"คู่มือ...ทำกับข้าวเมืองเหนือประยุกต์" (ฉบับรีไซเคิ้ล) เล่มนี้ ผมขออนุญาตเรียกอย่างนี้ เพราะกระดากที่จะเรียกว่า "ตำรา" ผมเขียนขึ้นจากประสบการณ์ในการทำกับข้าวด้วยตนเองเกือบจะทุกวัน ตั้งแต่ยังเป็นเด็กจนกระทั่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่จนเกือบจะลาจากโลกใบนี้ไปแล้ว ส่วนหนึ่งซึ่งนับว่าเป็นส่วนมากที่สุดมาจากความทรงจำในอดีต ที่ได้อาสาเป็นลูกมือช่วยผู้ใหญ่ทำกับข้าวอยู่เสมอ... และทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้ผมได้ตรวจสอบชำระข้อความบางท่อนบางตอนที่เป็นส่วนสาระสำคัญกับหนังสือ "ตำราทำกับข้าวเมืองเหนือ" เขียนโดย คุณสงวน โชติสุขรัตน์ ซึ่งเป็นบรมครูทางการหนังสือพิมพ์ขั้นปฐมของผม แล้วนำมาคลุกเคล้าผสมผสานเรียบเรียงเขียนขึ้นมาใหม่ในเชิง "เล่าสู่กันฟัง" ทั้งนี้ เพื่อสะดวกแก่คนรุ่นใหม่ จะได้นำเอาไปเป็น "คู่มือ" อนุรักษ์การทำกับข้าวของเมืองเหนือ ให้คงอยู่ถึงคนรุ่นต่อๆไป โดยคำนึงถึงวิธีการการทำกับข้าวเพื่อให้ทำกันได้อย่างง่ายๆ ไม่ยุ่งยากซับซ้อนอะไร
"โปรดสังเกต.. ที่ช่อง url ด้านบนซ้าย ถ้าเป็น https กรุณาเปลี่ยนเป็น http แล้วกด enter เข้ามาใหม่ครับ"
@ คลิกที่นี่ ดูบนyoutube... @ ภาพรับปริญญามีต่อที่นี่... @ และที่นี่อีกจ้า... @ บัณฑิตรามฯรุ่น38(2555) ทุกคณะและทุกคน โหลดคลิปที่นี่...

วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2557

เรื่องเหลือเชื่อในชีวิตของผม..


เรื่องเหลือเชื่อในชีวิตของผม..
By: ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร

ปีนี้(2557)เป็นปีที่ 68 ของผมแล้วนะครับ

ผมเกษียณแล้ว มีอิสระเสรีเพราะไม่มีหลานให้เลี้ยง ตอนนี้อยู่กับบ้านให้ลูกชายโทนหาเลี้ยง ผลัดกันบ้าง เขาเรียนจบวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ตอนนี้ทำงานบริษัทใหญ่แถวๆถนนศรีนครินทร์ ตำแหน่งงาน System Engineer (วิศวกรระบบเซิร์ฟเวอร์,เน็ตเวิร์ค,ซิเคียวริตี้) จะว่าผมโชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่รู้ แต่เพื่อนหรือคนที่รู้จักพากันอิจฉานินทาว่าผมเป็นพ่อที่โชคดีที่สุดในโลกเลยทีเดียวเชียวแหละครับ

เป็นกิจวัตร..ปกติผมจะเข้านอนเวลาตีหนึ่งกว่าๆ ตื่นนอนเก้าโมงเช้าทุกวัน เรียกว่านอนรวดเดียว อะ..ไม่ใช่สิ นอนสองรวดตื่น คือประมาณตีห้ากว่าๆจะลุกมาเยี่ยวครั้งนึงแล้วจิบน้ำหนึ่งอึก(ในขวดที่ตั้งไว้ในห้องนอน) แล้วกลับเข้าไปนอนต่อ ทีนี้ก็จะตื่นตอนเก้าโมงกว่าๆ รู้สึกกระปี้กระเปร่าสดชื่นนอนได้เต็มอิ่มครับ

ผมเคยลองเข้านอนเวลาสี่-ห้าทุ่ม ปรากฏว่าจะตื่นเวลาตีสองตีสาม แล้วทีนี้จะหลับไม่ลงตาค้างจนสว่างแล้วผลอยหลับไปตื่นอีกทีก็สี่โมงเช้ารู้สึกงัวเงียมึนงงไม่สดชื่นปวดหัวตึบๆเหมือนนอนไม่เต็มอิ่มนั่นแหละ

หลังตื่นนอนเก็บที่หลับที่นอนเข้าที่เข้าทางแล้วยังไม่ได้ล้างหน้าถูฟัน ผมจะชงดื่มสับปะรดไซเดอร์ + น้ำผึ้งแท้อย่างละหนึ่งช้อนโต๊ะผสมน้ำเปล่าหนึ่งแก้ว แล้วดื่มน้ำตามอีกขวดนึง(600มิลลิลิตร) ดื่มหมดขวดภายในห้านาที น้ำเปล่าธรรมดาๆไม่แช่เย็นนะครับ (หมายเหตุ: สับปะรดไซเดอร์ระดับพรีเมี่ยม ตราแอมโบรเซีย FOODLAND ฿60.-, น้ำผึ้งแท้ตราเอราวัณ TESCO Lotus ฿229.-)

[[[..ยกเว้นเฉพาะวันจันทร์ต้องล้างผนังลำไส้กระทุ้งไขมัน ผมจะเปลี่ยนเป็น ผสมโยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ถ้วย(140 กรัม) + นมสด(ไขมัน0%) 400 มิลลิลิตร + น้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะ + น้ำมะนาว 1-2 ลูก คนให้เข้ากัน วางตั้งทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที เพื่อให้จุลินทรีย์ในโยเกิร์ตขยายตัว แล้วดื่มหมดภายใน 15 นาที..]]]

แล้วก็ออกกำลังกายปัดกวาดเช็ดถูทำความสะอาดเดินไปเดินมาจากหน้าบ้านถึงหลังบ้านจนทั่ว(ประมาณ 20 เมตร)เหงื่อผุดออกมาชุ่มตัวแหละ นั่งพักให้เหงื่อแห้งซักกะเดี๋ยวทีนี้ก็เข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัวจนเสร็จสิ้นกระบวนความ ไม่ต้องบอกนะว่าอะไรบ้าง (ถ้าไม่รู้ก็จะบอกให้ครับ ขี้..แล้วก็อาบน้ำล้างหน้าสระผมถูฟัน เฮ้อ..)

เที่ยงตรงกินข้าวมื้อแรก ปกติหนึ่งวันผมกินข้าวสองมื้อเท่านั้น คือมื้อเที่ยงและมื้อทุ่ม บ่ายสามก็กินผลไม้ตามฤดูกาลครับ อ้อ..ก่อนกินข้าวมื้อทุ่มซักสิบห้านาที ผมจะชงดื่มสับปะรดไซเดอร์เหมือนตอนเช้านั่นแหละ มื้อนี้ไม่ดื่มน้ำตามเดี๋ยวจะอิ่มจนกินข้าวไม่ลงครับ


โทษที่เกิดจากการที่ไขมันที่เกาะในผนังลำไส้ กระเพาะอาหาร เป็นผลทำให้เกิดโรคต่างๆ เช่น
1. ถุงน้ำดี ทำให้นอนไม่หลับ อารมณ์ฉุนเฉียว นิ่วในไต สายตาเสื่อม ปวดเมื่อยตามร่างกาย
2. เลือดเลี้ยงสมองไม่พอ ทำให้มึนศีรษะ
3. ไตเสื่อม ทำให้ความจำลดลงและเป็นคนขี้หนาว
4. ม้ามชื้น ทำให้อาหารที่กินเข้าไปแปรสภาพเป็นไขมันเป็นผลทำให้อ้วนง่าย
5. ม้ามโต ทำให้เหนื่อยง่ายเพราะม้ามไปเบียดปอด
6. ถ้าไขมันเกาะผนังลำไส้เล็กมากๆ จะทำให้ลำไส้เล็กไม่สามารถดูดซึมวิตามินซีได้ เป็นผลทำให้เป็นหวัดในตอนเช้าหรือหวัดเรื้อรัง กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เกิดโรคภูมิแพ้ ทำให้จามในตอนเช้า
7. ถ้าไขมันในตับสูง การสร้างเม็ดเลือดจะลำบาก


วันนี้(15ก.ย.2557)เช่นกัน.. ตอนอาบน้ำสังเกตตัวเองในกระจก อะ..ปีนี้เราเหลาเหย่ลงไปเยอะเนอะ เพ่งพิศพินิจดูก็สังเกตเห็นปานดำเท่าหัวนิ้วโป้ง(ซึ่งจางลงไปแล้ว)ตรงหัวนมด้านซ้าย พลันความหลังเมื่อครั้งยังเด็กตอนเรียนหนังสือชั้นประถมก็พรั่งพรูเข้ามาในความนึกคิด...

"..ย้อนอดีตกลับไป พ.ศ.2496...คุณแม่ส่งผมเข้าเรียนชั้นประถม1 ที่โรงเรียนเทศบาลใกล้บ้าน วันแรกที่ไปโรงเรียนผมยังจำติดหูติดตาได้เป็นอย่างดี เช้าวันนั้น "หละอ่อนหน้อย"(เด็กน้อย)ตัวเล็กๆใบหน้าตื่นๆด้วยความตื่นเต้น สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวไหล่ตก ตรงหน้าอกด้านกระเป๋าเสื้อปักอักษรย่อชื่อโรงเรียน"ท.1"(เทศบาล1) ด้วยเส้นไหมสีน้ำเงินเข้ม นุ่งกางเกงขาสั้นสีกากีตัวหลวมๆรัดเข็มขัดติ้ว บนหัวสวมหมวกกะโล่สีเดียวกับกางเกงสำหรับกันแดด ที่หัวไหล่สะพายถุงผ้าดิบสำหรับใส่หนังสือเรียน ซึ่งก็มีเพียงเล่มเดียวเท่านั้น(อิอิ...ตอนนั้นยังไม่มีtablet) กำลังเดินลากรองเท้าหนังสีดำปลิวไปตามแรงจูงมือจนเกือบจะฉุดของ"แม่เฒ่า"(คุณยายทวด-ท่านเป็นคุณแม่ของคุณแม่ของคุณแม่ของผม โอ๊ย...ลำดับไม่ถูก)

ใครก็ตามที่ได้เห็นภาพน่ารักๆเช่นนี้ คงจะอดอมยิ้มไปตามๆกันไม่ได้ แต่ถ้าสังเกตให้ดีๆ เมื่อมองไปที่เข็มขัดคาดเอวของ"หละอ่อนหน้อย"คนนั้น จะเห็นเชือกสีขาวเส้นเล็กๆร้อยเรียงเหรียญยี่สิบสตางค์-สิบสตางค์และห้าสตางค์ ซึ่งมีขนาดไม่เท่ากันเรียงซ้อนกันอยู่(ค่าจ้างเรียนวันละสามสิบห้าสตางค์) ทั้งหมดเป็นเหรียญดีบุกกลมหนาๆมีรูตรงกลาง ผูกติดกับหูกางเกงด้านหน้าแน่น ซึ่งคุณยายทวดผูกให้ ท่านบอกว่ากลัวเหรียญมันจะหล่นหาย เดี๋ยวจะอดซื้อขนมกินที่โรงเรียน.."

เรื่องเหลือเชื่อในชีวิตของผม..เริ่มตรงนี้ครับ

รอยแผลเป็นแห่งแรก.. ปานดำเหมือนหัวนิ้วโป้งบนหัวนมด้านซ้าย.. คุณยายทวดท่านเล่าให้ผมฟังว่า ในอดีตชาตินั้นผมเป็นสามีของท่าน มียศฐาเป็น "ขุนพิศิษฏ์ไพศาล" สมัย ร.7 ตอนผมเป็นเด็กคุณยายทวดยังเอาใบแต่งตั้งซึ่งเก็บไว้ในหีบเหล็กของท่านออกมาให้ผมดู ใบแต่งตั้งก็เหมือนโฉนดที่ดินรุ่นเก่าๆนั่นแหละครับ ประทับตราสีแดงๆบนลายเซ็น ผมเคยเปิดดู..ในหีบเหล็กของคุณยายทวดนั้นมีรูปถ่ายของท่านขุน พระเครื่องพระรอด และอะไรต่ออะไรที่เป็นสมบัติติดตัวของท่านขุนตอนมีชีวิตอยู่อีกหลายๆอย่าง เป็นที่น่าเสียดายสิ่งของเหล่านี้ได้สูญหายไปหมดแล้วจ้า..

คุณยายทวดท่านเล่าว่า ตอนหนีภัยสงครามท่านขุนพิศิษฏ์ไพศาลได้ฝังหีบเหล็กของท่านไว้ที่สถานที่แห่งหนึ่งใน อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย ก่อนท่านขุนหมดลมหายใจท่านก็บอกคุณยายทวดถึงที่ซ่อนหีบสมบัติ แต่คุณยายทวดท่านลืมเสียสนิทเพราะกำลังโศกเศร้ากับการตายของท่านขุน ตำนานหีบเหล็กหีบสมบัติของท่านขุนจึงเป็นความลับที่ดำมืดตึ๊ดตื๋อ เสียดายน่ะ อิอิ..

"ขุนพิศิษฏ์ไพศาล" ถึงแก่กรรมด้วยโรคเหน็บชา ตอนทำศพคุณยายทวดซึ่งเป็นภรรยาได้เอานิ้วโป้งของท่านไปแตะหมิ่นหม้อดำๆ(คือเขม่าไฟ สมัยนั้นใช้หม้อดินกระทะดินหุงข้าวต้มแกง)แล้วเอามากดตรงหัวนมด้านซ้ายของท่านขุน พร้อมกับอธิษฐานชาติหน้าให้ท่านขุนมาเกิดใหม่กับลูกสาวคนโตของท่าน ส่วนลูกสาวทั้งสอง ก็เอาแป้งดินสอพองมาถูๆที่ตาตุ่มเท้าทั้งสองข้างของท่านขุน พร้อมกับอธิษฐานชาติหน้าให้ท่านขุนมาเกิดใหม่กับตัวเอง (ท่านมีลูกสาว 2 คน คนโตชื่อคุณยาย "จันทน์หอม" ซึ่งเป็นคุณแม่ของคุณแม่ของผม ส่วนคนน้องชื่อคุณยาย "ศรีนวล" ซึ่งเป็นคนเลี้ยงคุณแม่ของผมหลังจากที่คุณยาย "จันทน์หอม" ถึงแก่กรรมภายหลังคลอดคุณแม่ของผม "คุณแม่อุบลวรรณ พงษ์สวัสดิ์" และน้อง 2 คน ได้สิบปีกว่าๆ)

คุณยาย "ศรีนวล" นามสกุลที่ติดตัวมา "พิศิษฏ์ไพศาล" เป็นผู้ก่อตั้ง "โรงเรียนเกียรติพงษ์พิทยา" จ.ลำพูน ซึ่งตอนนี้เลิกกิจการไปแล้ว ท่านสมรสกับ คุณตา "ศุภชัย ช่างเพ็ชร" ชาว อ.ชุมแสง จ.นครสวรรค์

ตอนผมเกิดมา..ตรงหัวนมด้านซ้ายปรากฏรอยนิ้วโป้งสีดำชัดเจน และตาตุ่มที่เท้าทั้งสองข้างก็ขาวโพลน ตรงตามที่คุณยายทวดและลูกสาวทั้งสองอธิษฐานไว้ทุกประการ ผมจึงเป็นที่รักที่นับถือของบริวารเก่าแก่(ที่ยังมีชีวิตอยู่)ของท่านขุนและญาติๆทางฝ่ายคุณยายทวด ซึ่งใครๆก็รักและเอาใจตามใจเสียจนกระทั่งผมดื้อซนเอาแต่ใจตัวเอง จนกระทั่งเป็นที่เกลียดชังของหลายๆท่านหลายๆคนมาจนถึงทุกวันนี้ไง ส่วนคนที่รักก็ล้มหายตายจากกันไปหมดแล้ว เฮ้อ..

ก็เพราะเหตุนี้แหละ ผมจึงเป็นคนมีเพื่อนน้อยแทบจะนับคนได้ เพื่อนรุ่นเดียวคราวเดียวที่เรียนมาด้วยกันสมัยเป็นเด็กบางคนผมเข้าไปทักมันยังย้อนถามผมว่าเป็นใคร เพื่อนบางคนก็อำลาไปเกิดใหม่ก็มี ผมมีนิสัยเสียอย่างนึง อะ..หลายๆอย่างสิ ที่เสือกจดจำในสิ่งที่คนอื่นเขาไม่อยากจำ เพื่อนคนนึงสมัยเด็กขี้รดกระโปรงใครๆเขาอยากลืมไม่อยากจำผมก็ไปฟื้นฝอยขึ้นมา เขาก็ยิ่งเกลียดขี้หน้าผมเพิ่มเป็นทวีคูณ อิอิ..

แม้แต่ชื่อเพื่อนๆที่เคยเรียนในห้องเดียวกันผมก็เสือกจำได้ สมัยนั้นแต่ละห้องเรียนเขาเรียงลำดับชื่อตามหมายเลขประจำตัว คนที่ลาออกไปเรียนต่อที่อื่นเขาก็ลบชื่อออกแล้วเลื่อนคนลำดับถัดไปขึ้นมาแทน คนที่เข้ามาเรียนใหม่ก็เอาชื่อต่อท้ายยาวไปเรื่อยๆ หลังเคารพธงชาติเป็นหน้าที่ของคุณครูประจำชั้นจะต้องหอบสมุดบัญชีรายชื่อนักเรียนทั้งหมดมาตรวจสอบว่าใครขาดใครลามาครบหรือไม่ที่หน้าชั้นเรียนก่อนคุณครูประจำวิชาเข้ามาสอน

ถ้าวันไหนคุณครูติดธุระก็จะเป็นหน้าที่ของหัวหน้าชั้นจะต้องขานชื่อแทน แต่ยังไม่ทันที่หัวหน้าชั้นจะขานชื่อ พวกเราทั้งห้องก็ประสานเสียงขานเรียงรายชื่อนักเรียนทั้งห้องไปเลย คนที่เป็นเจ้าของชื่อพอถึงชื่อตัวก็ขานตอบ มาครับ ไปเรื่อยๆจบครบ ฟังซ้ำๆท่องซ้ำๆทุกวัน 6 ปีเต็มๆ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ผมจำได้ยังไงล่ะ

ถ้าใครจะค้าน ผมจะยกตัวอย่างอีกเรื่องนึง สูตรคูณที่เราจำได้คล่องปากมาจนถึงทุกวันนี้ก็เพราะถูกบังคับให้ท่องตอนเรียนชั้นประถม3ใช่มั้ย ก่อนเลิกเรียนในแต่ละวันนักเรียนทุกคนและทุกห้องเรียนจะต้องท่องสูตรคูณแข่งกันตั้งแต่แม่2ไปจนถึงแม่12 ห้องไหนท่องจบก่อนก็ได้เลิกเรียนกลับบ้านก่อน ถามว่า..มีใครท่องสูตรคูณตั้งแต่แม่13ขึ้นไปได้คล่องปากบ้าง??

ผมเอารายชื่อเพื่อน"เมธีฯ2505"เท่าที่จำได้ไปค้นหาในเฟสบุ๊ค เชื่อไหม..หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอซักกะคน แต่ดันไปเจอ"ส่วนบุญฯ2505"เข้าให้ โอ้โฮ..สาวๆทั้งนั้น(สาวน้อย) อิอิ.. รวมกลุ่มกันได้มากกว่า20-30คนทำกิจกรรมที่น่ารักๆ นัดกันไปกินข้าว-รดน้ำดำหัวคุณครูซึ่งท่านก็เฒ่าชะแรแก่ชราปลดเกษียณกันไปแล้ว


มหัศจรรย์วันเดอร์ฟูลทายแลนด์.. แทบไม่น่าเชื่อว่าเพื่อนผู้หญิงรุ่นเดียวกันกับผม ท่านมีอายุยืนยาวกันจริงๆ ส่วนเพื่อนผู้ชายสงสัยท่านคงจะหนีไปเกิดใหม่กันแล้ว อิอิ.. ทุกวันนี้ผมจึงเหลือเพื่อนที่สนิทกันเพียงคนเดียวเท่านั้น คบกันมาตั้งแต่ตอนเรียนจบมาหมาดๆแล้วไปฝึกงานที่ น.ส.พ.เดลินิวส์ สมัยอยู่ถนนสี่พระยาโน่นแน่ะครับ เธอเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆผิวขาวเนียนหน้าตาสวยแก้มสองข้างแดงเป็นลูกตำลึง เพื่อนๆที่เรียนมหา'ลัยเห็นผมเดินควงเธอไปไหนมาไหนพากันอิจฉาว่าผมมีแฟนสวย เฮ้อ..ถ้าเพื่อนมันรู้ความจริงมันคงไม่อิจฉาแน่ๆ

ความจริงมันมีอยู่ว่า.. เธอใช้ผมเป็นไม้กันหมาน่ะ เพราะเธอเป็นคนสวยนี่แหละจึงมีหนุ่มๆทั้งหนุ่มทั้งแก่โสดบ้างไม่โสดบ้างมารุมมาตามจีบเธอเป็นแถว ถ้าคนที่มาจีบเธอคนไหนเธอชอบเธอก็จะแนะนำว่าผมเป็นพี่ชาย แต่ถ้าคนไหนเธอไม่ชอบเธอก็จะแนะนำว่าผมเป็นแฟน ส่วนคนไหนถ้าเธอจับได้ว่าจะมาหลอกกินไข่แดง จะได้รับการตอบแทนจากเธออย่างเจ็บแสบที่สุด ไอ้เราก็หนุ่มทั้งแท่งยังไม่มีแฟนกะเค้าซักคน เทียวรับเทียวส่งเธอนานวันเข้าผมก็แอบรักแอบชอบเธอเข้าให้เต็มเปา

แต่เธอก็สังเกตเห็นท่าทีของผมแหละ วันนึงเธอก็โพล่งออกมา "นี่ไอ้เฒ่า(เธอเรียกผมยังงี้จนติดปาก) จะเป็นแฟนหรือเป็นเพื่อนให้เลือกเอาอย่างนึง แต่ขอเตือนเธอไว้เราเป็นคนใจร้ายนะ คนที่มาติดพันเราต้องหมดเนื้อหมดตัวไปหลายคนแล้ว" ผมนิ่งคิดทบทวนคำพูดของเธอแล้วก็ตัดสินใจบอกเธอว่าเป็นเพื่อนดีกว่า เพราะไปไหนมาไหนด้วยกันไม่ต้องควักเงินซักบาท ได้กินได้ใช้เงินสบายๆ ประกอบกับตอนนั้นเงินเดือนผมไม่พอใช้ด้วยแหละ หยิบยืมเงินเธอบ่อยๆ ใช้คืนบ้างไม่คืนบ้างเธอก็ไม่เคยทวงถามเลย เพื่อนคนนี้ก็คบกันมาจนถึงเดี๋ยวนี้แหละ เธอแต่งงานมีเนื้อคู่เป็นตัวเป็นตนไปแล้ว ตอนนี้เธออ้วนฉุเป็นยายเพิ้ง แต่ก็ยังไม่ทิ้งความสวยแก้มสองข้างยังแดงเป็นลูกตำลึงเหมือนตอนสาวๆ ส่วนผมยังเอาะๆ "หนุ่มน้อย" ทั้งแท่ง อิอิ..


รอยแผลเป็นแห่งที่สอง.. รอยถูกครูดเป็นทางยาวบนหน้าอกซ้าย.. ปี 2509 ที่บ้านซึ่งปัจจุบันเป็นใต้สะพานพระปิ่นเกล้าด้านฝั่งธนฯไปแล้ว ผมเข้านอนตอนสี่ทุ่มแล้วตื่นกลางดึกออกมาเยี่ยวที่นอกชานหลังบ้านซึ่งเป็นสวนรกรุงรัง หลังเยี่ยวเสร็จเข้าใจว่าคงจะหมดสติแล้วหัวทิ่มลงไปบนพื้นดินซึ่งมีน้ำแฉะๆ หน้าอกไปครูดกับปลายชานไม้ที่ยื่นล้ำออกมา หมดสติไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่มารู้สึกตัวอีกทีเมื่อฟ้าสว่างแล้ว รู้สึกอุ่นๆที่หัวแล้วก็ปวดแสบปวดร้อนที่หน้าอกด้านซ้าย เอามือคลำดูแผลเป็นรอยถูกครูดเป็นทางยาวมีเลือดไหลซิบๆ ตอนนั้นผมเข้าใจว่าผมคงจะตายไปแล้ว แต่เพราะยังไม่ถึงคราวจึงได้รอดตัวกลับมามีชีวิตอีกครั้ง

รอยแผลเป็นแห่งที่สาม.. รอยถูกตะปูทิ่มสองรูใจกลางฝ่ามือขวา.. จำได้ตอนนั้นอายุราวๆ 8 ขวบ ไปโหนบาร์คู่แต่ผมโหนข้างเดียว เข้าใจว่าไม้บาร์คงจะผุ พอผมทุ่มตัวไปโหนไม้บาร์จึงหักครึ่งแล้วถอนออกจากหัวเสาที่ตรึงด้วยตะปูตัวยาวใหญ่สองตัว ส่วนผมเข้าใจว่าคงจะตกใจจึงเอาฝ่ามือขวาตะปบไม้บาร์ที่มีตะปูสองตัวติดอยู่ ตะปูสองตัวฝังลึกเข้าไปในเนื้อแต่ไม่ทะลุหลังมือ เลือดแดงแจ๋พุ่งกระฉูด.. กว่าแผลจะหายสนิทนานเป็นเดือนเลยละ

รอยแผลเป็นแห่งที่สี่.. รอยเขี้ยวเสน่ห์ของเพื่อนตรงนิ้วชี้สันหมัดมือขวา.. ตอนนั้นเป็นหนุ่มรุ่นกระทงราวๆ 14 ขวบปี ซ้อมมวยกับเพื่อนรุ่นเดียวกัน ก็ผลัดกันรุกผลัดกันรับอยู่ร่วมครึ่งชั่วโมง มีอยู่ตอนนึงผมโดนหมัดเพื่อนแล้วเซถอยหลังไปก้าวนึง เพื่อนคู่ซ้อมก็สาวเท้าเข้ามา ผมตั้งหลักได้ก็กำหมัดขวาแน่น ได้จังหวะที่เพื่อนก้าวเข้ามาพอดีกับหมัดขวาของผมพุ่งตรงออกไปโดนเข้าที่ปากครึ่งจมูกครึ่งของเพื่อน ตรงกับเขี้ยวเสน่ห์ของเพื่อนพอดีเป๊ะ พลันเขี้ยวเสน่ห์ทะลุออกมาจากแผ่นเนื้อริมฝีปากพร้อมกับเลือดพุ่งกระฉูดออกมาด้วย ผมรู้สึกแสบแป๊บๆที่นิ้วชี้สันหมัดมือขวาแล้วเลือดสีแดงฉานก็ไหลทะลักออกมา อิอิ..ผมแค่ปล่อยหมัดออกไปเบาๆเท่านั้นไม่ได้ออกแรงเลย พับผ่าซิ!!

รอยแผลเป็นแห่งที่ห้า.. รอยถูกใบเลื่อยครูดที่กลางแขนซ้าย.. ตอนนั้นทะเลาะกับน้องสาวอายุอ่อนกว่ากันแค่ 2 ปี จำไม่ได้ว่าทะเลาะกันด้วยเรื่องอะไร ผมชะล่าใจถลาเข้าไปหากะจะชกที่เบ้าตา น้องสาวคนนี้ก็เลือดนักสู้พอตัวแหละ ควักใบเลื่อยที่ใช้ฉลุไม้อัด(ใช้ทำการฝีมือส่งครู)ที่พกติดตัวเป็นประจำ ฟาดเข้ามาที่แขนซ้ายของผมเป็นรอยทางยาวเลือดไหลออกไม่หยุดเพราะไปพอดีกับเส้นเลือด ต้องนำส่งโรงพยาบาลที่เดียวเชียวแหละ น้องสาวคนนี้เสียชีวิตไปแล้วเมื่อ 15ธ.ค.53 ณ รพ.นพรัตนราชธานี

รอยแผลเป็นแห่งที่หก.. รอยเม็ดหูดที่หัวเข่าข้างขวา.. เม็ดหูดนี้มันเป็นมาตั้งแต่อายุ 7-8 ขวบแล้ว เป็นเม็ดใหญ่กว่าหัวไม้ขีดไฟนิดนึง มันปูดนูนขึ้นมาตรงหัวเข่าข้างขวาแล้วก็เม็ดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ พอมันคันผมก็เอากรรไกรตัดเล็บตัดมันจนเลือดไหลแล้วก็เอาทิงเจอร์ราดลงไป ปวดแสบปวดร้อนเชียวแหละ พอแผลแห้งหูดมันก็ปูดขึ้นมาอีก แล้วก็คันๆๆ..

ตอนเรียนชั้นมัธยมโรงเรียนบังคับให้ใช้ปากกาหมึกซึม ต้องพกกระดาษซับหมึกแผ่นสีแดงๆและน้ำยาลบหมึกชนิดขวดติดไปด้วย น้ำยาลบหมึกนี่ใช้น้ำยาคลอรีนเป็นส่วนผสมเปิดขวดใช้ทีเหม็นชะมัดญาติ ที่โรงเรียนถ้าคันหูดขึ้นมาผมก็เอาปากกาหมึกซึมนี่แหละจิ้มๆลงไปที่เม็ดหูดจนเลือดซึมแล้วก็เอาน้ำยาลบหมึกราดลงไป มันเลอะก็เอาเอากระดาษซับหมึกซับจนแห้ง ปวดแสบปวดร้อนก็ทนเอา

ตอนนั้นมีปากกาหมึกซึมยี่ห้อดังๆอยู่หลายเจ้าเช่น sheaffer เชฟเฟอร์ ปลอกทองแพงสุดๆ รองลงมาก็ Parker ปาร์คเกอร์, Pilot ไพล็อต, Marshall มาแชล ฯลฯ ราคาถูกลดหลั่นกันลงมา ส่วนยี่ห้อจีนแดงราคาถูกสุดๆด้ามละ 9 บาทเท่านั้น จำได้ว่าตอนนั้นคุณแม่ซื้อปากกาหมึกซึมยี่ห้อ Pilot ไพล็อต ใช้หมึกสีน้ำเงินให้ผมไว้เขียน ราคาด้ามละ 25 บาท แต่ถ้าคัดลายมือภาษาอังกฤษก็ใช้ปากกาคอแร้งจุ่มน้ำหมึก สำหรับปากกาใช้น้ำหมึกสีแดงเอาไว้ขีดเส้นใต้ผมใช้ปากกาจีนแดงที่ราคาถูกๆ ส่วนน้ำหมึกขวดสีน้ำเงินสีแดงมีหลายยี่ห้อเช่น ควิ้งค์ ไพล็อต เกฮา เป็นต้น

แล้วเรื่องเหลือเชื่อในชีวิตของผมก็เกิดขึ้น..

มีอยู่คืนนึงเดือนมืดดวงดาวขึ้นเต็มท้องฟ้า ผมเอาเสื่อไปปูนอนบนสนามหญ้าหลังบ้านที่ลำพูนโน่น นอนดูดวงดาวเพลินๆเสียงคุณแม่เรียกมาจากบนบ้าน ผมรีบลุกขึ้นทันที เผอิญต้องคุกเข่าบนเสื่อด้วย เจ้ากรรมหัวเข่าข้างขวาที่เป็นเม็ดหูดดันไปครูดกับพื้นเสื่อที่ปูนอน ไม่น่าเชื่อ..เม็ดหูดที่ปวดแสบปวดร้อนเพราะโดนน้ำยาลบหมึกเมื่อตอนกลางวันมันหลุดหายไปไหนก็ไม่รู้ ที่ปวดแสบปวดร้อนก็หายเป็นปลิดทิ้ง เอามือคลำหัวเข่าข้างขวาดูมันเกลี้ยงเกลาอย่างไม่มีวี่แววว่าเคยมีเม็ดหูดผุดขึ้นมาก่อน แม้แต่แผลเป็นก็ไม่ปรากฏให้เห็นด้วย

ผมฉงนเรื่องเม็ดหูดที่หัวเข่าข้างขวาที่มันหลุดหายไปอย่างไม่มีร่องรอย ไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง กลัวเขาจะหาว่าบ้า จนกระทั่งเมื่ออายุเข้าปีที่ 63 (อิอิ..ยังไม่แก่) เจ้าเม็ดหูดที่หายไปเมื่อตอนเป็นเด็กมันผุดขึ้นมาตรงหัวเข่าข้างขวาตำแหน่งเดิมเป๊ะเลย เม็ดหูดก็เริ่มเม็ดใหญ่ขึ้นแล้วก็คันสุดๆอีก ผมเอาหินเปลือกไข่สีเหลืองๆแช่น้ำแล้วเอาไปหยอดตรงเม็ดหูดปวดแสบปวดร้อนจนทนไม่ไหว ต้องใช้ทิงเจอร์ชนิดไม่แสบทาลงไป ก็เป็นแผลปวดแสบปวดร้อนเป็นอาทิตย์เชียวแหละ

ต่อมาเมื่อแผลแห้งและเม็ดหูดก็เม็ดใหญ่ขึ้นมาอีก วันนึงผมไปซื้อของที่พันธ์ทิพย์ประตูน้ำเจอเพื่อนเก่าที่มันเรียนเภสัชฯ มันเปิดร้านขายยามาเป็นสิบๆปี ตอนนี้เกษียณแล้วลูกชายของมันรับหน้าที่ต่อ เจอกันก็เล่าสารทุกข์สุกดิบวกไปวนมา แล้วมาจบตรงที่เม็ดหูดที่หัวเข่าข้างขวาของผม มันแนะนำให้ใช้ ครีมโคลบีเวท ซึ่งเป็นยาพวกคอร์ดิโคสเตอรอยด์ บรรเทาอาการอักเสบของผิวหนัง ทาที่เม็ดหูดก่อน แล้วใช้ เบโทซาลิก ออยท์เมนท์ ทาทับอีกที ผมตั้งหน้าตั้งตาทายาทั้งสองหลอดจนเกือบหมด เม็ดหูดก็หายเป็นปลิดทิ้ง คงทิ้งรอยแผลเป็นที่หัวเข่าข้างขวาไว้ดูต่างหน้าจนถึงวันนี้แหละครับ

แล้วก็จบซะที เรื่องเหลือเชื่อในชีวิตของผม..

ขอขอบคุณทุกท่านที่ทนอ่านมาถึงบรรทัดนี้

ขอบคุณครับ






@ ศาสตร์เลี้ยงลูกให้ได้อย่างใจ..(41หน้า)

@ โฉมฉาย อรุณฉาน...สาวสวยร้องเพลงไพเราะ

@ แก้ห้องนอนเหม็นอับ

วันศุกร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2557

How To : ฝึกดูหนังให้เก่งภาษาอังกฤษ, ละครเรื่องลูกทาส

PlayList.. ละคร"ลูกทาส" ตอนแรกถึงตอนจบ

น่าเป็นห่วง! มหาวิทยาลัยไทยไร้คุณภาพ โดนขึ้นบัญชีดำ เกียรตินิยมก็ไม่รับ


How To : ฝึกดูหนังให้เก่งภาษาอังกฤษ
By: Wuttichai Pianboon • 10/09/2014 • in How To, Productivity

บทความนี้เขียนโดยผู้อ่านที่เป็นแฟนของเว็บไซต์ thinkdifferent.in.th ที่อยากเข้ามาแบ่งปันประสบการณ์เล็กๆของตัวเองในการเรียนภาษาอังกฤษ ผมเชื่อว่ามันจะเป็นประโยชน์และแนวทางในการเริ่มต้นสำหรับใครบางคนแน่นอนครับ

หลายคนคงเคยได้ยินมาว่า การดูหนังฝรั่งช่วยพัฒนาภาษาอังกฤษได้ แต่พอเอาเข้าจริงๆ เอ๊ะ! ทำไมดูไม่รู้เรื่อง แถมดูจนจบยังไม่ได้อะไรเลย เนื้อเรื่องบางทีก็ยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำ เพราะมัวแต่พะวงกับ ซับไตเติ้ล

แล้วต้องดูหนังยังไงให้เก่งอังกฤษกันละทีนี้..

ขั้นแรก ปรับ mindset

-อย่ากลัวว่าจะดูไม่รู้เรื่อง
-อย่าอายที่จะทำตาม หัดตาม พูดตาม
-อย่าคิดว่ามันยากเกินไป เราคงทำไม่ได้หรอก จงคิดว่าเราทำได้ แล้วเราก็จะทำได้ จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว เคยได้ยินป่าว?

ขั้นตอนที่สอง เลือกหนัง

การเลือกหนังอย่างแรกควรจะดูเลือกดูเพื่อฝึกเฉพาะไปเลยว่าจะดูหนัง American หรือหนัง British ถึงจะเป็นภาษาอังกฤษเหมือนกัน แต่สำเนียงค่อนข้างต่างกัน ในการเลือกฝึกควรเลือกเพียงอย่างเดียว เพื่อไม่ให้สับสนในการออกเสียง (แนะนำ American เพราะหนังจะมีเยอะกว่า และภาษาค่อนข้างจะแพร่หลายกว่า)

ประเภทของหนังที่เลือก ประเภทหนังที่เลือกก็มีส่วนในการช่วยฝึกเช่นกัน ควรจะเป็นหนังดราม่า หรือ โรแมนติกจะดีที่สุด เพราะมีบทพูดค่อนข้างเยอะ หนังแอนนิเมชัน จริงๆเอามาฝึกได้ แต่ไม่แนะนำเพราะ เราจะไม่เห็นวิธีการออกเสียงและเสียงที่พูดออกมามักจะถูกดัดแปลงให้เข้ากับตัวการ์ตูน ส่วนหนังแอ๊คชั่น บางครั้งศัพท์เทคนิคค่อนข้างจะเยอะ และคุณอาจจะมันจนลืมไปเลยว่าคุณกำลังต้องการฝึกภาษาจากหนังอยู่..อิอิ

ขั้นตอนที่สาม ลงทุน

เดี๋ยวนี้ใครๆก็โหลดมาดูกันทั้งนั้นแหละ เพราะโหลดแล้วไม่ต้องเสียตังค์ ใครๆก็ดูได้! พอเลือกสำเนียง เลือกแนวได้แล้ว ทีนี้ก็มาเลือกหนัง เลือกหนังได้แล้ว ก็ลงมือโหลดเลยครับ.. เดี๋ยวๆ!!! ไม่ใช่ละๆ อยากเก่งต้องลงทุนกันหน่อยครับ หนัง DVD เดี๋ยวนี้แผ่นละไม่กี่บาท ลงทุนเถอะครับ การเลือกดูจาก DVD ทำให้เราได้ภาษาที่แม่นยำกว่า ซับไตเติ้ลที่ได้ ภาษาค่อนข้างชัวร์กว่าที่เราโหลดมา ที่สำคัญคือได้สนับสนุนสินค้าที่มีลิขสิทธิ์ด้วยครับ

ขั้นตอนที่สี่ ลุย!

หลังจากที่เราได้หนังมาสักเรื่องแล้วทีนี้ก็ถึงเวลาดูซะที วิธีการดูหนังให้ได้ผลในการฝึกนั้น ควรดูอย่างน้อยสองรอบ! ขึ้นไป

รอบแรก ให้ดูโดยเปิด soundtrack พร้อมกับซับไตเติ้ลภาษาไทย ไปก่อน เพื่อทำความเข้าใจกับเนื้อเรื่อง และอารมณ์ของหนัง

รอบสอง ให้เปิด sountrack + ซับไตเติ้ลภาษาอังกฤษ เพื่อดูว่าคำแต่ละคำเขาพูดกันยังไง

รอบสุดท้าย ให้เปิด sountrack ภาษาอังกฤษ ไม่มีซับไตเติ้ลภาษาอะไรทั้งนั้น

*Tips & Tricks

การเลือกหนัง ควรเลือกหนังที่เราสนใจ เพราะมันจะทำให้มีแรงจูงใจที่จะเข้าใจมากขึ้น

การดูหนัง เป็นฝึกการฟังอย่างดีเยี่ยม ทำให้เรารู้ว่าแต่ละคำ แต่ละประโยคออกเสียงยังไง ระหว่างที่ดูหนังให้สังเกตการออกเสียง และรูปปากเวลาพูดของตัวละคร และพยายามออกเสียงตามดู (อย่าไปอายที่จะลองทำตาม)

การจดและจำทำให้เก่งขึ้น ในระหว่างที่ดูหนัง ควรจดและจำคำศัพท์ต่างๆที่น่าสนใจ หลังจากดูจบก็มาหาข้อมูลต่อ ว่ามันมีความหมายอย่างไรใช้อย่างไร

การดูหนังคือการฝึกภาษาอังกฤษที่ดีและไม่น่าเบื่อวิธีหนึ่ง แต่ยังมีอีกหลายวิธีที่จะช่วยให้คุณเก่งภาษาอังกฤษมากขึ้น ทั้งนี้ทั้งนั้น คุณจะเก่งภาษาอังกฤษขึ้นมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับตัวคุณ ถ้าคุณมั่นใจและฝึกฝน ไม่มีทางที่คุณจะไม่เก่ง

ขอให้สนุกกับการดูหนังครับ


10 เคล็ดไม่ลับ..

ภาษาอังกฤษเป็นหนึ่งในภาษาที่ฟังยาก เนื่องจากภาษาอังกฤษจะมีการเชื่อมเสียงระหว่างพยางค์ และมีการกร่อนเสียงในคำที่ไม่มีความสำคัญในประโยค ยิ่งไปกว่านั้น ผู้พูดจะพูดเร็วมากถึงมากที่สุด

โดยเฉพาะอเมริกันที่พูดราวกับว่าจะทำยังไงก็ได้ให้จบประโยคเร็วที่สุด วันนี้เราจึงมีเคล็ดการฝึกฝนให้น้องๆ ได้ลองนำไปใช้ เชื่อว่า หลายคนถ้าปฏิบัติตามนี้ละก็จะใช้ภาษาอังกฤษได้ไม่แพ้เจ้าของภาษาเลย…10 สุดยอดเคล็ดลับ ทำไงให้เก่งภาษาอังกฤษ

1. เริ่มจากการฟังอะไรที่ง่ายๆ จะได้มีกำลังใจไม่ท้อตั้งแต่แรก ทั้งนี้รวมทั้งที่เป็น slow speed เพราะในระยะแรกเราอาจจะไม่คุ้นเคยกับที่เป็น normal speed ซึ่งการฝึกฟังช้าๆ จะทำไรเราชินกับสำเนียง และสำนวนพูด

2. ฟังเรื่องที่เราถูกใจ เพราะจะนำไปสู่ความสุขใจ ใส่ใจ และเข้าใจ มากกว่าฟังเรื่องที่เราไม่ค่อยสนใจหรือต้องทนฟัง

3. ให้ฝึกฟังเรื่องที่จบภายในเวลาสั้นๆ ในระยะเริ่มต้น ถ้าฝึกฟังเรื่องที่ยาวเกินไปจะทำให้สมองล้ารับไม่ไหว

4. ฟังพร้อมอ่าน หรืออ่านก่อนฟัง หรือฟังแล้วอ่าน จะฝึกแบบไหนก็ตามถนัด การอ่านจะช่วยผ่อนแรงในการสร้างความเข้าใจเรื่องที่ฟัง

5. ฟังพร้อมดูวีดิโอ การที่สามารถรับสารผ่าน 2 ประสาท คือ ทางหูและทางตา จะช่วยให้เข้าใจง่ายขึ้น ยิ่งถ้ามี subtitle ให้อ่านพร้อมกับชมภาพวีดิโอที่เคลื่อนไหว ยิ่งช่วยให้เข้าใจยิ่งขึ้นไปอีก

6. ฝึกฟังน้อยๆ แต่ฟังบ่อยๆ ดีกว่าฝึกฟังนานๆ แต่ไม่บ่อย เพราะฉะนั้นการฝึกฟังวันละ 15 นาทีแต่ฟังทุกวันใน 1 สัปดาห์ ย่อมดีกว่าในสัปดาห์หนึ่งฟังนานถึง 2 ชั่วโมง แต่ฟังครั้งเดียว

7. ลองฟังโดยใช้หูฟัง จะได้ยินสำเนียงชัดขึ้น ช่วยให้ง่ายในการฝึกออกเสียงตาม แต่อย่าเปิดเสียงดังเกินไปนะครับ ฟังนาน ๆ เดี๋ยวจะหูตึง

8. ฝึกฟังพร้อมพูดตาม การฝึกพูดตามจะช่วยสร้างความมั่นใจว่า เราฟังได้ถูกต้อง เพราะถ้าเราฟังได้ถูกต้องเราก็น่าจะพูดได้ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ การฟังโดยมีภาระที่จะต้องพูดให้ได้ตามที่ฟังจะทำให้เราใส่ใจในการฟังมากขึ้น ไม่ใช่ฟังสักแต่ว่าฟัง

9. ฟังอย่างตั้งใจ ถ้าเราจะอุทิศเวลาวันละ 20–30 นาทีเพื่อการฝึกฟังภาษาอังกฤษ ก็ต้องให้ทั้ง 1 ใจไปพร้อมกับ 2 หู ถ้าให้แต่หูไม่ให้ใจฝึกฟังเท่าไรๆก็มักไม่ค่อยได้ผล

10. ฟังด้วยความสุข ถึงยังฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง ก็ไม่ได้แปลว่าฟังไม่ได้เรื่อง แม้ในระยะแรกๆ อาจจะรู้สึกว่าท้อ แต่เรียนภาษาอังกฤษไม่มีทางลัด คนที่เอาแต่มองหาทางลัดและไม่ค่อยตั้งใจเดินไปตามทางตรงที่มีให้เดิน จะเดินไปถึงปลายทางได้ช้ากว่าคนที่ตั้งใจเดินไปตรงๆเสียอีก