลังจะไปสอบไล่แข่งขันที่เมืองหลวง จึงพากันไปหารือหมอดู
หมอดูไม่ยักตอบคำถามของผู้ใดเลย แต่ใช้นิ้วมือนิ้วหนึ่งชูขึ้น หลังจากฟังคนทั้งสามบอกเล่าให้ฟัง
เมื่อผลสอบประกาศออกมา คนหนึ่งในสามคนนั้นสอบได้
ชื่อเสียงหมอดูผู้นั้นก็เป็นที่เลื่องลือขึ้นมา ลูกศิษย์หนุ่มจึงถามท่านหมอดูว่า
"ความลับในการทายได้ถูกต้องนั้นคืออะไร..."
"ความลับของฉันก็คือไม่พูดอะไรเลย"
คำตอบของหมอดูยิ่งทำให้หนุ่มที่มาฝึกดูลายมืองงหนักขึ้นไปอีก
ท่านอาจารย์หมอดูก็ร่ายยาวต่อไปว่า
"เธอเห็นฉันชูนิ้วเดียวก็อาจหมายความว่า ในสามคนนั้นจะสอบได้เพียงคนเดียว แล้วผลออกมาก็ตรงตามที่ฉันทำนายไว้เผง
ถ้าสอบได้สองคน คำทำนายฉันก็ถูกต้องอีกนั่นแหละ เพราะชูนิ้วเดียวหมายถึงสอบตกคนหนึ่งก็ได้
ถ้าเขาสอบได้หมดทั้งสามคน นิ้วเดียวก็หมายถึงว่า ทั้งสามคนรวมกันนั่นแหละสอบได้
ทำนองเดียวกันนี้ ถึงในทางตรงกันข้าม ก็ถูกอีกนั่นแหละ"
ลูกศิษย์หนุ่มได้ฟังคำอธิบายจบก็พูดขึ้นว่า
"โอ..มีอีกมากมาย ที่ศิษย์ต้องเรียนรู้"
นักศึกษาผู้คงแก่เรียนคนหนึ่ง ได้ว่าจ้างเรือแจวให้พาข้ามฟาก ในขณะที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆดูมืดครึ้ม และลมเริ่มพัดจนน้ำกระฉอกเป็นระลอก
เรือแจวได้แล่นไปอย่างช้าๆ เมื่อเรือเข้าสู่กระแสน้ำเชี่ยว คนแจวเรือจึงต้องตั้งอกตั้งใจแจวอย่างระมัดระวัง ฝ่ายนักศึกษากำลังก้มหน้าก้มตาอ่านตำราเล่มใหญ่ ในที่สุดนักศึกษาก็ละสายตาจากตำราเงยหน้ามองมาที่คนแจวเรือ
"ลุงเคยอ่านตำราประวัติศาสตร์บ้างไหม?" นักศึกษาถามขึ้น
"ไม่เคยเลยครับ" คนแจวเรือจ้างตอบเบาๆ
"งั้นลุงก็พลาดโอกาสอย่างน่าเสียดาย ในหนังสือประวัติศาสตร์นะลุง เต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าอ่าน มีเรื่องของกษัตริย์และราชินีในอดีต เรื่องของสงคราม การต่อสู้ ทำให้เรารู้ว่าคนในสมัยโบราณใช้ชีวิตกันอย่างไร แต่งกายแบบไหน ประวัติศาสตร์จะบอกให้ทราบถึงความเจริญของชนชาติต่างๆ ทำไมลุงไม่อ่านประวัติศาสตร์บ้างเล่า?"
"ผมไม่เคยเรียนหนังสือครับ" คนแจวเรือตอบ
คนแจวเรือก็แจวเรือต่อไป นักศึกษาก็ก้มหน้าอ่านตำราต่อไป คงมีแต่เสียงใบแจวกระทบพื้นน้ำเท่านั้น ผ่านไปสักครู่ นักศึกษาก็ถามคนแจวเรือขึ้นอีก "ภูมิศาสตร์เล่าลุง เคยอ่านบ้างไหม?"
"ไม่เคยเลยครับ"
"ภูมิศาสตร์ เป็นวิชาที่สอนให้เรารู้จักกับโลกและประเทศต่างๆ กระทั่งภูเขา แม่น้ำ ลม พายุ ฝน ภูมิศาสตร์เป็นวิชาที่น่าศึกษามาก ลุงไม่รู้จักวิชานี้เลยรึ?"
"ไม่เคยเลยครับ" คนแจวเรือตอบ
นักศึกษาส่ายหน้า
"ไม่รู้จักวิชานี้ ชีวิตลุงไม่มีค่าอะไรเลย"
"วิทยาศาสตร์ละลุง เคยอ่านบ้างรึเปล่า"
"ไม่เคยอีกแหละคุณ"
"ลุงเป็นคนยังไงกันหือ? วิทยาศาสตร์ช่วยอธิบายถึงเหตุและผลต่างๆ ความก้าวหน้าของมวลมนุษย์ขึ้นอยู่กับวิทยาศาสตร์โดยตรง นักวิทยาศาสตร์เป็นบุคคลที่สำคัญยิ่งในโลกปัจจุบัน แต่ว่าลุงไม่รู้เรื่องเอาเสียเลย ชีวิตของลุงช่างมีค่าน้อยเหลือเกิน"
นักศึกษาปิดตำราของเขา และนั่งเงียบไม่ยอมพูดจาอีก ขณะนั้นเมฆดำได้แผ่ขยายเต็มท้องฟ้า ลมเริ่มพัดแรง ฟ้าแลบแปลบปลาบ พายุกำลังจะมา และเรือก็ยังเหลือระยะทางอีกไกลกว่าจะถึงฝั่ง
คนแจวเรือแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า "ดูเมฆนั่นซิคุณ พายุคงจะมาในไม่ช้า คุณว่ายน้ำเป็นไหมครับ?"
นักศึกษาพูดอย่างตกใจกลัว "ว่ายน้ำ...ผมว่ายไม่เป็นหรอกลุง"
บัดนี้คนแจวเรือเป็นฝ่ายเลิกคิ้วมองนักศึกษาอย่างแปลกใจบ้าง และพูดว่า "อะไรกัน คุณว่ายน้ำไม่เป็น คุณรอบรู้ออกมากมาย ประวัติศาสตร์เอย ภูมิศาสตร์เอย และวิชาวิทยาศาสตร์คุณก็ออกคล่อง แต่ทำไมไม่เรียนว่ายน้ำด้วยเล่า อีกประเดี๋ยวเถอะ คุณจะรู้ว่าชีวิตของคุณไม่มีค่าเลย"
พายุพัดจัดขึ้น เรือลำน้อยถูกคลื่นและลมพัดโยนขึ้นๆลงๆ ในไม่ช้าก็ถูกคลื่นและพายุกระหน่ำจนเรือพลิกคว่ำคนแจวเรือจ้างว่ายน้ำขึ้นฝั่งได้อย่างปลอดภัย แต่ทว่านักศึกษาผู้น่าสงสารจมหายไปใต้กระแสน้ำอันไหลเชี่ยวนั้น
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด...อิอิ