"คู่มือ...ทำกับข้าวเมืองเหนือประยุกต์" (ฉบับรีไซเคิ้ล) เล่มนี้ ผมขออนุญาตเรียกอย่างนี้ เพราะกระดากที่จะเรียกว่า "ตำรา" ผมเขียนขึ้นจากประสบการณ์ในการทำกับข้าวด้วยตนเองเกือบจะทุกวัน ตั้งแต่ยังเป็นเด็กจนกระทั่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่จนเกือบจะลาจากโลกใบนี้ไปแล้ว ส่วนหนึ่งซึ่งนับว่าเป็นส่วนมากที่สุดมาจากความทรงจำในอดีต ที่ได้อาสาเป็นลูกมือช่วยผู้ใหญ่ทำกับข้าวอยู่เสมอ... และทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้ผมได้ตรวจสอบชำระข้อความบางท่อนบางตอนที่เป็นส่วนสาระสำคัญกับหนังสือ "ตำราทำกับข้าวเมืองเหนือ" เขียนโดย คุณสงวน โชติสุขรัตน์ ซึ่งเป็นบรมครูทางการหนังสือพิมพ์ขั้นปฐมของผม แล้วนำมาคลุกเคล้าผสมผสานเรียบเรียงเขียนขึ้นมาใหม่ในเชิง "เล่าสู่กันฟัง" ทั้งนี้ เพื่อสะดวกแก่คนรุ่นใหม่ จะได้นำเอาไปเป็น "คู่มือ" อนุรักษ์การทำกับข้าวของเมืองเหนือ ให้คงอยู่ถึงคนรุ่นต่อๆไป โดยคำนึงถึงวิธีการการทำกับข้าวเพื่อให้ทำกันได้อย่างง่ายๆ ไม่ยุ่งยากซับซ้อนอะไร
"โปรดสังเกต.. ที่ช่อง url ด้านบนซ้าย ถ้าเป็น https กรุณาเปลี่ยนเป็น http แล้วกด enter เข้ามาใหม่ครับ"
@ คลิกที่นี่ ดูบนyoutube... @ ภาพรับปริญญามีต่อที่นี่... @ และที่นี่อีกจ้า... @ บัณฑิตรามฯรุ่น38(2555) ทุกคณะและทุกคน โหลดคลิปที่นี่...

วันอังคารที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2556

แก๋งฮังเล, แก๋งโฮ๊ะ, แก๋งแค, ห้องนอนใครเหม็นอับ...มาตางเพ้...


แก๋งฮังเล
By: ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร

"แก๋งฮังเล" ต้นตำรับดั้งเดิมเป็นกับข้าวของชาว "ม่าน" หรือ "พม่า" ซึ่งท่านผู้รู้สันนิษฐานว่า ชาวล้านนาคงจะรับเอามาตั้งแต่สมัยโบร่ำโบราณสมัยเมื่อต่างฝ่ายต่างผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนตกเป็นเมืองขึ้นแก่กัน และได้สืบทอดผสมผสานอย่างกลมกลืนสืบเนื่องต่อๆกันมา จนกลายเป็นกับข้าวบน "ขันโตก" ของชาวเหนืออีกชนิดหนึ่งไปโดยปริยาย

"แก๋งฮังเล" เป็นแกงที่มันเยิ้ม น้ำแกงก็คือน้ำมันหมูผสมกับเครื่องเทศ หรือเครื่องแกง หรือ "ผงฮังเล" ซึ่งจะให้รสชาติอร่อยทางปาก และหอมกลิ่นเครื่องเทศทางจมูก

เครื่องเทศ หรือเครื่องแกง หรือ "ผงฮังเล" หาซื้อได้ตามร้านขายเครื่องยาโบราณทั่วๆไป แต่ถ้าเป็นจังหวัดทางภาคเหนือจะหาซื้อได้ง่าย เพราะมีวางขายเรียกว่าเกือบจะทุกที่ทุกร้านเลยก็ว่าได้

"แก๋งฮังเล" เมื่อแกงแต่ละครั้งรับประทานกันได้ร่วมอาทิตย์โดยไม่บูดเลย (ไม่ใส่ยากันบูด) ถ้าเอาหม้อแกงตั้งไว้บนไฟอ่อนๆ ยิ่งหลายวันยิ่งมีรสชาติอร่อยมากขึ้น เพราะเนื้อหมูจะเปื่อยยุ่ยแต่สภาพยังคงเป็นก้อนอยู่เหมือนเดิมอีกทั้งยังสามารถดัดแปลงเป็น "แก๋งโฮ๊ะ" (แกงรวม) ได้อีกด้วย

เครื่องปรุง "แก๋งฮังเล"

หมูเนื้อแดงครึ่งกิโลกรัม หมูสามชั้น 1 กิโลกรัม กระดูกซี่โครงหมูมีเนื้อหนาๆ ครึ่งกิโลกรัม กระเทียมและหัวหอมหรือหอมแดงรวมกัน 1 ถ้วย ขิงแก่ 2-3 แง่ง มะขามเปียก 1 กำใหญ่หรือจะใช้กระท้อนแทนก็ได้ พริกแห้ง 4-5 เม็ดหรือพริกขี้หนูแห้ง 10-12 เม็ด หัวหอม 5 หัว กระเทียม 2 หัว กะปิดี 1 ช้อนโต๊ะ ขมิ้นผง 1 ช้อนโต๊ะ ซีอิ๊วดำ และผงฮังเล 1 ซอง

วิธีปรุง "แก๋งฮังเล"

หมูเนื้อแดงครึ่งกิโลกรัม และหมูสามชั้น 1 กิโลกรัม หั่นเป็นก้อนคล้ายสี่เหลี่ยมลูกเต๋า ขนาด 2 คูณ 2 นิ้ว และกระดูกซี่โครงหมูมีเนื้อหนาๆครึ่งกิโลกรัม หั่นเป็นชิ้นๆรวมใส่หม้อเตรียมไว้

ปอกเปลือกกระเทียม และหัวหอม หรือหอมแดง รวมกันประมาณ 1 ถ้วย ขิงแก่ 2-3 แง่ง ปอกเปลือกแล้วซอยบางๆจนหมด มะขามเปียก 1 กำใหญ่ แช่น้ำพอท่วมแล้วคั้นเอาแต่น้ำข้นๆ หรือจะหั่นกระท้อนแทนก็ได้ มากน้อยตามใจชอบ

พริกแห้ง 4-5 เม็ด หรือจะใช้พริกขี้หนูแห้ง 10-12 เม็ด แทนก็ได้ (แช่น้ำจนนิ่ม บีบให้แห้ง) หัวหอม 5 หัว กระเทียม 2 หัว กะปิดี 1 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 1 ช้อนชา ใส่ครกตำให้ละเอียดจนเข้ากันดี แล้วตักใส่หม้อเนื้อหมูที่หั่นเตรียมไว้ ใส่ขมิ้นผง 1 ช้อนโต๊ะ ผงฮังเล 1 ซอง ซีอิ๊วดำพอสมควรเพื่อแต่งสีเนื้อหมูให้เข้มพองาม และน้ำล้างครก ใช้มือขยำคลุกเคล้าให้เข้ากัน ทิ้งไว้สักพักจะมีน้ำหมูซึมออกมา

ปิดฝาหม้อให้เรียบร้อย แล้วยกขึ้นตั้งบนไฟอ่อนที่สุด จนกระทั่งน้ำหมูเดือดปุดๆ นานๆครั้งใช้ไม้พายคนสักครั้ง เพื่อไม่ให้เนื้อหมูติดก้นหม้อ รักษาระดับไฟให้อ่อนคงที่ไว้ ปล่อยให้เดือดต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งน้ำหมูแห้งมีน้ำมันหมูออกมาแทน เนื้อหมูก็จะเปื่อยพอดี เทน้ำมะขามเปียกที่คั้นเตรียมไว้ใส่ลงไปในหม้อ เคี่ยวต่อไปอีกสักพัก จนน้ำมะขามเปียกที่ใส่ลงไปกลายเป็นน้ำมันทั้งหมด

เอากระเทียมและหัวหอม หรือหอมแดง ที่ปอกเปลือกรวมกัน 1 ถ้วย กับขิงซอยที่เตรียมไว้ใส่ลงไปในหม้อ คนให้เข้ากัน ชิมรสให้กลมกล่อมด้วยเกลือป่น รสดี (อย่าใส่น้ำตาล) เมื่อกระเทียมหัวหอมสุกได้ที่จึงดับไฟ เป็นอันเสร็จกรรมวิธีในการ "แก๋งฮังเล" พร้อมตักใส่ถ้วยรับประทานกับข้าวเหนียวหรือข้าวสวยร้อนๆได้ทันที

"เคล็ดลับ" ในการ "แก๋งฮังเล" ให้อร่อยสุดๆ ต้องใช้ไฟอ่อนที่สุด และรักษาระดับไฟให้คงที่ เพราะเนื้อหมูจะสุกและเปื่อยได้ที่ก็พอดีกับที่น้ำหมูแห้งกลายเป็นน้ำมัน ที่สำคัญที่สุด อย่าคนบ่อยๆ จะทำให้เนื้อหมูเละ และเมื่อเนื้อหมูเปื่อยได้ที่ดีแล้ว จึงใส่น้ำมะขามเปียกลงไป เพราะเจ้าน้ำมะขามเปียกนี่แหละที่เป็นตัวรัดไม่ให้เนื้อหมูเละ

ต้นตำรับ "แก๋งฮังเล" ฉบับดั้งเดิม "เขาไม่ใส่น้ำตาล" ครับผม


แก๋งโฮ๊ะ
By: ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร

"แก๋งโฮ๊ะ" ของชาวเหนือ ก็คือ "แกงรวม" นั่นเอง "โฮ๊ะ" เป็นภาษาพื้นเมืองหมายถึง "รวม" คำว่า "แก๋งโฮ๊ะ" ก็คือ แกงที่ใช้แกงและกับข้าวทุกอย่างบน "ขันโตก" ที่เหลือหรือเหลือค้างคืนเอามารวมกัน แล้วดัดแปลงปรุงขึ้นเป็นกับข้าวชนิดใหม่ ด้วยการเติมผักต่างๆ หน่อไม้ดอง วุ้นเส้น และที่ขาดไม่ได้ก็คือ "แก๋งฮังเล" ที่เหลือค้างก้นหม้อแกง ต้องขอดใส่ลงไปจนหมดทั้งเนื้อหมูและน้ำมัน แต่ถ้าหากไม่มีแกงหรือกับข้าวที่เหลือหรือเหลือค้างคืน จะใช้แกงหรือกับข้าวที่ปรุงเสร็จใหม่ๆ ปรุงเป็น "แก๋งโฮ๊ะ" ก็ได้ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด

เครื่องปรุง "แก๋งโฮ๊ะ"

แกงและกับข้าวทุกอย่างที่เหลือหรือเหลือค้างคืน แก๋งฮังเลหรือน้ำพริกแกงเผ็ดครึ่งขีด ผักต่างๆ เช่น ผักกาด ถั่วฝักยาว ผักตำลึง ผักชีฝรั่ง ชะอม มะเขือเปราะ มะเขือพวง ฯลฯ อย่างละพอสมควร วุ้นเส้นขนาด 100 กรัม 1 ห่อ หน่อไม้ดองครึ่งกิโลกรัม และพริกขี้หนูสวน 1 กำมือ

วิธีปรุง "แก๋งโฮ๊ะ"

เอาแกง และกับข้าวทุกอย่างที่เหลือ หรือเหลือค้างคืน เช่น แก๋งอ่อม จอผักกาด แก๋งขนุน จิ๊นลาบ แก๋งแค แคบหมู แก๋งหน่อไม้ดอง แก๋งผักชะอม คั่วตับหมู ต้มยำไก่ แก๋งยอดฟักทองกับเห็ด แก๋งผักหวาน หรือแกงหรือกับข้าวทุกๆอย่างเท่าที่มีอยู่ เรียกว่าสารพัด "แก๋ง" สารพัดกับข้าวว่างั้นเถอะ แต่ต้องเทน้ำแกงทิ้งให้หมด เอาแต่เนื้อแกงรวมกันใส่ลงในกระทะใบใหญ่พอสมควร พร้อมกับ "แก๋งฮังเล" ทั้งเนื้อหมูและน้ำมันที่เป็นน้ำแกง เสร็จแล้วยกขึ้นตั้งบนไฟอ่อนๆ

ต่อจากนั้น "เด็ด" ผักต่างๆ เช่น ผักกาด ถั่วฝักยาว ผักตำลึง ผักชีฝรั่ง ชะอม มะเขือเปราะผ่าสี่ มะเขือพวง ฯลฯ อย่างละพอสมควร ล้างน้ำให้สะอาด วุ้นเส้นขนาด 100 กรัม 1 ห่อ แช่น้ำให้พองตัว แล้วตัดเป็นท่อนสั้นๆ หน่อไม้ดองครึ่งกิโลกรัมล้างน้ำหลายๆครั้ง ถ้าชิ้นใหญ่ก็หั่นให้ชิ้นเล็กลง ใส่ถ้วยเตรียมไว้

พอแกงในกระทะเดือดปุดๆ ใส่หน่อไม้ดองที่เตรียมไว้ลงไป ใช้ตะหลิวคนให้เข้ากัน และเคี่ยวต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งน้ำแกงแห้ง มีน้ำมันออกมาแทน จึงใส่ผักต่างๆ และวุ้นเส้นที่เตรียมไว้ลงไป คนกลับไปกลับมาจนเนื้อแกงเข้ากันดี ปรุงรสด้วยน้ำปลา รสดี ก็เป็นอันเสร็จ ตักใส่ถ้วยนั่งล้อมวงรับประทานได้ทันที

อ้อ...อย่าลืมโรยพริกขี้หนูสวนเม็ดเล็กๆแต่เผ็ดเหลือล้ำลงไปด้วยสัก 10-20 เม็ดล่ะ "แก๋งโฮ๊ะ" จะ "แซบ" "ลำแต้ๆ" เหลือหลายที่เดียวเชียวครับ

แต่ถ้าไม่มี "แก๋งฮังเล" ให้ใช้น้ำพริกแกงเผ็ดครึ่งขีดผัดน้ำมันพืชจนหอมฉุย ใส่ลงไปในกระทะแทนก็ได้ แต่จะไม่อร่อยเท่า "แก๋งฮังเล"

"แก๋งโฮ๊ะ" จะ "ลำแต้ๆ" (อร่อยจริงๆ) ต้องใส่ "แก๋งฮังเล" นะจ๊ะหนู...


แก๋งแค
By: ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร

"แก๋งแค" หรือ "แก๋งผักแค" เป็นแกงที่รวมเอาผักชนิดต่างๆเท่าที่หาได้ในท้องถิ่น มากบ้างน้อยบ้างอย่างละเล็กละน้อย มาปรุงเป็นกับข้าวให้มีรสชาติที่อร่อยสุดๆ (สำหรับท่านที่ชอบผัก) "ผักแค" จึงเป็นชื่อเรียกโดยรวมของผักชนิดต่างๆที่เอามาแกง ไม่เฉพาะเจาะจงว่าเป็นผักชนิดใดชนิดหนึ่ง

"แก๋งแค" สามารถแกงได้กับเนื้อสัตว์เกือบจะทุกชนิด เช่น ไก่ หมู วัว ควาย เนื้อเค็ม และสัตว์น้ำก็ปลาทุกชนิด หรือ กบ เขียด เป็นต้น ซึ่ง "แก๋งแค" สามารถแกงได้ทั้งแบบน้ำข้น (ใส่ข้าวคั่ว) และแกงแบบธรรมดาน้ำใส (ไม่ใส่ข้าวคั่ว)

เกือบทุกตลาดในจังหวัดทางภาคเหนือ จะมี "ผักแค" วางขายเป็นมัดๆ ซึ่งจะมีผักเกือบทุกชนิดที่จะใช้แกงคละกันอยู่ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวก ไม่ต้องไปเดินหาซื้อผักแต่ละอย่างให้เสียเวลา

เครื่องปรุง "แก๋งแค"

ผักแคชนิดต่างๆ เช่น ผักตำลึง ผักเผ็ด ผักขี้หูด ถั่วฝักยาว ถั่วพู ถั่วแปบ ดอกแค ดอกงิ้ว เห็ดลม เห็ดนางฟ้า ใบชะพลู ผักชีฝรั่ง ยอดฟักทอง ผักชะอม มะเขือเปราะ มะเขือพวง หน่อไม้ หรือผักอื่นๆเท่าที่มีหรือพอหาได้ในท้องถิ่นมากบ้างน้อยบ้างคละกันไป เนื้อสัตว์ทุกชนิดตามใจชอบ พริกขี้หนูแห้ง 15 เม็ด หัวหอม 5 หัว กระเทียม 2 หัว ตะไคร้ 2 ต้น ข่า 5 แว่น เม็ดผักชีแห้ง 1 ช้อนชา มะแขว่น 1 ช้อนชา กะปิดี 1 ช้อนโต๊ะ น้ำมันพืช 2-3 ช้อนโต๊ะ และข้าวคั่ว 1-2 ทัพพี

วิธีปรุง "แก๋งแค"

เริ่มต้นด้วยการ "เด็ด" ผักแคชนิดต่างๆ เช่น ผักตำลึง ผักเผ็ด ผักขี้หูด ถั่วฝักยาว ถั่วพู ถั่วแปบ ดอกแค ดอกงิ้ว เห็ดลม เห็ดนางฟ้า ใบชะพลู ผักชีฝรั่ง ยอดฟักทอง ผักชะอม มะเขือเปราะผ่าสี่ มะเขือพวง หน่อไม้ หรือผักอื่นๆเท่าที่มี หรือพอหาได้ในท้องถิ่นมากบ้างน้อยบ้างคละกันไป รวมกันแล้วล้างให้สะอาด เตรียมไว้

เนื้อสัตว์ (ตามใจชอบ) หั่นเป็นชิ้นๆพอดีคำ เตรียมไว้

เอาพริกขี้หนูแห้ง 15 เม็ด (แช่น้ำจนนิ่ม บีบให้แห้ง) หัวหอม 5 หัว กระเทียม 2 หัว ตะไคร้หั่นฝอย 2 ต้น ข่า 5 แว่น เม็ดผักชีแห้ง 1 ช้อนชา มะแขว่น 1 ช้อนชา กะปิดี 1 ช้อนโต๊ะ และเกลือป่น ใส่ครก ตำให้ละเอียดจนเข้ากันดี

กระทะใส่น้ำมันพืช 2-3 ช้อนโต๊ะ ยกตั้งไฟ พอร้อนตักน้ำพริกในครกลงไปผัดจนหอมได้ที่ดี จึงใส่เนื้อสัตว์ที่เตรียมไว้ลงไปผัดด้วย ขณะผัดเติมน้ำล้างครกลงไปด้วย เคี่ยวจนน้ำแห้งจะมีกลิ่นหอมฉุย แล้วตักทั้งหมดใส่หม้อแกง เติมน้ำพอท่วมขลุกขลิก (อย่าใส่น้ำมาก แกงจะกร่อย)

ยกหม้อแกงตั้งบนไฟอ่อนๆจนน้ำแกงเดือด เคี่ยวต่อไปสักพัก คะเนว่าเนื้อสัตว์เปื่อยพอสมควร ก็ใส่ผักแคที่เตรียมไว้ลงไป ปิดฝาหม้อ พอเดือดอีกครั้งก็ยกลงจากเตารีบเปิดฝาหม้อแกงทันที ผักจะเขียวสดน่ารับประทาน ที่สำคัญอย่าลืมปรุงรสด้วยน้ำปลาและรสดีด้วยล่ะ

ถ้าหากชอบแบบน้ำข้น ก่อนยกลงจากเตาให้ใส่ข้าวคั่วลงไปสัก 1-2 ทัพพี แล้วคนให้เข้ากันตักรับประทานขณะร้อนๆ แกงจะอร่อยได้รสได้ชาติจริงๆ


ห้องนอนใครเหม็นอับ...มาตางเพ้...มาตางเพ้...
By: ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร

เพื่อนๆคุณผู้อ่านทุกๆท่านครับ เพราะคิดถึง...เพราะรัก...น่ะ ไม่คิดถึง...ไม่รัก...ไม่ชอบกัน เคล็ดลับอันนี้มะบอกนะเนี่ย...

อู๊ย! อีตาThanawut ใช้อันนี้เรียกค่อยสุภาพหน่อยเดี๋ยวโดนเซ็นอ่ะ... แต่คนข้างบ้านที่มาใช้บริการผมพิมพ์งานใบเสนอราคา วันดีคืนร้ายก็ยกคอมพิวเตอร์ ยกnotebookมาให้ผมเป่าคาถาไล่ไวรัสให้ เขาเรียกผมว่า คุณตาคอม...ครับ ไม่ใช่ๆคอมมูนิดคอมมูหน่อยนะ...อย่าเข้าใจผิดๆ

เอ้าเริ่มใหม่... อู๊ย! อีตาThanawut อ้อนแม่ยก หวานซะไม่มีล่ะ สงสัยลูกสาวคงงามแต้ๆ...อิอิ เสียจาย...มะมีลูกสาวมีแต่ลูกชายโทน อ่ะ

นอกเรื่องไปแล้ว กลับมากลับมาต่อ... ถ้าห้องนอนบ้านใครมีกลิ่นเหม็นอับๆทึบๆชอบกลๆล่ะก้อ ผมมีวิธีแก้ที่เด็ดขาดชัวร์ๆ 100% ไม่ใช่อโรม่าอะโรแมวน่ะ เคล็ดลับของผมนี่ถูกที่สุดในโลก อะคุยซะไม่มีใครเกินล่ะ แล้วทีนี้ห้องนอนเราบ้านเราใครที่เข้ามาจะทักทันที ก็มันหอมสดชื่นเข้าไปถึงหัวใจ

และสำหรับตัวเราเองตอนกลางคืนก็นอนหลับสบายๆไม่ฝันร้ายไม่ตกใจตื่นตอนดึกๆด้วย ตื่นขึ้นมาตอนเช้าๆ อ้า...โลกนี้ช่างสดชื่นสดใสให้รื่นเริงสุขสำราญเหมือนดอกใบบานยามเช้า โอ้ย...สุขสดชื่นอะไรจะปานนั้น

ดูรูปกันอีกครั้ง เดี๋ยวจะเม้าท์ให้ฟัง (อ่าน)

ก่อนอื่นให้ซื้อยาผงแดง นั่นแน่...ตาThanawut จะแนะนำอะไรก็ไม่พ้นแดงแด้งแดง...อุตส่าห์หนีกระทู้ข้างนอกเข้ามาก็เจอแดงแด้งแดงอีก...เฮ้อเบื่อๆๆ

เพื่อนๆที่รักและคิดถึงทุกๆท่านอย่าเพิ่งเบื่อครับ ก็ยาเขาชื่อนี้จริงๆนะครับ ถ้ามันมียาชื่อ ยาผงม่วง ยาผงคราม ยาผงน้ำเงิน ยาผงเขียว ยาผงเหลือง ยาผงแสด ยาผงแดง เอาให้ครบสีรุ้ง 7 สีเลยผมก็จะแนะนำครับ...อิอิ

ถ้าใครไม่รู้จักยาผงแดงก็ให้ถามคนเมืองเหนือดูเขารู้จักกันทุกๆคนแหละ ฝากเขาซื้อก็ได้นะครับสะดวกกว่า กรุงเทพฯหรือต่างจังหวัดอาจหายาก คนเหนือใจดีกันทุกๆคน โดยเฉพาะผม...อิอิ

สมัยเด็กตอนผมเรียน ป.1-ป.2 ผมเคยตาม "แม่เฒ่า" (คุณยายทวด-ท่านเป็นคุณแม่ของคุณแม่ของคุณแม่ของผม โอ๊ย...ลำดับไม่ถูก) ไปกินไปนอนที่บ้านเพื่อนของคุณยายทวดท่านนี้แหละ ที่บ้านเขาทำยาผงแดงขาย อ้อลืมบอก...อยู่ที่อำเภอป่าซางครับ

ลูกสาวเพื่อนของคุณยายทวดที่ผมเรียกท่านว่า "คุณป้าเพ็ญศรี" เป็นคนดูแลกิจการ ผมก็จำยี่ห้อไม่ได้แล้วตรากระต่ายหรือหมาบ้านหมาป่าอะไรนี่แหละ ก็ไม่ทราบว่าตอนนี้ลูกๆหลานๆของท่านยังสืบทอดตามบรรพบุรุษอยู่หรือเปล่า

ถ้าผมผ่านไปแถวป่าซางผมไม่กล้าแวะบ้านเขา เพราะลูกสาวคุณป้าเพ็ญศรีซึ่งก็รุ่นราวคราวเดียวกัน เขาไม่ชอบขี้หน้าผม ตอนเรียน ม.3-ม.4 เขาเรียนที่ ร.ร.ประจำจังหวัดหญิง ล.พ.2 ส่วนผมเรียนที่ ม.ธ.เมธีวุฒิกร ตอนนั้นผมซนสะเด็ดยาด ทะลึ่งเกะกะเกเรระรานเขาไปเรื่อยแหละ...

นี่นี่ ตาThanawut นอกเรื่องอีกแล้ว กลับมากลับมา แล้วห้องตรู...จะหายเหม็นอับมั้ยวะเนี่ย...

เข้าเรื่องๆ... เมื่อได้ยาผงแดงมาแล้วก็ฉีกซองเทใส่ถาดโฟมหรือถาดพลาสติกก็ได้ (ดูตามรูป) แล้วเอาไปวางไว้ใต้หน้าต่าง หัวเตียง หรือหลังแอร์-พัดลมก็ได้ แต่ตอนวางถาดต้องเลือกที่เหมาะๆนะครับ กันไว้เผื่อหลงลืมเอามือไปปัดเท้าไปเตะหรือโดนลมพัดตรงๆแรงๆ ยาผงแดงฟุ้งกระจายเต็มห้องเลย ทีนี้เก็บกวาดยากซะด้วยแหละ

ไวทันใจเหมือนหนังไทยโกห้าโกเจ็ด...ห้องก็หายเหม็นอับไปในพริบตา...พริบตาเดียวจริงๆ จากห้องเหม็นอับๆทึบๆกลายเป็นห้องห้อมหอม...สดชื่น...ตามสมุนไพรที่เขาใช้ทำยาผงแดงนั่นแหละ ชื่นจาย...ชื่นใจ...ถ้าจะให้หอมทั้งบ้าน ก็ทำอย่างเดิมแหละเอาไปวางไว้ทั่วบ้านซัก 3-4 จุด

ยาผงแดงที่แนะนำให้ซื้อน่ะราคาไม่แพงซื้อยกโหลเลยถูกลงมาอีกหน่อย อิอิ งก งก

อีกนิด... เดี๋ยวจะเข้าใจผิดกันยกใหญ่ ยาผงแดงที่ว่านี่ไม่ใช่ยาดับกลิ่นนะครับ แต่เป็นยาแก้ลมวิงเวียน บำรุงหัวใจ บำรุงธาตุ แก้จุกเสียด คลื่นเหียน อาเจียน เป็นยาแผนโบราณ ถ้าจะเปรียบก็เป็นยาหอมปราบลมนี่แหละครับ เวลาเป็นลมคนเมืองเหนือจะใช้ยาผงแดงนี่แหละปราบลม...

ส่วนผม...ชอบเอามะนาวผลใหญ่ๆทั้งผลใช้มีดคมๆฝานเป็นแผ่นบางๆ แตะเกลือป่นนิดหน่อยแล้วเอาไปคลุกกับยาผงแดง ใส่ปากอมสักครู่แล้วก็เคี้ยวกลืนลงคอ คุณเอ๊ย...ทั้งซ่าๆจี๊ดๆเปรี้ยวๆเค็มๆมันๆขมๆ อร่อยอย่าบอกใครเชียว แต่ถ้าใครไม่ชอบขมก็เอาเปลือกมะนาวทิ้งไป

เหอ เหอ พูดแล้วเปรี้ยวปากย้ำยายไย๋เยย...อิอิ


อะไรนะครับ...อ๋อ...อ๋อ... ผมเหรอครับ! นับง่ายๆ เอาเลขท้าย พ.ศ.สองตัวบวก 10 นั่นแหละอายุของผมล่ะ... ผมประสบความสำเร็จในชีวิตระดับหนึ่ง เรียนจบก็ทำงานตั้งหลักตั้งฐานผ่อนบ้านซื้อที่ดินและมีครอบครัว ต่อสู้กับชีวิตผ่านร้อนผ่านหนาวจนชาชิน ฐานะก็พอมีกินมีใช้ไม่เดือดร้อนหรือเป็นกังวลเหมือนคนแก่อีกหลายๆคนบนโลกเก่าๆผุๆใบนี้

หลังจากผมเรียนหนังสือจนจบชั้นสูงสุด(ในสมัยนั้น)ของจังหวัดลำพูนแล้ว ปี พ.ศ.2506 ผมได้รับโอกาสจากท่านผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือให้ไปฝึกงานที่ นสพ. "ไทยเหนือ" โรงพิมพ์ "สงวนการพิมพ์" จังหวัดเชียงใหม่ ได้ฝึกงานและกินนอนอยู่ที่นั่นสองปีเต็มๆ ได้รับเบี้ยเลี้ยงเดือนละ 200 บาท ซึ่งสมัยนั้นนับว่ามากมายพอสมควรสำหรับเด็กฝึกงาน เพราะค่าแรงงานขั้นต่ำที่จังหวัดเชียงใหม่ในขณะนั้นเขาจ่ายกันที่ 8 บาทต่อวัน

ท่านเจ้าของ ผู้จัดการ และบรรณาธิการ คือ คุณสงวน โชติสุขรัตน์ ท่านเป็นนักโบราณคดีเมืองล้านนาด้วย ท่านเป็นคนมีน้ำใจดี โอบอ้อมอารี และมีเมตตา ท่านอบรมสั่งสอนและถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ทั้งทางด้านหนังสือพิมพ์ และงานในโรงพิมพ์แขนงต่างๆ ให้แก่ผมเหมือนกับผมเป็นลูกหลานของท่านคนหนึ่ง ท่านสอนให้ผมรู้ซึ้งถึงคุณค่าของการศึกษา และการใฝ่หาความรู้ให้กับตัวเอง ท่านย้ำอยู่เสมอๆไม่ให้ผมทิ้งการเรียน และแนะนำให้ผมเอาเวลาว่างหลังเลิกงานตอนเย็นไปเรียนกวดวิชาที่โรงเรียนใกล้ๆโรงพิมพ์ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยในปีถัดไป

ครั้นถึงปลายปี พ.ศ.2508 ผมจึงกราบเท้าอำลาท่านผู้มีพระคุณ "คุณสงวน โชติสุขรัตน์" เบน "เข็มทิศชีวิต" ของตัวเอง มุ่งหน้าสู่ "กรุงเทพมหานคร" ด้วยปณิธานอันแน่วแน่และแรงกล้า สอบเข้าเรียนต่อจนจบวารสารศาสตร์ แล้วไปฝึกงานที่ นสพ.เดลินิวส์สมัยอยู่สี่พระยาโน่น... จากนั้นชีวิตหักเหผมไม่ได้ทำงาน นสพ.ฉบับไหนเลย แต่จับผลัดจับผลูถูกเพื่อนลากเข้าไปทำงานในบริษัทคอมพิวเตอร์ที่พ่อของมันเป็นหุ้นส่วน มะงุมมะงาหราตั้งแต่คอมฯตัวใหญ่โตมโหฬารเท่าตึก 3-4 ชั้นจนมันเล็กลงๆเหลือกระจี๊ดเดียวเท่าเมล็ดถั่วเขียว ผมเพลิดเพลินกับงานที่ไม่ได้อยู่ในสายที่เรียนมาจนกระทั่งเกษียณอายุ...ได้รางวัลปลอบใจจากบริษัทฯหลายตังค์

ชีวิตผมตั้งแต่หนุ่มๆจน 70 แล้วปีนี้(2560) พูดแล้วจะหาว่าคุย ผมไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นการพนันทุกชนิด พูดแล้วอาย...บางทีได้เลขเด็ดมาก็แอบๆเล่นเหมือนกัน ซื้อทีไรถูกครับ...ถูกกินหมดตูด...ยังจำได้ไหม ตอนที่ไทยรัฐบอกเลข สามสี่งวดติดๆกัน คนถูกกันทั้งประเทศ เราก็อยากจะรวยกับเขามั่ง งวดหน้าทุ่มซักพัน...คุณเอ้ย...งวดนั้นถูกกินเรียบ ต้องขอโทษคุณๆที่ไม่ถูกในงวดนั้นด้วย ผมสารภาพครับเป็นเพราะผมซื้อตามนั่นแหละเลขมันเลยไม่ออก ถูกกินหมดตูดกันเป็นแถวๆ

อุปนิสัย พูดยังกับคุณครูเขียนในสมุดประจำตัวนักเรียนเลยแฮะ...ผมไม่ชอบเที่ยวในที่อโคจร แล้วอีกอย่างผมเป็นคนรักบ้านรักครอบครัวครับ ผมไม่เจ้าชู้ประตูดิน ไม่สำส่อน มีเมียก็มีเป็นคนๆไป (พูดชอบกลๆ) ชีวิตผมจึงสบายๆเมื่อตอนแก่ หลานก็ไม่มีให้เลี้ยง ทุกวันนี้มีความสุขครับ วันๆได้ท่องเที่ยวไปทั่วโลกส่วนมากก็อยู่หน้าคอมฯนั่นแหละ ค้นหาข้อมูลและเก็บเกี่ยวประสบการณ์รื้อฟื้นความทรงจำในอดีตแล้วขุดขึ้นมาเล่ามาเขียนให้คุณผู้อ่านที่เป็นแควนๆติดตามกระทู้ของผมไง

ความสุขของผมทุกวันนี้จึงมีเหลือเฟือมากพอที่จะแบ่งปันแจกจ่ายให้ทุกๆท่านได้อย่างเต็มที่ด้วยความเต็มใจครับ

และทุกวันนี้ผมยังทำเว็บบล็อก update ข้อมูลเอง ว่างๆ ก็ขอเชิญชวนทุกๆท่าน click เข้าไปเยี่ยมชมกันได้นะครับ (ลิ้งค์ทั้งหมดอยู่คอลัมน์ซ้ายมือ) รับรองมีสาระบันเทิงและบทความที่ประเทืองปัญญาให้ความรู้อย่างลึกซึ้ง เพียบ!

เอ้า! มาต่อให้จบๆ... พูดถึงสุขภาพของผม สุขภาพร่างกายของผมแข็งแรง ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน จะมีก็เป็นต้อหินต้อกระจก เพราะอานิสงส์จากบัตรทอง30บาทรักษาทุกโรคนี่แหละ ที่ยังทำให้ผมมองเห็นสิ่งสวยๆงามๆในโลกใบนี้ได้

ผมเป็นโรคต้อหินและโรคต้อกระจก เป็นทั้งสองข้าง ดวงตาข้างซ้ายบอดไปแล้วแต่คุณหมออุดม ภู่วโรดม แผนกโรคตา รพ.นพรัตนฯ เป็นผู้ผ่าตัดใส่เลนส์แก้วตาเทียมให้ คงเหลือแต่ดวงตาข้างขวาซึ่งคุณหมอรุจยา ด่านอุตรา ติดตามดูอาการอยู่ ถ้าไม่ดีขึ้นก็ต้องผ่ากันละ (คุณหมอรุจยารักษาต่อจากคุณหมออุดมซึ่งท่านย้ายไปดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา)

ทุกวันนี้ผมต้องใช้ยา Timodrop Eye Solution 0.5% หยอดตาทุกเช้า-เย็นเพื่อปรับความดันลูกนัยน์ตาทั้ง 2 ข้างซ้าย-ขวา และทุกๆเดือนผมมีนัดต้องไป รพ.เพื่อรับยา คุณหมอบอกว่า ผมต้องหยอดยาเพื่อปรับความดันลูกนัยน์ตาไปตลอดชีวิต

ปกติผมสายตาสั้นต้องใส่แว่นตาเป็นประจำ หลังผ่าตัดใส่เลนส์แก้วตาเทียม คุณหมออุดมบอกว่าเลนส์ที่ใส่ให้เป็นเลนส์สายตายาวมองไกลๆเห็นภาพชัดสดใสสีฟ้าสวยงาม ส่วนตาข้างขวาเป็นตาธรรมชาติที่ติดตัวมามองใกล้เห็นชัดแต่ภาพสีขุ่นๆไม่สดใสเหมือนตาข้างซ้าย ปัจจุบันตาทั้งสองข้างมันปรับเข้าหากันทำให้ผมมองเห็นได้ชัดเจนทั้งใกล้และไกลโดยไม่ต้องใส่แว่นตาเหมือนก่อน

ค่าผ่าตัดตาของผม...อะอะ...สามสิบบาทครับ เขาว่าถ้าเป็นเมื่อก่อนค่าผ่าตัดตาอย่างน้อยก็สองสามหมื่นขึ้น แล้วอย่างนี้จะให้ผมลืมคุณทักษิณได้อย่างไร...อิอิ อ้าว...อ้าว...อีตาThanawut วกเข้าหาการเมืองจนได้แฮะ... คลิกที่นี่...เรื่องน่ารู้น่าอ่าน

แล้วอีกอย่างนึงผมไม่อยากจะเซด...ผมแข็งแรงก็จริงแต่ตอนนี้เตะปี๊บไม่ดังแล้วครับ ถึงจะดังก็ไม่ดังโป้งโป้ง ดังแค่แปะแปะ ก็ขอสารภาพครับ ผมไปรักษาและก็เป็นคนไข้ที่หนีหมอ คุณหมอเรียกผมตรวจเพื่อหาเชื้อเอดส์เชื้ออดก็หาไม่เจอ ตรวจปัสสาวะ เลือดก็แล้ว เอกซเรย์ก็แล้ว เอานิ้วมือในถุงมือยางเข้าไปควานตรวจดูว่าเป็นริดสีดวงก็แล้วไม่เจอ ครั้งสุดท้ายก่อนที่ผมจะหนีหมอ พอเข้าห้องพบหมอคุณหมอไม่พูดอะไร ไม่อธิบายที่มาที่ไปว่าอะไร จู่ๆก็ให้ใบสั่งผ่าตัด ตอนนั้นผมไม่รู้ไปรู้ตอนที่อยู่หน้าห้องจ่ายเงิน ถามเขาว่าทำไมมันมากนัก(ไม่ถึง 5 พัน) น้องคนที่ห้องรับเงินบอกว่าค่าผ่าตัดค่ะ

ตอนนั้นผมเนี่ยะใจหายแว้บ มันทำใจไม่ได้จริงๆ ไม่ใช่ค่าผ่าตัดแพงนะครับ รับตรงๆว่ากลัวครับ กลัวการผ่าตัดเป็นที่สุด ต้องกราบขอโทษงามๆคุณหมอที่ รพ.รามาฯด้วยครับ ที่ตอนนั้นผมใจเสาะจริงๆ

แต่ที่ผ่าตัดตาตอนหลังๆนี่ ทั้งภรรเมียทั้งลูกด้วยช่วยกันปลอบหร็อก ผมจึงยอมใจอ่อนยอมผ่าตัดตา แล้วก็จริงอย่างคุณหมออุดมว่าผ่าตัดตาเจ็บเหมือนกัน เหมือนถูกมดกัด น่ะครับ.

@ ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร
6มิ.ย.2553/แก้ไข 12เม.ย.2560