"คู่มือ...ทำกับข้าวเมืองเหนือประยุกต์" (ฉบับรีไซเคิ้ล) เล่มนี้ ผมขออนุญาตเรียกอย่างนี้ เพราะกระดากที่จะเรียกว่า "ตำรา" ผมเขียนขึ้นจากประสบการณ์ในการทำกับข้าวด้วยตนเองเกือบจะทุกวัน ตั้งแต่ยังเป็นเด็กจนกระทั่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่จนเกือบจะลาจากโลกใบนี้ไปแล้ว ส่วนหนึ่งซึ่งนับว่าเป็นส่วนมากที่สุดมาจากความทรงจำในอดีต ที่ได้อาสาเป็นลูกมือช่วยผู้ใหญ่ทำกับข้าวอยู่เสมอ... และทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้ผมได้ตรวจสอบชำระข้อความบางท่อนบางตอนที่เป็นส่วนสาระสำคัญกับหนังสือ "ตำราทำกับข้าวเมืองเหนือ" เขียนโดย คุณสงวน โชติสุขรัตน์ ซึ่งเป็นบรมครูทางการหนังสือพิมพ์ขั้นปฐมของผม แล้วนำมาคลุกเคล้าผสมผสานเรียบเรียงเขียนขึ้นมาใหม่ในเชิง "เล่าสู่กันฟัง" ทั้งนี้ เพื่อสะดวกแก่คนรุ่นใหม่ จะได้นำเอาไปเป็น "คู่มือ" อนุรักษ์การทำกับข้าวของเมืองเหนือ ให้คงอยู่ถึงคนรุ่นต่อๆไป โดยคำนึงถึงวิธีการการทำกับข้าวเพื่อให้ทำกันได้อย่างง่ายๆ ไม่ยุ่งยากซับซ้อนอะไร
"โปรดสังเกต.. ที่ช่อง url ด้านบนซ้าย ถ้าเป็น https กรุณาเปลี่ยนเป็น http แล้วกด enter เข้ามาใหม่ครับ"
@ คลิกที่นี่ ดูบนyoutube... @ ภาพรับปริญญามีต่อที่นี่... @ และที่นี่อีกจ้า... @ บัณฑิตรามฯรุ่น38(2555) ทุกคณะและทุกคน โหลดคลิปที่นี่...

วันอาทิตย์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2560

"24 ชั่วโมงของทักษิณ" By: "คนการเมือง"


"24 ชั่วโมงของทักษิณ"
By: "คนการเมือง"

"..เสียงโทรศัพท์เช้าวันนั้น "ฮัลโหล ฉันเอง พวกเขาอาจจะก่อรัฐประหาร" .. พวกเขาเป็นใครกัน? ผมวางใจง่ายไปหน่อย ไม่ใช่ว่าผมมั่นใจเกินไป แต่เป็นเพราะผมคิดว่า คนที่ตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์ไม่น่าทำเรื่องเช่นนี้ นี่มันศตวรรษที่ 21 แล้วนะ ยุคสมัยที่อาศัยอาวุธยึดอำนาจมันหมดไปแล้ว ผมคิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะทำเช่นนี้ นึกไม่ถึงว่าจะกล้าเช่นนี้.."

"24 ชั่วโมงของทักษิณ" ฉบับแปลภาษาไทย น้องลิเดีย เอามาฝากให้พี่ๆเว็บเสรีไทย ให้พี่ๆ ได้อ่านก่อนเว็บไฮทักษิณอีกนะคะ .. ด้วยความรัก จากน้องลิเดียค่ะ จุ๊บๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

"24 ชั่วโมงของทักษิณ"

คำนำ

ในประวัติศาสตร์ไทยแต่ไรมาไม่เคยมีนายกรัฐมนตรีที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์เช่นทักษิณ

เขาได้รับการวิจารณ์จากนักวิชาการในเมือง แต่กลับเป็นที่ชื่นชมจากประชาชนในต่างจังหวัด คนที่คัดค้านทักษิณกล่าวว่า เขาหยิ่งยะโส คอร์รัปชั่น ทำลายประชาธิปไตย นำพาประเทศไปสู่ระบบพรรคการเมืองเดียว ส่วนคนที่สนับสนุนเขากล่าวว่า เขาเป็นคนเรียบง่าย เข้าถึงชาวบ้าน เป็นผู้กล้าหาญ ดูแลเอาใจใส่คนจน และทำคุณประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอย่างใหญ่หลวง การตัดสินใจดำเนินนโยบายในแต่ละเรื่องของเขาขณะที่ยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่นั้น ดูเหมือนได้รับการโต้แย้งและถกเถียงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แม้กระทั้งรูปแบบของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ทำให้เขาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้ก่อให้เกิดการอภิปรายอย่างคึกคักอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในเวทีระหว่างประเทศ ประชาชนพินิจพิเคราะห์ประชาธิปไตย ผู้คนพูดคุยและถกเถียงเกี่ยวกับการเมืองของเอเชีย ติดตามสถานการณ์ของประเทศไทย และวิพากษ์วิจารณ์ทักษิณ

ทักษิณ ชินวัตร อายุ 58 ปี เป็นผู้ซึ่งสื่อมวลชนให้สมญานามว่าเป็น "คนที่มีอำนาจและร่ำรวยที่สุดในประเทศไทย" ก่อนที่เขาจะเข้าสู่การเมือง เขาเป็นเศรษฐีร้อยล้านจากธุรกิจโทรคมนาคม และก่อนที่เขาจะสู่วงการธุรกิจ เขาเป็นนายตำรวจยศพันโทที่ได้เคยไปเรียนที่สหรัฐอเมริกา ก่อนที่เขาจะเข้าโรงเรียนตำรวจ เขาเป็นลูกหลานในครอบครัวนักธุรกิจชาวจีนโพ้นทะเล จากเด็กธรรมดาคนหนึ่ง ด้วยความมานะและความเฉลียวฉลาดของเขา ก็ค่อยๆ ก้าวขึ้นสู่ยอดปิรามิดแห่งอำนาจและความร่ำรวย ในกระบวนดังกล่าวนี้เต็มไปด้วยความผิดหวังและอุปสรรค แต่เขาเป็นคนที่เก่งเรียนรู้โดย "นำความผิดหวังเปลี่ยนเป็นโอกาส" ไม่ยอมล้มเหลว เขามีจิตวิญญาณที่ไม่ยอมแพ้ ประสบการณ์ในความสำเร็จ และอุปนิสัยที่มีเสน่ห์ของทักษิณก็อยู่ตรงนี้นี่เอง

แม้ว่าจะมีการคัดค้านอย่างหนักหน่วง แต่เพียงแค่ดูตัวเลขทางเศรษฐกิจและบันทึกทางการเมืองในระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมาของประเทศไทย ก็ต้องยอมรับว่า คนคนนี้เป็นคนที่มีความสามารถอย่างแน่นอน มีความคิดปราดเปรียวฉับไว กล้าสร้างสรรค์สิ่งใหม่ แม้กระทั่งศัตรูทางการเมืองที่เคยโจมตีเขายังยอมรับในภายหลังว่า เขาได้นำความแตกต่างมาสู่เวทีการเมืองไทย พรรคไทยรักไทยที่เขาก่อตั้งเป็นพรรคการเมืองที่มีแนวคิดบริหารประเทศด้วยความชัดเจนมากที่สุด เขาได้นำวิธีการบริหารบริษัทมาบริหารประเทศโดยลดการทุจริตของข้าราชการ เขาปราบปรามการค้ายาเสพติดและอาชาญากรรมแบบไม่ยั้งมือ ด้วยเหตุนี้จึงก่อให้เกิดการตำหนิว่า "เมินเฉยต่อสิทธิมนุษยชน" เขาได้ดำเนินนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อคนจนหลายนโยบาย อาจกล่าวได้ว่า เขาเป็นนักการเมืองที่มีจิตใจเมตตา แม้ว่าจะมีเขามีจะมีอุดมคติลอยๆไปบ้าง นอกจากนี้ยังมีหลายสิ่งซึ่งเขาไม่มีเหมือนกับนักการเมืองทั่วไปก็คือ ท่าทีที่เสแสร้งและพูดซ้ำซากแต่เรื่องเดิม อุปนิสัยของเขาเต็มไปด้วยความน่าเกรงขามและอ่อนน้อมเข้ากับคนง่ายเป็นอย่างยิ่ง คุณสมบัติสองประการนี้ประกอบขึ้นเป็นตัวตนของเขาอย่างน่าอัศจรรย์

วันที่ 19 กันยายน 2549 โชคชะตาของเขาก็ได้เปลี่ยนแปลงในชั่วข้ามคืน เขาถูกเนรเทศออกจากแผ่นดินเกิดโดยไร้ความปราณี จากยอดเขาตกลงสู่เหว นายกรัฐมนตรีของประเทศหนึ่งกลาย เป็นผู้ลี้ภัยที่ไม่สามารถกลับประเทศตนได้ จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ เรื่องราวที่พิสดารเหล่านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาถูกจดจำไว้ในประวัติศาสตร์

ข้อสรุปที่มีต่อเขาตอนนี้ยังเร็วเกินไป ประวัติศาสตร์จะถูกเขียนโดยผู้ชนะเสมอ คุณอาจจะมองเขาเป็นผู้แพ้ และอาจมองเขาเป็นผู้ที่ถูกทำร้าย แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ในศตวรรษที่ 21 การเปลี่ยนแปลงอำนาจทางการเมืองโดยใช้กำลังทหาร เป็นการไม่ปฏิบัติตามกฎแห่งประชาธิปไตยและความหมายของเสรีภาพ แม้ว่าจะการรัฐประหารครั้งนี้จะไม่เสียเลือดเนื้อก็ตาม แต่ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ เราไม่สามารถที่จะหาคำที่รุ่งโรจน์ และมีมนุษยธรรมอันสูงส่งไปกว่าคำว่า "ประชาธิปไตย" และ "เสรีภาพ" อีกแล้ว คำแหล่านี้ได้ถูกคิดค้น อธิบาย ใน ท้ายที่สุดได้นำมาปฏิบัติให้เป็นจริงขึ้นเพื่อขจัดความรุนแรงและโหดร้ายให้หมดสิ้น และใช้รูปแบบที่มีเหตุผลและสันติมาแก้ไขความขัดแย้งและข้อพิพาทที่มนุษย์ได้สร้างขึ้น

สิ่งนี้มีส่วนที่เหมือนกับแนวคิดคุณค่าของศาสนาพุทธที่เป็นศาสนาประจำชาติของไทย อย่างไรก็ตาม นอกจากศาสนาพุทธจะช่วยลดความระดับของความรุนแรงของการรัฐประหารแล้ว ก็ไม่ได้ให้ "ปรัชญาทางการเมือง" ใดๆ ต่อเมืองพุทธที่มีเมตตาธรรมนี้ บางทีหากมองจากมุมของศาสนาและการนับถือแล้ว การเมืองก็เหมือนกับเศรษฐกิจที่ต่างก็จะต้องรับผิดชอบต่อการแย่งชิงและการใช้กำลังของโลกเรา มนุษยชาติส่งเสริมการแก่งแย่งชิงดี แสวงหาของนอกกาย และบ่อยครั้งหลงทาง สูญเสียความรัก มันก็เหมือนกับที่นักการเมืองจำนวนหนึ่งที่ถกถียงกันไม่หยุด หย่อนว่า "ใครผิดใครถูก" และไม่ยอมปล่อยให้อำนาจในมือหลุดลอย มีใครบ้างที่จะสนใจความผาสุกของชาวบ้านและทุกข์สุขของคนจนอย่างแท้จริง?

หนังสือเล่มนี้ผู้เขียนได้เขียนขึ้นจากการสัมภาษณ์ทักษิณแล้วหลายครั้ง "คำบอกเล่าของทักษิณ" ได้ย้อนรำลึกถึงชีวิต ความคิดที่มีต่อรัฐประหารและความเห็นคัดค้านต่อยุทธวิธีบริหารบ้านเมือง หนังสือเล่มนี้อาจบอกความจริงส่วนหนึ่ง แต่อาจไม่ใช่ทั้งหมด ทักษิณก็มีข้อจำกัดของตนเอง และข้อจำกัดของยุคสมัย บทเรียนจากการรัฐประหารของไทย มิเพียงเป็นบทเรียนของเขา และของประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นบทเรียนของโลกและของมนุษยชาติอีกด้วย

* * * * *

บทที่ 1 เสียงโทรศัพท์ยามรุ่งอรุณ

ตอนที่ 1

วันที่ 19 กันยายน 2549 เวลาตีห้า ท้องฟ้าในมหานครนิวยอร์กกำลังจะสว่าง ดวงดาวค่อยๆ ลับขอบฟ้า ท้องฟ้าเป็นสีครามและเงียบสงัด มีพยากรณ์อากาศว่า วันนี้มีอุณภูมิโดยเฉลี่ย 23 องศา ระดับความชื้น 78% นับเป็นวันที่มีอากาศแจ่มใสวันหนึ่ง ลมในฤดูในไม้ร่วงพัดปะทะเบาๆ กับใบหน้า ช่วงรุ่งสางเป็นช่วงที่มหานครนิวยอร์กเงียบสงัดที่สุด ลมในช่วงรุ่งสางพัดผ่านใบไม้ไป ทำให้ได้ยินเสียงนกร้องในสวนสาธารณะ หากเป็นเมื่อ 5 ปีก่อนนี้ ยังสามารถขึ้นไปยืนอยู่ตึกที่สูงที่สุดของมหานครนิวยอร์กได้ นั่นคือ ตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ที่ซึ่งสามารถชมทิวทัศน์ของฤดูใบไม้ร่วงในสวนสาธารณะได้ ปัจจุบันนี้ สถานที่ที่นั้นเหลือเพียงแต่หลุมใหญ่ๆ 2 หลุม และป้ายรำลึกที่สลักชื่อผู้เสียชีวิต พร้อมทั้งมีรั้วเหล็กกั้นไว้ เมื่อ 2-3 วันก่อนที่นี่เพิ่งจัดงานรำลึกครบรอบ 5 ปีของเหตุการณ์ 9/11 ประธานาธิบดีบุชและภรรยาได้มาวางช่อดอกไม้ด้วยตนเอง คนจำนวนไม่น้อยจุดเทียนเพื่อรำลึกถึงวิญญาณผู้เสียชีวิต ปัจจุบันนี้บนรั้วเหล็กที่กั้นสิ่งปรักหักพังของตึกเวิลด์เทรดนั้นเต็มไปด้วยดอกไม้และธงชาติสหรัฐฯ จำนวนมาก ตามแผนงานของมหานครนิวยอร์ก หลังจาก 3 เดือน อเมริกาจะก่อสร้าง "ตึกแห่งเสรีภาพ" บนพื้นที่ของตึกเวิลด์เทรดเดิม แต่ทว่า หากไม่เปลี่ยนแปลงความเคยชินที่ใช้ความรุนแรงและอาวุธแก้ไขปัญหา มนุษยชาติก็ไม่อาจมีเสรีภาพตลอดไป ความเจ็บปวดของมนุษย์ก็ไม่มีทางสิ้นสุด

ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย ซึ่งมีอายุ 57 ปี ณ ขณะนั้นกำลังนอนในห้องเพรสซิเดนท์เชี่ยลสวีทของโรงแรมแกรนด์ไฮแอทนิวยอ์รก ม่านสีทึบกั้นหน้าต่างในห้องทำให้แสงสว่างของอรุณรุ่งไม่สามารถเล็ดลอดเข้ามาในห้องนอนได้ ในห้องเงียบสงัดจนได้ยินเสียงหายใจเบาๆ ของคนที่กำลังหลับ เขานอนไม่หลับพลิกตัวกลับไปกลับมา หัวคิ้วที่ขมวดอยู่เผยให้เห็นร่องรอยของความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามานาน ศีรษะกว้างและใหญ่ รอยย่นปรากฏเป็นริ้วๆ ขอบใต้ตาดำคล้ำ มีถุงใต้ตาอย่างชัดเจน รูปหน้าทรงกลม/เหลี่ยม อาจเป็นเพราะความขาวหมดจดของใบหน้าจึง ทำให้ดูเหมือนอายุยังไม่มากนัก แต่เมื่อดูโดยรวมแล้ว นี่เป็นใบหน้าที่บ่งบอกถึงความเหน็ดเหนื่อยตรากตรำ หลังจากเกิดเรื่อง "รถวางระเบิด" เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่พูดกันสับสนไปหมด ตั้งแต่นั้นมาเขาก็นอนอย่างไม่สบายใจ ทั้งกลางวันและกลางคืน เขาถูกล้อมรอบไปด้วยภัยคุกคามที่อาจรู้ได้ว่าจะมาจากไหน ศัตรูที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดฉับพลันก็ออกมาสร้างความตกใจให้กับเขา หลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว เขาได้กล่าวว่า วันนั้น เป็นวันที่เขารู้สึกเครียดมากที่สุดตั้งแต่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมา และมันยังน่ากลัวกว่าเมื่อเทียบกับเรื่องที่เกิดขึ้นภายใน 24 ชั่วโมงต่อจากนี้

ตอนเช้าของวันที่ 24 สิงหาคม 2549 ฝ่ายตำรวจของไทยประกาศว่า พบรถยนต์บรรทุกวัตถุระเบิดน้ำหนัก 67 กิโลกรัม บริเวณใต้ทางด่วนแห่งหนึ่งซึ่งมีระยะ 1 กิโลเมตรใกล้กับที่พักของนายกรัฐมนตรีบริเวณเขตปริมณฑล เป็นระเบิดทีเอ็นทีที่มีน้ำหนัก 5 กิโลกรัม และยังพบน้ำมันเบนซินผสมกับปุ๋ยซึ่งบรรจุในถุงจำนวนกว่า 10 ถุง นอกจากนี้ยังมีระเบิดซีโฟร์ 3 ลูก รวมทั้งดินระเบิดที่มีลักษณะเป็นพลาสติกจำนวนหนึ่ง และสายชนวนและท่อนำ ฝ่ายตำรวจกล่าวว่าวัตถุระเบิดเหล่านี้ซุกซ่อนอยู่ในส่วนต่างๆ ของรถ และติดตั้งติดกับรถมาอย่างดี นอกจากนี้ตัวรถยังติดตั้ง remote sensing ด้วย ซึ่งเพียงแค่กลุ่มผู้ก่อการร้ายกดปุ่มควบคุมในระยะไกล พลังของระเบิดก็จะสามารถทำลายสิ่งปลูกสร้างในรัศมีหนึ่งกิโลเมตรให้กลายเป็นผุยผงได้ ไม่ต้องสงสัยเลยแม้แต่นิดว่า ระเบิดนี้มุ่งทำร้ายทักษิณ ตำแหน่งที่รถจอดอยู่ก็เป็นถนนสายที่ขบวนรถของนายกรัฐมนตรีจะต้องผ่านทุกวัน เวลาก็ประจวบเหมาะพอดี 9 โมงซึ่งเป็นเวลาที่นายกรัฐมนตรีมาทำงานที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี โฆษกรัฐบาลออกมากล่าวในงานแถลงข่าวว่า “ในตอนนั้นลูกระเบิดได้เตรียมการไว้อย่างดีและพร้อมที่จะระเบิด สายนำไฟฟ้าถูกเชื่อมต่อกับท่อลำเลียง และยังใช้ถุงทราย 7 ถุงเพื่อบังคับทิศทางระเบิด และรับประกันว่าระเบิดจะต้องมุ่งทิศทางไปยังขบวนรถของนายกรัฐมนตรีแน่นอน”

ตำรวจได้ควบคุมตัวร้อยโทธวัชชัย กลิ่นชนะซึ่งเป็นผู้ขับรถยนต์คนดังกล่าวได้ที่เกิดเหตุ และได้ขับรถไปใต้ทางด่วนนั้น แต่ว่า ผู้ต้องสงสัยปฏิเสธความผิด นายธวัชชัยยืนยันว่า ตนไม่ทราบแผนการลอบสังหารนายกรัฐมนตรีเลย และไม่รู้ด้วยว่ามีระเบิดติดตั้งในรถคันดังกล่าว สำหรับชื่อของระเบิดซีโฟร์และทีเอ็นที ตนก็แทบจะไม่เคยรู้จัก แค่มีเพื่อนหนึ่งฝากให้เขาขับรถคนนี้ไปที่ที่ใกล้กับบ้านพักของนายกรัฐมนตรี เขาจึง "ทำตามอย่างงงๆ"

ข้อแก้ตัวนี้เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถเชื่อถือได้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เมื่อ 2-3 เดือนก่อน เห็นรถยนต์สีเทาเงินคันหนึ่งตามขบวนรถนายกรัฐมนตรีอย่างลับๆล่อๆ และสามวันก่อนเกิดเรื่อง รถยนต์คันนี้ก็ขับกลับไปกลับมาและมีท่าทางน่าสงสัยบนถนนใกล้กับบ้านพักของนายกรัฐมนตรี และเช้าตรู่ของวันนั้น เมื่อเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพบเห็นรถคันดังกล่าวกำลังกลับรถไปมา จึงรีบแจ้งตำรวจทันที

หลังจากที่ทักษิณรอดตายจากภัยนี้แล้ว ทักษิณก็ได้กล่าวที่ทำเนียบรัฐบาลซึ่งรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดว่า ในวันนั้นตนเคราะห์ดีที่สามารถรอดจากประตูนรกนั้นได้ สาเหตุสำคัญก็คือ ได้รับแจ้งจากสำนักข่าวกรองได้ทันเวลา จึงได้ออกจากที่พักก่อนหน้านั้น 1 ชั่วโมง ทักษิณยังบอกอีกว่า เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้รู้ถึงแผนการชั่วร้ายที่จะสังหารนายกรัฐมนตรีหลายครั้งในระยะ 2-3 เดือนนี้ สำหรับการบงการเบื้องหลังเหตุการณ์ลอบสังหารนี้ ทักษิณเชื่อว่าอย่างน้อยมีผู้ที่เกี่ยวข้อง 4 คน โดยเป็นนายทหารระดับสูงทั้งยังอยู่ในตำแหน่งและเกษียณแล้ว แต่ความจริงจะเป็นใครนั้น ยังไม่สะดวกที่จะเปิดเผย

เพื่อความปลอดภัย ทักษิณได้ยกเลิกกำหนดการต่างๆ ในช่วงบ่ายวันนั้น เช่น การพบปะกับนายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาที่ชายแดนไทย-กัมพูชา กำหนดการเดินทางไปตรวจเยี่ยมภัยน้ำท่วมในภาคเหนือก็ถูกเลื่อนออกไป เมื่อสมาชิกพรรคไทยรักไทยมาให้กำลังใจทักษิณนั้นเขาได้บอกกับสมาชิกพรรคว่า ตอนนี้เขาเองยังเอาตัวไม่รอด เกรงว่า จะไม่สามารถออกสู่เวทีสาธารณะเพื่อรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งที่จะมาถึงได้ เขาเร่งเพิ่มกำลังหน่วยรักษาความปลอดภัยถึง 30 คน และจัดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจำนวนกว่า 10 คนดูแลภรรยาและลูกของตน

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทักษิณเอาชีวิตรอดมาได้ ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2544 เมื่อเขาได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพียง 25 วัน เขาก็ได้รับรู้รสชาติของการถูกลอบสังหาร ในวันนั้น เครื่องบินโบอิ้ง 747 ลำหนึ่งของการบินไทยซึ่งบรรทุกผู้โดยสารจำนวน 129 คน เดินทางจากกรุงเทพฯ ไปยังจังหวัดเชียงใหม่ ผู้โดยสารบนเครื่องซึ่งรวมทั้งทักษิณที่เพิ่งได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยลูกชาย รวมทั้งข้าราชการจำนวน 20 คนเตรียมพร้อมขึ้นเครื่อง วินาทีที่เครื่องบินเตรียมทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้านั้น ที่นั่งชั้นหนึ่งหมายเลข 11A ที่เขาได้จองไว้เกิดระเบิดขึ้นกะทันหัน ผู้โดยสารที่อยู่บริเวณรอบๆ ที่นั่งนั้นได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก แต่ที่โชคดีก็คือ ที่นั่งนี้ไม่มีใครนั่งอยู่ในตอนนั้น ทักษิณผู้ซึ่งตรงต่อเวลามาโดยตลอดตัดสินใจที่จะรอลูกชายซึ่งก็คือ นายพานทองแท้ ที่มาถึงช้า วันนั้นลูกชายก็ไม่ทราบสาเหตุว่าทำไมถึงมาช้า 25 นาที แต่ในที่สุดก็ได้ช่วยชีวิตพ่อของตนไว้ได้

ฝ่ายทหารและตำรวจได้พบระเบิดฟอสฟอรัสขาวชนิดหนึ่งในบริเวณที่เกิดเหตุ โดยระเบิดได้ถูกติดตั้งไว้ใต้ที่นั่งของนายกรัฐมนตรีและลูกชาย ทั้งเวลาและสถานที่ชัดเจนเช่นนี้จึงทำให้เกิดความคลางแคลงสงสัยว่า มันเป็นการกระทำของ "หนอนบ่อนไส้" อย่างไรก็ตาม ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ถึง 1 เดือน สำนักข่าวกรองแห่งชาติยังไม่ได้รับแจ้งมาก่อนว่ากลุ่มอำนาจใดต้องการทำร้ายทักษิณ ตำรวจสันนิษฐานว่า ผู้อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารอาจจะเป็นผู้ค้ายาเสพติดในประเทศพม่าและบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ เนื่องจากทักษิณมาเป็นนายกรัฐมนตรีไม่นานก็ได้ประกาศว่า งานสำคัญของรัฐบาลใหม่ในอีก 4 ปีข้างนี้คือ "ปราบปรามการค้ายาเสพติดให้หมดสิ้น" ด้วยเหตุนี้ ทักษิณจึงพบปะกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของหน่วยงานต่างๆ เพื่อเสนอวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการกวาดล้างยาเสพติด

ท่าทีเช่นนี้ของทักษิณทำให้พวกค้ายาเสพติดเกลียดเขาเข้ากระดูกดำ 2 ปีต่อมา ก็มีข่าวอันน่าสะพรึงกลัวออกมาจากนอกประเทศว่า พวกค้ายาเสพติดได้ตั้งเงินรางวัลจำนวน 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แก่มือปืนที่สามารถฆ่าตัดหัวทักษิณได้ และยังมีรายงานข่าวอย่างเป็นตุเป็นตะว่า ข่าวกรองที่สำคัญนี้ได้ถูกส่ง มาถึงกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) และสำนักข่าวกรอง โดยเจ้าหน้าที่จากสถานทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย ผู้ที่ได้ช่วยชีวิตทักษิณคือชาวอเมริกันจริงหรือ รัฐบาลไทยปิดปากเงียบไม่พูดสักคำ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมพูดแต่เพียงว่า "มืดมีดชาวต่างชาติที่วางแผนมุ่งร้ายลอบสังหารทักษิณยังไม่ได้เข้าประเทศไทย"

ภาพอันน่าสยดสยองของการเสียเสียชีวิตของพวกค้ายาเสพติดที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ทักษิณได้แสดงว่าตนไม่สะทกสะท้าน เขากล่าวว่าตนจะไม่ประนีประนอม เพราะ "เรามีการเตรียมพร้อมป้องกันไว้แต่แรกแล้ว ดังนั้น ผมเองไม่ห่วงเลยแม้แต่นิด" หนึ่งในมาตรการเตรียมพร้อมป้องกันก็คือ เวลาออกเดินทางจะไม่ใช้รถยนต์ที่หรูหรา แต่จะเปลี่ยนมาใช้รถยนต์กันกระสุน ทำเนียบรัฐบาลได้จัดซื้อรถยนต์ซึ่งภายนอกเหมือนกันทุกอย่างจำนวนหลายคัน เลขทะเบียนรถของรถทุกคันก็เป็นเลขเดียวกัน คนภายนอกก็ไม่สามารถมองเห็นภายในของรถได้ อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยังไม่กล้าวางใจ จึงส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนกว่า 1,000 นาย คอยอารักขาทักษิณเมื่อต้องออกไปประชุมหรือเปิดตัวสู่สาธารณะข้างนอก

แต่ทว่า ภัยคุกคามเหล่านี้ยังไม่สามารถเทียบได้กับภัยอันตรายที่ได้รับครั้งนี้ สถานการณ์ประเทศไทยในปัจจุบันเหมือนกับหม้อต้มน้ำที่กำลังเดือดปุดๆ บนเตาไฟ ภายในหม้อเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นและความโกรธ คนที่ต้องการกำจัดเขาไม่เพียงแต่พวกค้ายาเสพติดนอกประเทศ แต่ยังมีกลุ่มพลังอำนาจไม่ว่าจะพลังมืดหรือสว่างที่คัดค้านการบริหารประเทศของเขาในช่วงระยะกว่า 5 ปีที่ผ่านมา หากจะบอกว่า ทักษิณกำลังนั่งอยู่บนระเบิดที่จวนจะระเบิดก็คงไม่เกินความเป็นจริงแม้แต่นิด

* * * * *

@ คลิกลิ้งค์นี้.. "ย้อนตำนาน..วางระเบิดเครื่องบินทักษิณ3มีนา2544"
"..วินาทีที่เครื่องบินเตรียมทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้านั้น ที่นั่งชั้นหนึ่งหมายเลข 11A ที่เขาได้จองไว้เกิดระเบิดขึ้นกะทันหัน ผู้โดยสารที่อยู่บริเวณรอบๆที่นั่งนั้นได้รับบาดเจ็บหลายคน แต่ที่โชคดีก็คือที่นั่งนี้ไม่มีใครนั่งอยู่ในตอนนั้น .. ทักษิณผู้ซึ่งตรงต่อเวลามาโดยตลอดตัดสินใจที่จะรอลูกชายซึ่งก็คือนายพานทองแท้ ที่มาถึงช้า วันนั้นลูกชายก็ไม่ทราบสาเหตุว่าทำไมถึงมาช้า 25 นาที แต่ในที่สุดก็ได้ช่วยชีวิตพ่อของตนไว้ได้.."

* * * * *

ตอนที่ 2

"คดีขายหุ้น" เป็นมูลเหตุที่จุดชนวนให้เกิดวิกฤตการบริหารประเทศของทักษิณเมื่อตอนต้นปี วันที่ 23 มกราคม 2549 ลูกชายและลูกสาวของทักษิณ คือ นายพานทองแท้และนางสาวพิณทองธา ได้นำหุ้นร้อยละ 49.6 ซึ่งคิดเป็นมูลค่า 1,870 ล้านดลลาร์สหรัฐ ของบริษัทชินคอร์ป (Shin Corp) ซึ่งเป็นบริษัทโทรคมนาคมที่ใหญ่อันดับหนึ่งของไทย ขายให้กับวิสาหกิจของสิงคโปร์ที่ชื่อเทมาเส็ก (Temasek) ตามกฎหมายของไทยที่ออกมาใหม่ว่าด้วยสัดส่วนการถือครองหุ้นในธุรกิจโทรคมนาคมของเงินทุนต่างชาตินั้น รายได้ซึ่งมาจากการซื้อขายหุ้นที่ดำเนินการในนามของบุคคลธรรมดาจะสามารถเลี่ยงชำระภาษีได้ ดังนั้นการที่ลูกชายและลูกสาวของทักษิณซื้อขายหุ้นของตน ในทางกฎหมายก็ไม่ต้องจ่ายภาษี แต่หากว่าการซื้อขายหุ้นกระทำในนามของบริษัท ก็จำเป็นที่ต้องจ่ายภาษีเป็นจำนวนเงินประมาณ 450 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

หลังจากที่เรื่องนี้ถูกสื่อมวลชนประโคมข่าวออกมาเรื่องก็บานปลายขึ้น ผู้คนต่างกล่าวหาครอบครัวทักษิณว่าสร้างแบบอย่างการไม่ชำระภาษีให้กับประชาชน และหลีกเลี่ยงภาษี "เขาควรจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับประชาชน แต่เขากลับไม่เป็น" ยังมีคนที่สงสัยทักษิณว่า การที่เขาขายธุรกิจโทรคมนาคมซึ่งเป็นเป็นธุรกิจที่มีความสำคัญด้านยุทธศาสตร์ของชาติให้กับบริษัทต่างชาติ ทำให้สิงคโปร์มีอิทธิพลเหนือธุรกิจโทรคมนาคมของไทย ซึ่งถือเป็นการคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ "เขาเลวยิ่งกว่าซัดดัมจริงๆ" "เผด็จการอย่างซัดดัม แม้ว่าจะโหดร้ายทารุณ แต่ยังรู้จักใช้อำนาจบาตรใหญ่นั้นทำสงครามเพื่อรักษาอำนาจอธิปไตยของประเทศตน" แต่ทักษิณกลับ "ขายผลประโยชน์ของชาติเพื่อผลประโยชน์ของครอบครัว"

ชาวกรุงเทพฯ เริ่มเดินขบวนบนประท้วงบนท้องถนนเพื่อ "โค่นล้มทักษิณ" คนเดินขบวนค่อยๆ เพิ่มขึ้นจากสองพันคน เป็นสองหมื่น และกลายเป็นแสนกว่าคน ในตอนแรกทักษิณไม่ได้ตระหนักถึงความรุนแรงของปัญหานี้ จากเศรษฐีที่ร่ำรวยได้พลิกผันตัวเองเข้าสู่เวทีการเมืองเป็นต้นมา เนื่องจากเขาร่ำรวยมหาศาล และมีผลประโยชน์ทางธุรกิจซึ่งโยงใยสลับซับซ้อนจึงทำให้คนอิจฉาริษยา และฟ้องร้องเขาต่อศาลในหลายคดี ทักษิณได้อธิบายการซื้อขายครั้งนี้ว่า "การกระทำทางธุรกิจทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่โปร่งใส ชอบด้วยกฎหมายและไม่ใช่ปัญหาการขายผลประโยชน์ของประเทศ...พวกลูกๆ ได้ช่วยผมตัดสินใจ เพียงเพราะหวังว่าผมจะสามารถมุ่งทำงานด้านการเมืองได้" สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) ได้ตัดสินการซื้อขายหุ้นครั้งนี้ว่า "ไม่ผิดกฎหมาย" "แม้ว่าในรายงานการซื้อขายหุ้นของนายพานทองแท้ที่นำส่งคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์จะเกิดข้อผิดพลาดอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาร้ายแรง" หลังจากนั้น ศาลรัฐธรรมนูญได้ตีกลับคำขอของสมาชิกวุฒิสภา 28 คนที่ขอให้ดำเนินการตรวจสอบการซื้อขายทางธุรกิจของทักษิณตามกฎหมาย โดยให้เหตุผลว่า "คำยื่นอุทธรณ์คลุมเครือไม่ชัดเจน"

คำบอกเล่าของทักษิณ

หุ้นเป็นของลูกๆผมตามกฎหมาย พวกเขาอายุ 20 ปีเต็มแล้ว ซึ่งสามารถเป็นผู้ถือหุ้นได้ แต่ว่าไม่ว่าลูกผมจะขายบริษัทให้ใคร เพียงแค่เงินเข้ากระเป๋าครอบครัวเรา พวกพรรคการเมืองฝ่ายค้านก็ต้องไม่วางใจ และยังมีคนที่ไม่อยากเห็นผมอยู่ในตำแหน่งนี้ต่อไปที่คอยหาโอกาสหาเรื่องผม พวกลูกผมช้าเร็วจะต้องขายบริษัทนี้ เนื่องจากอนาคตของธุรกิจโทรคมนาคมขึ้นอยู่กับรัฐบาล สองคือ ต้องใช้เงินลงทุนไปกับเทคโนโลยีใหม่ๆ มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ค่าใช่จ่ายยังมหาศาลอีกด้วย พวกเราไม่คิดจะทำต่อแล้ว แค่คิดจะขายเท่านั้น ส่วนหุ้นที่เราขายไปนั้นเป็นเพียงหุ้นธรรมดาๆ ผู้ที่ถือหุ้นธรรมดามีวิธีได้เงินเพียง 2 วิธี คือ หนึ่ง รอเงินปันผล สอง คือ ขายหุ้นให้คนอื่น

การซื้อขายหุ้นครั้งนี้ใสสะอาดอย่างยิ่ง การกระทำของเราทั้งหมดล้วนชอบด้วยกฎหมาย มีการเจรจากับหลายบริษัท ไม่เฉพาะแต่เพียงบริษัทของสิงคโปร์เพียงบริษัทเดียว เราขายหุ้นให้กับสิงคโปร์ แต่ว่าพนักงานและผู้บริหารของบริษัทปัจจุบันก็ยังเป็นคนไทย ด้านสิงคโปร์ได้แต่ส่งฝ่ายการเงินเข้ามาบริหารเท่านั้น และมิใช่การปัญหาการขายผลประโยชน์ของประเทศ

ทักษิณโล่งอกไปเปราะหนึ่ง แต่ว่าเขาก็พบว่า ประเด็นร้อนที่ผู้คนพากันถกเถียงกลับไม่ใช่เรื่องการขายหุ้นว่า "ผิดกฎหมายหรือไม่" แต่เป็นเรื่อง "มีคุณธรรมหรือไม่" พลตรีจำลอง ศรีเมือง ผู้นำ "พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" ซึ่งเป็นแนวร่วมต่อต้านรัฐบาล ได้กล่าวว่า "แม้ว่าโดยส่วนตัวของทักษิณจะไม่มีที่ที่จะให้ถูกประณามในทางกฎหมายได้ แต่ในด้านคุณธรรมแล้วไม่สามารถรับได้ เราควรปฏิบัติตามคุณธรรม เพราะคุณธรรมสำคัญกว่ากฎหมายและบรรทัดฐาน โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี สมมุติว่าเขาเป็นคนธรรมดาก็แล้วไป แต่เพราะเขาเป็นนายกรัฐมนตรีจึงจำเป็นต้องลาออก"

ทักษิณปฏิเสธที่จะลาออก เขามีท่าทีแข็งกร้าว "ยังไงก็จะไม่ลาออกเพียงเพราะเป็นผลประโยชน์ส่วนตัวของนักการเมืองส่วนหนึ่งและเป้าหมายทางการเมือง และก็จะไม่ยอมแพ้คนส่วนเดียวที่ไม่ต้องการผม" ทักษิณตอบโต้ผู้ชุมนุมประท้วงว่า "รัฐบาลตามกฎหมายจะถูกทำลายโดยผู้นำกลุ่มผู้ประท้วงจนทำให้ไม่สามารถที่จะอยู่ต่อไปได้ ผมจะไม่ให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น มีแต่คนโง่เท่านั้นที่เชื่อว่าผู้ที่ยินดีเป็นนายกรัฐมนตรีจะกระทำความผิด คนไทยจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะเคารพกฎหมาย" แต่ว่าข่าวลือและถ้อยคำใส่ร้ายที่ว่า นายกรัฐมนตรีเกี่ยวข้องกับการคอร์รัปชั่น เป็นเผด็จการ และใช้อำนาจเอื้อผลประโยชน์ส่วนตัว รวมไปถึงข่าวลือต่างๆที่โจมตีตัวบุคคล ก็แพร่สะพัดไปตามถนนตรอกซอกซอยของกรุงเทพฯ กลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงมาสมทบอย่างไม่ขาดสายก่อให้เกิดความไร้ระเบียบ สร้างความปั่นป่วนให้กับเศรษฐกิจ หุ้นเริ่มตก ค่าเงินบาทเริ่มตก แม้กระทั่งผู้นำธุรกิจที่อยู่วงนอกก็เริ่มบ่นว่า "การชุมนุมบนท้องถนนจะทำให้นักลงทุนหนีกันไปหมด" เมื่อรัฐมนตรีกระทรวงเทคโนโลยีและสารสนเทศและรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม ประกาศลาออกอย่างเปิดเผยเพื่อแสดงรับผิดชอบต่อ "คุณธรรมทางการเมือง" คำพูดที่ว่า "ผู้ชุมนุมประท้วงไม่น่ากลัว" จึงเป็นคำพูดที่ทักษิณต้องเก็บกลับมาคิดใหม่เพื่อเริ่มหาทางแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง

วันที่ 24 กุมภาพันธ์ ทักษิณก็ประกาศยุบสภาอย่างฉับพลัน และจะให้มีการเลือกตั้งก่อนเดือนเมษายน โฆษกรัฐบาลแถลงว่า "หลังจากที่ประชาชนต่างได้ยินที่ได้เห็นการเดินขบวนประท้วงตามท้องถนน ก็ให้ประชาชนตัดสินใจด้วยตนเองอีกครั้งเพื่อให้เราเห็นว่า ประชาชนเชื่อใครกันแน่ หากประชาชนไม่เลือกพรรคไทยรักไทย ทักษิณบอกว่า เขาจะลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี" ข้อเสนอนี้ถูกพรรคฝ่ายค้านคัดค้านอย่างรุนแรง โดยพรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย พรรคมหาชน สามพรรคร่วมมือกันคัดค้านการเลือกตั้ง พวกเขามองว่า นี่เป็น "กลเล่ห์เพทุบาย" ของทักษิณ เนื่องจากโอกาสที่พรรคไทยรักไทยจะได้รับเลือกมีมาก พรรคไทยรักไทยเป็นพรรคที่ทักษิณก่อตั้งด้วยมือของเขาเอง ในการเลือกตั้งปีที่แล้วพรรคไทยรักไทยได้ที่นั่งในสภามากที่สุดในประวัติศาสตร์ คือ ร้อยละ 76 กลายเป็นพรรคการเมืองพรรคแรกที่เข้ามาบริหารประเทศเพียงพรรคเดียวในประวัติศาสตร์ 73 ปีของการปกครองอันมีสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ดังนั้น เมื่อเข้าสู่สนามการเลือกตั้งครั้งนี้ ก็เท่ากับตนยอมแพ้ หลังการเลือกตั้ง ทักษิณก็จะนั่งในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง

การเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายน ปรากฏว่า 278 เขตจากทั้งหมด 500 เขต มีเฉพาะผู้สมัครรับเลือกตั้งจากพรรคไทยรักไทยเท่านั้น ไม่มีผู้สมัครจากพรรคอื่น สภาวะการณ์ที่พรรคไทยรักไทยลงเล่นอยู่พรรคเดียว จึงชนะการเลือกตั้ง ฝ่ายค้านก็ออกมาพูดว่า "ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร เราจะคัดค้านอย่างนี้ต่อไป จนกว่าทักษิณจะลาออก" วันที่ 4 เมษายน ทักษิณออกมาประกาศลาออก ซึ่งก่อนหน้านี้ 1 วัน ทักษิณได้ออกมาพูดให้ประชาชนยอมรับการเลือกตั้ง แต่แล้วกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงดั่งนิยาย ภายนอกประเทศคาดเดากันว่า คงจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ผู้ทรงมีคุณธรรมและพระบารมีอันสูงส่ง ทักษิณพูดออกโทรทัศน์ว่า "การที่ผมตัดสินใจลาออกครั้งนี้ เพราะว่าปีนี้เป็นปีที่มีความสำคัญยิ่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเหลือเวลาอีกเพียง 60 กว่าวันที่จะถึงงานพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบรอบ 60 ปี...เราไม่มีเวลาทะเลาะกันแล้ว หากทุกคนยังทะเลาะกันอยู่ ผู้ที่แพ้ก็คือประเทศ..." ทักษิณประกาศว่า เขาจะมอบอำนาจให้กับ พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกรัฐมนตรี ส่วนตัวเองจะขอพัก มีการกล่าวกันว่า คณะรัฐมนตรีหลายคนและผู้บริหารระดับสูงของพรรคที่ติดตามสถานการณ์นี้ ก็ปล่อยโฮออกมาเมื่อตอนที่ทักษิณประกาศลาออก ทักษิณพร้อมด้วยภรรยาและลูกต่างก็กอดคอกันร้องไห้

สองวันต่อมา รถกระบะคันหนึ่งมาเก็บของใช้ส่วนตัวของทักษิณที่ตึกทำเนียบรัฐบาล หลังจากนั้นก็มีคนเห็นทักษิณกำลังจูงมือลูกสาวเดินช้อปปิ้งที่ห้างสรรพสินค้าเกสรพลาซ่า เขาให้สัมภาษณ์นักข่าวว่า "ผมตกงานแล้ว อย่ามาตามผมอีกเลย ไปขุดคุ้ยข่าวใหม่จากนักการเมืองจะคุ้มค่ากว่า" และยังมีคนเห็นเขานั่งดื่มกาแฟที่โรงแรมแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ มีเด็กสองคนจำเขาได้ จึงหยิบสมุดให้เขาเซ็นชื่อ เขาเขียนว่า "หวังว่าเมื่อพวกหนูโตขึ้นจะกลายเป็นผู้มีความรู้ความสามารถที่สร้างคุณประโยชน์" นอกจากนี้ เขายังนัดกับบุคคลในคณะรัฐมนตรีเพื่อตีกอล์ฟ เมื่อเขาตีกอล์ฟออกไปได้สวย เขาก็บอกว่า "วินาทีนี้เป็นวินาทีที่รู้สึกปลอดโปร่งที่สุดใน 5 ปีที่ผ่านมา"

ดูไปแล้ว ทักษิณคิดที่จะออกจากเวทีการเมือง แต่หลังจากนั้น 48 วัน เขาก็ขึ้นรถเมอซิเดสเบนซ์ S600 กลับมาที่ทำเนียบรัฐบาล เหตุผลก็คือ ในช่วงที่เขาพักร้อน ศาลรัฐธรรมนูญได้ตัดสินให้ผลการเลือกตั้งเมื่อเดือนเมษายนเป็นโมฆะ เหตุผลก็คือ การเลือกตั้งครั้งนี้เกิดการทุจริต เช่น กล่องใส่บัตรเลือกตั้งวางหันทิศทางที่ผิดกฎ ดังนั้น คำสัญญาของทักษิณที่ว่า เขาจะ "ไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี" ก็มีอันต้องหมดความหมายไป ประกอบกับภาคเหนือเกิดน้ำท่วมใหญ่ งานพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบรอบ 60 ปีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็กำลังเข้ามาถึง เขาจึงไม่สามารถปล่อยให้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีว่างอยู่ เขาจึงจำเป็นต้องกลับมาทำงานต่อไปเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติจนถึงช่วงที่จะมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่หลังการเลือกตั้งในเดือนตุลาคม แต่ทว่า สามวันต่อมา เขาได้รับการเตือนจากนายไพโรจน์ วงศ์วิภานนท์ ซึ่งเป็นนักวิชาการที่มีชื่อเสียงของไทย ว่า "ให้ระวังถูกลอบสังหาร อย่าคิดว่าการลอบสังหารจะไม่เกิดในประเทศไทย"

คำเตือนนี้ในที่สุดแล้วไม่ใช่แค่พูดการพูดลอยๆ

* * * * *

ตอนที่ 3

ฝ่ายทหารก็ได้รู้ฐานะที่แท้จริงของร้อยโทธวัชชัย กลิ่นชนะ นักโทษผู้ต้องสงสัย เขาสังกัดกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) และเป็นคนขับรถของพลเอกพัลลภ ปิ่นมณี รองผู้อำนวยการ กอ.รมน. จากนั้นพลเอกพัลลภจึงถูกสอบสวน เขาบอกว่า เขาถูกใส่ร้าย คนขับรถของเขาได้ลาออกเมื่อ 3 เดือนก่อน โดยบอกว่าจะไปทำงานที่ภาคใต้ และเขาไม่ทราบข้อเท็จจริงของการกระทำที่บ้าคลั่งเช่นนี้ของลูกน้อง และหากว่าร้อยโทธวัชชัยจะสังหารทักษิณจริง "ทำไมถึงขับรถผ่านหน้าที่พักของทักษิณหลายครั้ง โดยไม่ได้จุดระเบิด" ดังนั้น "ผมเห็นว่านี่เป็นเรื่องที่ทักษิณสร้างขึ้น" โดยมีจุดประสงค์เพื่อกำจัดผม.....หากผมคิดจะฆ่าเขา ผมจะทำให้แนบเนียนกว่านี้.....อย่าลืมว่าผมเคยเป็นผู้นำหน่วยลอบสังหาร หากผมคิดจะสังหารทักษิณจริงๆ เขาอาจจะหนีไม่รอดแน่"

คำพูดนี้ไม่ได้เป็นเท็จ พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี เป็นบุคคลทางทหารที่แปลกประหลาดคนหนึ่งของไทย ตอนที่เขาเพิ่งจะจบการศึกษาจากโรงเรียนนายทหาร ก็ได้เข้าร่วมในหน่วยจู่โจมลอบสังหาร และมีส่วนในการลอบสังหารนักการเมืองที่ประวัติไม่ดี เมื่อทศวรรษที่ 1980 เขาเคยเข้าร่วมการรัฐประหารที่แท้งก่อนเกิดซึ่งก่อการโดยกลุ่มยังเติร์กจนถูกจับ และหลังจากออกจากคุก เขาก็กลับมามีอำนาจอีกครั้ง และตั้งแต่ปี 2539 เขาก็ได้เข้าเข้าสู่กองทัพบกและอยู่จนเกษียณ พลเอกพัลลภมีอุปนิสัยโหดเหี้ยม เมื่อเดือนเมษายน ปี 2547 ขณะที่เขาดำรงตำแหน่งผู้ดูแลด้าน ยุทธศาสตร์การทหารในภาคใต้ เขาบัญชาการทหารอย่างสุดโต่งในการกวาดล้างกลุ่มติดอาวุธมุสลิมในมัสยึดเกรือเซะอันศักดิ์สิทธิ์ของจังหวัดปัตตานี หลังจากฝนแห่งกระสุนปืนได้ผ่านไป ปรากฏว่ามีชาวมุสลิมเสียชีวิต 32 คน เหตุการณ์นี้ในภายหลังถูกเรียกว่า "เหตุการณ์เศร้าสลดที่มัสยิดเกรือเซะ" เหตุการณ์นี้ยังถูกประณามทั้งในและนอกประเทศ เมื่อต้นปีนี้ พลเอกพัลลภอยู่ข้างพลตรีจำลอง ศรีเมืองอย่างเปิดเผย ในขบวนการ "โค่นล้มทักษิณ" ซึ่งมีอานุภาพเกรียงไกร พลเอกพัลลภกล่าวว่า "เป็นเพื่อนรักและเป็นเพื่อนนักเรียนโรงเรียนทหารมาด้วยกัน ยังไงผมต้องสนับสนุนพลตรีจำลอง (ซึ่งขับไล่ทักษิณ) แน่นอน" เขายังกล่าวอีกว่า "สถานการณ์ของไทยยังไม่นิ่ง และมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการรัฐประหาร"

ขณะที่พลเอกพัลลภเรียกร้องว่าตนถูกใส่ร้ายอยู่นั้น คนจำนวนมากเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับ "แผนการสังหารนายกรัฐมนตรี" กล่าวกันว่า ตอนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งตรวจค้นบ้านของพลเอกพัลลภ ปรากฏว่าไม่พบสิ่งผิดกฎหมายใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับระเบิดดังกล่าว นายอิทธิพลซึ่งเป็นพี่ชายของผู้ต้องสงสัยพูดด้วยสีหน้าตกตะลึงว่า "นายธวัชชัยเป็นผู้ที่จงรักภักดีต่อนายกทักษิณ เขาไม่มีเจตนาที่จะสังหารทักษิณอย่างแน่นอน" ยังมีผู้สงสัยว่า หากว่า "รถวางระเบิด" เป็นเรื่องนั้นจริงๆ แล้วประชาชนที่อาศัยอยู่ใกล้ๆ ก็อาจจะชีวิตหาไม่ไปทั้งหมด โดยเฉพาะละแวกใกล้ๆ นั้นมีโรงเรียนอยู่ด้วย แต่ว่าในระหว่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ "กู้ระเบิด" ก็ไม่ได้อพยพประชาชนโดยรอบออกไป อย่างไรก็ตาม ก็ได้แจ้งสื่อมวลชนหลักให้เข้ามาทำข่าวในที่เกิดเหตุ

ฝ่ายค้านก็ยิ่งทำเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องใหญ่ โดยกล่าวว่าทั้งหมดนี้ "แผนการทำลายตนเอง" ที่วางโดยทักษิณ เพื่อมุ่งเบี่ยงเบนความสนใจของผู้คน และปิดบังอำพรางการทุจริตคอร์รัปชั่นในคณะรัฐมนตรี และให้พลเอกพัลลภเป็น "แพะรับบาป" ยังมีคนกล่าวอีกว่าคะแนนนิยมในการเลือกตั้งของพรรคไทยรักไทยลดลง จึงใช้เพทุบายเก่าๆ ดั่งเช่นนายเฉิน สุยเปี่ยน ของไต้หวัน การกระทำที่เรียกร้องความสนใจจากประชาชนใน "คดีลอบยิง" ซึ่งเป็นการหลอกลวงประชาชนเพื่อให้ได้ "คะแนนเห็นใจ" สื่อของไทยบางสื่อก็สงสัยในเหตุการณ์นี้ หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษเดอะเนชั่น ได้วิจารณ์ว่า ทักษิณกล่าวว่า เมื่อ 2-3 เดือนก่อนเกิด "เหตุการณ์ลอบสังหารที่ไม่ประสบความสำเร็จ" ที่มุ่งมายังเขาหลายเหตุการณ์เพียงแต่ไม่ได้ถูกเปิดเผยออกมาเท่านั้น ปัญหานั้นได้มาถึงแล้ว หากเกิดภัยคุกคามถึงแก่ชีวิตเขาโดยที่ประชาชนไม่รู้เรื่อง ทำไมนายกรัฐมนตรีจึงเลือกที่จะให้มีการเลือกตั้งในช่วงนี้ (วันที่ 24 สิงหาคม เป็นวันที่พระราชบัญญัติที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงลงพระปรมาภิไธยมีผลบังคับใช้วันแรก) และเปิดเผยข่าวที่ละเอียดอ่อนทางการเมืองต่อประชาชน? การเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ดั่งเช่นนิยายนี้ เห็นได้ชัดว่าจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อการเมืองระบอบประชาธิปไตยและการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงในวันที่ 15 ตุลาคม

มีการพูดกันบ่อยครั้งว่า เป้าหมายของเหตุการณ์ลอบสังหารที่ไม่ประสบความสำเร็จนี้ยิ่งขู่ขวัญมากขึ้น แต่ไม่ได้มุ่งเป้าทำให้คนตาย นี่เป็นเพทุบายที่เกิดอย่างต่อเนื่องในการเมืองไทย อำนาจทางการเมืองบางอย่าง ครั้งแล้วครั้งเล่าได้มาด้วยการพลิกแพลงใช้ยุทธวิธีเพื่อให้ชนะใจประชาชน พวกเขาก็จะสวมหน้ากากเป็นผู้ถูกทำร้าย หรือใส่ร้ายป้ายสีฝ่ายตรงข้าม หรือใช้วิธีที่แยบยลเพื่อให้ได้มาซึ่งเป้าหมายทั้งสองประการ ทั้งหมดนี้ทำให้เราเข้าใจแล้วว่า การสอบสวนเรื่องเช่นนี้มักจะสอบสวนเสร็จแล้วก็แล้วกันไป หนังสือพิมพ์ก็เลิกพาดหัวข่าวเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวภายในระยะเวลาอันสั้น การสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยุติลง ประชาชนก็ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เงื่อนงำของปัญหาที่ไม่ได้รับการแก้ไขก็ค่อยๆ เลือนหายไปจากความทรงจำของผู้คน

วันที่ 25 สิงหาคม หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ได้ลงบทความหัวข้อ "แผนลอบวางระเบิดหรือการกุเรื่อง" โดยอ้างถึง คำพูดของอดีตผู้รับผิดชอบของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ว่า จริงๆ แล้วแผนลอบวางระเบิดทั้งหมดเป็นฝีมือของรัฐบาลทักษิณซึ่งกำลังอยู่ในช่วงวิกฤต ต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของประชาชน ยิ่งกว่านั้น ทักษิณสามารถประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินได้ ยังมีหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งซึ่งขี้นหัวข้อข่าวสะเทือนขวัญว่า "ทักษิณใช้เงิน 20 ล้านจงใจสร้างปาหี่ทางการเมือง" 1 สัปดาห์ต่อมา มหาวิทยาลัยกรุงเทพได้ทำการสำรวจความคิดเห็นประชาชน โดยประชาชนถึงร้อยละ 49.8 ไม่เชื่อว่านี่เป็นแผนลอบวางระเบิดนายกรัฐมนตรี และมีเพียงร้อยละ 20.5 ที่เชื่อว่านี่เป็นแผนลอบสังหาร

ความน่าเชื่อถือของนายกรัฐมนตรีตกต่ำลงด้วยเหตุนี้ และทำให้ผู้คนรู้สึกเสียใจ หนึ่งปีครึ่งต่อมา ทักษิณยังได้รับการสนับสนุนจากประชาชนให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อ แต่เพียง 2-3 เดือนต่อมา เขาก็ถูกมองว่าเป็นคนหลอกลวง เป็นนักวางแผน และเป็นนักการเมืองที่ต่ำช้า ทักษิณถูกกดดัน มีคนสงสัย และโจมตี โดยที่ประชาชนไม่สนใจว่าเขาจะเป็นจะตายอย่างไร ตามรายงานข่าว ลูกสาวของทักษิณ คือ นางสาวแพทองธาร ซึ่งกำลังเรียนอยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก็ได้รับความเดือดร้อนไปด้วย อาจารย์ซึ่งสอนวิชาการเมืองคนหนึ่งพูดต่อหน้านักศึกษาในห้องเรียนว่า "แพทองธาร เธอยังอยู่ที่นี่ไม่ยอมไปอีกเหรอ? ฉันคิดว่าเธอไสหัวไปแล้วซะอีก! พอพูดถึงพ่อเธอ ฉันก็รู้สึกขยะแขยง" แพทองธารก็โต้กลับไปว่า "ก็แล้วแต่อาจารย์จะพูด คงมีสักวันหนึ่งที่หนูพูดถึงอาจารย์ หนูก็คงจะรู้สึกขยะแขยงเหมือนกัน" เมื่อเรื่องนี้ไปถึงหูทักษิณ เขาก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เขากล่าวว่า คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดของไทย "เอาความแตกต่างทางความคิดทางการเมืองมาโจมตีคนในครอบครัวของนักการเมืองได้อย่างไรกัน!"

เข้าของวันที่ 28 สิงหาคม เจ้าหน้าที่ตำรวจพบวัตถุต้องสงสัยอีกครั้ง บริเวณที่ใกล้กับที่พักของทักษิณ สืบทราบว่า ชายคนหนึ่งขณะกำลังไปส่งน้ำแข็งให้กับโรงแรมที่อยู่ใกล้ๆ ก็พบวัตถุต้องสงสัยซึ่งมีลักษณะเป็นห่ออยู่ริมถนน จึงรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตำรวจพบว่า ภายในห่อดังกล่าวมีนาฬิกาปลุก 1 เรือน อิฐ 1 ก้อน สายไฟและถ่านเก่าที่ไม่ได้ใช้แล้วจำนวนหนึ่ง รวมถึงกระดาษที่เขียนด้วยลายมือว่าต้องการทำร้ายทักษิณ นี่ก็เป็นพฤติกรรมข่มขวัญอีกครั้งหนึ่ง เจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าวว่า "เป็นการสร้างสถานการณ์ เพื่อต้องการให้บ้านเมืองวุ่นวาย" ต่อมาวันที่ 4 กันยายน ตำรวจก็ออกหมายจับนายทหารจำนวน 4 นาย ในข้อหามีส่วนพัวพันกับแผนการลอบสังหารนายกรัฐนตรี นายทหารทั้ง 4 นายนี้เป็นทหารประจำการ โดยมียศเป็นพลตรี 1 นาย พันเอก 1 นาย พันโท 1 นาย และนายทหาร 1 นาย สามวันต่อมา นายทหารผู้ต้องสงสัย 3 นายถูกจับ แต่ทั้งสามนายก็ให้การปฏิเสธว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนการดังกล่าว

มีข่าวลือว่า เป็นเวลานานมาแล้วเมื่อทักษิณประสบกับเหตุการณ์ที่ไม่ดี ก็มักจะให้นักโหราศาสตร์ทำนายดวงชะตาให้ ครั้งนี้ก็เหมือนกัน เขาประสบกับเหตุการณ์ร้ายที่เอาชีวิตรอดมาได้ เขาจึงหวาดระแวงและรู้สึกว่ากรุงเทพฯ เป็นที่สถานที่ที่อันตรายอย่างมาก เล่ากันว่า หมอดูได้แนะนำทักษิณให้เปลี่ยนที่อยู่ "เดินทางไปต่างจังหวัดเป็นการชั่วคราว" แม้ว่าทักษิณไม่ได้พิสูจน์ว่าคำพูดนี้เป็นจริง แต่เขาก็รีบย้ายออกจากกรุงเทพฯ ไปต่างจังหวัดอย่างรวดเร็ว ต่อมาวันที่ 9 กันยายน เขาเดินทางโดยเครื่องบินพิเศษ "ไทยคู่ฟ้า" เดินทางเยือนประเทศฟินแลนด์ จากนั้นเดินทางต่อไปยังสหรัฐอเมริกา เพื่อเข้าร่วมการประชุมสหประชาชาติครั้งที่ 61 ซึ่งจัดขึ้นที่ มหานครนิวยอร์ค ในวันที่ 12 กันยายน

* * * * *

ตอนที่ 4

ตอนนี้ทักษิณสามารถนอนหลับอย่างสบายใจในมหานครนิวยอร์กซึ่งเป็นที่ที่ปลอดภัย ผู้นำรัฐบาลและประมุขประเทศต่างๆ กว่า 80 ประเทศมารวมตัวกันที่การประชุมนี้ เจ้าหน้าที่ข่าวกรองของสหรัฐต่างปฏิบัติงานอย่างเต็มที่ มีการวางกำลังรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนาตามโรงแรมที่พักของคณะผู้แทนจากประเทศต่างๆ ไม่มีแม้กระทั่งการเดินขบวนต่อต้านรัฐบาล เขามีจิตใจแจ่มใสและปลอดโปร่ง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ภายในประเทศไทยยังคงวุ่นวาย ใน ระหว่างการเยือนของเขา คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า จะเลื่อน การเลือกตั้งจากเดิมที่กำหนดไว้วันที่ 15 ตุลาคม อาจจะเลื่อนเป็นวันที่ 19 หรือ 26 พฤศจิกายน ก่อนหน้านี้ สมาชิกในคณะกรรมการการเลือกตั้ง 3 คน ถูกศาลอาญาตัดสินว่าความผิดฐานมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตเลือกตั้งเมื่อเดือนเมษายน โดยเอื้อประโยชน์ให้กับผู้สมัครรับเลือกตั้งพรรคไทยรักไทย ซึ่งถือเป็นการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง กรรมการฯ ทั้ง 3 คนถูกปลดออกจากตำแหน่งและถูกจำคุก 4 ปี สภาผู้แทนราษฎรจึงต้องจัดการเลือกตั้งคณะกรรมการการเลือกตั้งอีกครั้ง ด้วยเหตุนี้ การเลือกตั้งที่เดิมกำหนดไว้เดือนตุลาคม จึงต้องเลื่อนออกไป นี่ไม่ใช่ข่าวดี ทักษิณรู้อยู่แก่ใจ ความจริง การจัดการเลือกตั้งเดือนกันยายนจะสามารถจัดได้หรือไม่นั้น ก็ไม่มีใครคาดคะเนได้ ในระยะนี้เขามีความรู้สึกไม่ค่อยดีอยู่ตลอดเวลา สมองอันเหน็ดเหนื่อย แต่ก็มีสติอยู่ทุกวินาที ครุ่นคิดหาทางรับมืออยู่ตลอด ก้าวต่อไปจะทำอย่างไรดี? จะเข้าหรือออก? ออกแล้วจะเป็นยังไง? เข้าแล้วจะเป็นยังไง?

การที่พรรคไทยรักไทยจะชนะการเลือกตั้งอีกครั้ง ไม่มีเรื่องที่น่าเป็นห่วงเท่าใดนัก เรื่องนี้แม้กระทั่งฝ่ายค้านย่อมรู้ดี เนื่องจาก ไม่ว่าปัญญาชนระดับหัวกะทิในกรุงเทพฯ จะรุมโจมตีแค่ไหน แต่ทักษิณและพรรคไทยรักไทยยังมีฐานเสียงจากชนชั้นรากหญ้าในต่างจังหวัดเป็นจำนวนมหาศาล เรียกได้ว่า "ร้องตะโกนหนึ่งครั้ง มีเสียงตอบรับเป็นร้อย" แม้ว่าการเลือกตั้งในเดือนเมษายนจะเป็นโมฆะ และรัฐบาลทักษิณมีข่าวไม่ดีออกมาไม่เว้นแต่ละวันก็ตาม พรรคไทยรักไทยก็ยังคงชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงถึงร้อยละ 57 ประเด็นก็ย้อนกลับไปเหมือนกับที่ผ่านมาก็คือ เพียงแค่พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้ง ไม่ว่าทักษิณจะขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ย่อมต้องส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ทางการเมืองไม่มากก็น้อยเป็นแน่ ยิ่งกว่านั้น ก่อนหน้านี้ 1 เดือน มีข่าวออกมว่า ทักษิณละจุดยืนเดิมที่จะ "จะไม่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี" และจะนำพรรคไทยรักไทยให้ชนะการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎร และพร้อมดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ข่าวนี้ทำให้ฝ่ายค้านที่ต้องการ "ขุดรากถอนโคน" รัฐบาลทักษิณถึงกับนั่งอย่างไม่เป็นสุข

ตอนบ่ายของวันที่ 18 กันยายน ในระหว่างที่ทักษิณกำลังกล่าวสุนทรพจน์ที่คณะกรรมการความสัมพันธ์กับต่างประเทศ (Council on Foreign Relations) ของสหรัฐอเมริกาอยู่นั้น มีคนถามคำถามว่า ทำไมคุณถึงไม่ตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง? มันสร้างความวุ่นวายและยุ่งเหยิง เราอยากทราบเหตุผลที่คุณตัดสินใจช้าเช่นนี้?

ทักษิณตอบว่า

ผมไม่ได้ตัดสิน เพราะผมเองก็ยังสับสน (ผู้ฟังหัวเราะ) บางครั้งผมรู้สึกว่าผมควรเสียสละ ฝ่ายค้านรู้ว่าพวกเขาไม่มีทางเอาชนะผม เพราะพลังประชาชนเข้มแข็งมาก เรายังคงได้รับการสนับสนุนจากประชาชนอย่างเหนียวแน่น แต่ว่า ยังมีคนที่ไม่มีความสุขที่เห็นรัฐบาลของผม อย่างเช่น นักธุรกิจจำนวนหนึ่งที่เสียผลประโยชน์จากการปฏิรูป ผู้อยู่เบื้องหลังการค้าเสพติดและหวยเถื่อน รวมถึงเจ้าพ่อวงการสื่อมวลชน พวกเขารวมกลุ่มกันเพื่อให้ผมลงจากตำแหน่ง หากว่าผมยอม ก็เท่ากับว่า ผมยอมก้มหัวให้กับคนที่เสียผลประโยชน์แล้วลุกขึ้นมาต่อต้านผม ดังนั้น ตอนนี้ผมได้แต่พูดอย่างชัดเจนว่า ขณะนี้ผมก็ยังเป็นผู้ลงสมัครเลือกตั้งของพรรคไทยรักไทย ยังคงเป็นหัวหน้าพรรคไทยรักไทยต่อไป และจะนำพรรคไทยรักไทยเข้าสู่สนามเลือกตั้งในฐานะผู้นำพรรคการเมือง แต่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ผมกำลังคิดอยู่ เพราะตอนนี้ผมสับสนมาก ผมอาจจะให้คำตอบที่ชัดเจนได้ในวันที่กำหนดวันเลือกตั้ง

นี่ไม่ใช่คำพูดแบบขอไปทีของนักวางกลยุทธ ตอนนี้ทักษิณยังไม่ได้ตัดสินใจ บางที่อาจจะจริง บางครั้งอำนาจก็เหมือนกับปีศาจเมดูซ่าในเทพนิยายกรีก ไม่ว่าใครก็ตามที่สบตากับดวงตาที่สวยงามคู่นั้นของเมดูซ่า ก็จะกลายเป็นหินทันที เนื่องจากหากเคยชิมรสชาติของการเป็นนักปกครอง หรือผู้บัญชาการ ซึ่งกำหนดชะตาชีวิตของผู้คนเป็นล้านเป็นสิบล้านคนมาก่อน ก็ยากที่จะต้านทานแรงดึงดูดของอำนาจได้ ในหน้าประวัติศาสตร์ของโลก ผู้นำทางการเมืองที่ไม่ได้ถูกบีบให้อยู่ในภาวะจำยอม แต่ยอมละทิ้งอำนาจด้วยความสมัครใจ มีจำนวนน้อยมาก สำหรับทักษิณ เขายืนยันมาโดยตลอดว่าเขาไม่ผิด "ไม่เคยทำเรื่องใดๆ ที่เป็นการทำลายประเทศชาติ" สำหรับ "เรื่องการขายหุ้น" ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์มากนั้น เขาได้กล่าวในสุนทรพจน์นี้ว่า

พวกเขาโจมตีว่าผมหลีกเลี่ยงภาษี คนจำนวนหนึ่งกล่าวว่า "คุณขายก๋วยเตี๋ยว ยังต้องเสียภาษีเลย ขายบริษัทกลับไม่เสียภาษีเหรอ?" แต่ว่า การขายก๋วยเตี๋ยว สิ่งที่คุณขายก็คือ สินค้าซึ่งจะต้องจ่ายภาษี แต่กฎหมายกำหนดไว้ว่า ทรัพย์สินและกำไรที่ได้จากการขายหุ้นไม่ต้องเสียภาษี สำหรับเรื่องนี้ ผมเคยเสนอให้มีการอภิปรายอย่างเปิดเผยในที่ประชุมรัฐสภา แต่ฝ่ายค้านไม่ตกลง พวกเขาบอกว่าไม่มีประโยชน์ ดังนั้น ผมจึงทำได้แต่เพียงยุบสภา เพื่อให้ประชาชนติดสินว่าผมควรจะอยู่ในตำแหน่งนี้ต่อไปหรือไม่ ในความเป็นจริง การขายหุ้นครั้งนี้ได้สร้างคุณประโยชน์ทางเศรษฐกิจต่อประเทศชาติ เงินเกือบ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไหลเข้าประเทศไทย ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นกว่าเดิม

ทักษิณยังกล่าวอีกว่า

กระบวนการเลือกตั้งในระบบประชาธิปไตยที่มีอิสระเสรีและความยุติธรรมไม่ควรถูกปฏิเสธเพียงเพราะมีคนจำนวนหนึ่งไม่ชอบผลการเลือกตั้ง เมื่อประชาชนได้แสดงเสียงโดยผ่านการเลือกตั้ง ความตั้งใจของประชาชนก็ควรได้รับความเคารพ ไม่ใช่ได้รับความเสียหายจากการชุมนุมประท้วงบนท้องถนน

ประชาธิปไตยที่สุกงอมจะจะต้องพึ่งพาการสร้างสรรค์และการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประชาชน สมาชิกในสังคมทุกหมู่เหล่าสามารถยอมรับและเคารพกฎและเกมส์ของประชาธิปไตย .....วันนี้ปัญหาพื้นฐานที่สังคมเอเชียประสบอยู่ก็คือ พลังอำนาจของการคัดค้านประชาธิปไตยที่ยังคงรวมตัวกัน พวกเขาเรียนรู้ที่จะใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนของประชาธิปไตย ซึ่งความจริงก็คือ ความโอบอ้อมอารีของประชาธิปไตย พวกเขาใช้อำนาจโจมตีระบอบของเรา

เห็นได้ชัดว่า นี่ทำให้ผู้ที่ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลในกรุงเทพฯ แสดงความไม่พอใจ และทำให้ผลเลือกตั้งเมื่อเดือนเมษายนที่พรรคไทยรักเป็นผู้ชนะต้องเป็นโมฆะ มีคนถามว่า อำนาจที่ทำให้ผลการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาไม่เป็นที่ยอมรับนั้น จะยอมรับการเลือกตั้งครั้งนี้ที่กำลังจะมาถึงได้หรือไม่? สถานการณ์ทางการเมืองของไทยจะมั่นคงขึ้นเมื่อไร?

ทักษิณตอบว่า

ฝ่ายค้านไม่มีอำนาจยับยั้งการเลือกตั้งเมื่อเดือนเมษายน สาเหตุที่พวกเขาทำเช่นนี้เพราะว่า กลัวว่าจะพ่ายแพ้การเลือกตั้ง แต่ว่าครั้งนี้ พรรคฝ่ายค้านได้กล่าวว่า พวกเขาจะเข้าร่วมลงเลือกตั้ง หากทุกพรรคลงเลือกตั้ง ก็ไม่มีปัญหา รัฐบาลใหม่ที่ได้จากการเลือกตั้งก็จะเริ่มทำงานก่อนขึ้นปีใหม่ ผมคิดว่า ภายใน 3 เดือน สถานการณ์ของประเทศไทยจะกลับมาเป็นปกติ

3 เดือน สถานการณ์ทางการเมืองก็จะกลับมาเป็นปกติ การเลือกตั้งจะพิสูจน์ให้เห็นความจริงโดยเร็ววัน! การฟันธงเช่นนี้ผิดพลาดอย่างมหันต์ ทักษิณไม่เพียงตัดสินสถานการณ์ภายในประเทศผิดพลาด แต่ยังไม่รู้ว่าตนกำลังตกอยู่ในภาวะอันตราย เปรียบเหมือนสัตว์ที่เข้าสู่บ่วงแล้ว แต่มันกลับเอ้อระเหยลอยชาย

เมื่อกล่าวสุนทรพจน์จบ ทักษิณก็กลับเข้าโรงแรมที่พัก มีผู้เห็นว่า การกล่าวสุนทรพจน์ของทักษิณในหัวข้อ "อนาคตประชาธิปไตยของไทย" ที่ที่ประชุมคณะกรรมการความสัมพันธ์กับต่างประเทศ มีจุดประสงค์เพื่อแสวงหาแรงสนับสนุนจากแวดวงการศึกษาและสื่อมวลชน เนื่องจากคณะกรรมการความสัมพันธ์กับต่างประเทศเป็นหนึ่งใน Think Tank ที่มีอิทธิพลต่อรัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ว่าพรรคการเมืองใดเข้ามาควบคุมอำนาจก็ตาม ในคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลที่ผ่านๆ มา รวมทั้งประธานาธิบดีต่างก็มีสมาชิกของคณะกรรมการนี้อยู่ด้วยส่วนหนึ่ง ทำให้คณะกรรมการนี้อยู่เหนือการสับเปลี่ยนหมุนเวียนของพรรคการเมือง และกลายเป็น "องค์กรเหล็ก" ของรัฐบาลสหรัฐฯ การกล่าวสุนทรพจน์ที่จัดขึ้นครั้งนี้ซึ่งมีนาย Maurice R. Greenberg รองประธานกิตติมศักดิ์ของคณะกรรมการเป็นประธานจัดงาน ประสบผลสำเร็จด้วยดี เวลาผ่านไป 1 ชั่วโมง บรรยากาศในที่ ประชุมเต็มไปด้วยความยินดีปรีดา แต่ทักษิณจิตใจยังฟุ้งซ่าน

เวลา 2 ทุ่ม ทักษิณนั่งอยู่หน้าที่โต๊ะทำงาน เขาเปิดการประชุม teleconference กับคณะรัฐมนตรีที่กรุงเทพฯ ซึ่งการเลือกตั้งกำลังจะมาถึง และบรรยากาศของการเมืองภายใน ประเทศอยู่ในภาวะตึงเครียด มีข่าวออกมาว่า วันที่ 20 กันยายน ฝ่ายค้านจำนวน 1 แสนคนจะรวมตัวกันเดินขบวน "ล้มทักษิณ" เจ้าหน้าที่ตำรวจก็เตรียมพร้อมเหตุการณ์ความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นได้

เวลาเที่ยงคืน การประชุมสิ้นสุดลง ทักษิณก็นอนหลับพักผ่อน ตามกำหนดการแล้ว เขาจะต้องตื่น 7 โมงเช้า และ 8 โมงเช้า รถก็จะมุ่งหน้าไปยังที่ประชุมสหประชาชาติซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรม ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน เป็นต้นมา การประชุมสหประชาชาติครั้งที่ 61 ก็เริ่มต้นขึ้นด้วยการกล่าวสุนทรพจน์ และอภิปรายตามปกติ วันนั้นประธานาธิบดีบุช และประธานาธิบดีของอิหร่านจะขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ด้วย คนจำนวนไม่น้อยที่รอดูเกมส์ที่น่าสนุกของสองผู้นำซึ่งจะขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในวันเดียวกัน ทักษิณก็มีกำหนดการขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในวันที่ 20 กันยายน ในหัวข้อ "ประธิปไตยของไทย"

เวลาตีห้าของวันรุ่งขึ้น ทักษิณกำลังอยู่ในภวังค์ ความคุ้นเคยในชีวิตประจำวันของเขาในหลายปีที่ผ่านมาก็คือ การไม่นอนดึก ไม่ว่าจะยุ่งแค่ไหนก็ตาม เขาจะพยายามเข้านอนก่อนเที่ยงคืน อย่างน้อยต้องนอน 5 ถึง 6 ชั่วโมง ตื่นมาตอนเช้า ปกติก็จะต้องออกกำลังกายสักพัก เขาชอบว่ายน้ำ มีเพียงการปฏิบัติเช่นนี้ เขาจึงมีแรงต่อสู้มาอย่างยาวนาน ไม่ถูกแรงกดดันอันหนักหน่วงมาโจมตีได้

โทรศัพท์มือถือดังขึ้น

“ตู้ด ๆ ๆ ๆ” เสียงโทรศัพท์ทำให้เขาตื่นขึ้น

ใครโทรมาแต่เช้า รบกวนการนอนหลับของเขานะ?

"ฮัลโหล?"

"ฉันเอง" เสียงที่เขาได้ยิน คือ เสียงที่คุ้นเคยของภรรยา "พวกเขาอาจจะก่อรัฐประหาร"

พวกเขาเป็นใครกัน?

คำบอกเล่าของทักษิณ

หลังจากที่รับโทรศัพท์จากภรรยาแล้ว ผมก็รู้สึกตกใจ ก่อนที่ผมจะไปประชุมที่นิวยอร์ก ก็มีลางสังหรณ์ ผมจึงให้เพื่อนรัฐมนตรีคอยจับตาดูการเคลื่อนไหวของพวกเขา แต่พวกเขาใช้วิธีอื่นหลอกพวกเรา พวกเขาตั้งใจและตระเตรียมการมาเป็นอย่างดี ผมวางใจง่ายไปหน่อย ไม่ใช่ว่าผมมั่นใจเกินไป แต่เป็นเพราะผมคิดว่า คนที่ตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์ไม่น่าทำเรื่องเช่นนี้ นี่มันศตวรรษที่ 21 แล้วนะ ยุคสมัยที่อาศัยอาวุธยึดอำนาจมันหมดไปแล้ว ผมคิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะทำเช่นนี้ นึกไม่ถึงว่าจะกล้าเช่นนี้.

* * * * *

คำบรรยายใต้ภาพ..
(1) ภาพหน้า 2 (หลังเกิดการรัฐประหาร รถถังก็ออกมาตรึงอยู่บนถนน)
(21) ภาพหน้า 21 วันที่ 3 เมษายน 2549 ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย กำลังให้ สัมภาษณ์นักข่าว ณ ที่ทำการพรรค เขาปฏิเสธที่จะลาออก เขากล่าวว่า "ผมจะรับข้อเสนอใดๆ ที่ทำให้ประชาชนในชาติปรองดองกัน" เพื่อ หยุดยั้งวิกฤตทางการเมืองที่ดำเนินมาเกือบ 2 เดือน

* * * * *

ที่มา: http://oldforum.serithai.net/index.php?topic=15812.0;wap2

* * * * *

@ คลิกลิ้งค์นี้.. หนังสือหายาก "24 ชั่วโมงของทักษิณ" (ฉบับแปล) 164 หน้า

* * * * *

@ คลิกลิ้งค์นี้.. รออีกแป๊บนุงนะคะ..

* * * * *